กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 965.3 พบนักพรตอีกครั้ง
นอกจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบคน
หนึ่งแล้ว ยังมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่อยู่ในขั้นเทพมา
ขอบเขตปลายทาง
มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับหลีโก้ว ในช่วงยุคบรรพกาลทั้งสอง
ฝ่ายมักจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปในใต้หล้าด้วยกันเป็นประจํา
“นักพรต” และ “บัณฑิต” ที่ถูกชายฉกรรจ์คนนี้สังหารเองกับมือ จะ ถูกเขาโยนทิ้งเข้าไปในถุงจักรวาลของหลีโก้ว
ชีวิตนี้ป้ายจิ่งมีความเสียดายอยู่แค่สามอย่าง เรื่องหนึ่งในนั้นก็ คือมิอาจฝึกตนควบกับเรียนวรยุทธได้
เรื่องที่สองก็คืออ่านตําราไม่เข้าหัว
ส่วนเรื่องที่เสียดายเป็นเรื่องที่สามน่ะหรือ…ป๋ายจึงขยําหมวกขน
เดียวบนศีรษะของตัว เองหัวเราะหึหึ ก็ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกลําบากใจ นอกจากเสี่ยวโม่ที่ไม่ได้มาเข้าประชุม ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ป๋ายเจ๋อก็มีป้ายจิ่ง กวานอี๋ หลีโก้ว
หูถู หวังโยวอู๋
รวมไปถึงชายฉกรรจ์ที่ไม่มีนามแฝง ถึงขั้นที่ว่าทุกวันนี้ก็อาจจะ ยังไม่มีชื่อจริงของเผ่า ปีศาจด้วยซ้ํา ดังนั้นป้ายจิ่งจึงตั้งชื่อที่ไม่
เหมือนชื่อให้เขา อู๋หมิงซื่อ (คนไม่มีชื่อ)
ป้ายเจ๋อมองไปทางหลีโก้ว เอ่ยว่า “ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวมี เซียนอิสระที่เป็น นักพรตหญิงคนหนึ่งฉายาว่า “ไท่อิน” นามอู๋โจว ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า แต่ นางได้เดินนําเจ้าก้าว หนึ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ไปก่อนแล้ว
ปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลที่มีตาดําสองชั้นผู้นี้เพียงแค่พยักหน้า
รับอย่างเฉยเมย มองไม่ ออกถึงริ้วคลื่นกระเพื่อมในหัวใจเลยแม้แต่
น้อย
อมใน
ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบคิดจะเลื่อนเป็น
ขอบเขตสิบสี่ กลัวก็แต่ว่า บนเส้นทางไม้คับแคบจะมีคนเดินนําอยู่ ข้างหน้าก่อนแล้ว
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเจอกับ ‘ปราการธรรมชาติ’ ประเภทนี้ก็คงได้ แค่ทําเหมือนเหวยเช่อ แห่งธวัลทวีป เพราะมิอาจตามหาเส้นทางอื่นๆ ได้เสียที ปณิธานจึงมอดดับลงนับแต่นั้น
เอ
หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นอย่างหลิ่วซีที่ยังมีแรงใจพอจะแสวงหา วิธีการอย่างอื่น ตามหา โอกาสจากบนสมุดชะตาชีวิตคู่ ด้วยเหตุนี้จึง ยอมเดินทางข้ามสองทวีปอย่างไม่รู้สึก เหน็ดเหนื่อย
เซี่ยโก่วเหลือบตามอง “เด็กหนุ่ม” คนนั้น นางส่งเสียงจุ๊ๆ ดังรัวๆ เอ่ยอย่างมีความสุข บนความทุกข์ของคนอื่นว่า “น่าสงสารเสียจริง” เซี่ยโก่วยิ่งพูดก็ยิ่งสนุกปาก “จะโทษคนอื่นไม่ได้นะ ใครใช้ให้ปี นั้นเจ้ากินอิ่มว่างงาน ดึงดันจะงัดข้อกับบัณฑิตผู้นั้น ให้ได้
ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะมีเรื่องของนักพรตหญิงอะไรนั่น ป่านนี้เจ้าคง
เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ไปนานแล้ว ข้าเจอเจ้าบนถนนก็ยังต้องเดิน
อ้อมไปเลย นะ”
บัณฑิตที่เคยต่อสู้กับหลีโก้วผู้นั้น เขาคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ ภาคภูมิใจของปรมาจารย์ มหาปราชญ์ ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเป็น คนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ชื่นชอบมากที่สุด ไม่มี หนึ่งในด้วยซ้ํา ความสามารถในการต่อยตีของคนผู้นี้จะต่ําได้อย่างไร แต่ก็พูดไม่ได้ ว่าหลีโก้วพ่ายแพ้ยับเยิน แพ้นั้นแพ้แน่อยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ถึงอย่างไรก็บาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย ทั้งสองต่างก็ไม่อาจเลื่อนเป็น
ขอบเขตสิบสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลีโก้วที่ปีนั้นถือว่า คุณสมบัติยอด
ประเด็นสําคัญคือเจ้า
เยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนเกมาย ไม่ว่าจะมองอย่างไร
หมอนี่ ยังหัวดี
ก็มีโอกาสที่จะพัฒนาไปอีกขั้น สามารถยืนเคียงบ่ากับพวกบรรพ
จารย์ใหญ่ของภูเขาหัวเยว่และป้ายเจ๋ออยู่บนยอดเขาของโลกมนุษย์
ได้
เด็กหนุ่มเองก็เหล่ตามองป๋ายจิ่งเหมือนกัน
เซี่ยโก่วกะพริบตาปริบๆ “หืม?”
เจ้าตัวน้อย จะให้โอกาสเจ้าได้พูดคุยดีๆ สักครั้ง
หลีโก้วผู้นี้ ปีนั้นชอบอ่านหนังสืออย่างมาก จนเป็นเหตุให้ได้ ฉายาว่า “ปลามอดกิน ตํารา’ ว่ากันว่าเขามีความคิดหนึ่ง นั่นคือ
ขึ้นมาแห่งหนึ่ง
เป็นเหตุให้เบื้องใต้ชุดคลุมอาคมสามชิ้นของเด็กหนุ่มที่มีตาดํา
สองชั้นเต็มไปด้วยลายสัก
ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล หลีโก้วถึงขั้นเคยเป็น “บัณฑิต” ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ดูเหมือนจะมี ความขัดแย้งกับนักบัญชีคนหนึ่งในกลุ่มบัณฑิต กลุ่มนั้น สุดท้ายก็ แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน จากนั้นก็ต่อสู้กับบัณฑิตที่ในมือถือ
กระบี่พกของปรมาจารย์มหาปราชญ์อย่างดุเดือดไปครั้งหนึ่ง น่า
สงสาร จะไม่น่าสงสารได้อย่างไร?
หลีโก้วยังคงเงียบงัน
เซี่ยโก่วได้คืบแล้วจะเอาศอก ไม่ได้หยุดแต่พอสมควร กลับกันยัง
ขยับฝีเท้าเข้าใกล้
เด็กสาวกับเด็กหนุ่มที่ตัวสูงพอๆ กัน
เผชิญหน้าสบสายตากันอยู่อย่างนั้น
ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีประสบการณ์โชกโชน มีความ
อาวุโสสูงมากกลุ่มนี้
อันที่จริงต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดี แต่ละคนมีวิธีการอย่างไร มีวิชา อภินิหารที่เป็นสมบัติกันกรุแบบไหนบ้าง วัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็น
อย่างไร ล้วนมิอาจปิดบังกันได้
พูดกันถึงพลังพิฆาต อู๋หมิงชื่อ เซี่ยโก่ว เสี่ยวโม่
พูดถึงด้านการป้องกัน คือหลีโก้ว เซี่ยโก่ว เสี่ยวโม่
นักพรตเฒ่าสวมกวานไม้ไผ่ที่ขี่กวางสะพา
โน้มน้าว “อย่าทะเลาะกันเอง”
กระบี่ได้แต่ออกหน้า
เซี่ยโก่วกลับยังเดินขึ้นหน้าไปอีกก้าว จนหน้าผากของนางกับ
หลีโก้วเกือบจะชนกันอยู่แล้ว
หลีโก้วยืนนิ่งไม่ขยับ
เซี่ยโก่วพลันโน้มตัวไปข้างหน้า เอาหัวกระแทกกับหน้าผากของ อีกฝ่าย เพียงแต่ไม่ได้ ออกแรงมาก ราวกับว่าทั้งสองเป็นแค่เด็กหนุ่ม เด็กสาวธรรมดาทั่วไปคู่หนึ่งเท่านั้น ศีรษะ ของหลีโก้วสะบัดแกว่ง แต่
ไม่แรงมาก
ในที่สุดหลีโก้วก็ยอมเปิดปากพูด น้ําเสียงแหบพร่า “ป๋ายจิ่ง เจ้า เอาแค่พอสมควรก็ พอแล้วนะ”
เด็กสาวที่สวมหมวกขนเดียว สองข้างแก้มแดงเป็นปั้นพลันคลื่ ยิ้มสดใส เจ้าที่เป็นขอบเขตบินทะยาน ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เสียหน่อย คือ เศษสวะที่พลังพิฆาตไม่สูง มากพอ จะมากร่างกับข้าได้หรือ
วินาทีนั้นร่างของหลีโก้วก็ไม่ใช่แค่ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ เท่านั้น
แต่ร่างทั้งร่างคล้ายถูก สับออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยหลายหมื่นชิ้น
เพียงแต่ว่าเพียงครู่เดียว
เรือนกายของเด็กหนุ่มก็ประกอบกลับ
เข้าด้วยกันได้อีกครั้ง จากนั้นก็ถูก “สับแหลก” อีกครั้ง แล้วกลับคืนสู่
ร่างเดิมอีกหน
น้อย แล้วก็ไม่ได้เรียก
วัตถุแห่งชะตาชีวิตออก มา แต่กลับสามารถ “แยกร่าง” ออกได้ด้วย
ตัวเอง หลบเลี่ยงปราณกระบี่ถี่หนานับพันนับ หมิ่นเส้นนั้นมาได้
ป๋ายเจ๋อกล่าว “พอได้แล้ว”
เซี่ยโก่วถึงได้หยุดมือ รวบรวมปราณกระบี่พวกนั้นกลับมาในชั่ว
พริบตา อ่านต่อที่ โนเวลแอลเ
ในเวลาออด
นางไม่ได้ใช้กระบี่บินสักหน่อย
เหอะ
ไม่เสียแรงที่เคยเรียนรู้วิธีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหลายกระบวน
ท่ามาจาก “นักพรต ผู้นั้น
ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์ช่างเป็นคนที่คุยง่ายที่สุดในใต้
หล้าจริงๆ ถึงขั้นไม่มี หนึ่งในสองในอะไรด้วยซ้ํา
เพราะว่าขอแค่มีคนถาม เขาก็จะต้องสอนให้แน่นอน
ไม่ว่าใครจะถามอะไร เขาก็ยอมสอนทั้งนั้น
อีกทั้งเขายังไม่คิดจะเก็บงําฝีมือ ยอมสอนให้หมดหน้าตัก ทั้งยัง มีความอดทนดีเยี่ยม ดังนั้นปีนั้นตอนที่นักพรตผู้นี้ออกท่องไปทั่ว
หล้า หลังกันของเขาจึงมักจะมีผู้ฝึกลมปราณ ตามมาเป็นพรวนอยู่ เสมอ ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกหัวทึบที่คิดอะไรไม่ออก หรือไม่หาก เป็น พวกที่มีหัวคิดอยู่บ้างก็ไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริง
จําเป็นต้องตามหลังนักพรตผู้นั้น เพื่อสอบถามปัญหายากๆ หรือถ้า
ต้องคอย
ไม่อย่างนั้นก็หากพอจะเข้าใจอะไรได้บ้างก็หลงลืมไปทันที อยู่ใกล้กับนักพรตผู้นั้นเพื่อสัมผัสกับกลิ่นอายแห่งมรรคาตลอด… ราวกับว่าขอแค่ได้เจอกับนักพรตผู้นี้บนเส้นทาง ก็ถือว่าเป็น
“คนบนเส้นทางเดียวกัน กับเขาได้แล้ว
ฐานกระดูกและคุณสมบัติในการฝึกตนของป้ายจิ่งดีเกินไป ฝ่า
ทะลุขอบเขตเร็วเกินไป เรียกได้ว่าเร็วเหมือนฟ้าผ่าไม่ทันเอามือป้องหู ก็เลื่อนเป็น “เซียนดิน” ได้แล้ว จากนั้นเพียงไม่ นานก็เลื่อนเป็น ขอบเขตบินทะยาน แล้วก็เพราะนางคือผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นแต่ไหนแต่ไร มานาง จึงไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน แต่หากจะพูดถึงสิ่งที่ทําให้นางรู้สึก กริ่งเกรงก็มีไม่มาก มีแค่น้อยนิด เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นป้ายเจ๋อทว่าหากจะพูดถึงคนที่ทําให้นางเคารพเลื่อมใสจากใจจริง เกรง ว่าคงมีแค่นักพรตผู้ นั้นเท่านั้น สําหรับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจแล้ว ในเมื่อ เคารพนับถือใครจากใจจริง แน่นอนว่าก็ยิ่ง ต้อง….หวาดกลัวคนผู้นั้น ป้ายเจ๋อเอ่ย “พอได้แล้ว”
เซียโก่วถึงได้เบ้ปาก เก็บปราณกระบี่มา
กลุ่มของพวกเขาที่ทุกวันนี้ถือเป็นแมลงน่าสงสารที่ไม่มีบ้านให้
กลับ สิ่งที่แสวงหาร่วม กัน แน่นอนว่าเป็นขอบเขตสิบสี่ที่มองดู เหมือนอยู่ห่างเพียงก้าวเดียว ทว่าแท้จริงแล้วกลับ เป็นดั่งมายาเลื่อน
ลอยนั่นแล้ว
นอกจากนี้แต่ละคนก็มีสิ่งที่ตัวเองต้องการ ยกตัวอย่างเช่น
นักพรตสวมกวานไม้ไผ่ที่
ต้องการตามหาอาจารย์
จะหาอย่างไร
ถอยไปพูดหมื่นก้าว หากเจ้าหาเจอจริงๆ ปีนั้น “นักพรต” ผู้นั้นก็
หรืเคยยอมรับว่าเจ้า คือลูกศิษย์ หมื่นปีให้หลังก็จะเปลี่ยนใจแล้ว
เพียงแต่ว่าหากถูก “หวังโยวอู้” หาตัวคนผู้นี้เจอจริงๆ ถ้าสถานะ ของอีกฝ่ายในทุกวันนี้ เปลี่ยนไป ขอบเขตไม่สูงมากพอ ถ้าอย่างนั้น
ก็ไม่ใช่การกราบอาจารย์เล่าเรียนวิชาอะไรแล้ว
ใช้การกราบอาจารย์เล่าเรียนวิชาอะไรแล้ว
ป้ายเจ๋อให้ปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ไปหาที่พักในเมือง วันหน้าค่อยมา ประชุมกันใหม่ ป่ายเจ๋อแค่พาป้ายจิ่งไปเดินเล่นอยู่ริมลําคลองเย่ถั่วด้วยกัน
แต่ก็ยังมีเจ้าคนที่ไม่รู้กาลเทศะ ดึงดันจะทําตัวเป็นขวดน้ํามัน
ห้อยท้ายมาด้วย ก็คือชายฉกรรจ์ร่างกํายําที่ป้ายจึงตั้งชื่อให้ว่าอู๋หมิ
งซื่อ
เซี่ยโก่วหันหน้าไปมองชายฉกรรจ์แล้วคลี่ยิ้มกว้าง
โชคดีที่ข้างกายของตนคือป้ายเจ๋อ ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนเป็น
ใครบางคน จะให้ยอมรับเจ้าอู๋หมิงซื่ออที่อยู่ด้านหลังเป็นลูกชาย เสียเลย ไม่มีชื่อไม่มีแซ่ วันหน้าก็ใช้แซ่เขี่ยตาม ตนก็แล้วกัน
เซี่ยโก่วถอนสายตากลับมา เอ่ยว่า “นายท่านป้ายเจ๋อ ข้าคิดว่า จะไปเยือนอุตรกุรุทวีป ก่อนรอบหนึ่ง แล้วค่อยลงใต้ไปเยือนแจกัน สมบัติทวีป ท่านว่าจะได้หรือไม่?”
น่าเสี
กําแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่
เหลืออยู่แล้ว โชคดีที่ยังมีอุ ตรกุรุทวีปที่ถูกขนานนามว่ามีผู้ฝึกกระบี่
มากมายดุจก้อนเมฆ
“มีอะไรที่ไม่ได้กันเล่า”
ป้ายเจ๋อยิ้มอธิบายว่า “เซี่ยโก่ว จําไว้ว่าพอไปถึงแจกันสมบัติ ทวีปจะต้องระวังแล้ว ระวังอีก อย่าได้เปิดเผยร่องรอยของตัวเองง่ายๆ ยิ่งไม่ควรทําอะไรตามใจตัวเอง หาไม่แล้ว หากไม่ระวังอาจถูกใครจับ ตัวไป มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวาง ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้ ไม่มีทาง
ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้แน่นอน”
เซี่ยโก่วขมวดคิ้วน้อยๆ ถูกใคร?
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขายิ้มถาม “หรือว่าจะเป็นอิ่นก วานคนสุดท้ายแซ่เฉินผู้ นั้น เขายังไม่คืนมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ กลับไปหรือ?”
หากยืมแล้วไม่คืน กล้าเหนียวหนี้กับลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป่า ยอวี้จิง ก็ถือว่าเป็นคน น่าสนใจอยู่มาก ไม่เหมือนกับกลุ่มของปีศาจใหญ่อย่างป้ายจิ่ง
เขาอยู่ในสภาวะที่ลี้ลับ
อันที่จริง
ผ่านมา นอกจากหนี, 4 หมื่นปีที่
คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา หมื่นปีที่
จิต
วิญญาณส่วนที่เหลือก็เหมือนออกเดินทางไกลพเนจรร่อนเร่ไป
ตลอด ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็แค่ว่าคอยเปลี่ยนที่พักไป เรื่อยๆ เท่านั้น
เพราะเขาคือผู้ฝึกตนส่ นักการทหารคนหนึ่ง
แค่นั่งรอเสวยผลพวงความสําเร็จของผู้อื่นไปก็พอ ดังนั้นครั้งนี้ป้ายเจ๋อเรียกเขามาจึงถือเป็นการจําใจมา
ต่อให้เขาไม่มีชื่อจริงของเผ่าปีศาจ แต่เผชิญหน้ากับป่ายเจ๋อ หนึ่งในสี่ตัวสํารองของ “สิบผู้กล้าแห่งใต้หล้า” ในอดีต ก็ยังไม่มี โอกาสชนะได้อยู่ดี
ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็จงยอมแพ้ไปแต่โดยดี
ป๋ายเจ๋อส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เกี่ยวข้องกับขอบเขตสูงต่ําก็จริง แต่ก็ ไม่ได้เกี่ยวมากนัก
เซี่ยโก่วจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ “นายท่านป้ายพูดเสียลิ้
ลับ ความรู้ ล้วนเป็นความรู้
ป้ายเจ๋อเอ่ยสัพยอก “ถ้าอย่างนั้นก็ขออวยพรล่วงหน้าให้ สหายป้ายจิ่งเดินทางราบรื่น”
เซี่ยโก่วหัวเราะฮ่าๆ กลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไป พุ่งไปตาม เส้นทางแม่น้ําแห่งกาลเวลาที่ป๋ายเจ๋อบอกไว้ แหวกผ่าม่านฟ้าตรงดิ่ง
ไปยังใต้หล้าไพศาล
ทางทิศเหนือของอุตรกุรุทวีป อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่นั่งพิทักษ์ ม่านฟ้าสวมกวานสูง รัดเข็มขัดหยก ใบหน้าผอมตอบ ขมวดคิ้ว น้อยๆ มองแขกไม่ได้รับเชิญที่มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้น ทางฝั่งของศาลบุ๋นได้บอกกล่าวไว้แล้วว่าอนุญาตให้ผู้ฝึกตนเผ่า
ปีศา
า เปลี่ยวร้างผู้นี้มาท่องเที่ยวตามขุนเขาสายน้ําของ
ทวีปต่างๆ ในใต้หล้าไพศาลได้โดยต้องอยู่ ในกฎระเบียบ
เห็นเด็กสาวผู้นั้นสวมหมวกขนเตียวใบเก่า สองแก้มแดงเป็นปั้น ไม่มีมาดของผู้ฝึกตน แม้แต่น้อย หากนางไม่ได้ปรากฎตัวอยู่ที่นี่ นาง ก็เหมือนเด็กสาวบ้านนอกที่ธรรมดาที่สุดคน หนึ่งนั่นเอง
อาจารย์ผู้เฒ่าถามเสียงทุ้มหนักด้วยสีหน้าเข้มงวด “ป๋ายจิ่ง ฟัง
ภาษากลางของแผ่น ดินกลางออกหรือไม่?”
เซี่ยโก่วยิ้มกว้าง “ข้าเตรียมตัวก่อนมาอยู่แล้ว ย่อมต้องฟังออก”
ข้าด่าตัวเองไว้ก่อน
ไม่เปิดโอกาสให้บัณฑิตอย่างพวกเจ้าหลอก
ด่าข้าอ้อมๆ หรอกนะ
เซี่ยโก่วตบกระเป๋าสะพาย “ด้านในล้วนมีแต่ตํารา ซื้อมาจาก…
สถานที่ต่างๆ ของใต้
เดินทางพลางอ่านไปด้วย นิ
เรียกว่าเดินทางหมื่นลี้ อ่านตําราหมื่นเล่ม
อย่างไรเล่า”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า “ห้ามละเมิดกฎ” เซี่ยโก่วโบกมือเป็นวงกว้าง “แน่นอน แน่นอน”
นางก้มหน้าลงมองขบน 2
าคมา
ได้ยินมาว่าสถานที่
แห่งนี้มีวีรบุรุษ มากมาย แต่ไหนแต่ไรมาก็ให้ความสําคัญกับน้ําใจ ไมตรีไม่ให้ความสําคัญกับความเป็น
ความตาย
หากไม่มีผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่เดินทาง ไปให้ความช่วยเหลือที่ กําแพงเมืองปราณกระบี่ เกรงว่าจุดจบของ สงครามใหญ่ที่นางพลาดไปก่อนหน้านี้ก็คงไม่ เหมือนเดิมกระมัง อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ย “ตามข้อตกลง พวกเราจะไม่มีทางจับจ้องการ กระทําของเจ้าตลอดเวลา”
เซี่ยโก่วประหลาดใจอย่างมาก “หากมีเวลาว่าง ข้าจะต้องไป ขอบคุณจอมปราชญ์น้อย สักครั้ง อ้อ หรือก็คือหลี่เซิ่งในทุกวันนี้น่ะ” อาจารย์ผู้เฒ่าแสร้งทําเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยเตือนอีกครั้งว่า “อย่าให้
โอกาสศาลบุ๋นได้ลงมือ”
เซี่ยโก่วพยักหน้า “คนเราอาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นก็จําต้อง ก้มหัวนี่นะ หลักการข้อ นี้ข้าเข้าใจ ไม่เคารพคนอื่นก็คือการไม่ เคารพตัวเอง มิอาจเดือดดาลเพราะเลือดร้อนพุ่งขึ้น สมอง แต่เดือด ดาลอย่างมีเหตุผลกลับทําได้…”
ของปีศาจใหญ่แห่ง เปลี่ยวร้า་ขาพูดพวกนี้หลุดออกมาจากปาก
ช่างไม่เข้ากันเลยจริงๆ
เซี่ยโก่วยังคงพึมพําไม่เลิก “วางใจได้เลย ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยังมี คุณธรรมของชาว ยุทธ ใช่แล้ว หากว่าข้าดึงตัวผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ออกมาได้หลายตน ทางฝั่งของศาลทุ่นจะ สามารถจดลงบัญชีตาม
ได้หรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่าอึ้งตะลึงไปทันใด