กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 966.2 ทายก่อน
บทที่ 966.2 ทายก่อน
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่หนวดเคราสีขาวพันกันเป็นปมยุ่ง
เหยิงผู้นั้นเคยเป็น “อาจารย์คําเดียว” ที่ชอบสร้างเรื่องก่อราวมาก่อน ถูกเรียกขานอีกอย่างว่า “ผู้ขโมยอักษรเชี่ยวชาญการเปลี่ยนแปลง
ตําราล้ําค่าหายากทั้งหลายที่ถูกเก็บไว้ในตําหนักเต๋าจวนเซียนโดยที่
ผีไม่รู้เทพไม่เห็น
หากไปทางผิด บน 2) และยังมีชายฉกรรจ์ร่าง หมิง
ภูเขายังมีข้อพิถีพิถัน ทีว่าภิกษุไม่ถามนามนักพรตไม่ถามอายุ จึงมี ภิกษุที่ทําผิดศีลถูกเรียกขานว่า “ภิกษุโหย่วหมิง
ลูกสมุนกลุ่มหนึ่งแบกอาวุธเดินเตร่ไปทั่ว เห็นใครไม่ถูกชะตาก็ป้อน
หมัดให้จนเต็มอิ่ม นอกจากกองกําลังไม่กี่กลุ่มที่มีน้อยนิดซึ่งเขาไม่ กล้าไปมีเรื่องด้วยแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือ หากใช้คํากล่าวของเขา “ก็ คือเศษสวะกลุ่มหนึ่ง ศัตรูที่ทนรับได้ไม่ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ํา” หากว่าอยู่ที่บ้านเกิด เขาก็แค่ขอบเขตหยกดิบครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่ง เท่านั้น ความคิดแรกหลังจากที่ถูกจับโยนเข้ามาในที่แห่งนี้ก็คือรู้สึก ว่าตนถือว่า “หวังสูงคิดปืนป้าย” ถ้ําแยนเสียตําหนักเจิ้นเยว่แล้ว เรื่อง เดียวที่ พอจะเอามาเล่าสู่กันฟังได้ก็คือเคยไล่ฆ่าจูโหม่วเหรินมาก่อน แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเอาชนะจูโหม่วเหรินที่เป็นบุคคลอันดับที่สิบเอ็ด
มาได้ มีอะไรควรค่าให้คุยโวกันเล่า?
จูโหม่วเหรินแห่งหรูโจว ไม่เคยต่อยตีใครบนภูเขาได้ชนะเลยสัก ครั้ง ล้วนเอาแต่หนีอยู่ตลอดเวลา ก็แค่ว่าจะจงใจหนีให้ช้าหน่อย เท่านั้น
เพราะถึงอย่างไรเมื่อมาอยู่ที่นี่ ฉายาในอดีตคืออะไร สายสืบทอด ภูเขาคืออะไรขอบเขตสมบัติอาคม วิชาอภินิหารใดๆ ล้วนเป็นเพียง
มายาว่างเปล่า
แล้วก็มีคนที่ชอบเก็บรวบรวมสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ตกหล่น ไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ล้วนมีขอบเขตไม่ต่ํา เริ่มต้นที่ สมบัติอาคมขึ้นไป อาวุธกึ่งเซียนก็ยังมีถึงสิบกว่าชิ้น
เพียงแต่ว่านอกจากเอามาทําเป็นเครื่องประดับแล้วก็ไม่มี
ความหมายใดอีก เอาออกไปได้หรือ? ถ้าอย่างนั้นจะมีความหมาย อะไรเล่า
อยู่ที่นี่ หากว่าโต้ฝีปากปะทะอารมกับคนอื่นขึ้นมา หรือหลบเลี่ยง ปัญหาแล้ว แต่ก็ยังถูกคนมาหาเรื่อง ก็ได้แต่ต่อสู้กันด้วยมือเปล่า
หรือไม่ก็มานั้น ส่วนใหญ่แล้วใครที่มีคน
มากกว่า คนนั้นก็มีเรี่ยวแรงมากกว่า มือเท้าหนักหน่วงมากกว่า คนที่ พอจะเป็น “ศิลปะการต่อสู้” ที่ในอดีตตนเคยคร้านแม้แต่จะชายตา มองก็มักจะได้เปรียบ มากกว่า ใช่ว่าจะไม่มีคนพยายามศึกษา วิชาการโจมตีวิชาการต่อสู้ หมายจะอาศัยการเดินนิ่งทั้งวันทั้งคืน ตรากตรําฝึกฝน พยายามฝึกให้ได้ ‘วิชาอภินิหาร ที่สามารถบินขึ้น หลังคาเดินไต่ผนังได้ และในความเป็นจริงแล้วก็มีคนมากมายทดลอง
ทํามาก่อน แต่แทบจะไม่มีใครที่ประสบความสําเร็จ คิดอยากจะให้
ได้ผลทันตาเห็นก็ยิ่งเป็นความเพ้อฝัน
แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่มี “ผู้ฝึกตน” ที่ไม่ถูกกับป๋ายอวี้จิงมาหาเรื่องจาง เฟิงไห่เสียเลย ผลคือใครก็ตามที่กล้าพอจะมาหา “เจ้าลัทธิน้อย” ผู้นี้
กลับต้องตายกันหมด
แม้แต่สตรีงามหยาดเยิ้มที่ละโมบอยากได้ “ความงาม” ของจาง
เพิ่งไปมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวตีนเขา
หลายครั้ง แต่สุดท้ายยอดฝีมือที่มากพอจะ “กระโดดได้เหมือนบิน” ผู้ นี้ก็ยังล้มเลิกความคิดที่จะเดินขึ้นเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ซือสิงหยวนนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ยิ้มถามว่า “ข้ามักมี
ความรู้สึกว่าเจ้าคือคนคนเดียวที่มีความหวังจะมีชีวิตรอดออกไปจาก
ที่นี่ได้”
จางเพิ่งไห่ไม่ค่อยชอบพูดคุย
ยแล
นางซินเสียแล้ว จึงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ไม่ใช่เพราะสถานะของ เจ้า แต่เป็นเพราะจิตแห่งมหามรรคาของเจ้าที่บางทีอาจจะสอดคล้อง
กับจิตแห่งฟ้าได้มากที่สุด”
ในที่สุดจางเพิ่งไห่ก็เปิดปากพูด “หากข้าไม่มีฝีมือการต่อสู้ติด
กายบ้างเลย ไม่แน่ว่าอาจต้องเจ็บกันทุกวันก็เป็นได้
ซือสิงหยวนได้ยินคําพูดหยาบกระด้างนี้ก็ไม่มีสีหน้าประหลาดใจ อะไร เรื่องนี้นางก็เคยชินมานานแล้วเหมือนกัน บุรุษที่อยู่ข้างกาย
หากไม่เปิดปากพูดเลย ไม่อย่างนั้นบางครั้งที่พูดจาก็มักจะ ตรงไปตรงมาอย่างมากเสมอ
สิบนิ้วของนางสอดผสานกันอ้อมผ่านศีรษะไปด้านหลัง ข้อต่อ นิ้วมือลั่นดังกร๊อบๆ ถามชวนคุยว่า “หากมีวันใดสามารถออกไปได้ จริงๆ เจ้าอยากทําอะไรมากที่สุด ต่อสู้กับอวี่โต้วหรือ?”
ด่านางออกไปว่าปัญญาอ่อนหรือไร
า สุดท้ายก็สะกดกลั้นเอาไว้ได้ไม่
นางหันหน้ามายิ้มถาม “ไหนลองว่ามาสิ”
า
จางเพิ่งไห่คิดแล้วก็เอ่ยว่า “อาบน้ํา เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่ สะอาดสะอ้านสักชุด ตอนออกไป ทางที่ดีที่สุดคือด้านนอกเป็นหน้า หนาว หาสถานที่เงียบๆ สักแห่งไปขุดหน่อไม้ เพราะเนื้อของหน่อไม้ ฤดูหนาวหนาหนึบกว่าหน่อไม้ฤดูไม้ผลิ หิมะใหญ่ตกคลุมไปทั่วภูเขา ขุดหน่อไม้เอามาก่อไฟต้มกิน หน่อไม้ฤดูหนาวชิ้นใหญ่ๆ กับเนื้อเค็ม ชิ้นใหญ่ๆ ดื่มเหล้าหยางเหมยของบ้านเกิดชามโตๆ กินดื่มอิ่มหนํา เมาหลับพับไป กรนเสียงดังครอกๆ เหมือนเสียงฟ้าผ่า ใครก็อย่ามา ยุ่งกับข้าผู้อาวุโส”
นางกลืนน้ําลาย เช็ดปาก “หากรู้แต่แรกคงไม่ถามแล้ว”
อยู่ดีๆ จางเฟิงไห่ก็โพล่งขึ้นมาว่า “ได้ยินตาเฒ่าเล่าว่า เจ้าอยาก ได้เรือนกายข้าไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว จริงหรือเท็จ”
ซือสิงหยวนกลอกตามองบน “ลงจากภูเขาไปเมื่อไหร่จะไปฉีก ปากเหม็นๆ ของตาแก่นั่นให้เละเลย”
จางเพิ่งไห่พูด “เขาไม่กลัวเสียหน่อย ก่อนที่เจ้าจะมา เขายังถูก คนเอาอียัดเต็มปากจนเล็ดออกทางจมูก เปื้อนเต็มหน้าไปหมด”
ซือสิงหยวนทําท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
จางเพิ่งไห่สีหน้าเฉยเมย
com
ซือสิงหยวนกล่าว “จางเฟิงไห่ ทําไมเจ้าไม่ตั้งกฎให้กับทุกคน?” จางเพิ่งไห่กล่าว “แล้วยังไงต่อ?”
ซือสิงหยวนเงียบงัน
et
เวลานานวันนี้ก็เหมือนสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรง
“ผู้ฝึกตน”
เวลานานวันเข้าก็ถูกทรมานจนตายไป มีจํานวนเยอะมาก แต่คนที่ มากกว่านั้นกลับเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะถ้ําปราบเซียนแห่งนี้ จุดที่น่ากลัวที่สุดของมันนั้นอยู่ที่การ
ปราบเป็น ไม่เป็นผล พอผ่านไปไม่กี่วันก็จะฟื้นคืนชีพ
ขึ้นมาได้เอง อยากตายก็ตายไม่ได้
ดังนั้นในประวัติศาสตร์จึงมีคนเยอะมากที่ทุ่มความคิดสติปัญญา หมายจะยืมมีดฆ่าคน จงใจรนหาที่ตาย หาคนมาฆ่าตัวเองให้ตาย แต่ กระนั้นก็ยังคงไม่ประสบความสําเร็จ ยังฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
เหมือนเดิม ราวกับว่าในความมืดมิดที่มองไม่เห็นมีเทพเทวดาที่ คอย
มองความคิดจิตใจของพวกเขาอยู่
คนที่อยากตายจริงๆ ไม่ได้ตาย คนที่อยากมีชีวิตรอดกลับไม่แน่ เสมอไปว่าจะอยู่รอดได้
นี่ก็คือถ้ําปราบเซียน ดูเหมือนว่ามันจะเอาศักดิ์ศรีทั้งหมด เอา
‘จิตแห่งมรรคาทั้งหมดของคนคนหนึ่งมาขัดเกลาจนสิ้นซาก
และยังมีโครงกระดูกแห้งเหี่ยวอีกนับไม่ถ้วนที่ตอนมีชีวิตอยู่เคย
เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือให้ตนที่ละเมิด
มีทั้งเต้ากวานอาวุโส อวี่จิง เ
ข้อห้ามในสิบห้ามณฑลของใต้หล้า
สถานที่ที่ห่างไกลเป็นพันลี้ คนที่มีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้น่าจะยังมีอยู่ สามร้อยเจ็ดสิบแปดสิบคน และในบรรดานั้นก็มีคนเกินครึ่งที่ถือว่า
อสินค
เกิดและเติบโตมาจากห
เดิมทีสําหรับผู้ฝึกตนแล้ว พื้นที่เท่านี้ก็คือก้อนเต้าหู้ที่มีขนาด
“แค่ฝ่ามือ เป็นเรื่องของการเดินแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ทว่าทุกวันนี้ทุก คนได้แต่เดินเท้าเปล่า พื้นที่แห่งนี้จึงไม่ถือว่าเล็ก
แล้ว
คนไม่ถึงสี่ร้อยคน กระจายกันอยู่ทั่วสี่ทิศ คิดอยากจะเจอหน้ากัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และก็โชคดีที่ระยะทางยาวไกลพบเจอกันได้ยาก แต่
ละคนยึดครองภูเขาของตัวเองไป ไม่อย่างนั้นถ้ําแยนเสียแห่งนี้จะยัง เหลือคนถึงหนึ่งร้อยคนหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก
ซือสิงหยวนเงยหน้ามองม่านฟ้า ค้อมเอวลงไปหยิบหินก้อนหนึ่ง ขึ้นมาโยนทิ้งไปนอกหน้าผา เอ่ยว่า “อายุขัยการฝึกตนของข้าไม่ มากพอ แค่เคยได้ยินผู้อาวุโสบนภูเขาพูดถึงสองสามประโยค บอกว่า สงครามครั้งนั้นคือศึกสร้างชื่อที่แท้จริงของอวี่โต้ว เพียงแต่ว่าไม่มี ตําราประวัติศาสตร์เล่มใดบันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อก่อนเจ้าอยู่ใน
นครอวี้ซู เคยอ่านเอกสารลับที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่?”
“ไม่เคยอ่านตําราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก่อน ตําราทุกเล่มที่เก็บ ไว้ในนครอวี้ซู ข้าอายุไม่ถึงสามสิบก็อ่านครบหมดแล้ว”
จางเพิ่งไห่ส่ายหน้า หยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็หยิบดินป้ายถูไปบน
บาดแผลบนมือสองข้างเอ่ยเนิบช้าว่า “แต่ข้าเคยเห็นมาเองกับตา คือ การเดินทางใกล้โดยคล้ายคลึงกับการใช้ “จิตเดิน” มั่นคงกว่าจิตห ยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลมากนัก มันหายสาบสูญไปนาน
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในศึกครั้งนั้นอยู่ด้านข้าง
เป็นวิน แล้วใคร่ครวญออกมาได้ จากนั้นก็ดู
ใต้หล้ามืดสลัวในช่วงแรกเริ่มสุดทั้งไม่ใช่สิบสี่มณฑลในนาม
แล้วก็ไม่ใช่สิบเก้ามณฑลที่เรียกขานกันล่างภูเขา แต่แท้จริงแล้วใน
อดีตเคยมีสิบห้ามณฑล
อวี่โต้วเป็นผู้นํา นําพาเต้ากวานทุกคนของป๋ายอวี้จิง จากนั้น รวบรวมเต้ากวานจากทั่วหล้าให้มุ่งหน้าไปยังสนามรบของมณฑล
แห่งนั้น
สงครามครั้งนั้นมีขนาดใหญ่ ส่งผลกระทบลึกล้ํายาวไกล การ ต่อสู้ดุเดือดโหดเหี้ยม ศึกปิดยุ้งฉางแห่งหย่งโจวของยุคหลังก็ยังอยู่
ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงได้ติด
บนแนวเส้นชายแดนของมณฑลแห่งนั้น ทะเลเมฆที่ทับซ้อนกัน
เป็นชั้นๆ เบื้องบนแผ่ล้อมปกคลุมพื้นที่ของหนึ่งมณฑลได้พอดี
เต้ากวานจํานวนนับไม่ถ้วนสวมชุดคลุมอาคมสีเขียว
ประหนึ่งนกกระเรียนเขียว
นกกระเรียนเขียวรวมตัวกันฝูงใหญ่
ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คือ ‘แผ่นดินจมดิ่ง” (ลู่เฉิน) ตาม ความหมายที่แท้จริง ก่อให้เกิดเป็นทะเลสาบใหญ่ยักษ์ของทุกวันนี้
เคยมี
เล่าลือกันว่าเคยมีคําทํานายประโยคหนึ่งที่แพร่ไปทั่วนานแล้ว
บอกว่าหนึ่งมณฑลสูญเสียมรรคา ย่อมเกิดแผ่นดินจมดิ่ง
ภายหลังใต้หล้ามืดสลัวที่เท่ากับว่าสูญเสียอาณาเขตของมณฑล แห่งหนึ่งไปก็มีนักพรตต่างถิ่นคนหนึ่งที่ชื่อลู่เฉินมาเยือนจริงๆ ถูกเจ้า ลัทธิใหญ่โค่วหมิงพาเข้ามาอยู่ในป้ายอวี้จิงด้วยตัวเอง สุดท้าย
กลายเป็นลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋า รับหน้าที่เป็นเจ้าลัทธิสาม หลังจากนั้นมาลู่เฉินก็ได้สร้างนครหนันหัวขึ้นมา
เล่าเรื่องภาพเหตุการณ์บนสนามรบให้สตรีที่อยู่ข้างกายฟัง
คร่าวๆ ไปแล้ว จางเพิ่งไห่ก็อธิบายว่า “การที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เช่นนั้นก็เพราะหนึ่งมณฑลเป็นของคนแค่คนเดียวหรือจะพูดให้
ถูกต้องก็คือ เป็นของเทวบุตรมารนอกโลกที่ว่ากันว่าสามารถมอง เป็นขอบเขตสิบห้าผู้นั้น ไม่รู้ว่ามันแอบเข้ามาในใต้หล้ามืดสลัวจาก ฟ้านอกฟ้าได้อย่างไร สรรพชีวิตในหนึ่งมณฑล แม้แต่รากภูเขาและ สายน้ําล้วนเป็นของที่ตายแล้วทั้งหมด ล้วนเป็นมัน”
ซือสิงหยวนฟังด้วยความอกสั่นขวัญผวา พลันขมวดคิ้วเอ่ยว่า
“มรรคาจารย์เต๋าล่ะ?”
จางเพิ่งไห่กล่าว “ดูเหมือนว่าจะไปนอกฟ้า มรรคาจารย์เต๋า แสวงหามรรคาบนมรรคา‘
ซือสิงหยวนพูดด้วยสีหน้าปั้นยาก “ที่แท้เจ้าก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้” จางเพิ่งไห่ลุกขึ้นยืน คารวะตามขนบลัทธิเต๋า “ยินดีต้อนรับ
รคาจารย์เต๋
นักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งเผยพลันตัวออกมาจากความว่างเปล่า พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หันหน้าไปมอง “ซือสิงหยวน” เพียงไม่นาน ก็มี “ผู้ฝึกตน” คนหนึ่งที่ใบหน้าพร่าเลือน เรือนกายล่องลอยเผยตัว
ออกมา
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จางเฟิงไห่ เจ้าเข้าร่วมการ โต้วาทีสามลัทธิครั้งนี้หากชนะ ก็จะอนุญาตให้เจ้าออกจากทําเนียบ เต๋าของป๋ายอวี่จิง หากแพ้ ก็ไปกินเนื้อตุ๋นหน่อไม้แกล้มเหล้าของเจ้า
ไป”
จางเพิ่งไห่คารวะอีกครั้ง “น้อมรับคําสั่ง”
m
ซือสิงหยวนมอง “นักพรตเด็กหนุ่ม” คนนั้นแล้วริมฝีปากสั่นระริก ไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้สักคํา
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มกล่าว “พอเถอะ หลวี่,ฮีย เลิกหลบซ่อนตัว
ได้แล้ว เจ้าติดตามจางเพิ่งไห่และซือสิงหยวนออกไปจากที่แห่งนี้ด้วย
นับแต่นี้ไปได้กลับคืนมามีอิสระอีกครั้ง”
ซือสิงหยวนรู้สึกเพียงว่าปวดหัวราวหัวจะแตก ครู่หนึ่งต่อมา ดวงตาก็เป็นประกายเปล่งวาบ ถามว่า “ราคาที่ต้องจ่ายล่ะ?”
ยเปล่ง
นาทีถัดมาหล7ส เซียนอิสระหนึ่งในตัวสํารองของใต้หล้ามืด
มรรคาจารย์เต๋าเอ่ย “เจ้าพูดกับใครอยู่น่ะ”
สลัว ผู้ฝึกตนขอบเขตยอดเขาสูงสุดที่อาศัยอยู่ในจิตวิญญาณของ “ซือสิงหยวน” อยู่ดีๆ ก็ถูกกระแทกออกไปจากถ้ําแยนเสียตําหนักเจิ้น เยว่ เนิ่นนานก็มิอาจลุกขึ้นได้
พริบตานั้นจางเพิ่งไห่และซือสิงหยวนก็ยืนอยู่ข้างกายหลวปี้เสีย
บนยอดเขาแห่งเดิม เทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นรู้สึกปลงอนิจจัง อย่างยิ่ง “ยังคงเป็นเจ้าที่ร้ายกาจ”
มรรคาจารย์เต๋าทรุดตัวลงนั่งยอง พลิกกระดานดินเหนียวแผ่น นั้นเบาๆ ไม่มีตะปูแล้วแต่ก็ยังเหลือรอยของตะปูอยู่
มรรคาจารย์เต๋าลุกขึ้นยืน แผ่นกระดานดินเหนียวแหลกสลาย
กลายเป็นผุยผง
“น่าเสียดายที่สายไปอีกแล้ว”
CO
เทวบุตรมารนอกโลกปรายตามอง หัวเราะหยัน “คราวก่อนคือข้า ครั้งนี้ก็ยังถูกซิ่วหู่ผู้นั้นหลอกคนไปทั่วใต้หล้า หลังจากนี้ข้าต้อง
อนุมานให้ดีๆ
*** ว่าทําได้อย่างไรกันแน่”
บ
ไม่ใช่ว่ามรรคาเสื่อมถอยสามร้อยปียังได้มีท่านผู้นี้ แต่เป็นประโยคว่ามรรคาเสื่อมถอยสามร้อยปีจึงจะมีท่านเฉิน
ถึงอย่างไรจางเฟิงไห่ก็ยังอายุน้อย ตบะไม่มากพอ แต่ก็ถือว่าไม่
ธรรมดามากแล้วเพราะถึงอย่างไรก็สามารถคํานวณออกมาได้ถึงเจ็ด
แปดส่วน
มรรคาจารย์เต๋าเอ่ยอย่างเฉยเมย “ตลกนักหรือ?”
เทวบุตรมารนอกโลกตัวสั่นงันงกทันใด แต่จู่ๆ ก็แผดเสียงหัวเราะ อย่างบ้าคลั่ง แล้วก็สงบลงในชั่วพริบตา สุดท้ายเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า
“แสวงหามรรคาบนมรรคามีอะไรยากเจ้าคิดจะฝ่าฝืนข้อตกลงสามข้อ
ของพวกเจ้า ถึงเวลาเข้าจริงจะลงมืออีกครั้ง หรือว่าจะสลายมรรคาไป นับแต่นี้ ไม่สนใจเรื่องราวในใต้หล้าอีกต่อไปแล้วจริงๆ”
มรรคาจารย์เต่ายิ้มบางๆ “ใช่ว่าอวี่โต้วจะไม่เคยเจอสถานการณ์ ใหญ่มาก่อนเสียหน่อย”
เทวบุตรมารนอกโลกพยักหน้ารับ “ก็จริง”
m
เป็นศัตรูกับทั้งใต้หล้าแล้วอย่างไร นี่ก็เหมือนการทายก่อนยาม เล่นหมากล้อม อวี่โต้วนั่งอยู่หน้ากระดานหมาก คืบเม็ดหมากสีดํา ขึ้นมาแค่เม็ดเดียว
แคว้นเล็กที่ตั้งอยู่ริมชายแดนของหรูโจว ในอําเภอเล็กห่างไกล
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตการปกครองอิ่งชวน มีอารามเต๋าเก่าแก่แห่งหนึ่งชื่อว่า “หลิงจิ้ง” ตั้งอยู่มานานหลายปีแล้ว สร้างไว้บนภูเขาเล็กลูกหนึ่ง อันที่ จริงก็เป็นแค่เนินดินที่มีขนาดใหญ่หน่อยเท่านั้น เมื่อหลายปีก่อนมี หิมะใหญ่เท่าขนห่านซึ่งร้อยปีก็ยากจะพานพบตกลงมา ถล่มทับจน เรือนทั้งหลายที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานของอารามเต๋าพังย่อย
ที่เ
ยับ หลังจาก
ระดมเงินจากทั่วสารทิศมาได้แล้ว นอกจากสร้างเรือนพักขึ้นมาใหม่ก็ พบว่าในมือยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง จึงซ่อมแซมทั้งในและนอกอาราม เต๋าจนครบถ้วนรอบหนึ่ง จากนั้นก็แปะทองให้กับเทวรูปดินปั้นของ
บรรพจารย์สองท่านที่ตั้งบูชาไว้ในอารามเต๋าอีกครั้ง นี่ทําให้ผู้ดูแล อารามเต๋ารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก ทุกวันจะต้องไปที่ตื่นเขา เพื่อมองภาพลักษณ์โดยรวมของอารามเต๋าโดยเฉพาะ รู้สึกเพียงว่า
เป็นสถานที่ที่มีสง่าราศียิ่งนัก ต้นไม้โบราณเขียวชอุ่มสบายตา ศาลที่ สร้างขึ้นใหม่แกะสลักอักษรโบราณ สองข้างทางของอารามเล็กปลูก ต้นไหวเก่าแก่ไว้เรียงราย
อารามหลิงจิ้งแห่งนี้ไม่มีจุดใดที่พิเศษเลยแม้แต่น้อย พลิกเปิด
ตําราอักขรานุกรมท้อง
อารามหลิงจิ้งแห่งนี้ไม่มีจุดใดที่พิเศษเลยแม้แต่น้อย พลิกเปิด
ตําราอักขรานุกรมท้องถิ่นไปมา อยากจะหาเทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋า ที่พอจะนับญาติกันได้ก็ยากเย็นนัก