กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 966.1 ทายก่อน
บทที่ 966.1 ทายก่อน
หอจื้อวิ๋น ป๋ายอวี้จิง ถ้ําแยนเสีย ตําหนักเจิ้นเยว่
มีผู้ฝึกตนรูปโฉมอ่อนเยาว์คนหนึ่งเรือนกายผอมบาง ใบหน้า
แห้งตอบ เวลานี้สีหน้า
กังวล
- เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องในใจให้ต้อง
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา ก้มหน้าลงมองแผ่นดินเหนียวทรง ยาวแผ่นหนึ่ง ด้าน บนคล้ายใช้ตะปูตอกไว้เป็นคําทํานาย
สิบนิ้วสองมือของเขามีเลือดโชกไหลเปรอะ
สมกับคํากล่าวที่ว่าตอกตะปูบนแผ่นกระดาน (เปรียบเปรยถึง เรื่องที่แน่นอนแล้ว ไม่มี การเปลี่ยนแปลงแล้ว) อย่างจริงแท้
เพราะเพิ่งจะได้รับคําทํานายที่ประหลาดอย่างหนึ่ง ตัวอักษรบน
เซียมซีก็ยิ่งยากจะ แยกแย
มรรคาเสื่อมถอยสามร้อยปี ยังได้มีท่านผู้นี้
บ
น่าเสียดายก็แต่เขาอนุมานอย่างยากลําบากมาหลายครั้ง คําว่า
“นี้” ให้ตายอย่างไรก็มิ
อาจเปลี่ยนไปเป็นชื่อแช่ของใครบางคนได้
ถ้าอย่างนั้นคนผู้นี้คือใคร? ชื่อแซ่อะไร? ในอดีตเคยเป็นใคร? อยู่ ในสายเต๋าสายไหน? แล้วจะเผยตัวเมื่อไหร่? คือผู้วิเศษที่เคยปรากฏตัวในช่วงเริ่มต้นของกลียุค หรือคือคน มหัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกับผู้ ริเริ่มก่อตั้งแคว้น?
หรือจะบอกว่าใต้หล้ามืดสลัวที่สงบสุขมาเนิ่นนาน กําลังจะเจอ กับการเปลี่ยนแปลงที่ ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหมื่นปี ถูกกําหนด มาแล้วว่าจะเกิดความวุ่นวายโกลาหล จากนั้นคน ผู้นี้ก็จะเผยกาย หลังผ่านไปห้าร้อยปี? หรือจะบอกว่าก็เพราะการปรากฏตัวของคนผู้ นี้ถึงได้ ก่อให้เกิดกลียุคไปทั่วหล้านานถึงห้าร้อยปี?
คือลูกศิษย์ปิดสํานักของมรรคาจารย์เต๋าที่มีฉายาว่าชิงซาน? ดังนั้นจึงถือเป็นการ เตรียมการล่วงหน้าของลู่เฉิน มีกลยุทธรับมือรอ ไว้เรียบร้อยแล้ว?
หรือจะบอกว่าเจ้าลัทธิใหญ่ท่านนั้นจะหวนกลับมายังป๋ายอวี้จิง
หลังผ่านไปห้าร้อยปี ช่วยคลี่คลายความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในใต้หล้า
มืดสลัว?
หรือจะบอกว่าเป็นสวีเจวี้ยนผู้ฝึกตนผีของสํานักต้าเฉาคนนั้น?
ว่าคือหวังหยวนคู่คนของสายโจรขโมยข้าวหย่งโจวที่
หลงเหลืออยู่ อีกทั้ง ยังมีความหวังอย่างยิ่งที่จะได้กลายเป็นผู้ที่ รวบรวมมรรคกถาอันหลากหลายได้สําเร็จซึ่งอยู่ ดีๆ ก็ชื่อเสียงโด่งดัง
ขึ้นมา?
เขาเงยหน้ามองม่านฟ้า น่าเสียดายที่ตนออกไปไม่ได้
ก็ไม่ถูกนะ หากว่าออกไปก็มีแต่จะทําให้ชะตาฟ้าวุ่นวายในเสี้ยว วินาที เกรงว่าทุก อย่างก็คงจะไม่แน่นอนอีกต่อไป จะยิ่งซับซ้อนยาก
จะแยกแยะมากกว่าเดิม
เขาพ่นลมหายใจยาวเหยียด ดึงตะปูพวกนั้นออกมาจากแผ่นดิน เหนียว เก็บใส่ไว้ในถุง ผ้าฝ้ายที่ผูกห้อยไว้ตรงเอว นิ้วทั้งสิบที่เดิมทีก็ เลือดโชกอยู่แล้ว คราวนี้บาดแผลลึกจนเห็น
กลับไม่เปลี่ยนสี
กระดูกขาทั้งส
หากว่าไม่ได้อยู่ที่นี่ บาดแผลเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลยจริงๆ แต่ ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าที่นี่ คือถ้ําแยนเสียตําหนักเจิ้นเยว่ ไม่ว่าก่อนหน้านี้ เจ้าจะเป็นผู้บรรลุมรรคาที่มีขอบเขตอะไร ก็ตาม จิตแห่งมรรคาไม่จิต แห่งมรรคาอะไร ตบะล้วนไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้ หากเจ็บ ปวด ที่กายเนื้อก็คือความเจ็บปวดอย่างจริงแท้ ถ้าโดนกระบองฟาดก็ต้อง สะดุ้งโหยง ก่อน หน้านี้ไม่นานมีคนโดนแทงไปหนึ่งที ไส้ไหลทะลัก พลั่กๆ ลงมากองกับพื้น คนผู้นั้นนึกจะตาย ก็ตายไปเสียอย่างนั้น ดู
เหมื ามาอยู่ในถ้ําแยนเสียตําหนักเจิ้นเยว่จะเป็นเซียน
เหรินที่เชี่ยวชาญด้านยันต์คนหนึ่งด้วย
และคนที่สามารถยึดครองภูเขาทั้งหลายของที่แห่งนี้ได้ มีชื่อว่า
จางเฟิงไห่ เคยเป็น อดีตว่าที่เจ้านครคนต่อไปของนครอวี่ซูอย่าง…. แน่นอนเหมือนตอกตะปูบนแผ่นไม้
กวอเจี๋ยและเส้าเซี่ยงศิษย์พี่สองคนของเขา ปีนั้นมองเรื่องนี้เป็น เรื่องที่ถูกต้องตาม หลักฟ้าดิน และตัวจางเฟิงไห่เองก็คิดแบบนี้
เหมือนกัน
บ
อันที่จริงในอดีตตลอดทั้งป๋ายอวี้จิงและใต้หล้ามืดสลัวต่างก็คิด
กันเช่นนี้
บ
ขอบเขตบินทะยานอายุเก้าสิบปี
จากข่าวลือเล็กๆ บางอย่าง เจ้านครผู้เฒ่าที่ยังเป็นเจ้านครของ นครอวี้ชูจงใจช่วยบอก อายุปลอมของลูกศิษย์ปิดสํานัก อันที่จริง ตอนที่จางเฟิงไห่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหริน เขาเพิ่งจะแปด
สิบเอ็ดปีเท่านั้น
ประเด็นสําคัญคือจางเฟิงไห่คือผู้มีความสามารถครอบคลุมด้าน การฝึกตนอย่างสม ชื่อคนหนึ่ง ทั้งยันต์ หลอมโอสถ ค่ายกล วิชา คาถา ฯลฯ ล้วนเชี่ยวชาญทุกสิ่งอย่าง ห้านคร สิบสองหอเรือน ของป๋ายอวี้จิง ไม่ว่าจะยกเอาด้านใดมา จางเฟิงไห่ก็ล้วนโดดเด่น ทั้งสิ้น
นอกจากนี้จางเฟิงไห่ที่หากไม่เป็นเพราะได้รับคําสั่งจากอาจารย์ อย่างลับๆ จึงจงใจ ชะลอความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ตลอด บางทีตอนอายุสี่สิบหรือมากสุดห้าสิบปีก็คง เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบิน
ทะยานไปแล้ว
ดูเหมือนว่านอกจากจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวแล้ว ในชีวิตการ ฝึกตนของจางเพิ่งไห่ก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง
น่าเสียดายก็แต่ต้องมาเจอกับเจ้าลัทธิรองอวี่โต้ว จางเฟิงไห่ที่ ป่าวประกาศว่าจะออก จากทําเนียบเต๋าของป๋ายอวี้จิง ผลกลับ
กลายเป็นว่ามิอาจอาศัยความสามารถเดินออกไปจากป้ายอวี้จึงได้
ถูกขังอยู่ในถ้ําแยนเสียตําหนักเจิ้นเยว่ที่มีไว้เพื่อขังผู้ฝึกตนใหญ่ โดยเฉพาะ ขังทีหนึ่งก็ เป็นเวลาเกือบแปดร้อยปีแล้ว
ที่นี่ถือถ้ําปราบเซียน คือไปทั่วใต้หล้า คล้ายคลึง
กับสวนกงเต๋อของศาลบุ๋นในใต้หล้าไพศาล และอารามหัวหมาย (ฝัง
ทั้งเป็น)
สุขาวดี
จางเพิ่งไห่อยู่ที่นี่มาเกือบจะแปดร้อยปีแล้ว ทั้งมิอาจฝึกตนได้ สิ่ง ที่พอจะเรียกว่า เป็นการเป็นงานก็มีแค่เรื่องเดียว ในเมื่อเต๋ามิอาจใช้ ถ้อยคํามาบรรยายได้ ถ้าอย่างนั้นตนก็ เหมือนต้องยืนยันก่อนว่าอะไร ไม่ใช่เต๋า เมื่อยืนหยัดต่อไปไม่ลดละ สุดท้ายแล้วก็จะขยับเข้า ใกล้
เต๋า”
การนิมิตมาใช้ร่วมกับวิถีแห่งการอนุมาน
สร้างกายนอกกายที่เป็นมายาซึ่งถือกําเนิดจากความว่างเปล่า หล่อ หลอมเรือนกาย สร้างยันต์ใหญ่ขึ้นมา นํามา หล่อหลอม สังหารสาม อสุภะแล้วผสานรวมเข้าด้วยกันใหม่ ครั้นจึงสังหารอีกครั้ง…เรื่องพวก
นี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก
หากจะบอกว่านี่คือความหวังดีของอวี้โต้ว จงใจอยากขัดเกลา ประกายเฉียบคมของ จางเพิ่งไห่ เพื่อที่จะให้ “เจ้าลัทธิน้อย” ตั้งใจขัด เกลาจิตใจฝึกตนให้ดี ใช้สิ่งนี้มาเลื่อนเป็น ขอบเขตสิบสี่ เมื่อถึงคราว ที่ทั้งสองฝ่ายได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งก็ละทิ้งอคติที่เคยมีต่อ กัน
ในกาลก่อน เจอหน้าแล้วแย้มยิ้มสลายความแค้นต่อกันไป….ถ้าอย่าง
นั้นก็ดูแคลนจิตแห่งมรรคาของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นเกินไป
แล้ว
อวีโต้วดูแคลนที่จะทํา
ส่วนจางเพิ่งไห่เองก็รู้สึกซาบซึ้งจากใจจริงที่อวี่โต้วไม่ได้ทํา
เช่นนี้ และไม่มีทางทําเช่นนี้
จางเพิ่งไห่ทอดสายตามองไปไกล กระตุกมุมปาก ก็ดีเหมือนกัน
จางเพิ่งไปพอเห็นว่าหากอยากจะเลิกดื่มให้ได้ก็ง่ายดาย
แค่ไม่มีเหล้าให้ดื่มก็พอแล้ว
นอกจากเต้ากวานแห่งนครอวี่ซูที่เคยถูกขนานนามว่า “เจ้าลัทธิ น้อยแห่งป๋ายอวี้จิง อย่างเขาแล้ว คนที่ตายอยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบยังมี รองเจ้าหอสองท่านของสิบสองหอเรือนในป่ายอวี่จิง พวกเขาเคยเป็น
คู่บําเพ็ญเพียรกัน เนื่องจากทําผิดกฎทองบัญญัติหยกของป๋าอวี้จิง เหมือนกัน จึงถูกหวงเจี้ยโส่วนําตัวเข้ามาปิดประตูทบทวนความผิด อยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง ได้ยินมาว่าในบรรดานักพรตสามพันคนที่เดินทาง ไปยังใต้หล้าห้าสี มีผู้ฝึกตนผู้หนึ่งที่เป็น ผู้นําของตําหนักชิงสือหนึ่ง ในศาลบรรพจารย์ของสายยันต์ ขอบเขตก่อกําเนิด มีชื่อว่าหนัน
ซาน ความสัมพันธ์กับภูเขาไฉ่โซ่วก็เหมือนความสัมพันธ์ระหว่าง
ภูเขาเหลี่ยงจิงและสํานักต้าเฉาในอดีต มีผู้ฝึกตนหญิงนามว่าโยว หรานคนหนึ่ง นางกับหนันซาน เซียนดินวัยเยาว์คู่นี้เกิดเดือนเดียวปี เดียวกัน แม้แต่เวลาเกิดก็เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ไม่คลาดไปแม้สัก เสี้ยว ประหนึ่งคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์สรรค์สร้าง ก็จริงนะ ที่อินโจว ขนาดเจาเกอยังผูกสมัครเป็นคู่บําเพ็ญเพียรกับสวีเจวี้ยนได้เลย ชาติ
นี้ไยพวกเขาจะทําบ้างไม่ได้เล่า?
บ
ในถ้ําแยนเสียแห่งนี้ ทุกคนล้วนถูกมหามรรคาสยบกําราบ ผู้ฝึก ตนที่ถูกจับขังเป็น
ขอบเขตเป็นอย่างไร ล้วนกว่าอยู่ข้างนอกจะมีตบะอะไร
ขอบเขตตาม
ความหมายหน้าตัวอักษรอย่างแท้จริง ไม่มีปราณวิญญาณสักเศษสัก
เสี้ยว แน่นอนว่าย่อมมิอาจหลอมลมปราณเอามาฝึกตนได้ อีกทั้งผู้ ฝึกตนทุกคนต่างก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม เรือนกายและจิต วิญญาณที่เคยแข็งแกร่งทนทานเพราะถูกหล่อหลอมจาก ปราณ
คนบนเส้นทางของการฝึกตน อยู่ที่นี่กลับกลายมาเป็น
คนอ่อนแอแทบไม่ ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ข้อยกเว้น
ไม่ทําร้ายไปถึงอายุขัย เดิมที่ “ชะตาชีวิตกําหนด
เอาไว้” พูดง่ายๆ ก็คือความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ําแห่ง
กาลเวลาของที่นี่แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เรือนกาย มนุษย์ยังคงเสื่อมโทรมไป ช้าๆ เพียงแต่ว่าความเร็วนั้นถูกชะลอให้ข้า
ลง
ต้องเป็นฝีมือของมรรคาจารย์เต๋าแน่นอน
จางเฟิงไห่ลุกขึ้นยืน อยู่ที่นี่มาเกือบแปดร้อยปีแล้ว จางเฟิงไห่เฝ้า อยู่ในพื้นที่คับแคบ ของตัวเองเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นมองจากยอด เขาแห่งนี้ออกไปก็เห็นทุ่งข้าวสาลีเขียวขจียาวไกลสุดลูกหูลูกตา
มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่หลายปีมานี้คอยช่วยดูแลกังหันน้ําริมลําคลอง
ให้เขาอยู่ตลอด บอกว่าช่วย แต่อันที่จริงแล้วก็คือพึ่งพาจางเฟิงไห่
เมื่อมีที่พึ่งก็ไม่ต้องคอยถูกคนลากตัวไปหาความบันเทิงอยู่ทุกวัน
อย่างเช่นว่าเตะเขากลิ้งตลบไปบนพื้น หรือฉี่รดหัวของเขา
ผู้เฒ่าที่ลืมไปนานแล้วว่ามาอยู่ที่นี่นานกี่ปีแล้ว ทุกคราที่ถึงหน้า
ก่อนหน้า, จิ๊บ…ไป
ระหว่างขุดดินเขา
หนาว มือสองข้างจะ เต็มไปด้วยตุ่มน้ําพองแดงเพราะถูกความเย็นกัด เลือดสดๆ บรรยายได้
บังเอิญเจอปลายกระบี่หัก ท่อนหนึ่งจึงนําไปมอบให้กับจางเฟิงไห่ มี ความหมายคล้ายการจ่ายค่าเช่าที่นา
น่าเสียดายที่จางเฟิงไห่ไปตามหา แต่ก็ยังไม่อาจหาส่วนอื่นๆ ของกระบี่ยาวที่หักเล่ม นั้นได้ เรื่องแบบนี้ต้องดูที่วาสนา
ภายหลังจางเฟิงไห่ได้ยินคนเล่าว่า ตอนนั้นเมื่อผู้เฒ่าเจอปลาย กระบี่ท่อนนั้น สองมือ แห้งเหี่ยวที่ในซอกเล็บเต็มไปด้วยดินสกปรก กําของเก่าที่ไม่รู้ว่าเป็นของของใครชิ้นนี้เอาไว้ แน่น สุดท้ายก็นั่งอยู่ บนคันนา เหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็สะอื้นเบาๆ ท่องบทกวี
โบราณ ห้าพยางค์บทหนึ่งซ้ําไปซ้ํามา การที่ท่องซ้ําไปซ้ํามาก็เพราะ พอท่องไปได้ครึ่งหนึ่งก็มักจะลืม ท่อนที่เหลือ ผู้เฒ่าก็จะยกมือข้าง หนึ่งขึ้นมาทุบหัวตัวเองอย่างแรง รอกระทั่งจําประโยคนั้น ได้แล้ว ลอง ท่องซ้ําอีกที บางทีอาจเป็นเพราะสุดท้ายก็ยังไม่อาจจํากลอนทั้งบทได้ หรืออาจ เป็นเพราะจํากลอนทั้งบทได้แล้ว ผู้เฒ่าที่เงียบงันไปนาน จู่ๆ ก็แผดเสียงแหบพร่าร้อง คร่ําครวญหวนให้ ดูเหมือนว่าเมื่อเทียบกับ หมาที่ถูกคนเอาเชือกมาคล้องคอพาเดินเล่นแล้วผู้เฒ่ายังเสียใจ
มากกว่าเสียอีก
คงเป็นเพราะผู้เฒ่าเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่มาก่อนกระมัง
ส่วนกวีโบราณห้าพยางค์บทนั้น จางเฟิงไห่ไม่ได้ถามคนที่เอามา
เล่าให้ฟังว่าชื่อกลอนอะไร
ไม่มีความจําเป็น จางเพิ่งไห่ที่อ่านตําราสารพัดหลากหลาย แค่
เดาก็เดาได้แล้ว
สตรีผู้หนึ่งที่ผิวดําเรือนกายอรชรเดินมาที่ยอดเขา นางก็คือคนที่ เดินขึ้นเขามาหาจางเฟิงไห่พร้อมกับผู้เฒ่าคนนั้น นางยื่นออกไปปัด ผีเสื้อหลายตัวที่บินอยู่เหนือศีรษะชวนให้คน รําคาญ เงียบอยู่พัก ใหญ่ สุดท้ายก็เปิดปากถามว่า “คิดอะไรอยู่หรือ?”
แม้ว่านางจะปักปิ่นไม้ สวมชุดผ้าป่านรองเท้าสาน สภาพมอซอ อย่างถึงที่สุด แต่กลับ มีผีเสื้อหลากสีบินวนล้อมปิ่นไม้
หากไม่เป็นเพราะต้องทํางานใช้แรงงานอยู่ตลอดทั้งปี ถูกแดด ส่องจนผิวหยาบกร้านคิดดูแล้วก็น่าจะเป็นสาวงามคนหนึ่ง
คือสตรีผู้หนึ่งที่เป็นฝ่ายเรียกร้องขอเข้ามาอยู่ในถ้ําแยนเสีย
ตําหนักเจิ้นเยว่ด้วยตัวเอง แรกเริ่มทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงไม่ให้ความ สนใจแม้แต่น้อย ภายหลังนางจึงทําเรื่องที่เป็นการ ละเมิดกฎ ถึงได้ ถูกจับโยนมาไว้ที่นี่
นักพรตหญิงผู้นี้มีชื่อว่าชื่อสิงหยวน ฉายาว่าเซ่ออวิ๋น
นางเคยเป็นปรงพรรคเซียนจัง ดูเหมือนว่า
ตั้งใจจะมาหาคนที่นี่ นางทั้งได้ทําตามความปรารถนา แต่ก็ไม่ถือว่า สมหวัง เพราะคนที่นางต้องการตามหากลับกลายเป็นโครงกระดูก โครงหนึ่งไปแล้ว
หลังจากที่นางฝังโครงกระดูกนั้นกับมือตัวเอง ถึงอย่างไรก็ไม่มี ยาให้กินแก้ความ เสียใจอะไร นางจึงคิดว่าในเมื่อมาถึงแล้วก็ทําใจให้ สบาย เพราะการมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เดินออกไปก็ยิ่งอย่าคิดหวัง
างไม่มีค, วิตรอดออกไปเลยสักนิด จึงลง
หลักปักฐานอยู่ที่นี่ แต่ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ให้ตัวเองถูก หมิ่นเกียรติ นางจึงมาหาจางเฟิงไห่ สถานะของนางตลอดหลายปีมา
นี้จึงคล้ายกับหญิงรับใช้ของเขา
บ
อยู่ในสถานที่แห่งนี้ คนแก่และสตรี หากจะเรียกให้ถูกต้องก็คือผู้
อ่อนแอ จุดจบจะน่าสงสารอย่างมาก
คิดอยากจะมีชีวิตอยู่รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีชีวิตอย่างมีหน้ามี ตาสักหน่อย ก็ต้องใช้ ชีวิตอย่างไม่มีหน้าไม่มีตา
สีหน้าของจางเฟิงไห่เฉยเมย แสร้งทําเป็นไม่ได้ยิน
ซือสิงหยวนจึงเปลี่ยนหัวข้อ ชี้นิ้วไปที่ข้าวสาลี ยิ้มเอ่ย “ดูจาก
ว ของปีนี้ก็น่าจะดีกว่าในอดีตอย่าง
ท่าทางแล้ว
เท่า”
จางเฟิงไห่หัวเราะตามไปด้วย
CO
อดีตผู้ฝึกตนใหญ่สองคนที่สถานะเลื่องลือต่างก็คลี่ยิ้มจากใจจริง
เพราะเรื่องผลเก็บเกี่ยวของข้าวสาลี
หากอยู่ข้างนอก นี่คือเรื่องที่มิ
นอกจากนางแล้ว เรื่องราวประหลาดและคนประหลาดของที่นี่มี
มากมายจริงๆ
มีผู้เฒ่าเตี้ยที่ทั่วร่างเสียบกระบี่โบราณคาไว้เต็มไปหมด
ไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไรถึง มีชีวิตอยู่รอดมาได้ เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เขา ถึงกับทนกับความทรมานมีชีวิตอยู่ได้ ยาวนานกว่า “ผู้เยาว์” มากมายที่เข้ามาอยู่ที่นี่ทีหลังเสียอีก
มักจะถูกด่าว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานเฒ่า คงเป็นเพราะมีชาติกําเนิด จากเผ่าปีศาจกระมัง การที่ไม่มีคนรังแกเขา ดูเหมือนจะเป็นเพราะผู้ เฒ่าทั้งทนมือทนเท้า แล้วก็ยังต่อสู้ได้เคยชักกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง
ออกมาจากบนร่างแล้วฟัน บุรุษที่เป็น “หนุ่มฉกรรจ์” คนหนึ่งจน กลายเป็นเนื้อสับ จากนั้นตัดแขนตัดขาของศพออก เอาไปแขวน ตากแดดไว้บนราวไม้ไผ่ ผึ้ง แห้งแล้วก็เอามากินเป็นเนื้อแห้ง
และยังมีบุรุษคนหนึ่งที่รูปโฉมอ่อนเยาว์ ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งใน บรรพจารย์ของสายโจร ขโมยข้าว หลายปีที่ผ่านมานี้ชอบเผาเครื่อง ปั้นอย่างมาก แต่กลับมักจะถูกคนบุกเข้าไปใน บ้านแล้วทุบทําลาย
เครื่องปั้นของเขาจนเละทะ เขาน้อยเนื้อต่ําใจจนหลั่งน้ําตา แต่
จากนั้นก็ ก้มหน้าก้มตาเผาเครื่องปั้นต่อ
มีคนเชี่ยวชาญธาตุน้ําจึงยึดครองลําคลองไปแถบใหญ่ มักจะใช้
การตกปลา จับปลามาประทังชีวิต คอยหาพรรคหาพวกอยู่เสมอ
แรกเริ่มสุดมีชายหญิงอยู่รวมกันหลายสิบคนพอเริ่มมีการสืบทอด
เป็นระบบก็แตกกิ่งก้านสาขาขยับขยายออกไป ตอนนี้จํานวนคนจึงมี
ขึ้นมาด้วย
ว่ากันว่าช่วงนี้คิดจะสร้างศาลบรรพชนประจําบ้าน
มีสตรีงามเย้ายวนคนหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนเพิ่งจะถูกจับโยนเข้า มาในถ้ําแยนเสีย นางเคยเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางอยู่ที่จู่โจว อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งที่ อยู่ในชั้นของปราณ โชติช่วงขอบเขตปลายทาง ไม่ถือว่าโดดเด่นสักเท่าไร อย่างมากก็ได้ แค่โอ้อวดบารมีอยู่ในพื้นที่ของมณฑลแห่งหนึ่งเท่านั้น ผลคือพอมา อยู่ที่นี่ จากแรกเริ่มที่เหมือน เดินอยู่บนแผ่นน้ําแข็งบางๆ รอกระทั่ง นางสังหารบุรุษคนหนึ่งที่พาตัวมาให้ฆ่าถึงบ้านกับมือ ตัวเองแล้ว นี่
ทําให้นางปิติยินดีปลาบปลื้มเจียนคลั่ง แม้ว่าเรือนกายของนางจะไม่ ต่างไป จากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมิอาจรวบรวมปราณแท้จริง ที่บริสุทธิ์ได้แม้แต่นิดเดียว แต่ เพราะนางเชี่ยวชาญวิชาการโจมตีซึ่ง มีไว้สําหรับฆ่าคน นี่คือการที่ขอบเขตและเรือนกายบน วิถีวรยุทธต่าง
ก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ทว่า “ความทรงจํา บางอย่างกลับยังคงอยู่ จึงมาก
พอจะให้นางรักษาตัวรอดได้ พอเจอกับอาวุธหลายชิ้นที่ถูกคนโยน ทิ้งไว้ นางก็สามารถฆ่าคนได้ ตามใจชอบ แต่นางไม่มีท่าทีว่าจะรับ ลูกศิษย์เลย หลายปีมานี้ชอบเลี้ยงชายบําเรออยู่เสมอจึงหมายตาจาง เฟิงไห่มานาน แน่นอนว่ายังรวมไปถึงซือสิง
หบวนด้วย