กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 964.1 ดื่มสุราหมดจอก
หลงชินผู้มองเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคมคายที่สวมหมวกหัวเสือ อย่างอึ้งตะลึง หรือ ว่า หรือว่า อีกฝ่ายจะเป็ น…?
ฉับพลันนั้นก็รู ้สึกเพียงว่าหูตาพร่าลาย ฟ้ าพลิกแผ่นดินคว่า ต้องไม่ใช่แน่นอน ไม่มี ทางใช่ ไม่มีทางเด็ดขาด!
ต้องรู ้ว่าต่อให้เป็ นใต้หล้ามืดสลัว เต้ากวานที่เลื่อมใสและเคารพ บูชาผู้ที่เป็ นความ ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ผู้นั้นก็มีมากมายเกิน กว่าจะนับได้หมด
และหลงชินผู้ก็คือคนหนึ่งในนั้น นับประสาอะไรกับที่หลงชื่อผู้นี้ ยังมีสหายอีกคนหนึ่งที่
ถึงกับ “เย็บปะ บทกวีหลายร ้อยบทของป่ายเหยไว้บนร่าง
หากว่าเจ้าคนผู้นั้นได้มาเห็นคนตรงหน้าผู้นี้คงเสียสติทันที แน่นอน คงจะเหมือนถูก ฟ้ าผ่ากลางวันแสกๆ เจอกับทัณฑ์อสนีอย่าง ไม่คาดฝัน
หลงชินผู้รีบควักเหล้ากาหนึ่งออกมา แหงนหน้ากระดกดื่มจน หมด ต้องชะลอหน่อย ขอหายใจหายคอหน่อย
ตอนนี้คนที่มายังทะเลสาบกูผูแห่งนี้ก็มีนักพรตชุน ป่ ายเหย่และ เยี่ยนจั่ว
เพราะเมื่อครู่นี้เจ้าอารามผู้เฒ่าให้ลูกศิษย์สองคนนั้นกับพวกซุน เชื้อสามคนที่พบเจอ กันโดยบังเอิญ แต่ก็ถือเป็ นสหายที่มีโชคชะตา ต้องกันใช ้เวลาอยู่ร่วมกันดีๆ นานๆ ทีจะได้ ออกจากบ้าน คุยกันให้ มากหน่อย เหตุผลก็คือมีสหายบนภูเขาเพิ่มขึ้นมา ฟ้ าดินด้านนอก อารามเต๋าก็จะมีทางให้เดินเพิ่มมากขึ้น
นักพรตซุนยื่นมือออกมาโบก จุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “แต่ง กายงดงามเฉิดฉัน กลิ่นหอมลอยอวล โชยปะทะจมูก เกือบจะทาให้ เทพธิดาบนสรวงสวรรค์เห็นแล้วรู ้สึกละอาย ใจที่สู้ไม่ได้แล้ว”
เยี่ยนจั่วฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ
ประโยคนี้เจ้าอารามผู้เฒ่าพูดได้ ใต้หล้าไร ้หน่อไม้” (เทียนเซี่ยอู่ สุน พ้องเสียงกับ ประโยคเทียนเชี่ยอู่ช่ง ซึ่งหมายถึงสังคมในอุดมคติ ที่ไม่มีข้อพิพาททางกฎหมาย) แล้ว
หลงชื่อตรงหน้าผู้นี้เคยเป็ นทั้งอุปราชย์ อัครเสนาบดีหรือไม่ก็ เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น ของหลายแคว้นในหย่งโจว อีกทั้งยังเป็ นการ ควบตาแหน่งในเวลาเดียวกันด้วย แต่กลับไม่มี ความกังวลเรื่องความ ยุ่งยากวุ่นวายเลย
น่าจะเมื่อหลายร ้อยปี ก่อน เขาลาออกจากตาแหน่งทุกอย่าง ภายในวันเดียวกัน จากนั้นก็เริ่มใช ้ชีวิตร่อนเร่พเนจรอีกครั้ง ไปสร ้าง พื้นที่ประกอบพิธีกรรมน้อยใหญ่สิบกว่าแห่งไว้ นอกภูเขาปิงเจี่ย ได้
ยินมาว่าสถานที่แห่งใหม่ล่าสุดนี้ตั้งอยู่ริมลาคลองยวนเหอของมีโจวส ร ้างขึ้นเป็ นกระท่อมสามหลัง
หลงซินผู้พูดติดส าเนียงของหย่งโจวค่อนข้างหนัก เขาทอดถอน ใจอย่างปลงอนิจจัง “ยังมีพิณเหล็กชิ้นหนึ่งที่อยู่ในเจินโจว ไม่ได้พก ติดตัวมา มิอาจบรรเลงให้ท่านฟังได้”
ทั้งสองฝ่ ายต่างก็พูดเรื่องของตัวเองไปเหมือนเป็ ดคุยกับไก่ที่คุย กันไม่รู ้เรื่อง
“มาป้ อนปลาอีกแล้วหรือ?”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ กับแกล้มแกล้มสุราสองมื้อล้วนเตรียมไว้ พร ้อมแล้ว”
นักพรตขุนหัวเราะเยาะ “เดิมทีก็เป็ นเรื่องของการลอกเลียนแบบ คาพูดคนอื่นอยู่แล้ว แล้วยังจะโอ้อวดตัวเองอีก แสร ้งทาเล่นผีหลอก เจ้า ขายหน้าขายไปถึงใต้หล้าแห่งอื่นแล้ว อายุก็ตั้งปูนนี้แล้วไม่รู ้จัก อายเสียบ้าง”
หลงชินผู้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ในสถานที่บาง แห่งของที่นั่น จะดีจะชั่ว ก็เป็ นขอบเขตหยกดิบ จะถือว่าเป็ นการแสร ้ง ท าเป็ นเล่นผีหลอกเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างหาก ไม่ใช่เพราะเจ้าอาราม ผู้เฒ่าเรียกคาแล้วคาเล่าว่าสหายน้อยเฉิน ข้าก็คงไม่ถึงขั้นออกเดิน ทางไกลอย่างไม่เกรงกลัวความยากล าบากหรอก”
นักพรตขุนเหลือบตามองหลงชินผู่ “ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร? เป็ นเพราะสานักของ พวกเจ้าไม่ได้ตั้งชื่อให้ดี เลยใกล้จะจบเห่แล้ว? ก่อนที่จะสละร่าง ต้องการให้ผินเต้าไปช่วย ปกป้ องมรรคาให้ก่อน หรือไม่?”
แม้หลงชินผู้จะชอบก่อเรื่องอยู่ล่างภูเขา แต่ชื่อเสียงบนภูเขา อัน ที่จริงกลับนับว่ายัง พอใช ้ได้ พอจะถือได้ว่าผูกสัมพันธ ์กับผู้คนอย่าง กว้างขวาง มีสหายอยู่ทั่วหล้า
หากจะคิดกันขึ้นมาจริงๆ ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่สามารถทาให้ เจ้าอารามผู้เฒ่าออก มาจากฉีโจว เป็ นฝ่ ายมาหาถึงที่ ก็ถือได้ว่าหา ได้ยากจริงๆ
หลงชินผู้ยิ้มจืดเขื่อน ก็ไม่ถือสาคาสัพยอกของเจ้าอารามผู้เฒ่า “ต้องโทษตัวข้าเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้ ก็แค่ว่าประมาทเกินไป”
“อ้อ? หมายความว่าอย่างไร?”
นักพรตขุนยิ้มถาม “แอบตีกับเต้าเหล่าเอ้อมาหรือ? เจ้าคิดว่า ตัวเองคือสหายเป่ าหลิน หรืออย่างไร? ต่อให้จะถามกระบี่กับผู้ไร ้ เทียมทานที่แท้จริงก็สามารถหยัดยืนอยู่ในสถานะที่ มิตายดับได้ครั้ง แล้วครั้งเล่า?”
หลงชินผู้มองข้ามค าพูดเหน็บแนมของนักพรตซุนไปโดยตรง ถามว่า “สถานที่แห่งนี้ เหมาะให้พูดคุยกันหรือ?”
นักพรตขุนพยักหน้า “คุยได้ตามสบาย”
หลงชินผู่เอ่ยชื่นชมจากใจจริง “เจ้าอารามผู้เฒ่าในทุกวันนี้ช่าง ท าให้คนอิจฉาจริงๆ”
หลังจากนั้นหลงชินผู่ก็เล่าอย่างไม่ได้ปิดบังใดๆ แต่เจ้าอารามผู้ เฒ่าจงใจทาให้ เยี่ยนจั่วมิอาจได้ยินเสียงในใจของคนผู้นี้
ที่แท้หลงชื่อผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้เคยไล่ตามเบาะแสไป
“กราบภูเขา” ของชินชูที่ ยอดเขารุ่นเยว่ |
ไม่เคยขึ้นไปบนภูเขา แล้วก็ไม่จาเป็ นต้องขึ้นเขา ผลคือที่ตีนเขา แห่งนั้น หลงชินผู้ที่ • เตรียมใจไว้พร ้อมแล้วกลับเอ่ยไปแค่สี่ประโยค
ก็ถูกท าร ้ายถึงรากฐานมหามรรคาทันที
เขากระอักเลือดออกมาสดๆ หนึ่งคา ประหนึ่งปมเชือกที่พันกัน ยุ่งเหยิงบ่มหนึ่ง เชือก แต่ละเส้นรัดพันกันแน่น สีสันแตกต่างกันไป มี ทั้งสีม่วง สีเหลือง สีชาดและสีเขียว
ขอบเขตถดถอยลงมาหนึ่งขั้นโดยตรง
เพราะคาทานายสี่อักษรของหลงชินผู้เป็ นความผิดมหันต์ ร ้ายแรง
“ตึกใหญ่ก าลังจะถล่ม
นักพรตขุนฟังหลงชินผู่อธิบายขั้นตอนคร่าวๆ แล้วก็ถอนสายตา กลับคืนมา เพียงไม่ นานสีหน้าก็กลับคืนมาเป็ นปกติ เอ่ยเย้ยหยันว่า
“พวกเจ้าแต่ละคนไม่มีมาดของปรมาจารย์หรือน้าใจของผู้อาวุโสกัน บ้างเลยหรือ? จะเอาแต่จับตัวชินขู่มาเหมือนจับแกะมารีดขนออก อย่างเอาเป็ นเอาตายก็คงไม่ได้กระมัง”
หากไม่เป็ นเพราะเจอกับสหายน้อยซินขู่บนยอดเขารุ่นเยว์แล้ว รู ้สึกเหมือนสหายที่รู ้จัก กันมานาน ไม่อย่างนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่า อาจจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่เห็นภาพชัดเจนยิ่ง กว่านี้ก็เป็ นได้
พวกเจ้าคิดว่ากาลังเข้าแถวเดินเที่ยวหอนางโลมอยู่หรือไร
สายตาของหลงชินผู้ฉายแววประหลาด เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตน คนที่สามที่เดินขึ้น ยอดเขารุ่นเยว่ตามหลังมรรคาจารย์เต๋าและลู่เฉิน ก็คือเจ้าอารามผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้
นักพรตชุนมองทะลุไปเห็นความคิดของอีกฝ่ ายได้โดยตรง จึง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
นักพรตขุนมองทะลุไปเห็นความคิดของอีกฝ่ ายได้โดยตรง จึง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ว่า “ผินเต้าจะเหมือนพวกเจ้าได้หรือ? ปีนั้น ผินเต้าก าลังจะออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล แล้วถึงได้ไปหาสหาย น้อยชินขู่ที่ยอดเขารุ่นเยว่เพื่อบอกลา”
“สหายน้อยชินขู่ “หวังหยวนลู่ลูกหลานบ้านตน” “ผีน้อยตนนั้น” รวมไปถึง “สหายน้อย เฉิน” คนใหม่ล่าสุดนั่น
ล้วนเป็ นคาเรียกขานอย่างแสดงความสนิทสนมที่นักพรตขุนมี ต่อผู้เยาว์บนภูเขาเหล่านี้
เพียงแต่เห็นแก่ที่หลงชินผู้ขอบเขตถดถอย จึงดีกับเขามาก หน่อย ยอมพูดจาจากใจ จริงน้อยลงสองสามประโยค
นักพรตขุนเอ่ย “แล้วก็เพราะมรรคาจารย์เต๋าใจกว้าง ไม่อย่างนั้น แค่นิ้วเดียวก็บดขยี้ เจ้าให้ตายได้แล้ว”
ในบรรดาผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้ามืดสลัว เกี่ยวกับบุรุษที่ ทัดดอกไม้ บรรพจาร ย์แห่งภูเขาปิงเจี่ยผู้นี้ มีคากล่าวที่โด่งดังอยู่ ประโยคหนึ่ง “สามถดถอยสองบินทะยาน
ไม่ได้พูดว่าเขาเหมือนกับเสนาบดีรูปงามเหยาชิงที่สามารถ สังหารสามอสุภะส าเร็จจน เกิดเป็ นเขียนสละศพอะไร แต่เขาเคย ขอบเขตถดถอยสามครั้ง ครั้งแรกคือถดถอยจากเซียน เหรินมายัง หยกดิบ สองครั้งหลังก็ยิ่งถดถอยจากขอบเขตบินทะยาน ผลกลับ กลายเป็ นว่าเขา ล้วนกลับคืนไปยังขอบเขตบินทะยานได้ใหม่ทั้งสอง ครั้ง
จะโทษคนอื่นไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเขาเอง ภูเขาสายน้า เปลี่ยนง่ายแต่สันดาน คนนั้นเปลี่ยน ปกติแล้วจะไม่หาเรื่องใส่ตัว แต่ ทุกครั้งพอหาเรื่องใส่ตัวขึ้นมาก็ล้วนเป็ นเรื่อง ใหญ่
“หยกดิบ เขียนเหริน หยกดิบ เขียนเหริน บินทะยาน เซียนเหริน บินทะยาน เขียนเห ริน”
นักพรตซุนยกมือซ ้ายขึ้นมานับนิ้วคานวณ ก่อนจะยกมือขวา ตามมา “มือเดียวนับไม่ พอ ไม่เสียแรงที่เป็ นหลงชื่อแห่งหย่งโจว
ขอบเขตถดถอย ฝ่ าทะลุขอบเขตแล้วค่อยขอบเขต ถดถอยอีกครั้ง เล่นสนุกเลยทีเดียว”
อยู่ดีๆ หลงชินผู้ก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาอย่างไร ้ต้นสายปลาย เหตุ “ในอดีตไม่ค้อม เอวเพื่อข้าวห้าโต่ว ทุกวันนี้กลับก้มหัวเพื่อข้าว หกโต่ว ข้าพูดจาไร ้หลักไร ้ฐานทุกท่านมิต้อง เชื่อ ขอทุกท่านที่เดินสู่ ทางแยกโปรดกลับมายังเส้นทางที่ถูกต้อง บรรยายความในใจข้าออก มา ช่วยแก้ต่างให้แก่ผู้ที่ไม่ได้รับความเป็ นธรรม คือสัจธรรมแห่ง สวรรค์อันดับหนึ่ง”
สีหน้านักพรตขุนไม่สบอารมณ์ หัวเราะหยันเอ่ยว่า “อยากไป เป็ นแขกที่อารามเสวียน ดูขนาดนี้ จัดให้เจ้าไปล้างห้องส้วมเป็ น อย่างไร วันหน้าเมื่อลู่เหล่าขานมาถึง เจ้ายังสามารถ ช่วยต้อนรับ แขกได้ด้วย”
เยี่ยนจั่วรู ้สึกเคารพเลื่อมใสยิ่งนัก คาพูดประเภทนี้คนอื่นพูด ฟัง แล้วมีแต่จะเหมือนด่า คน แต่พอนักพรตขุนพูด กลับกลายเป็ นว่า…มี ท่วงทานองอีกแบบหนึ่ง
อยู่ดีๆ หลงชินผู้ก็เอ่ยอีกว่า “ปีนั้นเทวรูปของเหวินเซิ่งถูกย้าย ออกไปจากศาลปุ่นแผ่น ดินกลาง ข้าคัดค้านอย่างถึงที่สุด”
จู่ๆ เยี่ยนจั่วก็ค้นพบว่าไอ้หมอนี่ถูกนักพรตซุนด่าก็ใช่ว่าจะไม่มี เหตุผล คาพูดประโยคนี้ของหลงชินคู่ เห็นได้ชัดว่าพูดให้เด็กหนุ่มที่
สวมหมวกหัวเสือฟัง เอา อย่างนักพรตขุนที่รับแสดงความเป็ นมิตรแต่ เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นรอให้คนรุ่นเยาว์เหล่านั้น
คาพูดประโยคนี้ของหลงชินผู่ เห็นได้ชัดว่าพูดให้เด็กหนุ่มที่สวม หมวกหัวเสือฟัง เอา อย่างนักพรตชุนที่รีบแสดงความเป็ นมิตรแต่ เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นรอให้คนรุ่นเยาว์เหล่านั้น กลายเป็ นนักพรตใหญ่ที่ ก่อสานักตั้งพรรคได้จริงแล้ว คิดจะตีสนิทกับอีกฝ่ ายก็สิ้นเปลืองเงิน ทองเกินไป เสียทั้งเวลาเสียทั้งกาลังโดยที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็ นได้ ผลลัพธ ์ที่ดี
การลุกผงาดของป่ ายเหย่ในชาตินี้คือสถานการณ์ที่บุกรุดไป ข้างหน้ามิอาจหยุดยั้งได้ ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกว่าเป็ นเรื่องที่ แน่นอนแล้ว ฟ้ าอ านวยดินอวยพรคนสามัคคี ล้วนอยู่บนร่างของ “ผู้ ฝึกกระบี่ป่ายเหย่ หมดแล้ว
ช่างเถิดๆ คิดเสียว่าคนผู้นี้ก็คือป่ายเหย่ตัวจริงไปแล้วกัน
ป้ ายเหยได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะตอบรับ
ถือว่าช่วยซิ่วไฉเฒ่ารับน้าใจนี้ไว้
นักพรตขุนยิ้มเอ่ย “แต่เจ้ากลับพอจะถือว่าเป็ นหอมต้นหนึ่งได้” (มาจากประโยคเจ้า คือหอมต้นไหน ซึ่งหมายถึงว่าไม่ใช่คนสาคัญ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง เป็ นหอมต้นหนึ่งก็คือ เป็ นคนสาคัญ เป็ นคนที่ เกี่ยวข้องกับสถานการณ์)
ชอบลงจากภูเขาเตร็ดเตร่ไปส่งเดช ไม่เคยอยู่ว่างเลยสักนิด หากไม่กระจายค าท านายไปทั่วก็แต่งบทเพลงพื้นบ้านให้พวกเด็กๆ ร ้องกัน
จากการคาดเดาของพวกที่ชอบสอดรู ้สอดเห็น สองพันปีที่ผ่าน มา คาทานายและ เพลงพื้นบ้านในสองสามมณฑลซึ่งมีหย่งโจวเป็ น หนึ่งในนั้น มีถึงครึ่งหนึ่งที่ออกมาจากปาก ของคนผู้นี้
หากใช ้ค ากล่าวของนักพรตชุนก็คือไปผายลมอยู่หน้าบ้านของ คนอื่น เสียงผายลมดัง ราวฟ้ าผ่า แต่ก็เพียงเท่านั้น แค่ลมพัดมาก็ ปลิวหายไป แต่หากไปถ่ายไว้หน้าบ้านคนอื่นกอง หนึ่ง ก็คือ….ผูกปม แค้นแล้ว
นักพรตขุนถาม “ต่อจากนี้เตรียมจะไปยงโจวหรือ?”
นังหนูจูเสวียนของราชวงศ์อวี่ผู้ผู้นั้นคือคนที่ฟ้ าไม่กลัวดินไม่ เกรง ถูกใจอย่างมาก ไม่ เสียแรงที่ปีนั้นผินเต้าช่วยปกป้ องมรรคาให้ นางอย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง
หลงชินผู้ก็ไม่ได้ปิ ดบังอะไร ยอมรับเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา “นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ ไหนแต่ไรมาข้าก็ชอบไปร่วมวงความครึกครื้น มากที่สุด มีหรือจะยอมพลาดงานพิธีใหญ่ผู้ เทียนครั้งนั้นไป นั่นคือ งานพิธียิ่งใหญ่ที่ยงโจวไม่เคยเจอมาหลายร ้อยปีแล้วเชียวนะ”
ในเมื่อมรรคกถาไม่ได้ความ สู้พวกลู่เฉิน เกากูไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น คนและเรื่องราวบาง อย่างก็ได้แต่นั่งดูดายอยู่เฉยๆ เท่านั้น ต่อให้นับ นิ้วคานวณจนนิ้วหักก็ทานายออกมาไม่ได้
ได้แต่เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยขึ้นฝั่ง จึงจะพอ ได้รับผลเก็บเกี่ยวมาได้
บ้าง
“เชื่อว่าเจ้าอารามคงจะมองไม่ออก เวลาของข้าเหลืออีกไม่มาก แล้ว จึงอยากจะพบ นางเป็ นครั้งสุดท้าย ช่วยเปิดบานประตูให้หน่อย อย่าขัดขวางการไปพบเจอนางของข้าเลย ส่วนเรื่องที่ว่าเข้าไปถึง ข้างในนั้นแล้วจะได้พบเจอนางหรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของข้า เองแล้ว เป็ นอย่างไร ข้อเรียกร ้องนี้คงไม่เกินกว่าเหตุหรอกกระมัง?”
“ไม่เกินกว่าเหตุ ไม่เกินกว่าเหตุ”
จากนั้นก็ไม่มีประโยคถัดมาอีก
หลงซินผู่เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “ประโยคนี้พูดได้ไม่หนักแน่นพอ ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะ บอกให้ชัดเจนเสียหน่อย”
นักพรตขุนพลันมีสีหน้าประหลาดใจ “ผินเต้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เจ้ากับภูเขาปิ งเจีย ต่างก็ไม่มีความแค้นอะไรกับป่ ายอวี่จิง แล้ว นับประสาอะไรกับที่ในภูเขาของพวกเจ้า ทุกวัน นี้ยังมีฝูเฉวียนอยู่ ด้วย เด็กคนนี้มีฐานกระดูกก่อนกาเนิดที่แข็งแกร่งมาก คุณสมบัติใน การ ฝึกตนดีขนาดนั้น หาไม่แล้วก็ไม่มีทางมีฉายาว่าจางไห่เพิ่งคนที่
สอง หรือเหยาชิงแห่งหย่งโจวอะไรพวกนั้น ตอนนั้นอารามเสวียนตูก็ ไม่เคยแย่งชิงกับพวกเจ้า มิเช่นนั้นทุกวันนี้เด็กฝ – เฉวียนผู้นี้คงได้ ไปฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตูแล้ว แล้วเจ้าจะท าตัวเหลวไหลส่งเดช แบบนี้ ทาไม แขนขาก็เล็กบางออกอย่างนี้ วันนี้ก็ถือว่าโชคดีที่คน ที่มาหาเจ้าคือผินเต้า วันใดถูกผู้ ไร ้เทียมทานที่แท้จริงเจอเข้า สอง นิ้วบิดง่ายๆ ทีเดียวก็ไม่เหมือนฉีกร่างตั๊กแตนเลยหรอก หรือ?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่คู่ควรกับคาเรียกขานว่าผู้มีพรสวรรค์ของภูเขาปิง เจี่ยผู้นั้นชื่อว่าฝู เฉวียน ฉายา “เสวียนฉาน” คือลูกศิษย์ปิดสานัก ของเจ้าขุนเขาภูเขาปิงเจี่ยคนปัจจุบัน
หากไม่เป็ นเพราะเพิ่งจะเลยวัยไป ในรายชื่อของคนรุ่นเยาว์สิบ คนและตัวสารองสิบคน ของหลายใต้หล้า จะต้องมีพื้นที่ของฝูเฉวียน ด้วยแน่นอน
หลงชินผู้ใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “ภูเขาตะวันเที่ยง”
นักพรตชุนอึ้งตะลึง “คืออะไร?”
หลงชินผู้กล่าว “แจกันสมบัติทวีปมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งชื่อว่าภูเขา ตะวันเที่ยง คือสานักที่ เพิ่งจะได้รับอักษรจง”
นักพรตขุนยิ้มกล่าว “คิดจะหาวิธีเพื่อไปกวาดพื้นที่อารามเสวียน ดูจริงๆ สินะ ผินเต้า จะท าให้เจ้าสมปรารถนา”
ก่อนหน้านี้ไม่นานผินเต้าเพิ่งจะไปเที่ยวเยือนใต้หล้าไพศาลมา ก่อน จะไม่รู ้จักภูเขา ตะวันเที่ยงที่มี “เขียนกระบี่มากมายดุจก้อน เมฆ” แห่งนั้นได้อย่างไร?
อารามเสวียนดู ดอกท้อบานสะพรั่ง หวังขุนที่มีฉายาว่า “คงชาน นั่งอยู่ใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง สองมือวาง ทับซ ้อนกัน หลับตาท าสมาธิ
นั่งเฉยๆ อยู่ในป่าท้อ ปลดกระบี่วางพาดขวางไว้บนหัวเข่า ลาธารแสงจันทร ์เจือจางบางเบา ป่าท้อบนภูเขาสีสดดั่งโลหิต
หลงชินผู้เห็นหวังขุนคนบ้านเดียวกันที่เขาคิดถึงคานึงหาอยู่ทุก เมื่อเชื่อวันซึ่งยังมีใบหน้าเป็ นเด็กสาว ก็ถึงกับมีสีหน้าเขินอายอยู่ หลายส่วน เสียงที่พูดก็ไม่ดังมากนัก “ไม่ได้ เจอกันนานเลยนะ”
คิ้วเหมือนกลุ่มยอดเขารวมตัวกัน ดวงตาดุจหักกิ่งหลิวอาลา
นางยังคงเป็ นเหมือนปี นั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังงดงามอยู่ เสมอ
ความงดงามของสตรีผู้เป็ นที่รักมักจะทาให้คนใจสั่นได้มิเสื่อม คลาย งดงามจนทาให้ ควงตาของคนคนหนึ่งใส่ตะวันจันทราเอาไว้ได้ แต่กลับใส่นางไว้ไม่พอ ต้องย้ายไปไว้ที่ห้อง หัวใจ ทิ้งไว้ในหัวใจ
หวังซุนเงยหน้ามอง “หลงชื่อ” ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ แล้วนับประสา อะไรกับที่ยังเป็ นคนบ้านเดียวกัน นางจึงพยักหน้า พูดด้วยน้าเสียงใส กระจ่าง “ดูเหมือนว่าจะนานมากแล้ว”
คนรู ้จักเก่าได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง กลัวที่สุดว่าเรื่องเก่าที่ สามารถพูดคุยกันได้จะ มีน้อยนิด ทักทายปราศรัยกันแค่ไม่กี่คาก็ไม่
มีเรื่องให้พูดคุยกันอีกแล้ว กลัวก็แต่ว่า เรื่องเก่าก็คือเรื่องเก่าแล้วจริงๆ |
ดูเหมือนหวังซุนจะรู ้สึกว่านั่งคุยกับอีกฝ่ ายดูไม่มีความจริงใจสัก เท่าไร เพียงแต่ขณะที่ นางคิดจะลุกขึ้นยืน หลงชินผู้กลับนั่งแปะลงไป บนพื้นก่อนแล้ว เตะกลีบดอกท้อที่อยู่ข้าง ฝ่ าเท้าออกไปไกลๆ ถาม เสียงเบาว่า “สหายคงชาน ข้าดื่มเหล้าได้หรือไม่?”
หวังขุนยิ้มเอ่ย “นี่คือคาถามอะไร”
หลงชินผู้หยิบกาเหล้าขนาดจิ๋วที่ทามาจากมรกตแก้วใสใบหนึ่ง ออกมา ขนาดของมัน ใหญ่แค่กาปั้นเท่านั้น เขาแหงนหน้าจิบเหล้า หนึ่งคา
ตอนที่พบเจอกันเป็ นครั้งแรก นางเดินเยื้องย่างผ่านเส้นทางหัวใจ ของข้าไป พื้นที่ที่ แห้งเหี่ยวเปลี่ยวร ้างก็มีบุปผาบานสะพรั่ง
บุรุษสวมชุดเขียวออกท่องเที่ยวยามวสันต์ กลุ่มคนสวมชุดสีสัน สดใสสวยงามราย ล้อมอยู่รอบกาย คนที่สะดุดตาสะดุดใจมากที่สุด มี เพียงหวังชุน ยังคงเป็ นหวังชุน มีแค่หวังซุนเท่านั้น
รู ้จักกันครั้งแรกยามเก้าขวบ พบเจอกันอีกครั้งเจ้าและข้าต่างเก้า สิบ
เด็กหนุ่มขี่ม้าไม้ไผ่ หันกลับมาอีกครั้งกลับเป็ นผู้เฒ่าผมขาว โพลน
ทั้งๆ ที่มีถ้อยคานับพันนับหมื่น แต่กลับไม่รู ้เลยว่าควรจะเริ่มพูด จากตรงไหน เงียบงัน ไปเนิ่นนาน หลงซินผู้ก็ได้แต่เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง ว่า “คุณสมบัติของข้าไม่ดี เจ้าไม่ถูกใจก็เป็ น เรื่องปกติแล้ว”