กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 963.3 ดอกไม้บานอีกครั้งบนทางเล็กริมคันนา
พวกเขายังเรียกผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มสองคนอย่างอวี่เสียหุยและ เหอกูที่ก่อนหน้านี้ได้รับการยกเว้นให้เข้าร่วม ประชุมศาลบรรพจารย์ มาด้วย
หมื่อวี้ที่ได้รับเกียรติเลื่อนขั้นเป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของ สานักกระบี่ชิงผิงกับเหอกูลูกศิษย์ผู้สืบทอด ทั้ง พื้นที่ประกอบ พิธีกรรมและจวนต่างก็จะถูกสร ้างไว้บนยอดเขาอวิ่นช่างของภูเขา เขียนลู
ผู้คุมกฏขุยเหวย ลูกศิษย์อวี่เสียหุย พื้นที่ประกอบพิธีกรรมสร ้าง ไว้บนยอดเขาเทียนเปียน ฝ่ามือเขียนเหริน ของภูเขาเขียนดู
และผู้ฝึ กกระบี่สองคนนี้บ้านเกิดล้วนอยู่ที่กาแพงเมืองปราณ กระบี่ พวกเขาต่างก็ไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน ดังนั้นเด็กสองคนนี้ก็ คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาตามความหมายที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว
ส่วนพื้นที่ประกอบพิธรรมชั่วคราวของเสี่ยวโม่ที่อยู่ในสานัก กระบี่ชิงผิงแห่งนี้ก็เรียบง่ายที่สุด ไม่มีหนึ่งใน อยู่ ที่ขาดหาดถั่วเป้ า ตรงตีนเขาของภูเขาเขียนดู สร ้างกระท่อมขึ้นมาง่ายๆ ก็ถือว่าเป็ น พื้นที่ประกอบพิธีกรรมแล้ว
คนทั้งกลุ่มนั่งอยู่ข้างกระถางไฟใบใหญ่ หมื่อวี่ค้อมเอวยื่นมือไป อังไฟหาความอบอุ่น เงยหน้ายิ้มเอ่ย “พวก เจ้าสองคนต่างก็ไม่ใช่คน
โง่ คงรู ้กระมังว่าเหตุใดใต้เท้าอื่นกวานถึงได้ลากพวกเจ้าไปเข้าร่วม การประชุมด้วย?”
เหอกูไม่อยากจะสนใจอาจารย์ที่ชื่อเสียงในบ้านเกิดฉาวโฉ่ผู้นี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ยังเป็ นประโยคที ถามทั้งที่รู ้ดีอยู่แก่ใจโดยที่ ไม่มีความหมายใดๆ จึงเงียบงันไม่พูดอะไร
อวี่เสียหุยพยักหน้า “รู ้เพราะว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของพวก เราสองคนสามารถช่วยเหลือใต้เท้าอื่นกวาน ได้บ้างเล็กน้อย ถึง อย่างไรก็เท่ากับว่าทั้งหลอมกระบี่ ทั้งได้ท่องเที่ยวไปตามขุนเขา สายน้า ไยจะไม่ยินดีเล่า”
เดี๋ยวโม่ยิ้มเอ่ย “เพราะเป็ นสานักกระบี่ชิงผิง”
อวี่เสียหุยกล่าว “ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง”
ชุยเหวยไม่ได้พูดอะไร ไม่มีอะไรแตกต่างจริงๆ
ก็เพราะว่าอยู่ที่สานักกระบี่ชิงผิงแล้ว หาไม่อยู่บนภูเขาลูกอื่น ความต่างในเรื่องนี้จะมีมากมายนัก
ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล เจ้าสานักของสานักเบื้อง ล่างแห่งหนึ่งที่แตกหักกับศาลบรรพจารย์ของ สานักเบื้องบน หรือไม่ ความสัมพันธ ์ก็แข็งที่อชะงักค้าง แม้จะบอกว่ามีให้พบเห็นได้ไม่บ่อย นัก แต่กลับก็ไม่ถือว่าเป็ นร้อยกเว้นอะไร
ครั้งที่เกินจริงที่สุดก็คือภูเขาใหญ่บางลูกที่อยู่ในหลิวเสียทวีป สานักเบื้องล่างที่ก่อตั้งในเกราะทองทวีป ไม่รู ้ ว่าเหตุใดถึงป่ าว ประกาศว่าขอพลุดพ้นจากสานักเบื้องบน แล้วยังอาศัยรายงาน ขุนเขาสายน้าป่ าวประกาศไปทั่วใต้ หล้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะทาไม่ สาเร็จ แต่ก็เคยเกิดคาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังเป็ นเรื่อง ตลกบนภูเขา สานักแห่งนั้นเมื่อผ่านความขัดแย้ง ภายในครั้งนี้ไป ผ่านไปอีกแค่กี่ไม่กี่ปี นับตั้งแต่เจ้าสานักของ สานัก เบื้องล่าง แม้กระทั่งผู้คุมกฏ ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งและเค่อชิง ล้วน เปลี่ยนคนใหม่หมด สานักเบื้องบนและ สานักเบื้องล่างภายนอกมอง เหมือนปรองดองแต่แท้จริงแล้วกลับไม่สามัคคี ไม่ว่าจะเป็ นสานักเบื้อง บนที่รากฐาน ลึกล้าหรือสานักเบื้องล่างที่เดิมทีก็เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันอยู่ๆ แล้ว เพียงไม่นานต่างก็ตกต่ากันไปเรื่อยๆ
อยากจะก่อตั้งสานักเบื้องล่างแห่งหนึ่งก็ไม่ง่ายเลย ใจคน แตกฉานซ่านเซ็นไปแล้วคิดอยากจะกลับมารวมเป็ นหนึ่งกันได้อีก ครั้งก็ยิ่งยากเข้าไปอีก”
หมื่อวี้ยิ้มกล่าว “ไม่ใช่สมาชิกของศาลบรรพจารย์ แต่กลับได้รับ การยกเว้นเข้าร่วมการประชุม ไม่เพียงแค่ สานักกระบี่ชิงผิงเท่านั้น ในภูเขาลั่วทั่วก็ถือว่าเป็ นเรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็ นครั้งแรก ดังนั้น พวกเจ้าสองคนสามารถ รู ้สึกภาคภูมิใจเพราะเรื่องนี้ได้จริงๆ”
อวี่เสียหุยเบ้ปาก เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบ ใต้เท้าอื่นกวาน “นี่ถือเป็ นความสามารถเสีย ที่ไหน ไร ้สาระจริงๆ”
เหอกูพยักหน้าคล้อยตาม
ในบรรดาตัวอ่อนเขียนกระบี่ทั้งเก้าคน เหอกูคือคนที่ตัวสูงที่สุด “เฟยไหลเพิ่ง” กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้น ของเขาลี้ลับมหัศจรรย์ อย่างถึงที่สุด ขอแค่เรียกกระบี่บินออกมาก็เหมือนได้ครอบครองวิชา อภินิหารที่สามารถออก คาสั่งให้แก่มหาบรรพตได้ แน่นอนว่าขนาด น้อยใหญ่ของเทือกเขาที่ถูกกระบี่บินบังคับควบคุมก็มีความเกี่ยวข้อง โดยตรงกับความสูงต่าของขอบเขตเหอกู
บ้านของตระกูลเหอไม่ได้อยู่บนถนนไท่เซี่ยงหรือถนนอวี่อู่ แต่มี รากฐานทรัพย์สมบัติลึกล้า ผู้ฝึกกระบี่แต่ละ รุ่นซึ่งเป็ นบรรพบุรุษของ ตระกูลเหอต่างก็มาจากสายของสิงกวาน
ดังนั้นกระบี่สั้นที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่เหอกห้อยไว้ตรงเอว อย่าง “คู่ชูบี้” ระดับชั้นจึงไม่ต่า
หากอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ “เฟยไหลเพิ่ง กระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตเล่มนี้ของเหอกูไม่มีทางโดดเด่นได้ แน่ ดังนั้นอิงตามการ ประเมินระดับชั้นของคฤหาสน์หลบร ้อน อย่างมากสุดก็ได้แค่อยู่ใน ระดับสองล่างเท่านั้น และ เมื่อขอบเขตของเหอกูเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ขอแค่ถามกระบี่กับคนอื่น สามารถเลือกสนามรบที่เหมาะสมได้ก็ เท่ากับ ฟ้ าดินเล็กที่มีผู้ฝึ กตนใหญ่นั่งบัญชาการณ์ พลังสังหารจะ เพิ่มขึ้นพรวดพราด
ส่วน “โฟจือสิ่ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอวี่เสียหุย ไม่เพียงแต่ มีกลิ่นอายของข้อห้ามบางอย่างในไต้หล้า ไพศาลแห่งนี้ แม้แต่ใน กาแพงเมืองปราณกระบี่และคฤหาสน์หลบร ้อนก็ไม่ถูกบันทึกไว้ด้วย ซ้า หากอวี่เสียหุย สามารถเติบโตกลายเป็ นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขต บนได้ โดยเฉพาะได้เป็ นเซียนกระบี่ใหญ่ ถ้าอย่างนั้นสาหรับผู้ฝึ ก ลมปราณเผ่าปีศาจ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนที่ ชื่อจริง” ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ก็เท่ากับเป็ น หายนะไม่คาดฝันที่ไม่ ว่าจะบาดเจ็บหรือล้มตายก็ไม่รู ้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
หากจะให้ยกตัวอย่างที่อาจจะไม่ถูกต้องสักเท่าไร ในบาง ความหมายแล้วอวี่เสียหุย เซียนกระบี่ใหญ่อวี่เสีย หุย สมมตว่าเป็ นอวี่ เสียหุยที่ในอนาคตสามารถเข้าร่วมการประชุมบนหัวก าแพงเมืองได้
ก็จะเหมือนกับ….ป้ ายเจ๋อน้อย” คนหนึ่ง เผ่าปีศาจที่อวี่เสียหุยรู ้ ชื่อจริง ผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกัน รับกระบี่ก็คือ อาการบาดเจ็บ ผู้ที่ ขอบเขตต่ากว่าอวี่เสียหุย รับกระบี่ก็คือความตาย
ขุยเหวยกล่าว “วันหน้าอยู่ที่ภูเขาเซียนดูแห่งนี้จงตั้งใจฝึกกระบี่ ให้ดีๆ”
อวี่เสียหุยเกือบอดไม่ไหวพูดไปว่า เจ้าที่เป็ นขอบเขตก่อกาเนิด คนหนึ่งก็กล้ามาพูดเรื่องไร ้ประโยชน์พวกนี้กับ ข้าหรือ?
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเหตุใด เหลือบมองอาจารย์ในนามของตัวเอง ใบหน้าตายด้านที่ราวกับว่าตลอดทั้งปีไม่เคย
เปลี่ยนสีหน้านั้น บางทีอาจเป็ นเพราะอยู่ใต้แสงไฟสาดสะท้อนจึง ดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน เหอกูก็ยังคง
พยักหน้ารับ
หมื่อวี่ขยี้ปลายคาง ได้แต่เอ่ยตามว่า “เหอกูอ่า เจ้าเองก็ เหมือนกันนะ”
ผลคือเหอกูตอกกลับไปโดยตรงว่า “อ่าเอ่ออะไรกัน อย่าพูดจา เลียนแบบใต้เท้าอื่นกวานสิ ข้าผู้อาวุโสหลอม กระบี่เกี่ยวผายลมอะไร กับเจ้าด้วย”
อวี๋เสียหุยหัวเราะฮ่าๆ เหลือบตามองเจ้าคนหน้าตายผู้นั้น
ขุยเหวยกระตุกมุมปาก คลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก
เดี๋ยวโม่ก้มหน้าค้อมเอวลง พลิกด้านให้กับบะจ่างที่วางอยู่บน ตะแกรงเหล็ก ย่างเสียจนเป็ นสีเหลืองทองน่ากิน
ชิงถงอารมณ์ขับซ ้อน ตนไม่ชอบผู้ฝึกกระบี่ก็ถือว่าเป็ นเรื่องที่มี เหตุผลจริงเสียด้วย
ฟ้ าเพิ่งจะเริ่มสว่าง
ตอนกลางวันของวันนี้ สานักกุยหยกก็จะนั่งเรือข้ามฟากของ บ้านตัวเองออกไปจาอาณาเขตของสานักกระบี่ ชิงผิงแล้ว
หลิวจวี้เป๋ าและอวี้ท่านสุยไปจากยอดเขามีเชวี่ยตั้งแต่เมื่อคืนวาน แล้ว
สวีเซียมาบอกกล่าวกับส านักกุยหยกแล้วลงจากเขาไปเพียง ลาพัง ย้อนกลับไปที่ท่าเรือชวีชานของอวี่โจวก่อน
เฉินผิงอันยังตั้งใจไปส่งเขาโดยเฉพาะ
วันนี้ภายใต้การนาพาของป่ายเสวียน เขาลากเอาพวกหมี่ลี่น้อย ไปเที่ยวเล่นหาชิวจือด้วยกัน
อันที่จริงเมื่อวานชิวจื่อก็ได้บอกที่อยู่รับจดหมายของยอดเขาจิ๋ว อี้ให้กับป่ายเสวียนแล้ว ทั้งสองฝ่ ายนัดหมาย กันว่าวันหน้าจะส่งกระบี่ บินติดต่อกันบ่อยๆ แน่นอนว่าป่ ายเสวียนไม่ลืมแอบบอกชิวจื่ออย่าง เป็ นนัยว่าทุกวันนี้ใน กระเป๋ าของตนมีเงินแค่ไม่กี่แดง ไม่อาจใช ้เงิน มือเติบได้ ทรัพย์สินที่เหมือนภูเขาเงินภูเขาทองล้วนวางไว้ที่ภูเขา ถั่ว พัวหมดแล้ว ชิวจือก็บอกว่าไม่เป็ นไรๆ รอให้เขากลับไปที่ยอดเขาจิ๋ว อี้ก่อนแล้วจะรีบส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาที่ ยอดเขามีเชวียแห่งนี้ทันที จะใส่เงินเทพเขียนไว้ในของจดหมายสองสามเหรียญ
ตอนนั้นป้ ายเสวียนก็ตบไหล่ชิวจื่อเอ่ยว่า “อายุไม่มาก แต่เฉลียว ฉลาดยิ่งนัก วันหน้าติดตามข้าออกไปท่อง ยุทธภพ พวกเราสองคน คือกระบี่คู่หยกผสาน บุกไปที่ใดที่นั่นก็ราบเป็ นหน้ากลอง ฟันใครก็ คือฟันเหมือนกัน ใช่แล้ว ที่ยอดเขาจิ๋วอี้หรือภูเขาลูกอื่นๆ หากว่ามี ใครที่เจ้ามองแล้วไม่ถูกชะตา ทั้งยังสู้ไม่ได้ ก็บอกกล่าวกับข้าสักค า ค่อย บอกเส้นทางการเดินทางคร่าวๆ ของอีกฝ่ ายให้ข้ารู ้ ถึงเวลานั้น ข้าก็จะหาข้ออ้างสักข้อกับใต้เท้าอื่นกวาน ออกจาก บ้านไปเพียง
ลาพัง ไปดักขวางทางเขา ช่วยให้เจ้า…ทาอย่างนั้นกับเจ้าหมอนั่น หืม? เข้าใจใช่ไหม?”
ชิวจื่อฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบส่ายหน้า “ไม่มีๆ ทั้งใน และนอกยอดเขาจิ๋วอี้ ทุกคนล้วนดีกับข้ามาก
เขาเริ่มรู ้สึกเสียใจภายหลังนิดๆ แล้วที่แปะลายนิ้วมือลงไปบน ตาราวีรบุรุษเล่มนั้น
วันนี้ชิวจื่อออกจากบ้านมาเพียงลาพัง เดินเที่ยวไปบนยอดเขามี่ เขวี่ยพร ้อมกับพวกป้ ายเสวียน
แม่นางน้อยที่ชื่อว่าไฉยู่ผู้นั้น จู่ๆ ก็ถามชิวจือว่าที่ยอดเขาจิ๋วอี้มี เหล้าอะไร
ชิวจือจึงบอกไปตามตรงว่า ยอดเขาจิ๋วอี้ไม่ผลิตเหล้าหมักตระกูล เขียนเป็ นของตัวเอง เพราะเจ้าส านักกุย หยกไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า
ใอยู่จึงไม่พูดอะไรอีก
แต่เพียงไม่นานชิวจื่อก็เอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า แต่เหล้าตีชุ่ย บนยอดเขาฮว่าเหมยและเหล้าอีกหลายชนิด ของพื้นที่มงคลถ้าเมฆา ต่างก็มีชื่อเสียงมากในใบถงทวีปของพวกเรา
ไออู่พยักหน้ารับด้วยดวงตาเป็ นประกาย บอกว่าหากวันหน้านาง มีโอกาสได้ออกไปหาประสบการณ์ด้านนอก อาจจะไปเป็ นแขกที่ ยอดเขาจิ๋วอี้
แต่แม่นางน้อยกลับรู ้สึกว่าช่วงเวลาอันใกล้นี้คงไม่มีหวังแล้ว ไม่ ว่าอย่างไรก็ต้องรอให้ผ่านไปอีกหลายสิบปี ก่อนถึงจะลงจากภูเขาไป ได้
เฮ้อ คุณสมบัติย่าแย่เกินไป ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องการถ่ายทอดเวท กระบี่หรือวิชาเซียนให้กับตน แม้แต่เจ้าขุนเขา เฉินก็ยังถอยหนีเพราะ
รู ้ถึงความยากล าบากไปแล้ว ช่างน่ากลุ้มเสียเหลือเกิน |
ได้ยินเขียนกระบี่ใหญ่หมี่บอกว่าเมื่อก่อนที่กาแพงเมืองปราณ กระบี่มีคนแช่ต่งอยู่คนหนึ่งที่เป็ นสหายรักของ เจ้าขุนเขาเฉิน ออก จากบ้านไม่เคยต้องจ่ายเงิน สามารถดื่มเหล้าจากที่ไหนก็ได้
ช่างน่าอิจฉาเสียเหลือเกิน
แม่นางน้อยชุดดาที่ชื่อว่าโจวหมี่ลี่ผู้นั้นทั้งถือไม้เท้าไม้ไผ่เขียว ทั้งหาบคานหาบสีทอง ไม่พูดอะไรมาก แต่ สถานะของนางกลับไม่ ธรรมดา
แรกเริ่มสุดตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาชิงผิง รู ้ว่านาง ถึงกับเป็ นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขา ถั่วทั่ว ชิวซื้อก็ตกใจ สะดุ้งโหยงเลยจริงๆ
หมี่สี่น้อยคว้าเมล็ดแตงที่เหลืออยู่มาจากในกระเป๋ าผ้า ยื่นส่ง ให้กับชิวจื่อ บอกว่าเป็ นเมล็ดแดงที่ซื้อมาจาก ตลาดล่างภูเขา อย่าได้รังเกียจเลย
หลักๆ แล้วเป็ นเพราะเมื่อคืนวานกลับไปที่เรือนของตัวเอง เอาแต่ สนใจหีบไม้ไผ่ใหม่เอี่ยมใบนั้น จึงลืมเรียก รวมกาลังพลซื้อม้า พอ เข้าตรู่ก็ถูกป้ ายเสวียนพาตัวมาที่นี่แล้ว
ชิวจื่อรับเมล็ดแดงมา พูดติดๆ กันว่าไม่หรอกๆ
หมีลีน้อยเม้มปากยิ้ม
ชิวซื้อมองคนวัยเดียวกันที่ชื่อว่าขุนขุนหวังผู้นั้น
ดูเหมือนว่าขุนขุนหวังจะเป็ นเช่นนี้เสมอ มองเขาด้วยสายตาเย็น ชา สีหน้าเหมือนจะรังเกียจ
ชิวซื้อรู ้สึกอัดอั้นเล็กน้อย
.
อยู่ๆ ก็รู ้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา
ตอนเที่ยงวัน คนทั้งกลุ่มไปหาผู้ฝึกตนของสานักกุยหยก ทะยาน ลมลงจากภูเขาไปที่ท่าเรือชิงชานด้วยกัน
นอกจากเฉินผิงอันกับชุยตงชานแล้วยังพาหมื่อวี่ ชุยเหวยและจัง ชิวไปด้วย
สามารถพูดได้ว่าคนที่เป็ นผู้ดูแลที่แท้จริงของสานักกระบี่ชิงผิง ล้วนเผยตัวหมดแล้ว
การประชุมครั้งนั้นสิ้นสุดไปแล้ว แต่ยังรับรองแขกอย่างจริงจัง เช่นนี้ พูดถึงแค่เรื่องหน้าตาภายนอก สานักกุย หยกก็หาข้อตาหนิ อะไรไม่ได้เลยจริงๆ
ไปถึงข้างเรือข้ามฟากของส านักกุยหยก เฉินผิงอันก็พูดเข้า ประเด็นว่า “ท าการค้าก็พูดในมุมมองของการค้า การประชุมก่อน หน้านี้ คาพูดหลายๆ อย่าง ข้าและเจ้าสานักชุยได้แต่จงใจพูดให้แข็ง กระด้างเข้าไว้ หากมีจุดใดที่ ล่วงเกินไปก็หวังว่าจะอภัยให้กัน”
เพียงเพิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาที่อื่นกวานหนุ่มสอดส่ายมองมา ถึงกับมีส่วนของตัวเองด้วยก็รู ้สึกประหลาดใจ เล็กน้อย นายน้อยของ พื้นที่มงคลถ้าเมฆาผู้นี้คลี่ยิ้มกุมหมัดคารวะกลับคืน เปิ ดปากเอ่ย ประโยคที่ไม่ถือว่าฝืนใจ เท่าใดนัก “สามารถเข้าใจได้”
จางเพิ่งกู่พูดอย่างตรงไปตรงมา “หากพวกเราสองฝ่ าย สานักกุย หยกและสานักกระบี่ชิงผิง หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ ได้อาศัยกิจธุระยิบย่อย ของการขุดเจาะลาน้าใหญ่มายอมรับนิ สัยการกระทาและ ขนบธรรมเนียมประจ าส านักของ อีกฝ่ ายได้อย่างแท้จริง ถึงเวลานั้น ค่อยมาเป็ นพันธมิตรกันอย่างเป็ นทางการ ก็ถือว่าเป็ นเรื่องที่น้ามาคู คลองก่อเกิด ตัวข้าเองรอคอยอย่างยิ่งที่วันนั้นจะมาถึง”
หวังจี้ที่นิสัยเจ้าอารมณ์ ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีความไม่พอใจ บ้างเลย รู ้สึกว่าสานักกระบี่ชิงผิงวางมาดยิ่ง ใหญ่เกินไป ไม่ไว้หน้า สานักกุยหยกเลยสักนิด เรื่องของการเป็ นพันธมิตร เห็นๆ กันอยู่ว่า เป็ นเรื่องดีที่ต่างก็ได้ผล ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ าย อีกฝ่ ายยังจะ
เล่นแง่อะไรอีก เพียงแต่เมื่อคืนวานพอได้ยินจางเพิ่งกูอธิบายให้ฟัง อย่าง ละเอียดก็หายโมโหแล้ว
หวังจี้เพียงแค่อดรู ้สึกสะท้อนใจไม่ได้ว่า ในยุทธภพ แค่เห็นหน้า ก็ถูกชะตา สามารถฝากความเป็ นความตาย ให้ได้ บนภูเขาของพวก เจ้ากลับเทียบไม่ได้เลยจริงๆ
ถึงอย่างไรหวังจี้ก็เพิ่งจะเป็ นผู้ถวายงานของศาลบรรพจารย์ยอด เขาเพิ่งจ้วนสานักกุยหยกมาได้แค่ไม่กี่ปี เท่านั้น
ตอนนั้นจางเพิ่งคู่ก็ได้แต่ยิ้มเจือนเอ่ยว่า “คงเป็ นเพราะแม่น้าลา คลองที่อยู่บนบกมีคดเคี้ยวเสี้ยววน แต่ถึง ท้ายที่สุดแล้วก็ยังไหลลง มหาสมุทรอยู่ดี
หวังจี้พยักหน้ายอมรับไปโดยปริยาย หวังว่าจะเป็ นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นหากสานักกุยหยกและสานักกระบี่ชิงผิง แตกหักกันขึ้นมา ผลลัพธ ์ที่จะตามมาย่อมเลวร ้ายจนมิอาจคาดคิด ใบถงทวีปอันเป็ น บ้านเกิดมิอาจเจอกับความขัด แย้งภายในได้อีกแล้วจริงๆ
ซุยตงชานกุมหมัดหัวเราะร่า “ไม่โทษอาจารย์ ล้วนต้องโทษข้า”
เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับหวังจี้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์ชิงเจี๋ย บางที การกระท าในเรื่องนี้ของ สานักกระบี่ชิงผิงของพวกเราอาจไม่รวดเร็วฉับไวจริงๆ ก็ถือเสียว่า เรื่องดีต้องขัดเกลาให้ มากหน่อย หวังว่าเมื่อวันหน้าพวกเราสองฝ่ าย ได้เป็ นพันธมิตรกันแล้ว ข้าจะเลี้ยงเหล้าอาจารย์ชิงเจี๋ยดีๆ สักมื้อ ต่อ
ให้เรื่องนี้ไม่สาเร็จ ในใบถึงทวีปแห่งนี้ ภูเขาสายน้ากว้างขวางถึงเพียง นี้ ก็ไม่จาเป็ นต้องเดินบนทางไม้ท่อนเดียว
หวังจี้อึ้งตะลึง ก่อนหัวเราะเสียงดังกังวาน “คาพูดนี้ ถูกใจ!”
ขุยตงชานคลี่ยิ้ม
ไม่ว่าอาจารย์จะพูดอะไรกับอาจารย์ชิงเจี่ยผู้นี้
ค าพูดแบบเดียวกัน ตนเป็ นคนพูดอาจไม่มีประโยชน์กะผายลม อะไร แต่หากอาจารย์เป็ นคนพูดกลับจะต้องมี
คนเชื่อ
ตนท าบุญมาด้วยอะไรกันนะถึงหาอาจารย์ที่เป็ นเช่นนี้มาได้ หาก ไม่เป็ นเพราะมีคนนอกอยู่ด้วย เขาจะต้องร ้องไห้ให้อาจารย์เห็นแน่ๆ
ชุยตงขานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย กวาดตามองไปรอบ ด้าน ที่ท่าเรือซึ่งตนตั้งชื่อว่าชิงชาน (ชุดเขียว) เสื้อเขียว) แห่งนี้ วัน หน้าจะค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็ นดอกไม้ที่ผลิบานบนคันนา พืชหญ้าเขียว ขจี สี่ฤดูกาลเหมือนวสันต์
อาจารย์ในอดีต ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิดเคยจูงม้าตัวผอม เดินผ่านสายน้า เดินอ้อมผ่านภูเขา แสง อาทิตย์สาดส่องลงบน เส้นทางโบราณ ข้างทางมีหมู่บ้านตั้งเดียวดาย ภูเขาเล็กผอมน้าก็ แห้งผอม ม้าผอมคนก็ยิ่ง
ดวงตะวันจันทราขับไล่กาลเวลา แม่น้าทะเลสาบขับเคลื่อนใจคน
ท่ามกลางลมวสันต์ของวันปีใหม่ บนทางเล็กริมคันนามีดอกไม้ บานอีกครั้ง
คราวหน้าที่อาจารย์ได้ออกเดินทางไกลและกลับคืนบ้านเกิดอีก ครั้ง จะต้องไม่มีทางเต็มไปด้วยความ กลัดกลุ่มอีกแน่นอน