กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 966.3 ทายก่อน
บทที่ 966.3 ทายก่อน
อารามแห่งนี้เล็กเกินไปจริงๆ เป็นเหตุให้มีเพียงผู้ดูแลอารามที่ชื่อ
ว่าหงเหมี่ยวคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเต้ากวานซึ่งได้รับหนังสือรับรอง
าอารามเ
การออกบวชเป็นนักพรตอย่างเป็นทางการ และเจ้าอารามเฒ่าหงก็ยัง
เป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่งด้วย ในความเป็นจริงแล้วหากนับย้อนไปเมื่อ
300 ปีก่อน ผู้ดูแลอารามแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ล้วนเป็นนักโพสต์ต่าง
ลังเล ในอนา*****อย่างไม่
ลังเล ในอนาคตคนที่จะทํางานที่นี่ก็เหมือนคนนั่งเก้าอี้เย็น ถูกมอง
เป็นหนทางที่ยากลําบากและอันตราย และสถานที่แห่งนี้ปราณ
โกเกินไป คือสถานที่ไม่เหมาะกับการฝึก
ตน คิดจะกลายเป็นเต้ากวาน รวมไปถึงเมื่อเป็นเต้ากวานแล้จะได้ เลื่อนขั้น พูดง่ายก็ง่าย หนึ่งคืออาศัยขอบเขต รอให้กลายเป็นผู้ฝึก
ลมปราณ
รู้ก็จะได้รับหนังสือรับรองการออกบวช
สามอาศัยชาติตระกูล ขอแค่ยอมจ่ายเงิน ถึงอย่างไรก็ต้องมีหนทาง ให้เดิน ถ้าอย่างอารามเต๋าแห่งหนึ่งก็จะมีสภาพการณ์ที่ไม่ต่างกันสัก เท่าไหร่ เป็นเหตุให้อารามเต่าในแต่ละเขตปกครอง ส่วนใหญ่หาก เป็นอารามใหญ่ก็จะมีขนาดยิ่งใหญ่โอฬารมากขึ้นเรื่อยๆ ควันธูป โชติช่วงรุ่งเรือง ส่วนอารามเล็กยิ่งนานก็ยิ่งควันบางเบา ยากที่จะสืบ ทอดต่อได้อีก ทว่าอารามหลิงจิ้งแห่งนี้กลับไม่ได้พึ่งทั้งสามอย่างนี้ แต่
บ
หากจะบอกว่าเพิ่งพิงภูเขาก็พอจะเรียกได้อยู่ เพียงแค่ว่าในอาณา
เขตพื้นที่ราบแห่งนี้ อารามเต๋าที่น่าสงสารตั้งอยู่อย่างเดียวดายบน
เนินขนาดเล็ก เขาได้แล้ว
ระยะทางเดินแค่ไม่กี่สิบก้าวก็สามารถเดินขึ้นสู่ยอด
ด้านการสอบเคอจวี่ระดับรองก็มีสภาพการณ์พอๆ กัน อย่าว่าแต่ นายท่านจิ้นซื่อเลยสองสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ แม้แต่จวี่เหรินสักคนก็ ยังไม่มี ส่วนสรุปแล้วเป็นเวลาสองร้อยหรือ สามร้อยปีกันแน่ ใครจะไป จําเรื่องนี้กันเล่า ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่คู่ควรให้โอ้อวดอะไร ไม่ ว่า จะเป็นเต้ากวานหรือเคอจวี่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันใดถึงจะสร้าง ประวัติการณ์ขึ้นมาได้
อันที่จริงหงเหมี่ยวเจ้าอารามคนปัจจุบันของอารามหลิงจิ้งอายุไม่
รามคนปัจจุบันของอารามหลังจังอายุไม่
น้อยแล้ว แม้จะบอก ว่ามองดูเหมือนคนอายุหกสิบปี แต่แท้จริงกลับมี อายุเกือบร้อยปีแล้ว ทว่ากลับยังเป็นแค่ตัว สํารองเต้ากวานเท่านั้น เพียงแต่ว่าเรื่องประเภทนี้ถือเป็นเรื่องน่าอายในบ้านที่ไม่ควรเอา
ผู้ดูแลที่ถูกเรียกราะแค่ตัวเองรู้อยู่ในใจก็พอแล้ว โดยทั่วไปนักพรต
ผู้ดูแลที่ถูกเรียกรวมๆ ว่าเจ้าอารามนั้น ไม่ว่าจะเป็นอารามเล็กหรือ ใหญ่ล้วนมีอยู่ทุกอาราม ทว่าเจ้าอาวาสกลับไม่ใช่ หน้าที่ทั่วไป อีกทั้ง เจ้าอาวาสบางส่วนยังควบตําแหน่งดูแลอารามเต๋าหลายแห่งด้วย ล้วน ต้องเป็นเกาเงินผู้บรรลุมรรคาของในหนึ่งแคว้น คือบุคคลผู้สูงส่งที่
สามารถเข้าพบฮ่องเต้ได้
ตามคํากล่าวโบร่ําโบราณบางอย่างของพวกคนแก่ในอารามเต๋า
ลัทธิเต๋าของพวกเรา มีทั้งวัดวาอาราม แต่จะไม่เรียกว่าวัด นอกจากนี้
นายท่านเจ้าอาวาสของอารามก็คือคําเรียก ชานที่ใช้เหมือนกับ
ดินแดนพุทธะสุขาวดี
ก็เหมือนสองคําเรียกขานอย่างสื่อฟางฉงหลิน และ จื่อซุนฉงหลิน ภิกษุและนักพรตเองก็มีกฎระเบียบที่ไม่ต่างกันสัก เท่าไร แน่นอนว่าคําเรียก ขานว่าเจ้าอาวาสเป็นที่นิยมมากกว่าในหมู่ พระสงฆ์ แต่จะเป็นอะไรไปเล่า พวกเราก็แย่งชิงคําเรียกขานว่า “นักพรต มาได้แล้วไม่ใช่หรือ? แต่หากในอารามจะมีคนรุ่นเยาว์ที่ชัก ใช้ สอบถามให้ถึงที่สุดว่า “นักพรต? พวกเราก็ไม่ได้เป็นนักพรตกัน ตั้งแต่แรกแล้วหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องโดนดุด่าแน่นอน เจ้าจะ ไปรู้อะไร เรื่องวงในที่เป็นความลับเช่นนี้ วันหน้ารอ ให้หลุมศพบรรพ บุรุษของเจ้ามีควันเขียวผุดขึ้น เจ้าได้เป็นนายท่านเต้ากวานเมื่อไหร่ ก็จะได้รู้ เองนั่นแหละ
คําว่า
ว่าพวกเครามหลิงจิ้งที่พูดถึงนี้ อั
นอน
สองคนเท่านั้น แน่นอน ว่าพวกเขาต่างก็ไม่มีทําเนียบนักพรตเต๋า คน หนึ่งควบตําแหน่งคนเฝ้าศาลด้วย ว่ากันว่าเนื่องจากบรรพบุรุษเคย
เพราะถึงอย่างไรเนื้อยุงก็ยังเป็นเนื้อ และยังมี “นักพรต” เตี่ยนเค่อ (ชื่อตําแหน่งชุนนางในสมัยโบราณ คือหนึ่งในเก้ามนตรี) อีกคนหนึ่ง ซึ่งควบหน้าที่ต้อนรับแขก ส่วนเจ้าอารามผู้เฒ่าหงนั้นก็ยิ่งเป็นผู้มี ความสามารถที่ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น แม้แต่งานอย่างการดีดลูกคิด
งามหลายไร่ให้กรามถึงได้มารับเงินเดือนอยู่ที่นี่
ในห้องบัญชี แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ลงแรงด้วย
ตัวเอง
9
หนึ่งแคว้นมีเขตการปกครองอยู่มากมาย อารามเต๋าน้อยใหญ่ ล้วนเป็นทางการที่สร้าง ขึ้นแทบทั้งหมด เรื่องที่พอจะสามารถประชัน ขันแข่งกันได้ อันที่จริงก็มีอยู่สามเรื่อง นั่นคือได้ “สร้างตามพระราช โองการ หรือไม่ มีเพียงได้รับคําสั่งจากจักรพรรดิเท่านั้น บนกรอบ ป้ายหน้าประตูภูเขาถึงจะมีคําว่า ‘สร้างตามพระราชโองการ” ระบุไว้ นอกจากนี้ก็คือจํานวนเต้ากรานว่ามีมากหรือน้อย รวมไปถึงการดูแล รักษา ซึ่งก็คือควันธูปว่าโชติช่วงหรือไม่ ค ทําบุญมีเยอะหรือไม่ ชาย หญิงผู้มีจิตศรัทธามีมากหรือไม่ ในใต้หล้ามืดสลัว ศาลฉงหลินจะมี
ขนาดใหญ่โคโฮย่ามากยิ่งกว่า เจ้ากวานมีมากมาย เนื่องจากในนาม
นั้นถือว่าเป็นของ นักพรตทุกคน
ว่ากันในบางความหมายแล้วก็สามา“พย์สินส่วนตัวของใคร หาก
แห่งล้วนเป็นของป๋ายอวี้จิง
เข้าใจได้ว่าศาลองหลินทุก
เข้าตรู่ของวันนี้ เจ้าอารามหงหลงจากภูเขาไปเดินเล่นอีกแล้ว นอกภูเขาหิมะทับอมหนา หนัก ทัศนียภาพนับว่าไม่เลว นักพรตเฒ่า เอาสองมือไพล่หลัง เรือนกายของเขางองุ้ม เดิน ขึ้นเขามาช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ถอนหายใจเฮือกๆ อยู่เป็นระยะ
อยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ คิดจะมีนายท่านเจ้ากวานที่ ถูกต้องชอบธรรมสักคนก็ ช่างยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์จริงๆ
อารามเต๋าเล็กจนถึงขั้นที่ว่าแค่เปิดประตูใหญ่ออกก็มองเห็น
ตําหนักหลักได้แล้ว นอกจากหอระฆังแล้ว สิ่งปลูกสร้างที่เป็นสองชั้น
สักหลังก็ยังไม่มี
ยากจนเหลือเกินแล้ว คนรวยมีร้อยพันวิธีในการใช้ชีวิตให้ดี คน จนกลับทําได้แค่ใช้ ชีวิตไปอย่างยากลําบากเท่านั้น
ภายใต้เขตการปกครองอิ๋งชวนมีอําเภออยู่ห้าแห่ง อารามเต๋าที่ ทางการเป็นผู้สร้างเมื ทั้งหมดสามแห่ง ตามหลักแล้ว ต่อให้อารามห
ลิงจิ้งจะไม่ได้ความมากแค่ไหนก็ไม่ควรมีควัน แค่นี้ ปัญหา
นั้นอยู่ที่ว่าคนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย ของเปรียบ
เทียบกับของพาให้อยากโยนทิ้ง พูดถึงแค่อารามเต๋าที่อยู่ในอําเภอ
ติดกันแห่งนั้นก็ช่างโชคดี ยิ่งนัก บรรพบุรุษเคยร่ํารวยมาก่อน สร้าง
หายากที่ทางราชสํานักจัดเก็บ รักษาคัมภีร์มดํา
ดังนั้นผู้ที่ไปทําบุญใน
อําเภอแห่ง นั้นต่อให้ต้องเดินทางไกลแค่ไหนก็ยังจะต้องไปจุดธูปที่ นั่นให้จงได้
ไม่กี่ปีมานี้ สิ่งที่เจ้าอารามผู้เฒ่าหงคิดถึงพะวงหามากที่สุดก็คือ
เมื่อไหร่ที่อารามหลิงจิ้งจะสามารถสร้างตําหนักเทพเจ้าแห่งโชคลาภ
ได้เสียที
ดังนั้นขนาดยามที่เจ้าอารามผู้เฒ่าละเมอตอนหลับ คนรุ่นเยาว์ที่ อยู่ในอารามก็ยังได้ยินเขาละเมอพูดถึงเรื่องนี้
“นักพรตที่ประจําการถาวร รวมถึงเจ้าอารามผู้เฒ่าหงเหมี่ยวเป็น หนึ่งในนั้น มีร่วมกัน แล้วแค่หกคนเท่านั้น เพราะหลิวฟางที่มีหน้าที่
เป็นคนเฝ้าศาลในนามไม่ได้พักอาศัยอยู่บนภูเขา
หงเหมียวเดินเข้าไปในอารามก็สังเกตเห็นว่ามีแค่ฉางเกิงเตี๋ย นเค่อที่ปกติดูแลห้อง ครัวที่ตื่นแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ เขาไม่สนใจ แล้ว ตะวันไม่ล่องกันก็ไม่มีทางตื่นกันเด็ด ขาด ไม่มีสักคนที่มือเท้า คล่องแคล่ว ผู้เฒ่าที่อยู่ในลานบ้านคนนี้ ก่อนหน้านั้นได้ไปเคาะ ระฆัง ยามเข้าแล้ว คงเป็นเพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทํา ฟืนและถ่านในอารามมี จํานวนที่กําหนดไว้แน่นอนแล้วก็เลยไปกวาดลานกว้าง เห็นเจ้า อารามผู้เฒ่าก็กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอก เอ่ยทักทาย กระทืบเท้าเบาๆ ก้มหน้าเป่าลมใส่มือ อารามเต๋าเล็กมีข้อดเพยงอย่างเดียวก็คือ
ตําแหน่งขุนนางมีเยอะ อยากจะเป็นอะไรก็เลือกได้เลยตามสบาย ตอนที่ฉางเกิงยังเป็นหนุ่ม ก็คือผู้มีจิตศรัทธารายใหญ่จํานวนไม่มาก ของอารามหลิงจิ้งแห่งนี้ ลองเปิดสมุดบัญชี คํานวณดู เขาก็ให้เงิน อารามไปประมาณสามร้อยกว่าตําลึงเงินแล้ว แล้วยังมอบตําราให้อีก
บ
ไม่น้อย แน่นอนว่าฉางเก๋งยืนกรานว่าแค่ให้อารามเต๋ายืมเท่านั้น
อย่างน้อยที่สุดตําราพวกนั้นก็มีมูลค่าเจ็ดสิบแปดสิบตําลึงเงิน แล้วก็ เพราะปัญชีเสยะเดือนนี้ที่เจ้าอารามคนก่อนทิ้งไว้ เป็นเหตุให้ฉางเก๋ง
ที่ภายหลังทางบ้านตกอันจึงจําต้องพาคนในครอบครัวที่ตกยากมา
บ
ขออาศัยประทังชีพอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นหากคิดจะคว้าสถานะ “นักพรต ผู้ประจําการถาวร” ที่ได้ เงินเดือนทุกเดือนมาครองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เลย ในอําเภอแห่งหนึ่ง คนที่คิดจะไหว้วานคนรู้จัก ให้ตัวเองได้เข้ามา อยู่ในอารามหลิงจิ้งก็มีไม่น้อย
หงเหมี่ยวผงกศีรษะทักทายฉางเกิง แล้วไปเดินวนในตําหนัก หลักรอบหนึ่ง เดินข้าม ธรณีประตูออกมาอีกครั้ง ไปยืนที่หน้าประตู ใหญ่ของอารามเต๋าอีกพักหนึ่งจึงย้อนกลับเข้า มาในลานกว้าง ฉาง เกิงที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นคลี่ยิ้มส่งมาให้
อารามหง รอคนอยู่หรือ?”
ถามว่า “เจ้า
หงเหมียวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วก็เริ่มเดินท่าย่ําดาราอยู่ใน ลาน ฉางเกิงลากไม้กวาดไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ในห้องด้านข้างทยอย มีคนหนุ่มเดินออกมาสามคน สองมือ ล้วนสอดไว้ในชุดคลุมเต๋าที่ทอ จากผ้าฝ้าย หดคอห่อไหล่ ตัวสั่นเยือก ลมหายใจเฮือกใหญ่ที่ พน ออกมามีแต่คือ มองเจ้าอารามที่ทําท่าเดินส่งเดชอยู่ตรงนั้น มองนาน เข้าก็ไม่รู้สึกว่าน่า สนใจอีกต่อไป ต่างคนต่างแยกย้ายไปทํางานของ ตัวเอง
ส่วนตัวของอารามกลับมีอยู่สิบกว่าไร่ ส่วนใหญ่ล้วนแบ่งมาจากทาง
ส่วนตัวไม่ ได้อยู่ติดกัน ส่วนที่นา
ที ว่าการอําเภอ ถึงอย่างไรก็เป็นต้นกล้าเพียงต้นเดียวในเขตการ ปกครอง จะมองดูดายปล่อย ให้ควันธูปของอารามขาดสะบั้นไปก็คง ไม่ได้
คนสุดท้ายที่เดินออกมาจากในห้องคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สีหน้า
ยังงัวเงีย รูปร่างหน้าตานับว่าหมดจดคมคาย เขาเองก็ก้มหน้าค้อม เอว สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ฤดูหนาวอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ตอนหิมะตกว่าหนาวมากแล้ว ตอนหิมะละลายกลับหนาวยิ่งกว่า ชุด คลุมเต๋าที่พวกเขาสวมไว้บนร่างไม่ได้ช่วยต้านความหนาวได้เลย ได้
แค่กล้อมแกล้ม ให้พอผ่านไปได้เท่านั้น เด็กหนุ่มเอ่ยทักทายฉางเกิง ว่าท่านลุงฉางก่อน ผู้เฒ่าผงกศีรษะยิ้ม รับ อันที่จริงงานกวาดพื้นของ ในอารามและงานเคาะระฆังยามเข้ากับยามเย็น เดิมควรเป็น งานของ เด็กหนุ่ม ผู้เฒ่ากลับช่วยเขาทําแล้ว ส่วนเรื่องเอาถังชักโครกไปเททิ้ง ที่พวกคนหนุ่ม สลับหมุนเวียนกันทํา เขาไม่เอาด้วยหรอก เจ้าหนูเจ้า เองก็ไม่ใช่นายน้อยลูกเศรษฐีหรือ คุณชายที่มีเงินเสียหน่อย ทํา
กันเอาเองเถอะ
รอกระทั่งหงเหมี่ยวเดินย่ําดาราเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินฉง สิ้น เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินฉง
ก็เรียกขานว่าเจ้า อารามหง
หงเหมี่ยวยังคงพยักหน้าให้เฉยๆ เหมือนเดิม เวลาปกติหนึ่งเขาก็ ไม่เคยมีสีหน้าดีๆ อะไรให้หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มคู่นี้เห็นอยู่แล้ว อาจ แต่พวกเขาสองคนก็
ไม่ได้ต่างกับจรเอาแต่กินกับ ‘
ไม่ได้ต่างกับคนอื่นๆ สักเท่าไร หากแอบตู้ได้จะไม่มีทางหางานใส่ ตัว
หละที่น่าเบื่อหน่าย
นอกจากเด็ก
หนุ่มที่พอจะถือว่า จริงจังตั้งใจอยู่บ้างแล้ว มีเจ้าตะพาบน้อยสองคนที่ สัปหงกหัวโยกอยู่ตรงนั้น ถือโอกาสทําท่าไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกไป
พร้อมกันด้วย
ซู
นอกจากเย็นลงแล้ว คนหนุ่มอีกสามคนได้แก่หม่าฉง กู่เกา หลิน
หม่าฉงเป็นญาติของหลิวฟางคนเฝ้าศาล มารดาดินสลายอีกคน
หนึ่งแล้ว
เพราะหลิวฟางเคยรับปากเป็นการส่วนตัวว่าผ่านไปอีกไม่กี่
ปี เขายินดีจะมอบที่นา สองไว้ได้กับยารามหลิงจิ้ง ส่วนจะที่มีกันแน่ หงเหมี่ยวก็คร้านจะซักถามถึงขย่ามือก่อนดี คนจะปลดประจําการ
หากหลิวฟางยังไม่ยอมมอบโฉนดที่ดินที่ว่านี้ให้กับทางอารามก็ด้วย
เสื่อกลับบ้านไปได้เลย
หม่าฉงเจ้าคนนี้คิดขายก็ให้ตนเองดียนานแล้ว ตอนเป็นเด็กเคย เรียนโรงเรียนมาก่อน ขอบอ่านหนังสือ การบ้านทําได้งูๆ ปลาๆ มักจะ ชอบแอบไปเที่ยวงานวัด ของอารามที่อยู่ใกล้กันเสมอ ก็เพื่ออ่าน ตําราเบ็ดเตล็ด หนังสือนิทานภาพ เรื่องเล่าประหลาด นวนิยายคดี สาธารณะ เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติที่วางขายอยู่ข้างทางของงานวัด
ล้วนตัดใจจ่ายเงินได้ลง คงเป็นเพราะอ่านหนังสือจนทิ่มชื่อไป
หมดแล้ว หม่าขงถึงได้มีความคิดเพ้อฝันเหมือนความฝันของคน ปัญญาอ่อนอย่างหนึ่ง เขามักจะคอยถามเจ้ายารามหงเหมี่ยวว่า ท่าน
ผู้อาวุโสใช่ยอดฝีมือนอกโลกอย่างที่กล่าวถึงในตําราหรือไม่?
อันที่จริงหงเหมี่ยวพอจะเป็นคาถาเซียนที่คล้ายกับการเคลื่อน เมฆบังคับหมอกอย่างที่ กล่าวถึงในตําราอยู่หลายบทจริงๆ
แต่เป็นเพราะรําคาญที่อีกฝ่ายตามตอแยไม่เลิกจึงตอบรับอย่าง
ขอไปทีว่า ใช่แล้วๆ คราวหน้าจะสอนวิชาเซียนให้เจ้าสักสองสามบท แล้วกัน อดทนรอไปก่อน ไป ไปรดน้ําใส่ปุ๋ย ให้แปลงผักก่อนสิ
บ
บ
ส่วนหลินซู ลําพังแค่เห็นชื่อของเขาก็รู้แล้วว่าที่บ้านพอจะมีเงิน อยู่บ้าง โดยทั่วไปแล้ว ครอบครัวคนจนมักจะไม่ตั้งชื่อด้วยตัวอักษรที่ พบเห็นได้ยากเช่นนี้ เนื่องจากคําว่าซู นี้ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก จึง มักจะถูกคนอื่นเข้าใจผิด เรียกเขาด้วยความเคยชินว่าหลินอวี่ ทาง ฝั่งของอารามเต๋าจึงเรียกตามไปด้วย หลินซูเองก็คร้านจะถือสา พวก บ้านนอกคอกนาก ลุ่มหนึ่ง จะมีอนาคตกะผายลมอะไร บ้านของหลิน ชูเปิดร้านค้าอยู่ในอําเภอหลายร้าน ถือเป็นตระกูลที่ฐานะพอมีอันจะ กิน เนื่องจากบิดามารดารังเกียจที่เขาชอบก่อเรื่อง ชอบต่อยติ กับ คนอื่น จึงโยนเข้ามาทิ้งไว้ที่นี่ มอบให้เทพเซียนผู้เฒ่าหงช่วย “ดูแล อย่างเข้มงวดกวดขัน โน้มน้าวไปสู่หนทางที่ดี
ทุกครั้งที่หลิน งานแล้วหวนกลับมาที่
อารามอีกครั้ง มักจะต้องคุย โวถึงเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมบนร่างตัวเองว่ามี
ราคาหลายตําลึงเงิน
อารามหลิงจิ้งแห่งนี้ ถือว่ามาจาก “เส้นทางที่ถูกต้อง เท่ากับว่ามาขอ ศึกษาต่อในอารามเต๋าแห่งนี้
อาร… “มารถอย่างแท้จริงสอบเข้ามาใน
เนื่องจากกู่เกามีแช่สกุลที่ค่อนข้างจะประหลาด ชื่อก็หาได้ยาก จึงเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าตัวเองมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ แต่อันที่ จริงกลับเป็นแค่ชาวบ้านในชนบทแห่งหนึ่งเท่านั้น
หม่าฉงมักจะมีความคิดที่แปลกประหลาดอยู่เสมอ
เจ้าอารามของพวกเรา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนคนฝึกวร ยุทธ เข้าใจเรื่องศิลปะ การต่อสู้
ได้ยินมาว่าตอนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าเพิ่งมาอยู่ที่นี่คือคนที่ชอบอวด ภูมิความรู้ ทุกวันนี้เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้วจึงคร้านจะสีขอให้ควาย
อย่างคนนอกฟังแล้ว
ที่แท้
หงเหมียวถ่ายทอดวิชาการหายใจของลัทธิเต๋าบทหนึ่ง เจ้า อารามผู้เฒ่าพูดเสียลี้ลับแต่ภายหลังถูกหลินซูเปิดโปงความจริง ขอแค่เป็นอารามเท่าที่ทางการเป็นผู้สร้างก็ ล้วนสามารถ่ายทอด
คาถาชี้นําตระกูลเซียน บทนี้ให้กับนักพรตที่ประจําการถาวรได้ ผล คือหนึ่งเดือนหลังจากนั้นเต็มๆ หลินซูจะต้องไปทํางานอยู่ในแปลงผัก และห้องครัว แต่เขา จ่ายเงินเหรียญทองแดงไปเล็กน้อย กู่เกาและเฉิน จงก็ทํางานแทนให้แล้ว
หม่าฉงมักจะมีชีวิตอยู่ในโลกของตัวเองเสมอ หลินซูมองดู เหมือนอารมณ์ดีเฮฮาอยู่ ทุกวัน นิสัยเปิดเผยกระตือรือร้น ดู เหมือนว่าจะเรียกทุกคนเป็นพี่เป็นน้องได้หมด แน่นอนว่า ก็มักจะ ชอบชักสีหน้าบ่อยๆ หลังจบเรื่องก็ทําราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉู่ เกาชอบวางมาดใส เฉินฉงอยู่เสมอ เฉินฉงเองก็ร้ายไม่เบา แต่ละครั้ง ไม่เคยเสียเปรียบ ต่อให้เสียเปรียบในเรื่องนี้ก็จะเอากลับคืนจากเรื่อง อื่นได้เสมอ พวกเขาเหล่านี้คนที่เคยตีกันอย่างจริงจังมีแค่หม่าฉงกับ หลินชู ตีกันในห้องของพวกเขาเอง กู่เกาไม่กล้าล่วงเกินใคร สายตา
ยขอบว่า
จึงสอดส่ายไปมาไม่ หยุดนิ่ง ส่วนเฉินฉงก็นอนอยู่บนเตียงเตาริม หน้าต่างของตัวเอง พลิกเหรียญทองแดง เหรียญหนึ่งเล่นอยู่ในมือ
ออกบวช เข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋าสิบห้าปี ก็คือเส้นแบ่งเขตที่สําคัญ อย่างยิ่งเส้นหนึ่ง คือ ธรณีประตูที่ไม่เล็ก หากข้ามผ่านไปได้ หรือควร จะพูดว่าอดทนจนผ่านธรณีประตูนี้ไปได้ ต่อ ให้จะยังไม่ได้รับหนังสือ รับรองการออกบวช หรือมิอาจหาเต้ากวานท่านหนึ่งมารับหน้าที เป็น
“ผู้ซื้อ” (นักพรตผู้เป็นอาจารย์) ผู้มอบธรรมโองการให้กับตนได้ ไม่
บ
อาจสืบทอดระบบสายเต๋าอย่างเป็นทางการ ก็ยังสามารถไปทํางานใน ที่ว่าการอําเภอ ยกตัวอย่างเช่นไปเป็น คนนับสํามะโนครัวสมุด เกล็ดปลาของฝ่ายครัวเรือน ตําแหน่งฐานะจะสูงกว่าขุนนางผู้น้อย ทั่วไประดับใหญ่ ต่อให้เป็นตําแหน่งขุนนางอย่างท่านนายอําเภอหรือ มือปราบประจําอําเภอ เจอหน้ากันในที่ว่าการอําเภอก็อาจจะยังยินดี
หยุดเท้าพูดคุยทักทายสองสามประโยค