กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 966.4 ทายก่อน
บทที่ 966.4 ทายก่อน
อันที่จริงหม่าฉงกับหลินซูต่างก็กําลังรอเวลานี้อยู่พอดี อดทนอยู่ในอารามเต๋าแห่งนี้อย่างน้อยสิบห้าปีก็จะมีโอกาสไปรับ
หน้าที่อยู่ในที่ว่าการก็ถือว่ามีชามข้าวเหล็กแล้ว ในบรรดาขุนนางชั้น
ผู้น้อยมีการแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ เช่นเคย ในนางชั้น
ใน
อารามมาก่อนก็มักจะได้ตําแหน่งงานดีๆ ที่ทั้งว่างงาน ทั้งมีค่าน้ําร้อน
น้ําชา แล้วยังไม่ต้องถูกพวกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงก่นด่าอีกด้วย
อย่างนี้ลูกตัวอย่างเช่น เหมือนขุนนาง
มากกว่า ยกตัวอย่างเช่นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็ยังเป็น “ตําแหน่งขุน นาง” ที่สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย คืองานที่ดีไหม? แน่นอน วาไม่ถือว่าใช่ แม้จะบอกว่าเป็นตําแหน่งที่มิอาจขาดได้ อีก ทั้งยังเป็นชามข้าวเหล็กที่แน่นหนามากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็มักจะทํา
ให้พวกชาวบ้านรู้สึกไม่ดี
รอกระทั่งคาบเรียนช่วงเช้าสิ้นสุดลง เตี่ยนเค่อฉางเกิงก็ทํางาน ในห้องครัวเสร็จแล้วสามารถกินข้าวกันได้แล้ว รอกระทั่งเจ้าอารามผู้
เฒ่าหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารหนึ่งคําพวกเขาก็เริ่มแย่งกันกิน
อย่างบ้าคลั่ง จ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน พอหงเหมี่ยวยื่นตะเกียบคู่นั้น ออกไปอีกครั้ง ทุกคนก็จะต้องคอยก่อน
จากนั้นพักผ่อนกันครึ่งชั่วยามก็มีคาบเรียนอีกคาบรออยู่
นั่งอยู่
บนเบาะรองนั่งในตําหนักใหญ่ หงเหมี่ยวเปลืองน้ําลาย คนอื่นๆ ก็ใช้
เวลาหมดไปอย่างเปล่าประโยชน์เป็นเพื่อนนักพรตเฒ่าด้วย
มีเพียงสู่เกาที่บางครั้งจะไปเปิดอ่านตํา
สะสมไว้อย่างดีนานหลายปีในห้องของเขาบ้าง แต่กู่เกาสังเกตเห็นว่า หนังสือที่เก็บสะสมเป็นการส่วนตัวของเจ้าอารามผู้เฒ่านี้ มีไม่น้อยที่ ประทับตราประทับแบบเดียวกัน กู่เกาใช้กันคิดก็ยังรู้ว่านั่นคือ ตํารา เก่าเก็บในบ้านของเตี่ยนเค่อฉางเกิง มีหลายครั้งที่อยากจะช่วยเจ้า
ระทับตราพวกนั้นออก นี่ก็ไม่
เท่ากับว่าทําลายหลักฐานทิ้งแล้วหรอกหรือแต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าลง
สายลมพัดโชยผ่านต้นสน เวลาแต่ละวันที่นับตั้งแต่เคาะระฆังเข้า ไปจนถึงเคาะระฆังเย็นก็ผันผ่านไปเช่นนี้ ทุกวันพอทําการบ้านเสร็จ
กินข้าวเสร็จ
ผ่านไปเหมือ,,,นขึ้นมาก็เป็นอีกวันหนึ่งแล้ว วันเวลาไหล
บ
คลุมหนัง… ห่างจากอารามไปประมาณสองลี้มีสะพานไม้พาด
เมื่อคืนมีหิมะใหญ่ตกลงมาอีกแล้ว ฟ้าดินเหมือนคนที่สวมเสื้อ
ผ่านลําคลองเส้นหนึ่ง เฉินฉงมักจะลงจากภูเขาไปเดินเล่นที่นั่นเพียง
ลําพัง
วันนี้น้ําด้านใต้สะพานเกาะตัวเป็นน้ําแข็ง ไร้คนเดินบนเส้นทาง เด็กหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มข้อคู่เก่า เดินอยู่
บนสะพานไม้ ลองกระโดดแรงๆ อยู่หลายที่หิมะที่ทับถมอยู่บนสะพาน ก็เหมือนเม็ดเงินสีขาวยวงที่ร่วงหล่นลงบนพื้นน้ําแข็ง
เด็กหนุ่มความจําดีมาก อะไรที่ผ่านตาแล้วไม่เคยลืม ต่อให้ผ่าน ไปนานหลายปีก็ยังจดจําได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งตําราที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในอารามหลิงจิ้ง เฉินฉงอ่านแค่ รอบเดียวก็มีความเข้าใจเป็นของตัวเองได้มากมายแล้ว
นี่ทําให้เฉินฉงรู้สึกเหลือเชื่อ คิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกว่า ช่างลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งนัก ราวกับว่า….ชาติก่อนเคยอ่านตําราพวกนี้
มาก่อนนานแล้ว
อีกทั้งเฉินฉงยังสังเกตเห็นว่าตัวเอง อยู่ดีๆ ก็มักจะรู้สึกเสียใจหรือ
มีความสุขอย่างดูเด็กหนุ่มก็ได้ข้อสรุปที่สามารถใช้เหตุผลมา
อธิบายได้ข้อหนึ่ง!
มารดามันเถอะ ข้าคงไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่
-
- ในตํานานหรอกกระมัง
เฉินฉงยิ้มกว้าง ทรุดตัวลงนั่งยอง คว้าหิมะขึ้นมาหนึ่งกํามือ เอา มาโปะบนหน้า สงบสติอารมณ์ ต้องลงบสติอารมณ์ ใจเย็นๆ นะ
ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ยินมาว่าในตัวเมืองเกิดเรื่องประหลาดขึ้น
เรื่องหนึ่ง รู้สึกว่าจะมีภูตผีจากที่อื่นออกอาละวาด ช่วงชิงเอาชีวิตของ
คนไปมากมาย เพียงไม่นานก็มีเต้ากวานกลุ่มหนึ่งที่ทางราชสํานักส่ง ตัวมาเยือน จากนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าหงเหมี่ยวก็คล้ายจะแก่ลงไปอีก สิบปีภายในค่ําคืนเดียว เขามักจะไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูอารามบ่อยๆ คล้ายกําลังรอคอยใคร ต่อมาในอารามก็มีคนแปลกหน้าสองคนมา เยือน หนึ่งชายหนึ่งหญิง แต่กลับไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋า
พวกเขาต่างก็ไปนั่งยองกันอยู่ใต้ชายคา เรียงแถวกันนั่งอาบแดด บุรุษผู้นั้นเหมือนจะมองกู่เกาอยู่หลายที ส่วนหญิงสาวหน้าตา เย็นชากลับเหลือบตามองทุกคน สุดท้ายสายตาหยุดอยู่บนร่างของ หม่าฉงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแต่ไม่ถือว่ามีท่าทางใส่ใจอะไรมาก
นัก
นางส่ายหน้าน้อยๆ
ย่างที่ไม่เป็นที่จับสังเกตให้กับหงเหมี่ยวที่
อยู่ด้านข้าง นักพรตเฒ่าถอนหายใจเบาๆ คล้ายจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ ก็ไม่ได้สิ้นหวังมากนัก ราวกับว่าได้เตรียมใจมาไว้นานแล้ว
เลิศสตรีที่มีฝีมือแค่ไหน แต่หากไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหาร
เลิศรสออกมาไม่ได้จริงๆ เด็กพวกนี้คือตัวอ่อนเต้ากวานที่ดีที่สุดใน
พื้นที่หนึ่งอําเภอเท่าที่อายุและกําลังความสามารถของนักพรตเฒ่าจะ หาได้แล้ว ไม่ต้องสนว่าเป็นฝ่ายพาตัวมาส่งถึงที่หรือเป็นอย่างถูเกาที่
หงเหมี่ยวถูกชะตาด้วยตัวเอง ดูท่าจะคงไม่มีเรื่องน่าตกตะลึงระคน
ยินดีอะไร หาไม่แล้วถึงอย่างไรหงเหมี่ยวก็เป็นผู้ดูแลของอารามแห่ง หนึ่ง ลําพังแค่หลิวฟางคนเฝ้าศาลและฉางเกิงที่เป็นเตี่ยนเค่อจะ
สามารถพาคนเข้ามาอยู่ในอารามได้ง่ายๆ เชียวหรือ?
ทุกวันนี้เด็กกลุ่มนี้ต่างก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ คิดจะรับหน้าที่เป็นนักพรต ผู้ดูแลอารามเต๋าแห่งหนึ่งของทางการ เว้นเสียจากว่าเป็นคนที่มี
ความรู้ลึกซึ้ง หาไม่แล้วตบะก็จําเป็นต้องเริ่มต้นที่ขอบเขตถ้ําสถิต
ส่วนหงเหมี่ยวนั้นถือเป็นอย่างหลัง เพียงแต่แม้หงเหมี่ยวจะมีตบะไม่
เลวทว่ามีเพียงเรื่องอย่างการอ่านตําราศึกษาเล่าเรียนเท่านั้นที่ไม่
ค่อยฉลาดนัก และเรื่องของการรับธรรมโองการก็มีการสอบหลาย
อย่างที่มิอาจข้ามผ่านไปได้ ดังนั้นธ
อยู่ตลอด ทว่าการที่หงเหมี่ยวสามารถมารับ **งในอารามหลิงจิ้ง
าสมุท
ได้ ก็เพราะอาศัยตบะขอบเขตชมมหาสมุทรของตัวเขาเอง แน่นอน ว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่อารามหลิงจิ้งไม่ได้ใกล้เคียงกับการเป็น
“อารามรวยทรัพย์” ด้วย
บ
ในเรื่องนี้ ความเห็นของหม่าฉง อันที่จริงไม่ถือว่าผิดเต็มเปา เพราะเจ้าเด็กนั่นดันจับผลัดจับผลูเดาถูกจริงๆ
เพื่อป้องกันผีร้าย
**มที่ล้ําแดนเข้ามาตนนั้น อันที่จริง
นักพรตเฒ่าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ขอบเขตจะถดถอย แต่ก็มีคุณ ความชอบติดตัว ทางที่ว่าการในตัวเมืองประจําจังหวัดจะจดลงบันทึก
เอาไว้ หากไม่ผิดไปจากที่คาดจะยังมอบโอสถเซียนอายุยืนที่ช่วย
รักษาชีวิตมาให้เขาด้วยเม็ดหนึ่ง เป็นโอสถที่ล้ําค่ามาก คือของดีที่ จ่ายเงินก็ยังหาซื้อมาไม่ได้ แต่เขากลับมิอาจรับตําแหน่งเป็นเจ้า อารามของอารามแห่งนี้ได้อีกแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือสามารถไปใช้ชีวิต ในช่วงบั้นปลายอยู่ในที่ว่าการน้ําใสบางแห่งของตัวเมืองได้แล้ว
บ
สําหรับเด็กๆ พวกนี้ หงเหมี่ยวมีแผนการเป็นของตัวเอง
หม่าฉง อันที่จริงคุณสมบัติดีที่สุด ถูกหงเหมี่ยวฝากความหวังไว้ มาก แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับผู้มีความสามารถด้านการฝึกตนที่อยู่ใน
อารามเต๋าขนาดใหญ่ทั้งหลายแล้วก็ยัง ห่างชั้นอยู่มาก
หลินซู คือลูกหลายคนรวยที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่าไปพูดถึงเขา เลย ควันธูปในอารามเต๋า ในระดับใหญ่แล้วล้วนได้รับความช่วยเหลื
ด้านเงินทองจากครอบครัวของเขาทรัพย์สินส่วนตัวที่หงเหมี่ยวเอง
สะสมมาได้ไม่ง่าย เงินเทพเซียนก็แทบจะเอาไปหลอมเป็นปราณ
วิญญาณฟ้าดินอันน้อยนิดน่าสงสารนั่นหมดแล้ว ผลคือตอนอยู่ใน ตําหนักของอารามเต๋า หงเหมี่ยวลอบสังเกตดูอยู่หลายครั้ง พวก
สัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นไม่รู้ประสา ไม่มีใคร
สัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นลมปราณที่กระเพื่อมส่วนนั้น อันที่จริงนี่ก็แสดงให้ เห็นถึงปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว แม้แต่หม่าฉงเอง วันหน้าจะ สามารถฝึกตนได้หรือไม่ ไม่สะดวกจะรีบร้อนให้ข้อสรุป แต่อย่างน้อย ที่สุดก็สามารถมั่นใจได้ว่า ไม่มีผู้มีพรสวรรค์ที่เหมาะแก่การฝึกตนบน
ฟ้าอย่างแท้จริง
ด้
กู่เกา เรือนกายแข็งแกร่ง มีโอกาสจะฝึกวรยุทธ นอกจากนี้ยัง
เป็นคนที่มีความหวังว่าจะอาศัยการเล่าเรียนมาสอบติดเป็นเต้ากวาน
ตัวสํารองมากที่สุด
ส่วนเฉินฉงผู้นั้น ความจําไม่เลว พอจะถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์ บัณฑิตได้อย่างถูไถ อยู่ในอารามแห่งนี้ อ่านตําราเล็กน้อย ปูรากฐาน
ที่ดี วันหน้าร่วมสอบเคอจวี่ไปก็แล้วกัน ไม่คาดหวังว่าจะสอบติด เป็นจวี่เหริน ในอนาคตได้ตําแหน่งซิ่วไฉมาครอง ก่อร่างสร้างตัว ก็ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ส่วนบุคคลอัศจรรย์แห่งยุทธภาพสองท่านนี้ก็คือสหายเก่าที่มา
จากในตัวเมือง คนหนึ่งชื่อซึ่งท่า สตรีนามว่าถานโส่ว
ซ่งท่าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า จะดีจะชั่วก็เลื่อนสู่ขั้นสองของ
หลอมลมปราณแล้ว ทั้งยังเดินไปบนเส้นทางของหมัดใน ถ้าอย่างนั้น
ก็พอจะสามารถคิดได้ ขอแค่เลื่อนเป็นขอบเขตหก ไม่ว่าจะอยู่ในนคร แห่งใดก็ตาม ก็ล้วนสามารถช่วงชิงตําแหน่งขุนนางที่ไม่ต่ํามาครอง ต่อให้เปิดศูนย์ต่อสู้รับลูกศิษย์ เปิดภูเขาตั้งพรรค ก็ยังไม่เป็นปัญหา แล้วนับประสาอะไรกับที่ซึ่งท่าเองก็เป็นเพื่อนรักของปรมาจารย์ ขอบเขตเจ็ดท่านหนึ่งของยาชานแห่งราชวงศ์ชื่อจิน ผู้ฝึกยุทธ ขอบเขตร่างทองคนนี้ได้ยินมาว่าเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอด
หากขัดเกลาเรือนเป็นขอบเขตหก
คนหนึ่งของ “หลินซือ‘ ด้วย
บ
หลายคนหรือไม่ ก็คือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกสถานะอย่างหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ ล่างภูเขา ผู้ฝึกตนบนภูเขา เต้ากวานของที่ว่าการ ล้วนเป็น เหมือนกันหมด
หลายคนนะ “จวแห่งนี้ มีสหายในยุทธภพของยาชานสักคนหรือ
ส่วนถานโส่วผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นก็คือผู้ฝึกลมปราณที่เดินไปบน
เส้นทางของธรรมโองการส่วนตัว คือขอบเขตถ้ําสถิตที่อายุน้อยอย่าง
มาก เพราะนางอายุยังไม่ถึงสี่สิบก็ได้ เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง
แล้ว
เรื่องบางอย่างจะเอาไปเปรียบเทียบกับผู้มีพรสวรรค์ของลัทธิเต๋า
ที่สูงส่งเกินจะปีนป่ายพวกนั้นตลอดก็ไม่ได้ เพราะง่ายที่จะทําให้คน
รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
m
อีกทั้งถานโส่วก็ถือว่ามีฐานกําลังทรัพย์แน่นหนา มีแท่นประกอบ
พิธีส่วนตัว พูดง่ายๆก็คือเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่นซึ่งมี
คุณสมบัติที่จะทําการค้าเป็นการมอบธรรม โองการส่วนตัว ทางการ จะไม่ให้การสนับสนุน แต่ก็ไม่ถึงขั้นสั่งห้าม ว่ากันว่าแรกเริ่มสุดชื่อ ของนางคือคําว่าโส่ว (#) ออกเสียงเดียวกับคําว่าโส่ว (#) แต่เขียน คนละอย่าง ภายหลังไม่รู้ว่าอย่างไร คงเป็นเพราะอักษรโส่วตัวแรกนี้ หาได้ยากเกินไป จึงเปลี่ยนมาเป็นโส่วตัวหลังที่เขียนง่ายกว่า
นมาเ
เสียงเดี
เข้ามาในห้อง หลังปิดประตูลงแล้ว หงเหมี่ยวก็ยิ้มชื่นเอ่ยว่า “น่า เสียดายที่ไม่ใช่ฤดูใบไม้ผลิ หาไม่แล้วไม่กล้าพูดว่าสามารถขัดขวาง ผีขอบเขตประตูมังกรตนนั้น แต่รั้งมันไว้สักพักหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ เรื่องเพ้อฝัน”
ตอนที่นักพรตเฒ่าอายุน้อยเคยเรียนวิชาอสนีมาบ้างเล็กน้อย อิง ตามกฎทองบัญญัติหยกที่ป๋ายอวี่จิงผู้ยิ่งใหญ่ตั้งเอาไว้ ตู้ชื่อ (นักพรต ผู้เป็นอาจารย์) มีเพียงหนึ่งเดียว เป็นผู้ตัดสินระบบสืบทอดของเต้า กวานตลอดชีวิต ยากมากที่จะเปลี่ยนได้ แต่เต้ากวานคิดจะเรียนวิชา
คาถาของฝ่ายอื่นกลับไม่มีข้อห้ามอะไร ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งเป็น
ประโยชน์มาก หงเหมี่ยวเป็นวิชาอสนีสายนอกอยู่บนหนึ่ง คือ ความสามารถกันกรุที่เรียนรู้มาจากคนมหัศจรรย์คนหนึ่งตอนอายุ
น้อย ตามที่ระบุไว้ในตําราลัทธิเต๋า พลังต้นกําเนิดคือไอที่รวมกัน กลายเป็นวัตถุ วัตถุใดที่จิตวิญญาณแท้จริงแหลกสลายไปอย่าง สิ้นเชิง ก็จะกลายไปเป็นผีเร่ร่อน และเสียงอสนีในฤดูใบไม้ผลิที่ดังขึ้น ระหว่างฟ้าดิน สําหรับสิ่งสกปรกชั่วร้ายทั้งหลายแล้วก็คือกลองเร่ง ชีวิต น่าเสียดายก็แต่ฐานกระดูกของหงเหมี่ยวมีจํากัด มิอาจเรียนรู้
แก่นแท้ของวิชามาได้ ได้แต่อาศัยลมเป่าวิญญาณที่หลอมขึ้นยาม เที่ยงวันของช่วงที่ใบไม้เปลี่ย สีเป็นสีทองของทุกปี รวบรวมขึ้นมาได้ จนมีน้ําหนักสามตําลึง ใช้ร่วมกันวิชาอสนีบทนั้น แต่ น่าเสียดายที่
รับมือกับผีขอบเขตประตูมังกรตนหนึ่งกลับยังไม่มากพอ
หงเหมี่ยวหยิบเหรียญเงินเก้าจักรพรรดิที่ร้อยกันเป็นพวงห้อย
ด้วยพู่สีทองออกมาจากชายแขนเสื้อ เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “การต่อสู้ ครั้งนี้ นับว่าขาดทุนย่อยยับแล้วจริงๆ”
บ
นี่คืออาวุธอาคมล้ําค่าชิ้นหนึ่งที่ทางราชสํานักมอบให้หลังจากที่
ปีนั้นหงเหมี่ยวมารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลอารามหลิงจิ้ง
ราชสํานักของแต่ละแคว้นในมณฑลหรูโจวจะมอบของสารพัด หลากหลายที่แตกต่างกันออกไป กระจกปราบมาร น้ําเต้าจับปีศาจ
ยันต์ ฯลฯ
ซ่งท่าสีหน้าหนักอึ้ง “พี่หง ข้าสามารถช่วยแนะนําท่านให้กับ
พรรคป๋ายอวี่ ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับประมุขพรรคหลิวซีไม่เลว มาโดยตลอด”
หงเหมี่ยวโบกมือ “พวกเราสองพี่น้องรู้ไส้รู้พุงกันดี เจ้าอย่าตบ หน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนเลย พรรคป่ายอวี่อยู่ใต้อาณัติของยา ซาน ธรณีประตูสูงมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่ตลอดทั้งยาซานก็ไม่
ชอบไปมาหาสู่กับเต้ากวานของต่างแคว้นมากที่สุด ปรมาจารย์หลิว อาจยินดีมอบสถานะเค่อชิงพรรคป้ายอให้เจ้าซึ่งท่าเปล่าๆ แต่สหาย ของสหายกลับพูดยากแล้ว หากเปลี่ยนเป็นผินเต้า เกินครึ่งคงไม่มี
ตัวเองกับหลิวซีด้วยเล่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่เป็นเรื่อง เล็กน้อยแค่นี้ ผินเต้าจะไม่เข้าใจได้หรือ?”
ทางพยักหน้าตอบตกลง
Z་ปรองดองระหว่าง
นหมาที่
จากนั้นหงเหมี่ยวก็ถอนหายใจ “ทางฝั่งกรมอาญาของราชสํานัก บวกกับผู้ถวายงานที่อยู่ในที่ว่าการของตัวเมือง คาดว่าอีกไม่นานคง จะส่งคนมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ถือเป็นการทําให้ พอเป็นพิธีกระมัง จากนั้นผินเต้าก็ต้องกลับไปทางเดิมแล้ว เดิมทียัง นึกหวังว่าจะโชคดี คิดว่าจะทําอะไรให้ที่นี่ได้บ้าง เต้ากวานก็ดี จิ้นชื่อ ก็ช่าง ขอแค่สามารถช่วยให้เขตการปกครองอิ่งชวนมีบุคคลใด
บุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นมาได้ ก็สามารถอาศัยคุณความชอบส่วนนี้มา ทําลายคอขวดของขอบเขตชมมหาสมุทร ผลกลับกลายเป็นดีนัก ยัง ขอบเขตถดถอยเสียอีก ขโมยไก่ไม่สําเร็จยังต้องเสียข้าวสารไปอีก
หนึ่งกํามือก็เป็นเช่นนี้เอง ตอนนี้ได้แต่หวังว่าคนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังจะสามารถอาศัยร่มเงา ตัวเองไม่ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริง อะไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังสบายใจได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนที่ผินเต้าจะ หลับตาลง จะยังรอคอยจนวันนั้นมาถึงได้หรือไม่”
นี่ก็คือความเห็นแก่ตัวที่ใหญ่ที่สุดของนักพรตเฒ่าแล้ว
หลักๆ ที่ขอมารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลอารามหลิงจิ้งก็เพราะหวังว่าจะ
มี “หนึ่งในหมื่น” เกิดขึ้น
หากว่าที่นี่มีเต้ากวานในท้องถิ่นโผล่มาคนหนึ่ง นักพรตเฒ่าก็จะ
มีคุณความชอบติดตัว
แน่นอนว่าไม่เพียงแค่หงเหมี่ยวเท่านั้นที่มองเรื่องนี้ออก ในความ เป็นจริงแล้ว พวกคนดูแลอารามรุ่นก่อนๆ ที่หวังมาเสี่ยงดวงที่นี่ สิบ คนก็มีถึงเก้าคนที่มาเพราะเป้าหมายนี้ ส่วนคนสุดท้ายไม่ได้มาเพราะ
พ
เหตุนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะการอยู่ในวงการขุนนางมิอาจสมดังใจ
เหตุนี้นานหรือนร่วมทํา สมดังใจ
มานั่งเก้าอี้เย็นอยู่ที่นี่
จึงถูกไล่ให้
ผู้ฝึกตนขอบเขตถดถอย ภัยร้ายที่จะตามมาภายหลังมีมากเกิน
คณานับ นอกจากตบะจะถดถอยลงมากแล้ว วิชาอภินิหารที่เป็น สมบัติกันกรุอีกมากมายก็ยากที่จะร่ายใช้ได้อีกปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็
คือเรื่องของอายุขัย
หงเหมี่ยวอาศัยโอสถเม็ดนั้นอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต่อให้ทุบ หม้อขายเหล็กก็ต้องไปที่ท่าเรือตระกูลเซียน หรือไม่ก็ไปเยือนจวน
เซียนบนภูเขาที่สนิทสนมกันเพื่อหาซื้อยาวิเศษต่อชีวิตมาให้จงได้ เงินทองอะไรนั่น ยังจะคิดเล็กคิดน้อยอีกทําไม
ซ่งท่าเงียบอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แค่เอ่ยปลอบใจว่า “เรื่องอย่าง
การทําดีได้ดีตอบแทนถึงอย่างไรก็ต้องเชื่อไว้บ้าง”
หงเหมี่ยวพยักหน้ายิ้มรับ “ก็จริงนะ”
นักพรตเฒ่ามองไปนอกหน้าต่าง รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย แล้วก็
เลื่อนลอยไปเล็กน้อย