กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 965.2 พบนักพรตอีกครั้ง
บทที่ 965.2 พบนักพรตอีกครั้ง
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ ก็แค่เป็นภาพในใจบางอย่างที่ “ผลลัพธ์มองดูแล้วเป็นเช่น นั้น” ภูเขาลั่วตั่วก็คือภูเขาลั่วตั่ว สํานัก กระบี่ชิงผิงก็คือสํานักกระบี่ชิงผิง รากฐานในการหยัด ยืนก็คือผู้ฝึก กระบี่ แล้วก็มีได้แค่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น”
ชุด :
“สํานักกระบี่ชิงผิงต้องการให้ภายใต้เงื่อนไขที่รับประกันว่าจะไม่
มีภัยแฝงบนมหา มรรคา ไฉอู่ที่ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วยิ่งฝ่าทะลุ ขอบเขตเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น แล้วก็ ต้องให้เด็กๆ ที่มาจาก
เรียน ซุนชุนหวังฝืนดึงกําลัง
ใจเฮือกหนึ่งขึ้นมา ได้รู้แล้วว่าความต่างระหว่างพวกเขากับผู้มี พรสวรรค์ที่แท้จริงนั้นอยู่ตรง ไหน มีมากน้อยเท่าไร ผู้ฝึกกระบี่จะมี ปมอยู่บ่มหนึ่งก็คือ บางทีอาจไม่กลัวตาย แต่กลับกลัว แพ้”
พรสวรรค์ที่แท้จริงนั้นอยู่ตรง
“ข้าจึงอยากจะเห็นว่า เมื่อพวกเขาสัมผัสได้แล้วว่าจะต้องแพ้
ไฉอู่อย่างแน่นอน
ถึงขั้นที่ว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางไล่ตามไฉอู่ได้ทัน
จิตแห่งมรรคาของพวกเขาแต่ละคนจะเป็น อย่างไร”
“นอกจากนี้ หากแม่นางน้อยอย่างไฉอู่ได้ครอบครองถ้ําสวรรค์ ฉางชุนเพียงคนเดียว จากนั้นนางฝ่าทะลุขอบเขตไปอย่างว่องไว
อันดับแรกก็เป็นขอบเขตหยกดิบก่อน ต่อมาจึงเป็นเซียนเหริน หรือ ถึงขั้นเป็นบินทะยานได้ในอนาคต ก็เป็นไปได้ที่ยิ่งนานก็จะยิ่งปลีกตัว
สันโดษ ไม่เข้าพวก ต่อให้พวกป้ายเสวียนจะใจกว้างแค่ไหน แต่หาก ไม่ได้พบกันแค่ไม่กี่วัน แล้วจู่ๆ ก็ได้เจอไฉอู่ที่เป็นห้าขอบเขตบนแล้ว บางทีผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีก็ได้เห็นไฉอู๋ที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินซึ่งยิ่ง
เหมือนคนแปลกหน้ามากกว่าเดิม พวกเขาต่างก็อายุยังน้อย
คุณสมบัติดีเกินไป ดังนั้นข้ากังวลว่าวันหน้ายิ่งนานวันไฉอู๋ก็จะยิ่งดื่ม เหล้าเพียงลําพังมาก ขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้อยู่ด้วยกันก็ไม่มีเรื่องให้พูดคุย กันได้อีกแล้ว นานวันเข้าก็จะเหมือนสหายใน อดีตที่ยิ่งเดินก็ยิ่งค่อยๆ ห่างกันไป ระยะห่างบนเส้นทางหัวใจประเภทนี้ ไม่ใช่ว่าแค่หา โอกาส
พูดคุยตีสนิทสักสองสามประโยคก็จะสามารถชดเชยได้ มี
ได้เลย”
ซุยตงซานพยักหน้า “อาจารย์พูดถูกแล้ว การฝึกฝนจิตใจก็คือ การฝึกตนที่ยาวนาน ครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่มีเพียงจิตแห่งมรรคาที่ใส กระจ่าง จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์เท่านั้นที่ถึงจะมี ความเป็นไปได้นับพัน นับหมื่น”
เฉินผิงอันหันมามองขุยตงซาน
ชุยตงซานมึนงง “อาจารย์ นี่เป็นคําพูดจากใจจริงนะ ข้าไม่ใช่ เทพเขียนผู้เฒ่าเจียเสีย หน่อย ไม่เคยพูดประจบเอาใจใครหรอกนะ!”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “พอเกี่ยวพันถึงเรื่องเงินก็แกล้งโง่เลยใช่ไหม จงใจพูดจาวกวนยึด ยาว เงินฝนธัญพืชที่อยู่บนหน้าบัญชีของสํานัก กระบี่ชิงผิงในทุกวันนี้มีเท่าไรแล้ว? วันหน้า ประคับประคองปราณ วิญญาณฟ้าดินของถ้ําสวรรค์ฉางชุนก็แค่ทุ่มเงินไปก็พอ จําไว้ว่า
อย่า มาร่ําร้องกับข้าว่ายากจน เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเผยเฉียนเอา วัตถุจื่อชื่อมอบให้เจ้าไปแล้ว?”
ชุยตงซานถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง “อาจารย์ทํานายได้ ล่วงหน้า ฉลาดเฉียบ แหลม ประหนึ่งมองกองไฟในถ้ํา ศิษย์ที่เป็นเจ้า สํานักคนแรกของสํานักกระบี่ชิงผิง อยู่ในตําแหน่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ
จริงๆ”
หมี่ลี่น้อยกะพริบตาปริบๆ สายตามองตรงไปเบื้องหน้า ไม่มอง ห่านขาวใหญ่ “ฮ่า ตัวชี้ประจบ”
หลังจากนั้นก็พาเด็กกลุ่มนั้นเข้าไปในถ้ําสวรรค์เล็กด้วยกัน
จัดการหาพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมชั่วคราวให้พวกเขาแต่ละคนได้ฝึก
ออกมาจากใส่ปุ๋ยตงซานก็หยิบเอาจวน ตระกูลเขียนแต่ละหลัง
ออกมาจากในชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ ให้พวกมันหยั่งรากลงบน
สุดท้ายเฉินผิงอันก็เอ่ยกับไฉอู่ที่อยู่ข้างกายว่า “ต่อจากนี้เจ้า สํานักฮุยจะรับหน้าที่เป็น ผู้ถ่ายทอดมรรคาให้เจ้าชั่วคราว วางใจ เถอะ จะเป็นแบบที่ไม่มีฐานะเป็นอาจารย์และศิษย์ กัน ทางฝั่งเว่ย เซี่ยนที่เป็นอาจารย์ของเจ้า ข้าจะช่วยบอกกล่าวไว้ให้ เขาไม่มีทางมี ความเห็น ต่าง ฝึกตนอยู่ที่นี่ไปให้ดีๆ ยังคงใช้กฎเดิม ดื่มเหล้าทุกวัน อย่าให้เกินครึ่งจิน เจ้าสํานักฮุยจะสร้างห้องเก็บสุราไว้ในพื้นที่
ประกอบพิธีกรรมของเจ้าโดยเฉพาะ”
ไฉอู๋กลุ้มใจอย่างถึงที่สุด เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน วันหน้าเหล้าของข้า สามารถหักออกครึ่งหนึ่งได้ เปลี่ยนจากสองชาม มาเป็นหนึ่งชาม ทุกวันข้าดื่มเหล้าแค่สอง ตําลึงก็พอ”
เพราะแม่นางน้อยคิดว่าตัวเองฟังเข้าใจแล้ว เจ้าขุนเขาเฉินกําลัง บอกกับตนเป็นนัยๆ ว่า คุณสมบัติด้านการฝึกตนไม่ดี แล้วยังเป็นผีขึ้ เหล้าตัวน้อยอีก ก็แค่ตัวขาดทุนที่ดีแต่ใช้ เงินไม่รู้จักหาเงินไม่ใช่ หรือ?
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง โบกมือยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องๆ ทุกวันดื่มเหล้าสอง ชาม ไม่ได้เป็นปัญหา อะไร”
ไฉอู่อัดอั้นไม่พูดไม่จา
el
เฉินผิงอันถาม “ไฉอู๋ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณสมบัติการฝึกตนของ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณสมบัติการฝึกตนของ ตัวเองดีมากๆ เลย?”
ไฉอู๋เอ่ยด้วยน้ําเสียงกลัดกลุ้ม “อาจารย์เคยบอกว่าคุณสมบัติใน
การฝึกตนของข้า เหมือนความสามารถในการดื่มเหล้าของเขา”
ชุยตงซานกุมท้องหัวเราะก๊าก เว่ยคอแข็งผู้นี้น้ําเข้าสมองแล้ว จริงๆ ถึงได้พูดจาเหลว ไหลเช่นนี้ให้ไฉอู่ฟัง
เฉินผิงอันกล่าวอย่างอ่อนใจ “ดีมากจริงๆ ข้าไม่ได้ล้อเล่น ไฉอู๋เงยหน้าขึ้นมองเจ้าขุนเขาเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงต่ํา
อืมรับหนึ่งที
นี่ต้องเป็นคุณสมบัติด้านการฝึกตนที่ย่ําแย่ถึงเพียงใดถึงได้ทํา
ให้เจ้าขุนเขาเฉินที่นิสัย ดีขนาดนี้เริ่มรู้สึกร้อนใจบ้างแล้ว
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว เขาปวดหัวแล้วจริงๆ ช่างเถิด ให้ชุย ตงซานปวดหัวไปเอง ก็แล้วกัน ตนไม่อาจไปดูแลเรื่องการฝึกตนของ แม่นางน้อยคนนี้ได้เลยจริงๆ มิอาจสอนได้
เลย
confi
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากเฟิงยวน แรกเริ่มเฉินผิงอันยัง
รู้สึกว่าต้องสอนแม่ นางน้อยที่เพิ่งเดินขึ้นสู่เส้นทางของการฝึกตนผู้นี้ บ้าง จะมีอะไรยาก แต่รอกระทั่งต้องชน กําแพงถึงสองครั้ง เขาก็ ยอมรับชะตากรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เมื่อก่อนสอนหมัดให้เผยเฉียนบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ จากนั้น อุตส่าห์โน้มน้าวให้ตัว เองห้าวหาญได้อย่างไม่ง่าย คิดจะเป็นผู้ ถ่ายทอดมรรคาให้กับไฉอู่ชั่วคราว ผลคือกับเฉาฉิงหล่างผู้เป็นลูก ศิษย์ก็ดันมีเรื่องกระบี่บิน “หนีวาน” เม็ดนั้นอีก…
หลังจากจัดการเรื่องของไฉอู่ได้อย่างเหมาะสมแล้ว เฉินผิงอันก็ เดินไปยังจุดที่สูงที่สุด ของถ้ําสวรรค์ ถามว่า “ตงซาน ลูกศิษย์ใหญ่ ของเจ้า มีตัวเลือกไว้แล้วใช่ไหม?”
ซุยตงซานกลอกตาไปมาเร็วจี๋
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าได้ยินหลินโส่วอีเล่าว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ ใกล้กับลําน้ําใหญ่ ข้างกายเจ้ามีเด็กหนุ่มท่าทางซื่อๆ คนหนึ่งติดตาม มาด้วย ถูกเจ้าเรียกขานว่า “น้องเกา?”
ชุยตงซานกระทืบเท้าหนึ่งที ยกชายแขนเสื้อขึ้นสะบัดอย่างแรง
เด็กหนุ่มหน้าตาทื่มที่อฟันขาวปากแดงคนหนึ่งก็กระเด็นออกมาจาก
ชายเสื้อของเขา
ซุยตงซานตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอนว่า “เกาตี มัวยืนอึ้งอยู่ทําไม รีบ
เรียกอาจารย์ปู่เร็วเข้า!”
เด็กหนุ่มที่ถูกซุยตงซานตั้งชื่อให้ว่า “เกาตี” เรียกขานว่า
อาจารย์ปู่ด้วยสีหน้าขลาดกลัว
ไป
เฉินผิงอันอับจนคําพูด พาเสี่ยวโม่และหมี่ลี่น้อยเดินลงจากภูเขา
ซุยตงซานพาเกาดีเด็กหนุ่มที่มีชื่อเล่นว่า “ปู้เฉิง” ไล่ตามฝีเท้า
ของอาจารย์ไป ใช้เสียง ในใจถามว่า “อาจารย์ ใบถงทวีปในวันหน้า เรื่องของการเช่นกระบี่?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าต่างหากจึงจะเป็นเจ้าสํานักของสํานักกระบี่ ชิงผิง เจ้าตัดสินใจ เอาเองได้เลย”
หรือ?”
ซุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที ถามว่า “อาจารย์จะกลับภูเขาลั่วมั่วแล้ว
กลับ”
เฉินผิงอันตอบ “ไปจุดธูปที่ศาลเทพแห่งผืนดินก่อนแล้วค่อย
ซุยตงซานกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “ที่ต่าวเช่อนั่นน่ะหรือ ศาลไม่ ใหญ่ แต่ประวัติความเป็นมายาวนาน อยู่มาพันกว่าปีแล้ว ควันธูปก็ ยังไม่เคยขาดหาย ล่างภูเขาถือว่าหาได้ยาก มากแล้ว ข้าไปกับ อาจารย์ด้วยก็แล้วกัน”
คนทั้งกลุ่มไปจุดธูปคารวะที่ต่าวเซ่อด้วยกัน ศาลของเทพแห่งผืน ดินแห่งนี้เล็กมาก คนเฝ้าศาลก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เฉินผิง อันยังเชิญเทียนหอมด้วยคู่หนึ่ง
ออกมาจากต่าวเซ่อ
เปิดขุนเขา – หมี่ลี่น้อยและลูกศิษย์ใหญ่
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนกลับไปทางทิศเหนือ เพียงแค่พาเสี่ยวโม่
เดินเล่นไปด้วยกันบริเวณใกล้เคียงกับศาลเทพแห่งผืนดินมีต้นพลับ
เยอะมาก ห่างไปไกลอีกเล็กน้อยก็มีกอต้น อ้อต้นกกเป็นผืนกว้าง ใหญ่
* สีขาวบินผ่านเหมือนกล่าวคําโน้มน้าว โน้มน้าวว่า
ให้ หยุดอยู่ก่อน หยุดอยู่ก่อน คิดดูแล้วเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของ ปีนี้ต้นพลับคงเป็นสีแดง เต็มต้น เหมือนมีแสงสายัณห์ปูแผ่เต็มผืนน้ํา คือภาพวาดอันงดงามประหนึ่งเขียนน้ําสวมชุด สีแดงอ่อนกระมัง
เสี่ยวโม่ถามอย่างใคร่รู้ “คุณชาย ทําไมถึงได้รีบร้อนกลับไปที่ ภูเขาลั่วพัวล่ะ?”
“ไปรับรองแขก”
เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก “มีแขกที่มาเยือนจากทิศไกล”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็ไม่ถึงขั้นนั้น อีกฝ่ายต้องเคารพกฎ มิ เช่นนั้นราคาที่ต้องจ่าย ย่อมมหาศาล”
เสี่ยวโม่ถาม “คือผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่หรือว่าผู้ฝึกกระบี่ ขอบเขตบินทะยาน?”
แล้ว”
เฉินผิงอันตบไหล่เสี่ยวโม่ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ลําบากเจ้า
e
เสี่ยวโม่มึนงงสงสัย เริ่มครุ่นคิดแล้วว่าหากต้องถามกระบี่อย่าง จริงจังจะต้องอยู่ให้ ห่างจากภูเขาลั่วมั่ว ทางที่ดีที่สุดควรอยู่ห่างจาก บนบกของแจกันสมบัติทวีป ไปบนทะเลแทน
เหล่าปีศาจทั้งหลายที่รวมป้ายจิ่งเป็นหนึ่งในนั้น นัดหมายกันว่า
จะมา “เข้าพบ” นายท่านป้ายเจ๋อที่ได้หวนกลับคืนมายังเปลี่ยวร้างอีก ครั้งในอาณาเขตของลําคลองเย่ลั่ว
ผลคือก่อกบฏไม่สําเร็จ ยังถูกป้ายเจ๋อพูดเหน็บแนม แน่นอนว่านี่ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ การที่ป้ายจิ่งหักหลังทุกคนอยู่….ไม่น้อย แต่ก็ ไม่ได้มากมายอะไร
หากป้ายเจ๋ออยากจะจัดการปีศาจใหญ่ดุร้ายที่พยศยากกําราบ อย่างถึงที่สุดของยุค บรรพกาลอย่างพวกเขา อันที่จริงไม่ได้มีความ เกี่ยวข้องมากนักว่าจํานวนของฝ่ายตรงข้าม จะมากหรือน้อย
ก่อนหน้านี้ป๋ายเจ๋อได้ออกคําสั่งให้เหล่าผู้ที่จําศีลซึ่งกระจายตัว อยู่ตามสถานที่ต่างๆ เหล่านี้ฟื้นตื่นกันให้หมด ป้ายจิ่งที่มีรูปโฉมเป็น “เด็กสาว” ทุกวันนี้นางตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเขี่ยโก่วแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็น สตรีคนหนึ่ง เรื่องของการตั้งชื่อใหม่และเปลี่ยนฉายาจึงเหมือนการ เปลี่ยนเสื้อผ้า
เยนฉาย
รวมถึงเสี่ยวโม่ที่เดิมทีพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในดวงจันทร์ เฮ่าไข่ซึ่งไม่รู้ว่าไปอยู่ใต้ หล้าไพศาลได้อย่างไรแล้ว
นางกับเสี่ยวโม่ คนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบิน ทะยาน คนหนึ่งอยู่บนยอด เขาสูงสุด อีกคนหนึ่งอยู่ในขั้นสมบูรณ์ แบบ อันที่จริงทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันแค่ครึ่งก้าว เท่านั้น
เคนหนึ่ง/ขอบเขตบิน
ชาซีดขาว ริมฝีปาก
นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวงามสะคราญที่ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปาก แดงก่ําคนหนึ่งด้วย นางสวมชุดบางเบา เรือนกายอวบอิ่ม เพียงแต่มีสี หน้าเย็นชา ปฏิเสธคนให้อยู่ห่างไกลเป็น พันลี้
ทุกวันนี้ใช้นามแฝงว่ากวานอี๋ ฉายาว่า “เซวี่ยฉาง
ก่อนหน้านี้นางตื่นขึ้นมาท่ามกลางธารน้ําแข็งหมื่นปี แล้วก็ได้
สังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ที่อยู่ในนครขนาดยักษ์ใกล้เคียงจนสิ้นซาก
ในบรรดานั้นมีเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนคนหนึ่ง และผู้ฝึกตนเซียนดิน
อีกหลายคน เมื่อเจอกับปีศาจใหญ่บรรพกาลที่ศักยภาพสามารถ เลื่อน ขึ้นเป็นบัลลังก์ราชาของเปลี่ยวร้างได้โดยตรงผู้นี้ พวกเขาไม่มี เรี่ยวแรงให้ต่อสู้เลยแม้แต่ น้อย ถึงขั้นที่ว่ายังไม่ทันเห็นโฉมหน้าของ นางอย่างชัดเจนก็กายดับมรรคาสลายไปก่อนแล้ว แก่นวิญญาณ
ของผู้ฝึกตน แม้กระทั่งจิตวิญญาณและเลือดสดทั้งร่างล้วนกลายเป็น อาหาร ของกวานอู่ไปทั้งหมด
อีกทั้งระหว่างที่นางเดินทางมาก็ได้หาแคว้นเล็กแห่งหนึ่งเอามา
กินเป็นอาหารจนอิ่ม หน้าไปอีกหนึ่งมื้อ
จากนั้นอีกฝ่ายก็พลันยื่นมือ มาลูบตรงหน้าอก กวาน ปัดฝ่ามือของ อีกฝ่ายทิ้งเบาๆ
กวานอี๋สังเกตเห็น ขยับเข้ามาใกล้ตัวเองทีละนิด
เด็กสาวที่สวมหมวกขนเตียวถอนหายใจ “คงเหนื่อยมากสินะ จริงๆ นะ กวานอี่ เจ้าน่าจะฟังคําแนะนําจากข้าสักคํา นี่เป็นอุปสรรค ต่อการต่อสู้ เล็กหน่อยน่ะดีแล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาต่อสู้ก็จะสะบัดแกว่ง ไปเรื่อย ไปน่ามองเท่าไร”
กวานอี่เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ตลอดทางที่เดินทางมาร่วมกันนี้ นางเคยชินเสียแล้ว
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายกวานอี๋ ก็คือผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่ยิ้มตาหยี
ใช้นามแฝงว่าหูถู
หลังจากถูกป้ายเจ๋อสั่งให้ตื่นขึ้นมา ภูเขาที่ถือว่าเป็นสายของเขา มีควันธูปขาดๆ หายๆ กว่าจะประคับประคองสํานักอักษรจงของสาย ตัวเองขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือดันมาเจอ กับบรรพจารย์บุกเบิก ภูเขาที่เสียสติ รอกระทั่งเขาเดินออกมาจากภาพขุนเขาสายน้ําที่วาด
เป็นสนามรบโบราณภาพนั้น สายเต๋าของบ้านตนและสํานักแห่งหนึ่ง
ไม่กี่คนเท่านั้น คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนถูกเขาสังหาร ทิ้งหมด ตลอดทั้ง
สุดท้ายก็เหลือแค่ผู้ของสาร ทิ้งห, ใช้ได้แค่
ศาลบรรพจารย์ ทุกวันนี้นอกจากบรรพจาร เขาก็ไม่เหลือใคร
อีก แม้แต่คนเดียว เจ้าของเก้าอี้สิบกว่าตัว เนื่องจาก “จุดธูปคารวะ
ผิดๆ หมดแล้ว
ลายมาเป็นอาหารในท้องของบรรพจารย์
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีดวงตาดําซ้อนกัน ใช้นามแฝงว่า “หลีโก้ว”
ฉายา “เฟยเฉียน”
เขาเก็บสมบัติหนักบนภูเขาซึ่งมีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนคืนมา
รวดเดียวถึงแปดชิ้น
ต้องรู้ว่าอาวุธเขียนที่ในอดีตพลัดหล่นไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของเปลี่ยวร้างพวกนี้ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาต่างก็ถูกบรรพจารย์ของ
สํานักแต่ละแห่งและผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขต บนทั้งหลายเอามา หลอมใหญ่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตไปหมดแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุให้พอ “เด็กหนุ่ม” คนนี้เผยกายบนโลก อาวุธเขียน ทุกชิ้นล้วนกลับคืนสู่ เจ้าของเดิม พริบตาเดียวก็เท่ากับว่าสร้าง
อาการบาดเจ็บสาหัสให้กับเผ่าปีศาจเปลี่ยวร้าง ห้าขอบเขตบนถึง
เจ็ดท่าน
บวกกับเขียนดินหนุ่มอีกคนหนึ่งที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในใต้
หล้า เปลี่ยวร้างอยู่บ้าง ถูกมองว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่มี
ความหวังบนมหามรรคา เพียงแต่เพราะมิอาจทนรับการบังคับดึงเอา
วัตถุแห่งชะตาชีวิตไปได้ เรียกได้ว่าเจอกับหายนะที่ไม่คาดฝัน คือภัย พิบัติที่มาเยือนโดยไม่มีเค้าลาง ขอบเขตจึงถดถอยเยอะมาก ถูก –
กําหนดมาแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่มีหวังด้านการฝึกตนอีก
บ
ปีศาจใหญ่บรรพกาลที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ ตรงเอวห้อยถุง จักรวาลสีเหลืองหนึ่งใบและน้ําเต้าจับปีศาจหนึ่งลูก
ตะวันจันทราขัดกลึงพันกาล จักรวาลกว้างใหญ่ลึกล้ํา เคยหลอม
ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ ขอบเขตบินทะยานสองคน
อีกคนหนึ่งคือนักพรตที่สวมกวานไม้ไผ่ สะพายกระบี่ขี่กวาง นามแฝงคือหวาจี ถึงกับเป็น “หวังโยวอู๋” ผู้นั้น ฉายาก็ไม่ธรรมดา มี
ฉายาว่า “ซานจวิน
ยังมีหลุดวิน
มี
และยังมีหญิงชราคนหนึ่งที่มีเมฆหมอกบดบัง เรือนกายงองุ้ม รวบรวมเอาปราณ วิญญาณที่ฟ้าดินสร้างไว้มาตลอดเวลา เมื่อผู้ฝึก ตนใหญ่เพ่งมองอย่างละเอียด หญิงชรา ร่างเล็กเตี้ยกลับมีภาพ บรรยากาศยิ่งใหญ่โอฬารเหมือนมหาบรรพต และยังมีสายฟ้าสีทอง
อีกนับไม่ถ้วนแผ่เต็มภูเขา ภูเขาแบ่งออกเป็นห้าสี
และยังมีชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแกร่งกํายําอีกคนหนึ่งที่ดู
เหมือนว่าจะยังไม่ตื่น ดี อ้าปากหาวอยู่ตลอดเวลา