กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 966.5 ทายก่อน
บทที่ 966.5 ทายก่อน
หงเหมี่ยวเคยมีปณิธานสูงส่งยาวไกล หวังว่าตัวเองจะมีพรสวรรค์ ในด้านมรรคกถากลายเป็นคนที่ถูกตําราเต๋าขนานนามว่า “ใจคนมี
จํากัด แต่ใจฟ้าไร้ขีดจํากัด คือ ความคิด
ฟุ้งซ่าน หรือไม่ก็ได้ทําพิธีรับศีลใหญ่สามระดับได้แก่ซูเจิน จงจี๋ เทียน เซียน ได้รับมอบธรรมโองการจากเงินเหรินผู้เป็น ‘ลวี่ชื่อ” ในอาราม เต่าที่ได้รับแต่งตั้งจากทางราชสํานักบางคน หรือไม่ก็ได้จัดพิธีเลื่อน ขั้นในอารามที่เป็นฉงหลินซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ในหรูโจว รับหน้าที่
เป็นเจ้าอาวาส ถึงขั้นที่ว่าได้กลายเป็นเซียนดินที่สร้างโอสถทองคน
หนึ่ง ประจําการอยู่บนพื้นพสุธา เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าอย่างสมชื่อมาก
ที่สุด
ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องที่นักพรตเฒ่าไม่ค่อยกล้า
คิดถึงบ่อยนัก “^นว่าคือการได้ไปเที่ยวเยือนห้านครสิบสองหอ เรือนของป้ายอรี่จึงในความฝัน!
ถานโส่วกล่าว “นักพรตหง หากไม่รู้สึกว่าเป็นการลดเกียรติ ตัวเองก็สามารถไปรับหน้าที่เป็นชิงเค่อ (หมายถึงแขกที่ช่วยออก หัวคิดให้ที่มาอยู่กินในบ้านของเจ้าของที่ดิน หรือขุนนางในสมัย สังคมเก่า) ที่ตระกูลของข้า พวกเรายังขาดอาจารย์ผู้สอนมาโดย ตลอด”
ต่อให้หงเหมี่ยวจะขอบเขตถดถอย แต่ก็ยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขต
ถ้ําสถิตคนหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่เส้นสายและควันธูปของ นักพรตผู้เฒ่าก็ยังมี ความรู้ก็ยังอยู่เต็มท้อง
ไม่ถือว่าเป็นการค้าขายที่คุ้มค่าสักเท่าไร แต่ทางตระกูลของนาง ก็พอจะรับรองได้ว่าจะไม่ทําให้เขาขาดทุน เพราะถึงอย่างไรนอกจาก เงินเดือนแล้วก็ยังต้องมอบยาต่ออายุขัยให้ อีกเม็ดสองเม็ด
นักพรตเฒ่าโบกมือด้วยรอยยิ้ม “ไยต้องทําการค้าที่ทั้งสองฝ่าย
ต่างก็ไม่ได้กําไรด้วยเล่า หากผินเต้าเป็นคนว่างงาน วันหน้าไปเป็น แขกที่ตระกูลถานในเมืองเหอเจียนของพวกเจ้า ยังจะได้ดื่มสุราดีๆ
โดยไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากต้องเบิกตาใหญ่มองตาเล็กอยู่ทุกวันด้วย นิสัยเสียๆ ที่ความสามารถมีไม่มากแต่ความเจ้าอารมณ์มีไม่น้อยของ ผินเต้านี้ สักวันจะต้องเกิดปัญหากับพวกเจ้าแน่นอน ถึงเวลานั้นต่าง
คนต่างเกิดความไม่พอใจ ไฉนต้องหาเรื่องลําบากใส่ตัวด้วย”
ถานโส่วกําลังจะพูดต่อ แต่ก็กลืนคําพูดที่มารออยู่ตรงริมฝีปาก
กรวดเร็ว
หงเหมี่ยวหันไปมองนอกหน้าต่าง “ในที่สุดก็มาสักที”
ทางฝั่งของระเบียงที่อยู่ใต้ชายคา เด็กหนุ่มทั้งหลายที่นั่งยองเรียง แถวกันอยู่ เฉินฉงเพียงแค่เลิกเปลือกตาขึ้นน้อยๆ เอาสองมือสอดไว้ ในชายแขนเสื้อต่อ อ้าปากหาว
ส่วนหม่าฉงได้แอบขยับมาลอบฟังบทสนทนาของคนทั้งสามที่
มุมกําแพงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เงาร่างสามสายพลิ้วกายลงตรงตีนเขาของอารามหลิงจิ้งแล้ว
เลือกจะเดินเท้าขึ้นเขา นี่ไม่ใช่เพราะให้เกียรติอารามเล็กไร้ชื่อเสียง
แห่งนี้ แต่เป็นเพราะไม่กล้าไม่เห็นกฎของป่ายอวี้จึงเป็นสําคัญ
หม่าฉงเป็นคนแรกที่หันไปมองคนต่างถิ่นสามคนที่เดินเข้าประตู
ใหญ่ของอารามมาเขารีบลุกขึ้นยืน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง นั่น คือนายท่านขุนนางของราชสํานักตัวจริงเสียจริง คือเทพเขียนจริงๆ!
กู่เกาใช้ศอกกระทุ้งเฉินฉง ผงกปลายคางบอกเป็นนัยให้รีบหัน ไปมองแขกผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น
เฉินฉงหันหน้ามามองสู่เกา
จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นอย่างมึน งง แล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไป สุดท้ายดวงตาของเขาพลันเป็นประกายเจิด จ้า เปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ อิจฉา รู้สึก ว่าตัวเองต่ําต้อย และ
วาดฝัน
หนึ่งสะพายกระบี่ เหรียญทองแดงเล่มหนึ่งไว้บนหลัง มีผู้เฒ่าห้อย
ทพเซียนเต้ากวานทั้งสามคนนั้นมีผู้ฝึกตนหนุ่มคน
น้ําเต้าจับปีศาจสีทองอ่อนไว้ตรงเอว และยังมีนักพรตหญิงที่ลักษณะ
เหมือนเด็กสาว
อันที่จริงคนทั้งสามต่างก็สงสัยใคร่รู้อย่างมากว่าเหตุใดเขตการ ปกครองอิ๋งชวนที่สงบสุขมาโดยตลอด จู่ๆ ถึงได้มีผีร้ายออกอาละวาด อีกทั้งยังขอบเขตไม่ต่ําด้วย
ดังนั้นนับตั้งแต่ราชสํานักมาจนถึงตัวนครต่างก็ไม่มีใครกล้า ประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลังที่เส้นเอ็นหัวใจขมวดตึงอยู่ ตลอด ในความเป็นจริงแล้วคําว่าคร่าชีวิตไปหลายชีวิตนั้นเป็นแค่ ข่าวเล็กๆ ที่จงใจคุยโวโอ้อวดให้เกินจริง เพียงแต่ว่าที่ว่าการของ อําเภอสองแห่งต่างก็ถูกผีร้ายที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าตนนั้นปั่นหัว
ก่อกวน มีเต้ากวานสองคนที่คนหนึ่งถูกสิง สติเลอะเลือนทั้งวัน เอาแต่
ก่อกวน มีเต้ากนี้กางเกงเปียกวันละหลายรอบอยู่
ทุกวัน เข้าท่าเสียที่ไหน และยังมีเต้ากวานอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้ฝึก ลมปราณ จุดจบก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ถูกปอกลอกเสื้อผ้าจน เนื้อตัวเปลือยเปล่าแล้วจับโยนไว้บนถนนใหญ่ ผีตัวนี้ต้องการท้าทาย
แต้วดูกัน
เต้ากวานของในเขตปกครองหรือถึงขั้นของทั้งแคว้นเลยด้วยซ้ํา
ทางฝั่งชายแดนได้มีเต้ากวานที่เริ่มปูพรมค้นหาอย่างเข้มงวดกัน
%%
แล้ว และพวกเขาสามคนก็คือคนที่รับผิดชอบตรวจสอบพื้นที่ในรัศมี หลายร้อยลี้รอบด้านนี้อย่างละเอียดกังวลว่าผีร้ายจะเจ้าเล่ห์มาหลบ
ซ่อนตัวอยู่ใกล้กับอารามหลิงจิ้ง พวกเขาถึงได้มาที่อารามนอกจาก
ทําการตรวจสอบแล้วก็ต้องยืนยันให้แน่ใจด้วยว่าผีร้ายได้หลบซ่อน
อยู่ในอาณาเขตโดยรอบของภูเขาลูกเล็กหรือไม่ หลังจากที่พวกเขา เข้ามาในอารามแล้วก็ไม่รอให้หงเหมี่ยวโอภาปราศรัย เต้ากวานหนุ่ม
ที่สะพายกระบี่โบราณซึ่งเป็นเหรียญทองแดงที่ร้อยเรียงกันเป็นกระบี่ ก็ยกกระฉ่องส่องมารขึ้นมา ทะยานลมลอยตัวขึ้นสูง แสงสว่างสาด ส่องไปทั่วสี่ทิศนักพรตหนุ่มหมุนกระจกทองแดงในมือช้าๆ แม้แต่หอ ระฆังในอารามหลิงจิ้งก็ยังไม่ปล่อยผ่าน สุดท้ายพลิ้วกายลงในลาน
กว้าง หงเหมี่ยวที่เป็นเจ้าอารามเผยสีหน้าขุ่นซึ้งออกมาเสี้ยวหนึ่ง เ
สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ทําการสอบสวนในห้องของนักพรตผู้เฒ่าไปรอบหนึ่ง เต้ากวาน ทั้งสามจุดเนื้อหาลงในสมุดบันทึกแล้วก็พากันกลับ พอเดินเท้าลง จากภูเขาไปแล้วก็ทะยานลมจากไปไกล
พวกเขายังนําเอกสารของทางตัวเมืองมาด้วยฉบับหนึ่ง ทิ้งไว้
ให้กับหงเหมี่ยว นี่เท่ากับว่านับแต่นี้ไปนักพรตเฒ่าไม่ใช่เจ้าอาราม อีกต่อไปแล้ว หลังจากกลับไปที่ตัวเมืองก็จะมีหน้าที่อย่างอื่นรอให้เขา ไปทํา
หลังจากนั้นนักพรตเฒ่าก็เรียกเตียนเค่ออย่างฉางเกิงมา มอบ
สมุดบัญชีให้กับผู้เฒ่า หงเหมี่ยวบอกให้พวกเขาอดทนรอผู้ดูแลคน ถัดไปมารับหน้าที่ เรื่องของการมอบหมาย ทรัพย์สิน สมุดบัญชีและ ตําราต่างๆ พวกเขาล้วนไม่ต้องเป็นกังวล ถึงอย่างไรที่ห้องบัญชีก็ เหลือเงินแค่ไม่กี่สิบตําลึงเท่านั้น นักพรตเฒ่ายังบอกด้วยว่ายันต์ที่ตน แปะไว้ตามจุดต่างๆ ของอารามนั้นห้ามปลดออกเด็ดขาด สามารถ ขับไล่ภูตผีสิ่งชั่วร้ายได้
ผลคือหลังจากนั้นไม่กี่วัน
ผู้คนในอารามเต๋าต่างก็รู้สึกเหมือน ตกอยู่ในอันตราย แต่ละคนอกสั่นขวัญผวา โชคดีที่ไม่มีใครถูกผีร้าย เล่นงาน หลิวฟางคนเฝ้าศาลได้ยินเรื่องนี้ เดิมยังคิดว่าในเมื่อเจ้า
อารามคนใหม่ยังมาไม่ถึงตนก็จะไปนอนอยู่ในห้องของหงเหมี่ยวสัก
อารามหลิงจิ้งอย่าออกไปไหน ผลคือ
สองสามคืน ทีแรกก็ไม่มีอะไร กลับยิ่งมั่นใจว่าควรจะหลบอยู่ใน
ในอารามก็ตกใจจนหันหัวเลี้ยวกลับ วิ่งตะบึงลงไปจากภูเขาทันที
ตัดสินใจแล้วว่าภายในเวลาสองสามเดือนนี้จะไม่ขึ้นมาบนภูเขา
เด็ดขาด ถึงอย่างไรจะมีหรือไม่มีคนเฝ้าศาล ทางอารามก็ไม่มีงาน อะไรให้เขาทําอยู่แล้ว
ด้านหลังอารามมีบ่อน้ําแห่งหนึ่งที่น้ําแห้งขอดมานานหลายปี
ตั้งอยู่ใกล้กับแปลงผัก แปลงหนึ่ง นอกจากใบไม้ร่วงและหิมะที่ทับถม อยู่ในบ่อน้ําแล้วก็ไม่มีอะไรอีก
ในอดีตหลินซูมักจะชอบหลอกคนอื่นๆ ว่าด้านในนั้นอันที่จริงมีผี สาวที่กระโดดน้ําฆ่าตัวตายอยู่ ผลคือหงเหมี่ยวมาได้ยินเข้าโดย บังเอิญจึงด่าหลินซูเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
กู่เกาสังเกตเห็นว่าช่วงนี้หม่าฉงคล้ายจะนิสัยเปลี่ยนไป เหมือน กลายไปเป็นคนละคน เดิมทีพวกเขาแบ่งงานกันชัดเจนแล้ว ไม่ว่า
ใครก็ไม่ยินดีจะทํางานเพิ่มอีกแม้แต่น้อย ทว่าหม่าฉงกลับเป็นฝ่าย เหมาเอางานในแปลงผักมาทําคนเดียว ทั้งยังชอบตื่นกลางดึก ออกไปนานมากกว่าจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง นานวันเข้าแม้แต่
หลินซูก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่กลับยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้
จะให้เขาไปขัดขวางคนอื่นไม่ให้ขยันทํางานไปทําไม ส่วนเฉินฉงที่ได้ รับคําเตือนจากกู่เกาก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน คิดแล้วจึงนัด หมายกับกู่เกาว่าตอนกลางคืนจะไม่หลับ จะไปดูว่าหม่าฉงไปทําอะไร กันแน่ สุดท้ายเฉินฉงกลับหลับสนิทเหมือนหมูตัวหนึ่ง กู่เกาฝืนถ่าง ตา ทั้งๆ ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเล็กๆ จากการที่หม่าฉงเปิดปิด ประตู แต่ถึงอย่างไรกู่เกาก็ยังขี้ขลาดเกินไป แล้วก็กลัวหนาวด้วย คิด แล้วจึงหลับต่อ
หน้าตางดงามที่สวยขอเป็นภาพแขวนของหญิงสาว
หน้าตางดงามที่สวมชุดแต่งงานสีแดงสดอยู่คนหนึ่ง เป็นสาวงามดุจ
ดั่งภาพวาดอย่างจริงแท้
และนี่ก็คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้นางสามารถหลบพ้นกระจกส่อง
มารมาได้ ตอนนั้นเส้นแสงเหมือนลําเพลิงที่ไหลเข้ามาในบ่อน้ําทําให้
ผีตนนี้รู้สึกร้อนลวกแผดเผาทรมานเหลือจะกล่าว ได้แต่กัดฟันอดทน
เอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะให้นางวิ่งออกไปเปิดฉากเช่นฆ่าครั้งใหญ่หรือไร นั่นไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ เพียงแต่น่าประหลาดใจนัก ช่วงนี้นาง มักรู้สึกว่าในอารามเล็กมีร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทําให้คนหงุดหงิดใจ อยู่ นางจึงฉวยโอกาสยามที่อารามเล็กยังไม่มีเต้ากวานมาดูแล อาศัย วิชาลับเฉพาะบทหนึ่งทําการสํารวจทุกซอกทุกมุมของอารามเต่า อย่างละเอียด ที่แท้ก็เป็นนังหนูชื่อถานโส่วผู้นั้นที่แอบเล่นตุกติก ขอบเขตไม่สูง แต่กลับแอบทิ้งยันต์แผ่นหนึ่งของตระกูลที่สืบทอดมา
ม
เอาไว้ แปะไว้ใต้โต๊ะหนังสือในห้องของหงเหมี่ยว คือท่าไม้ตาย? ถือ ว่าละเอียดรอบคอบมากแล้วจริงๆ หากโชคดี ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่สิบปี หรือหนึ่งถึงสองร้อยปี ไม่แน่ว่าเหล่าเหนียงอาจยังต้องกริ่งเกรงอยู่
หลายส่วน
หึหึ ตอนนี้เหล่าเหนียงคิดจะใช้อุบายขึ้นมา แม่นางน้อยเจ้าก็ยัง อ่อนหัดเกินไป
ส่วนหม่าฉงผู้นั้น เขาถูกนางล่อลวงให้สติไม่สมประดีจริงๆ แต่อัน ที่จริงนางกลับรู้ชัดเจนดีว่า หากไม่เป็นเพราะตัวของหม่าฉงเองไม่ได้
นเ
ความ นางก็คงไม่มีทางทําได้ราบรื่นถึงเพียงนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร นางคิดไว้แล้วว่าจะฝึกตนอยู่ที่นี่ในระยะยาวแล้ว เมืองหลวงแคว้นหนันเหอ เต้ากวานผู้หนึ่งที่เป็นเทพเซียนผู้เฒ่า ห้าขอบเขตบน ในฐานะเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น คืนนี้เงินเหรินผู้เฒ่า อยู่ในกองโหราศาสตร์ เดินขึ้นหอสูงไปสํารวจปรากฏการณ์ดวงดาว
ยามค่ําคืน เมื่อถอนสายตากลับมาแล้ว เงินเหรินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บน
เบาะรองนั่งก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที เขาหรือจะกล้าบอกการคาดเดา บางอย่างในใจให้ กบคนนอกรู้ แม้แต่กับฮ่องเต้เขาก็ยังไม่กล้า ปากมากแม้แต่ครึ่งคํา
ธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละแคว้นจะมีการก่อตั้งมณฑล จังหวัด
เขตการปกครองและ อําเภอ ในบรรดานี้จังหวัดไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก ส่วนใหญ่แล้วต้องเป็นสถานที่สําคัญถึงจะมีจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น
เขตการปกครองอิ่งชวนที่ช่วงนี้มีผีออกอาละวาดที่ร้อยปีที่ผ่านมาได้ ค่อยประชันขันแข่งที่จะเลื่อนจากเขตการปกครองไปเป็นจังหวัดอยู่
เสมอ
การที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดให้ฮ่องเต้ฟัง
นั่นเพราะในแถบชายแดนของแคว้นหนันเหอ มีขุนเขาสายน้ําที่ ลึกลับอําพรางแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีความเป็นไปได้
อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นร่องรอยแห่งมรรคาที่…อยู่ภายใต้สถานการณ์
พิเศษบางอย่างของผู้ฝึกตนใหญ่บางท่าน
ยกตัวอย่างเช่นเป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่หลบซ่อนอยู่ในภูเขา
ของผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่ง ทว่าระหว่างที่เขาปิดด่านกลับมิอาจ
หนาบนร่างตัวเองได้ ไม่ว่า
จะอย่างไรก็น่าจะเริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนเหริน หรือควรจะพูดว่าผู้ฝึก ตนใหญ่บางคนได้สละร่างจากโลกนี้ไปอย่างเงียบเชียบ กลิ่นอาย
– ทั่วฟ้าดิน เจินเหรินผู้เฒ่าจึงยิ่งไม่กล้า
บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ป่ายอวี้จิง สืบสาวราวเรื่องกันแล้วนอกจากจะเป็น
เพราะพื้นที่ประหลาดแห่งนี้มีความเป็นมาไม่แน่ชัด แผ่กลิ่นอาย อันตรายบางอย่างแล้ว หากพูดถึงแค่เรื่องของผลกระทบ ไม่ว่าจะพูด อย่างไรก็ยังเป็นเรื่องเล็กอยู่ดี ก็แค่ว่ามีผีขอบเขตประตูมังกรโผล่มา ตัวหนึ่งเท่านั้น หากเอะอะไปถึงหูป้ายอวี้จึงกลับจะไม่ใช่เรื่องเล็กอีก ต่อไป หากไม่ระวังให้ดีก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า อย่าว่าแต่
เขาเลย แม้แต่ฮ่องเต้และตลอดทั้งราชสํานักก็มิอาจแบกรับผลที่
ตามมาได้ไหว
หากว่าเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงยังอยู่ หรือเจ้าลัทธิลู่เป็นผู้ดูแล
ใต้หล้า คงไม่เป็น ปัญหานัก
ไม่แน่ว่าหากโชคดีมากพอก็อาจจะทําให้เจ้าลัทธิลู่ที่ชอบเที่ยว เล่นไปตามโลกมนุษย์ผู้นั้นแวะเวียนมาเยี่ยมเมืองหลวงแคว้นหนันเห
อรอบหนึ่งก็เป็นได้
คิดมาถึงตรงนี้
เล่นเยดอีกที ฝึก
ตนมานานหลายร้อยปีแล้ว ยังไม่เคยไปเยือนป้ายอวี้จิง ได้แต่เคยเห็น เต้ากวานเทียนเซียนของป๋ายอวี้จิงท่านหนึ่งที่มาเข้าร่วมงานพิธีอยู่
ไกลๆ เท่านั้น เพราะตําแหน่งห่างมาไกลจึงพินิจมองอย่างละเอียดได้ ทว่าไม่กล้าจะเข้าไปตีสนิท
หล้า
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าทุกวันนี้เป็นเจ้าลัทธิอวี่ที่เป็นผู้ดูแลกิจธุระในใต้
ในเมื่อ ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผีตนหนึ่งที่อย่างมากสุดก็เป็นแค่ โอสถทองมาจู่โจมก่อกวน คงไม่อาจสร้างปัญหาใหญ่อะไรออกมาได้
ถ้าอย่างนั้นก็ทําให้กลายเป็นเรื่องเล็กไปก็แล้วกัน ขอแค่จับตัวผีสาว
ตนนั้นมาได้ก็พอ
บนยอดเขารุ่นเยว่ ซินขู่หยุดการเดินนิ่ง จิตขยับไหวเล็กน้อย หันหน้าไปมองทิศทาง หนึ่งตามจิตใต้สํานึก
เพียงแต่ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ซินขู่ได้เห็นเรื่องแปลกประหลาดมา มากมายแล้วจริงๆ จึงไม่คิดจะไปสืบเสาะดู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวของหลินเจียงเซียน หลังจาก
นั้นก็เป็นเจ้าแห่งถ้ําปีเซียว และก่อนหน้านั้นอีกก็มีหลงซือแห่งหย่ง โจวที่เอ่ยคําทํานายแค่ประโยคเดียว อยู่ดีๆ ก็กระอักเลือดเสียอย่าง
นั้น…..
เลือ
นอกชานเมืองของอําเภอเล็กเขตการปกครองอิ่งชวน ใน อารามหลิงจิ้งบนภูเขา ตอนนี้คือช่วงกลางดึก หม่าฉงมาที่บ่อน้ําอีก ครั้ง เขากระโดดลงไปด้านใต้บ่อน้ําโดยตรง แล้วก็ได้เห็นภาพสาว
งามบนฝาผนัง
หลินซูหลับสนิทมาก เสียงกรนดังราวเสียงฟ้าผ่า
กู่เกาพลิกตัวกลับไปกลับมา แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะสะกดรอยตาม
หม่าฉงไป กําลังลังเลว่าควรจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้าอารามผู้เฒ่าดี หรือไม่ เพียงแต่จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าเขาไม่มีที่อยู่ของอีกฝ่าย แล้วจะหา ตัวอีกฝ่ายเจอได้อย่างไร
ค่ายเจอได้อย่างไร
เด็ก, ใกล้กับหน้าต่างมากที่สุด มือขวาวางทับ
ไว้บนหน้าท้อง มือซ้ายกําเป็นหมัดเบาๆ หลังมือแนบกับฝ่ามือของมือ ขวา กําแผ่นกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่เอาไว้ทํา เป็นเครื่องประดับไว้แน่น
คงเป็นเพราะฝันเห็นอะไรดีๆ มุมปากจึงยกโค้งขึ้น ใบหน้าประดับ ยิ้มน้อยๆ เหมือนหลับแต่ไม่หลับ เหมือนตื่นแต่ไม่ตื่น เด็กหนุ่มที่ผิว คล้ําเล็กน้อย หน้าตา คมคายผู้นี้เพียงแค่ท่องอยู่ในใจตัวเองว่า
“มรรคาอยู่ในใจข้าก็คือคุณธรรม
“ประหนึ่งถูกกักอยู่ในเรือนแห่งอวิชชามิอาจจากไป
อนาคตวันข้างหน้า อันตรายมากมาย เรื่องราวที่ไม่เป็นดั่งใจ
ล้วนถูกขจัดหมดสิ้น ทั้ง กายและใจมีเสรี อยู่เย็นเป็นสุขโชคดี
ผู้คนพากันทําความดี
ค้นหาวสันต์ จุดตะเกียงต่อทิวากาล
ย่าเฉียดกรายเข้าใกล้ความชั่ว ปี