กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 967.4 บนโต๊ะคือหม้อไฟนอกโต๊ะคือหิมะ
เห็นว่าผู้อาวุโสคนนั้นไม่พูดคุยด้วย ชายร่างผอมก็จงใจพูดยุแยง ว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าต้องระวังไว้สักหน่อยนะ ดูจากสีท้องฟ้ าอีกเดี๋ยวก็ คงจะมืดแล้ว ที่นี่คือสถานที่ที่ผีร ้ายออกอาละวาด เต็มไปด้วย วิญญาณดุร ้ายเชียวนะ อย่าได้ประมาทเด็ดขาด อาศัยว่ามีฝีมือการ ต่อสู้เล็กน้อยก็รู ้สึกว่าสามารถเดินกร่างได้แล้ว ระวังว่าเรือจะพลิก คว่าในคลองระบายน้า (เปรียบเปรยว่าทุกสิ่งที่ทามาคว้าน้าเหลวใน ท้ายที่สุด) วิธีการที่ผีร ้ายพวกนั้นออกละวาดสิงคนประหลาดนักล่ะ ไม่ใช่ว่าคนในยุทธภพจะสามารถรับมือได้”
เปิดต ารา คัดตัวอักษรมามากมาย พูดจาก็ต้องมีส าบัดส านวน เสียหน่อย
อันที่จริงในเมืองแห่งนี้ ส่วนที่สามารถค้นหาตักตวงได้ล้วนถูก พวกเขาขูดดินรีดเนื้อมาจนเกลี้ยงแล้ว จึงไม่กังวลว่าจะมีคนมาเก็บ ตกของดีที่นี่ หลงเหลือแค่เศษซากน้าแกงเย็นๆใครที่หากาไรได้ก็ถือ ว่าเป็ นความสามารถของคนผู้นั้นแล้ว
แล้วพวกเขาก็เบื่อกันมากจริงๆ ถึงได้มาอาบแดดยามเย็นอยู่ที่นี่ พูดคุยผายลมกันอยู่ที่นี่ไปเกือบสองชั่วยามแล้ว
ผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้ม พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าคือคนต่างถิ่นที่ เดินทางไกลมาถึงที่นี่ภาษากลางของใบถงทวีปพูดได้ไม่คล่องนัก แค่ พอจะฟังออกคร่าวๆ ความหวังดีของพวกเจ้าข้ารับไว้แล้ว”
ชายฉกรรจ์ที่ผอมเหมือนลิงถามอย่างใคร่รู ้ “คนต่างถิ่น? เป็ นคน ต่างถิ่นอย่างไร?”
ผู้เฒ่ากล่าว “ข้ามาจากแจกันสมบัติทวีป”
คนทั้งกลุ่มพลันสูดปาก รู ้สึกเย็นสันหลังวาบ ตาเฒ่าผู้นี้รับมือได้ ยากมากแน่!
พูดเหลวไหลหรือไร มังกรข้ามแม่น้าที่มาจากแจกันสมบัติ เดินทางลงใต้มาท่องเที่ยวที่นี่ ตบะจะแย่ได้หรือ?
มีเรื่องกับใครก็อย่าไปมีเรื่องกับคนของแจกันสมบัติทวีป นี่แทบ จะเป็ นความรู ้ที่คนทั้งบนและล่างภูเขาของใบถงทวีปในทุกวันนี้เห็น พ้องต้องกันแล้ว
ช่วยไม่ได้ ที่นั่นมีคนเก่งอยู่เยอะมากจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้นั้นก็ไม่ใช่ว่ามาจากแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ?
เจ้าอ้วนที่ชื่อกูซูผู้นั้น ก่อนจะออกไปจากเมืองผีก็เคยพูดจาเป็ น หลักเป็ นฐานน่าเชื่อถือบอกว่าตนเองเป็ นสหายรักที่แค่พบเจอก็ถูก ชะตากันมากของอิ่นกวานหนุ่ม บอกว่าเซียนกระบี่เฉินผู้นั้นตัวสูง
หนึ่งจัง สะโพกหนาขาใหญ่ หน้าตาดุร ้ายอย่างมาก ลาพังแค่หน้าตา ก็มีบารมีสยบภูตผีและสิ่งชั่วร ้ายได้แล้ว ยังแนะนาพี่น้องในยุทธภพที่ ไม่ใช่ผู้ฝึ กลมปราณกลุ่มของพวกเขาว่า ขอแค่เรียกชื่ออิ่นกวาน หนุ่มออกมาตรงๆ วันหน้าเมื่อเดินทางยามค่าคืนก็ไม่ต้องกลัวอีก ต่อไป
แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อ อย่างเจ้าอ้วนที่มองวังม่านเมิ่งแล้ว น้าลายสออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันผู้นี้น่ะหรือจะสามารถเรียกขานว่าตัวเอง เป็ นพี่เป็ นน้องกับอิ่นกวานที่อยู่สูงส่งเหนือใครเหมือนอยู่ไกลจนสุด ขอบฟ้ าผู้นั้นได้? เพียงแต่ว่าต่อให้ไม่เชื่อแค่ไหน ปากก็ยังต้องยกยอ อีกฝ่าย ช่วยไม่ได้ เพราะเคยเสียเปรียบด้วยน้ามือของอีกฝ่ายมาก่อน หากไม่ถูกจับห้อยต่องแต่งก็ต้องถูกมัดไว้เป็ นวิญญูขนบนขื่อคาน นี่ ยังไม่เท่าไร หลักๆ แล้วคือวิญญูชนบนขื่อคานผู้นั้นเพิ่งจะงีบหลับก็ ต้องสะดุ้งตื่น ค้นพบว่าจู่ๆ ข้างกายตัวเองก็มีสตรีที่เลือดไหลออกจาก ทวารทั้งเจ็ดนั่งอยู่ กาลังหวีผม รอกระทั่งตกใจจนหมดสติแล้วฟื้นตื่น ขึ้นมาอีกครั้งก็สังเกตเห็นว่าตัวเองแอบอิงอยู่ในอ้อมอกของผีหญิง นางก้มหน้าลงมาจ้องตา ตาประสานตาก็สลบเหมือดไปอีก…
แต่ละวันผ่านพ้นไปราวกับนานเป็ นปี ประสบการณ์อันน่าอนาถ ที่เจอในนครผีช่วงที่ผ่านมานี้ ออกไปแล้ววันหน้าสามารถเอาไป เขียนเป็ นเรื่องเล่าพิสดารได้เลย
ซ่งอวี่เซาตรงดิ่งไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองเก่าแห่งนั้น
ลมและน้าของสถานที่แห่งนี้เป็ นเช่นไร ผู้เฒ่าที่ออกท่องยุทธภพ มาจนเคยชิน แค่มองก็พอจะเห็นความจริงได้คร่าวๆ แล้ว
อันที่จริงหากพูดถึงแค่เรื่องที่ไม่เห็นโครงกระดูกขาวใดๆ อยู่ใน นครแห่งนี้ก็สามารถอธิบายปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว
เกินครึ่งในพื้นที่น่าจะมีเทพอภิบาลเมืองที่ไม่เลวคนหนึ่ง
กู่ชิว เจ้าของเมืองผีที่แท้จริง ทุกวันนี้นั่งบัญชาการณ์อยู่ในศาล เทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองเก่า
มีเด็กสาวผีชางที่ชื่อว่าเสี่ยวฝ่าง ขอบเขตโอสถทอง หลายปีมานี้ นางรับหน้าที่เป็ นสาวใช ้ของกู่ชิว มักจะอาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็กหลัง หนึ่งที่ปลูกดอกท้อ
กู่ชิวมีชาติกาเนิดจากตระกูลปัญญาชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ ราชวงศ์ต้ายวนในอดีต บิดาเคยเป็ นขุนนางหลักในส านักทอผ้าของ แคว้น เป็ นคนรู ้ใจของอดีตฮ่องเต้ และกู่ชิวเองก็เป็ นจิ้นซื่ออที่สอบติด สองรอบตัวจริง อายุอยู่ในวัยสวมกวานก็ไปรับต าแหน่งที่ต่างเมืองท า หน้าที่เป็ นนายอาเภอของอาเภอใหญ่แห่งหนึ่งใต้เขตการปกครอง ผลงานการปฏิบัติ หน้าที่โดดเด่น
ก่อนหน้านี้ก่อนที่จงขุยจะจากไป ได้บอกว่าเขาสามารถสามารถ ช่วยแนะน าคู่ชีวให้กับทางจักรพรรดิพระองค์ใหม่ของต้ายวนได้ ไม่ แน่ว่าอาจจะได้รับการแต่งตั้งที่ถูกต้อง สามารถทาหน้าที่เป็ นเทพ อภิบาลประจ าเขตการปกครองได้อย่างเป็ นทางการ
หากได้เลื่อนขั้นตามคุณความชอบ ไม่มีอะไรให้ต้องเล่นตัว เพียงแต่กู่ชิวก็ยังลังเลอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้แม่ทัพบู๊ของ ด้ายวนที่เป็ นผู้ดูแลงานพิธีทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตายท างาน อย่างขอไปที เพื่อรายงานผลงาน โครงกระดูกมากมายที่ปริแตกไป ระหว่างการขนย้ายอย่างน้อยก็มีถึงครึ่งหนึ่ง กู่ชิวเคยไปพูดโน้มน้าว ผลกลับเกือบถูกล้อมโจมตี นี่ทาให้กู่ชิวหมดอาลัยตายอยากอย่าง สิ้นเชิง แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสายตาของกู่ชิวแล้ว จักรพรรดิ พระองค์ใหม่ผู้นั้นได้ครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรม ไม่ถือว่าสืบทอด บัลลังก ์อย่างถูกต้อง
ผลคือถูกเจ้าอ้วนเอ่ยเหน็บแนมไปยกหนึ่ง บอกว่าอายุน้อยๆ ก็มี ความเคยชินของปัญญาชนรุ่นเก่าเสียแล้ว ไม่คิดจะกอบกู้ สถานการณ์บ้างเลย เอาแต่คิดว่าอยากจะเจอ จักรพรรดิผู้ปรีชาที่มี อัจฉริยะและแผนการอันล้าลึก ถึงจะยินดีออกจากภูเขา ถึงจะยินดี แสดงปณิธาน หากว่าพี่ใหญ่กูซูอย่างข้าได้เป็ นฮ่องเต้ก็ไม่อยากได้ คนมีชื่อเสียงที่บริสุทธิ์สูงส่งอย่างเจ้าหรอก…
กู่ชิวย่อมรู ้ดีว่า ผีเขียนที่เรียกตัวเองว่ากูซูผู้นี้ใช ้วิธียั่วยุให้เกิด ความฮึกเหิม แต่พอคิดตามก็รู ้สึกว่าอีกฝ่ ายพูดมีเหตุผลอยู่ เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้จงขุยเคยเปิดเผยความลับสวรรค์ บอกว่าการที่มิอาจ นั่งบัญชาศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งหนึ่งได้อย่างมั่นคง มิอาจพลิกเปิด
สมุดคุณความชอบได้ ก็เพราะว่ามีเหตุผล ต้องคิดเรื่องของมีใจคิด ทาความดีกับไร ้เจตาทาเรื่องชั่วช ้าให้มากๆ หน่อย
ในศาลเทพอธิบาลเมือง เสี่ยวฝ่ างเอ่ยเตือนกู่ชิวเสียงเบา “เพิ่งมี อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาถึง บอกว่ามาจากแจกันสมบัติทวีป ดูเหมือน จะเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก”
กู่ชิวพยักหน้ารับ “ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้อาจารย์ผู้เฒ่าเดินเล่น ไปได้เลย”
กู่ชิวที่มีฐานะเป็ นเจ้าบ้านของเมืองแห่งนี้ คือเทพอภิบาลเมือง ประจ าเขตการปกครองที่ขาดแค่การแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการจาก ทางราชสานักเท่านั้น เขามองออกตั้งนานแล้วว่าอีกฝ่ ายคือคนเฒ่า คนแก่ในยุทธภพที่มีความเที่ยงตรง
แล้วก็จริงดังคาด อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้เดินเข้ามาในศาลเทพ อภิบาลเมือง เพียงแค่กุมหมัดคารวะอยู่นอกประตูไกลๆ ก็หมุนตัวเดิน จากไปแล้ว
เดิมทีผู้เฒ่าคิดไว้ว่าหากครั้งหน้าที่ได้เจอกัน จะต้องวางมาดให้ คนหนุ่มหน้าเหม็นผู้นั้นได้เห็นเสียหน่อย เพียงแต่เมื่อผู้เฒ่าได้เห็น คนชุดเขียวบนถนนจริงๆ ก็ยังคงตีหน้าเคร่งไม่ไหวหลุดยิ้มออกมา
ซ่งอวี่เซาเอาสองมือไพล่หลัง เดินก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้า ยิ้มถาม ว่า “ไม่ใช่ว่าไม่ได้อยู่ในภูเขาหรอกหรือ ทาไมถึงมาเจอข้าที่นี่ได้?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “ลงจากภูเขายังไม่ทันจากไปไกลก็ ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากลูกศิษย์ ก็เลยรีบรุดกลับมา ถึงอย่างไรก็ เป็ นแค่การเดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น”
ซ่งอวี่เซาถาม “หาสถานที่สักแห่งกินหม้อไฟ จิบเหล้าน้อยๆ กัน สักหน่อยดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรผู้อาวุโสก็อายุมากแล้ว อยากจิบเหล้าน้อยๆ ก็จิบน้อยๆ ไปเถอะ แต่ข้าน่ะจะดื่มอย่างเต็มที่ เลยล่ะ หม้อไฟแกล้มเหล้า ใต้หล้านี้ก็เป็ นของข้าแล้ว”
ซ่งอวี่เซาด่าขาๆ ว่า “พูดเรื่องไหนไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้ เจ้าเด็ก โง่ไปเรียนรู้ค าเหน็บแนมมาจากใครกัน”
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป ผู้เฒ่าหันมามองคนหนุ่มที่สวมชุด เขียวสะพายกระบี่พยักหน้า “ไม่เลว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจต้องขอความรู้ จากผู้อาวุโส”
ซ่งอวี่เซาพยักหน้า “นั่งอยู่บนโต๊ะสุรากันแล้วค่อยพูด”
ก่อนที่เฉินผิงอันจะเผยกายก็ได้รบกวนให้กู่ชิวกับแม่นางเสี่ยว ฝ่ างช่วยหาวัตถุดิบในการทาหม้อไฟให้แล้ว ส่วนสุรานั้นไม่ต้องหา เฉินผิงอันพกมาเอง
ในเรือนหลังหนึ่งที่ผ่านการเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน บนโต๊ะ วางหม้อทองแดงที่น้าเดือดพลั่กๆ รอไว้เรียบร ้อยแล้ว อาหารทั้งผัก และเนื้อ พริกชอย น้าจิ้ม ล้วนเตรียมไว้ครบถ้วน
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณแม่นางเสี่ยวฝ่ าง เด็กสาวคลี่ยิ้มหวาน โบกมือเอ่ยว่าคุณชายไม่ต้องเกรงใจ แล้วนางก็ยอบกายคารวะ เดิน ชดช ้อยจากไป
เพราะดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสซ่งแล้วยังมีเรื่องให้ต้องปรึกษา เฉินผิง อันจึงไม่ได้เชิญให้เด็กสาวและกู่ชิวมากินหม้อไฟด้วยกัน
หลังจากเด็กสาวเดินข้ามธรณีประตูไปแล้วก็พลันหยุดเท้า ถาม อย่างใคร่รู ้ว่า “ขอถาม ได้หรือไม่ว่าคุณชายชื่อแช่อะไร?”
เพราะถึงอย่างไรก็คือสหายรักบนภูเขาของอาจารย์จง อีกทั้ง คราวก่อนที่อีกฝ่ ายปรากฏตัวในเมืองก็มีพลังอ านาจของยอดฝีมือ อย่างเปี่ยมล้น เพียงเผยกายก็สยบทุกคนไว้ได้อย่างราบคาบ
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “แซ่เฉินนามผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข ปลอดภัย”
เด็กสาวอึ้งตะลึง กลั้นขาแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญยิ่งนัก” ถึงกับมีชื่อเดียวแซ่เดียวกับอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเลยนะ เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “บังเอิญจริงๆ”
พวกผู้ชมที่ฟุบตัวมุงดูอยู่บนหัวกาแพงหัวเราะครีน เป่าปากเฟี้ยว ฟ้ าว โดยเฉพาะวังม่านเมิ่งที่ยิ่งหัวเราะชอบใจ คนรุ่นหลังหน้าตาหล่อ เหลาช่างใจกล้ายิ่งนัก พี่สาวชอบบัณฑิต ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่น อายแบบนี้นี่แหละ
เสียวฝ่างถลึงตาใส่พวกเขาดุๆ โบกมือไล่คน
คุณชายเฉินมีชื่อเดียวกับอิ่นกวานหนุ่มแล้วอย่างไร เฉินผิงอันผู้ นั้นจะมายุ่งอะไรด้วย
เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าสองกาและชามขาวสองใบออกมา ดื่ม เหล้าใช ้จอกเหล้า นั่นเป็ นเรื่องที่มีเพียงเซียนสุราหลิวและเว่ยคอแข็ง เท่านั้นที่ถึงจะทาได้
ซ่งอวี่เซาเหลือบตามองจานเครื่องปรุงที่อยู่ข้างมือของเฉินผิงอัน พริกแห้งกับพริกสดชอยยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึง สายตาของผู้เฒ่าก็คีบพริกมาอีกสอง ตะเกียบ
ซ่งอวี่เซารินสุราให้ตัวเองเต็มชาม แต่ไม่ได้รีบร ้อนดื่มเหล้า ผู้ เฒ่าเปิดปากเอ่ยว่า “เรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ อย่าได้ทา เรื่องที่มา จากใจจริง แต่ผิดต่อคุณธรรมในยุทธภพก็อย่าทา เรื่องที่วันนี้ทา ไม่ได้ แต่ในอนาคตมีโอกาสจะทาสาเร็จ อย่าทาทุกวิถีทางเพื่อให้ บรรลุเป้ าหมาย อย่ารีบร ้อนที่จะทา”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่งก็ยกชามเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น ผู้เยาว์ก็ไม่มีค าถามจะถามแล้ว”
ซ่งอวี่เซายกชามเหล้าขึ้น ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็อดไม่ไหวถาม เสียงเบาว่า “ท าไมหรือรู ้สึกหวั่นไหวกับสตรีคนอื่นนอกเหนือจากแม่ นางหนิงหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งค้างไร ้คาพูด ผู้อาวุโสท่านเป็ นยังไงกันนะ ถึงได้ถาม คาถามประเภทนี้ออกมา แล้วก็เพราะเป็ นท่านผู้อาวุโส หาไม่แล้วใคร พูดแบบนี้ข้าไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ แน่เฉินผิงอันยกชามเหล้า เอ่ยอย่าง อัดอั้นว่า “ผู้อาวุโส อย่าพูดเหลวไหล ดื่มให้หมดเลย”
ซ่งอวี่เซาเอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าเดาถูกแล้วจริงๆ หรือนี่ เจ้าเด็ก โง่เจ้าเก่งใหญ่แล้วนะทุกวันนี้ไม่ขี้ขลาดแล้ว ดื่มเหลากะผายลมอะไร เจ้าอยากโดนด่าหรือ?!”
เฉินผิงอันพูดอย่างอ่อนใจ “ผู้อาวุโสท่านคิดดูเอาเองเถอะ เรื่อง แบบนนี้ เป็ นไปได้หรือ? เอาความกล้ามาให้ข้ายืมสิ?”
ข้าอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกครั้งที่ออกไปดื่มเหล้านอก บ้านจะต้องสลายกลิ่นสุราให้หมดเสียก่อนถึงจะกล้าเคาะประตู แน่นอนว่าไม่ถึงขั้นถูกปล่อยให้นอนนอกบ้านทั้ง คืน ไม่ถึงขั้นนั้น
ซ่งอวี่เซาสีหน้าผ่อนคลายลง พยักหน้า “ก็จริงนะ เหล้าชามนี้ ข้าจะค่อยๆ ดื่ม เจ้าดื่มให้หมดชามเถอะ”
เฉินผิงอันกระดกดื่มจนหมด ผู้เฒ่าที่ปากบอกว่าจะค่อยๆ ดื่ม อัน ที่จริงกลับไม่ได้ทาอย่างที่บอก เขาเองก็กระดกดื่มหมดชามโดยตรง เช่นกัน
เฉินผิงอันเห็นอย่างนั้นก็รู ้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย หากรู ้อย่าง นี้แต่แรกคงเอา ชามใหญ่” ของร ้านเหล้าที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ออกมาแทนแล้ว
บนโต๊ะไม่จาเป็ นต้องยุกันให้ดื่ม ซ่งอวี่เซาดื่มเหล้าต้ม พลันถาม ว่า “เจ้าหนูเจ้ามีผมหงอกได้อย่างไร?”
ไม่มาก แต่ในเมื่อกวาดตามองไปไม่กี่ทีก็มองเห็นได้แล้ว นั่น หมายความว่าผมหงอกของคนหนุ่มต้องมีไม่น้อยแน่
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มเอ่ย “อาจเป็ นเพราะขอบเขต ถดถอย ไม่เป็ นไรหรอก ดูแก่หน่อยก็ดีเหมือนกัน”
เรื่องนี้ตนไม่เคยสังเกต แต่คิดว่าคนข้างกายคงมีคนสังเกตเห็น กันนานแล้ว แต่พวกเขามีเหตุผลที่แตกต่างกันไป ก็เลยเลือกที่จะไม่ เปิดปากพูดออกมา
เรื่องแบบนี้คงมีแค่ผู้เฒ่าและผู้อาวุโสที่ทั้งเส้นผมและหนวดเครา ล้วนขาวโพลนแล้วเท่านั้นที่ถึงจะพูดถึงอย่างไม่มีอะไรให้ต้องกริ่งเกรง
ผู้เฒ่าก็ไม่ถามว่าทาไมถึงขอบเขตถดถอย เพียงแค่ยิ้มเอ่ย “มี เพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นถึงจะมีความคิดว่าต่อให้ผมขาวดูแก่ก็ไม่เป็ นไร”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหนึ่งที
ตรงมุมกาแพงนอกห้อง ก่อนหน้านี้มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งนั่ง ยองอยู่ หลังจากพวกกลุ่มของวังม่านเมิ่งถูกไล่ไปแล้ว เด็กหนุ่มที่ใน ที่สุดไร ้ธุระก็ตัวเบาก็ติดตามพวกเขาจากไปด้วย
ไม่ไปรบกวนอาจารย์ของตัวเองกับผู้อาวุโสที่พูดแค่ไม่กี่คาก็ สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้ าได้แล้ว ปล่อยให้พวกเขา ร าลึกความหลังกันไปดีๆ
วังม่านเมิ่งหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่ชายแขนเสื้อสี ขาวหิมะสองข้างสะบัดราวกับบิน ท่าทางอารมณ์ดีอย่างมาก ยิ่งมอง นางก็ยิ่งรู ้สึกว่าแขกชุดเขียวที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะในห้องคนนั้น รูปโฉมไม่ เท่าไร ธรรมดาสามัญอย่างมาก
สตรีบิดเอวบาง คลี่ยิ้มหวานพูดด้วยสีหน้าเย้ายวน “คุณชายจาก บ้านใดกัน วิ่งมาเที่ยวเล่นที่นี่ ฟ้ ามืดแล้วนะ เดินทางตอนกลางคืน กลัวหรือไม่ รีบมาตามติดอยู่ข้างกายพี่สาวเข้าสิ มืดมิดจนยื่นมือไป มองไม่เห็นห้านิ้วอย่างนี้ ไม่ระวังชนหรือคล าโดนอะไรเข้าก็เป็ นเรื่อง ปกติ พี่สาวไม่ตาหนิหรอก”
เวลานี้ชุยตงชานอารมณ์ดีมากจึงแสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน ไม่ถือสา นางก็แล้วกัน เพียงแค่เงยหน้าขึ้น สังเกตเห็นว่าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ครานี้มีหิมะตกลงมาแล้ว
เห็นว่าเด็กหนุ่มรูปงามสวมชุดสีขาวหิมะไม่คุยด้วย หญิงงามก็ รู ้สึกหมดสนุก ไม่กล้ายื่นมือไปหยิกแก้มเขา ใช่ว่ากลัวจะพลิกไห
น้าส้มคว่า (ไหน้าส้มเปรียบเปรยถึงคนขี้หึงแสดงอาการหึงหวง) เพียงแต่เหมือนผีดลใจทาให้นางรู ้สึกว่าเด็กหนุ่มที่หน้าตาชวนมอง อย่างถึงที่สุดผู้นี้ดูดีมากเกินไป ไฝแดงกลางหว่างคิ้วของเด็กหนุ่ม งดงามเหมือนกิ่งเหมยริมสะพานในหมู่บ้านชนบทที่เคยเห็นท่ามกลาง หิมะใหญ่เท่าขนห่านตอนยังเป็ นเด็กสาว
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินไปบนถนนช ้าๆ หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆพอคืนสติ เขาก็พลันคลี่ยิ้มกว้าง “พี่สาว ท่านนี้ ข้าชื่อชุยตงซาน คือลูกศิษย์ของอาจารย์”
หม้อไฟบนโต๊ะหิมะนอกโต๊ะ เกล็ดหิมะโปรยปรายสามพัน โลกธาตุ