กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 968.5 ไม่ใช่ออี๋โต้วคนที่สอง
มีเจ้าตะพาบเฒ่าคนหนึ่งที่เคยมีการคาดเดาอย่างหนึ่ง แรง บันดาลใจมาจากเทวบุตรมารของฟ้ านอกฟ้ า ทั้งสามารถจาแลงเรือน กายได้นับร ้อยนับพันล้าน แล้วก็สามารถผสานรวมร่างกลายเป็ นหนึ่ง
ดังนั้นชุยฉานจึงลองตั้งสมมติฐานดูว่า ความคิดของสรรพชีวิตที่ มีสติปัญญาทั้งหมดในใต้หล้า ต้นกาเนิดล้วนมาจาก “บ่อน้า” บ่อ เดียวกัน
ความคิดทั้งหมดก็คือ ‘ดอกไม้ไฟ” แต่ละดอกที่กระโดดโผล่พ้น ผิวน้า
วังม่านเมิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไม่รู ้สึกว่าความคิดวุ่นวาย เหลวไหลของตนจะสามารถส่งผลกระทบต่อสภาพการณ์ในเวลานี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้เงินร ้อนน้อยสามเหรียญมาเปล่าๆ จริงๆ?
หลังจากนั้นเม็ดหมากสีขาวในโถก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เริ่มมี เม็ดหมากสีด าทยอยปรากฏขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะถูกชุยตงซานโยนใส่ไว้ ในโถอีกใบหนึ่ง
วังม่านเมิ่งไม่มีเวลามามัวตกตะลึงแล้ว นางไม่คิดมากอีก วันนี้อยู่ กับชุยตงซานนางได้พบเจอเรื่องไม่คาดฝันมามากมายจริงๆ จึงไม่ รู ้สึกประหลาดใจอีกต่อไปแล้ว ชินแล้วก็ดีเองนั่นแหละ
เพราะทุกครั้งที่นางคิดถึงบุคคลที่พร่าเลือนเห็นไม่ชัดระหว่างที่ หยุดพัก เม็ดหมากที่รวมตัวกันขึ้นมาบนปลายนิ้วของเด็กหนุ่มชุด ขาวก็จะกลายเป็ นสีด า
ในห้องโถงใหญ่ มีเพียงกระถางไฟที่อยู่ใต้ฝ่ าเท้าของคนทั้งสอง เท่านั้นที่ถ่านไม้แตกปะทุยังส่งเสียงขึ้นเป็ นระยะ หิมะใหญ่นอกห้องยิ่ง นานก็ยิ่งตกหนัก หิมะทับถมที่อยู่ในลานบ้านจะต้องมิดท่วมข้อเท้าได้ แน่นอน
ชุยตงซานนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ วังม่านเมิ่งเริ่มพยายามเค้น สมองคิดถึง “แขกที่ผ่านทางมา” บนเส้นทางของชีวิตตน บางคนก็มี วาสนาได้พบเจอหน้ากัน บางคนแค่เดินสวนไหล่ผ่านกันไปแต่กลับ ไม่ทันระวังจดจาพวกเขาได้เพราะลักษณะพิเศษที่เด่นชัดบางอย่าง มี ทั้งคนเฒ่าคนแก่ในบ้านเกิดที่เคยเจอตอนเป็ นเด็ก บางทีอาจจะก าลัง นั่งโบกพัดใบลานรับลม บางทีอาจจะกาลังแบกข้าวสารอยู่บนบ่าที่ เสื้อผ้ามีรอยปะเย็บ และยังมีคนวัยเดียวกันที่มักจะมาแอบมองนาง ตอนที่นางอายุยังน้อย ยังไม่ได้ขึ้นเขาไปฝึกตน….
เม็ดหมากสีขาวและสีดาที่ทับซ ้อนกันอยู่ในโถเก็บเม็ดหมากสอง ใบยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อความคิดของวังม่านเมิ่งเริ่มติดขัดชะงักค้าง ชุยตงซานก็เอน ร่างไปพิงที่วางแขนเก้าอี้ เท้าคางด้วยมือข้างเดียว มือข้างหนึ่งลอย ค้างอยู่กลางอากาศตลอดเวลา
วังม่านเมิ่งยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว ถามว่า “มีกี่เม็ดแล้ว?”
ชุยตงชานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เงินร ้อนน้อยสามเหรียญได้มาอยู่ใน มือแล้ว ส่วนเงินฝนธัญพืชที่เพิ่มเติมมากลับได้มาค่อนข้างยากอยู่ บ้างจริงๆ เพราะความต่างในด้านจ านวนยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่สู้ลองคิดดู ให้ดีอีกสักครั้ง?”
วังม่านเมิ่งเอ่ยอย่างจนใจว่า “นึกคนมากกว่านี้ไม่ออกแล้ว”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “บุคคลในภาพแขวน ในตาราก็นับรวมด้วย นะ”
วังม่านเมิ่งเหมือนได้เปิ ดสติปัญญา สามารถคิดถึง บุคคลใน ภาพวาด” ได้อีกหลายร้อยคน
ชุยตงซานเหลือบมองโถเก็บเม็ดหมากแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “สามารถ รวมชื่อที่เจ้าเคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่าจะเป็ นจักรพรรดิ แม่ทัพ ขุนนาง ฉายาของผู้ฝึกตน ล้วนนับรวมได้หมดแน่นอนว่าห้ามแต่งขึ้นเอง คิด ชื่อมั่วๆ เอามาหลอกข้า หาไม่แล้วเม็ดหมากจะต้องถูกลบทิ้งไปเม็ด หนึ่ง”
วังม่านเมิ่งจึงเริ่มเค้นสมองครุ่นคิดถึงชื่อคนที่ตัวเองเคยได้ยินมา ก่อน
ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าไพศาล อริยะปราชญ์แห่งศาลบุ๋น บรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัย เค่อชิงผู้ถวายงานของส านักใหญ่ใน ใบถงทวีป ขุนนางชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นล่างภูเขา ผู้ฝึกยุทธเต็ม
ตัวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ปีศาจใหญ่แห่ง ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างนางก็คิดไปด้วย…
ชุยตงซานหัวเราะ เขย่าข้อมือโยนเม็ดหมากหลายเม็ดลงในโถ เก็บอย่างรวดเร็ว
การเดิมพันประเภทนี้มิอาจเดิมพันกับอาจารย์ได้ แล้วก็มิอาจ เดิมพันกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ คาดว่าคงจะทาให้ศิษย์พี่เล็กอย่างเขาร่าร ้องว่ายากจนได้เลย
วังม่านเมิ่งมีเหงื่อแตกเต็มศีรษะแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้าสถิตคน หนึ่งถึงกับมีความรู ้สึกเวียนหัวตาลาย ถามเสียงสั่นว่า “รวมครบแล้ว หรือยัง?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ครบแล้ว ครบนานแล้ว”
วังม่านเมิ่งอึ้งตาค้าง
ชุยตงซานควักเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญและเงินร ้อนน้อยสี่ เหรียญโยนไปให้วังม่านเมิ่งพร้อมกัน ยิ้มเอ่ย “เงินร ้อนน้อยเหรียญที่ เพิ่มมาถือว่าข้ามอบให้พี่สาว”
วังม่านเมิ่งพลันเอนหลังพิงพนักอย่างหมดแรง จิตใจเหนื่อยล้า มากจริงๆ
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “หรือจะลองนับชื่อของลาน้าใหญ่ ขุนเขา พรรคจวนเขียนในใต้หล้าเข้าไปด้วย? ขอแค่รวบรวมครบแปดพัน เม็ดหมาก ข้าจะมอบเงินฝนธัญพืชให้พี่สาวอีกเหรียญหนึ่ง”
วังม่านเมิ่งหน้าซีดขาวเล็กน้อย ส่ายหน้าเอ่ย “คิดไม่ไหวแล้ว” ชุยตงซานหัวเราะร่วน “เหนื่อยกว่าเทพเซียนตีกันมากหรือ?”
วังม่านเมิ่งเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่บนหน้าผาก มีใจแต่ไร ้กาลัง ฝืนเค้น รอยยิ้มส่งไปให้ ไม่ยินดีจะเปิดปากพูดแล้ว
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อ เม็ดหมากที่อยู่ในสองโถล้วนหาย วับไปหมดแล้ว
วังม่านเมิ่งได้เงินไปไม่น้อย แต่เขาชุยตงซานก็ได้ก าไรมาไม่น้อย เหมือนกัน เนื้อหาที่บรรจุอยู่ในเม็ดหมากพวกนี้ รอให้ในอนาคตได้ ขุดเจาะลาน้าใหญ่ย่อมได้เอามาใช ้ประโยชน์
หากจะพูดถึงการแฝงตัวเข้าไปในห้องหัวใจและทะเลสาบหัวใจ พลิกค้นดูความทรงจาของคนอื่นอย่างละเอียด ชุยตงซานย่อมท าได้ อย่างง่ายดายเหมือนกวักมือเรียกมา คุ้นชินชานาญยิ่ง เพียงแต่ไม่ สมบูรณ์แบบเหมือนให้วังม่านเมิ่งเป็ นฝ่ ายบอกเล่าออกมาเองเหมือน เทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ใส่ลงมาในโถเก็บเม็ดหมากดังพรวดๆๆ
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “วังม่านเมิ่ง วันหน้า อ่านหนังสือให้มากนะไม่แน่ว่าวันใดอาจสามารถน ามาหักลบแลก เป็ นเงินทองที่แท้จริงได้ก็เป็ นได้”
วังม่านเมิ่งแบมือออก เหม่อมองเงินเทพเซียนห้าเหรียญนั้น นาง เงยหน้าขึ้น ถามด้วยน้าเสียงแหบพร่า “ชุยตงซาน เจ้าคือผู้ฝึกตน ท าเนียบ ใช่ไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้า “บอกไปนานแล้วนะว่าข้าคือเจ้าส านักของ สานักแห่งหนึ่ง”
อันที่จริงเงินร ้อนน้อยเหรียญที่ชุยตงซานให้เพิ่มไปนั้น เพียงแค่ เพราะว่าวังม่านเมิ่งนึกถึงอาจารย์ของตนโดยบังเอิญ คนที่เป็ นลูก ศิษย์ย่อมมีความสุข อารมณ์ดีอย่างมาก
วังม่านเมิ่งก ามือแน่น ถามว่า “เจ้าคงจะไม่เอากลับไปหรอกนะ?”
ชุยตงซานสูดลมหายใจดังเฮือก เป็ นคาถามที่ดี!
หากว่าไม่เป็ นเพราะอาจารย์อยู่ใกล้ๆ นี้ ชุยตงซานก็ไม่ถือสาที่จะ เอาเก็บกลับคืนมาทั้งหมดจริงๆ นั่นแหละ
ชุยตงซานโบกมือ “รีบเก็บไปซะ ข้าจะได้ไม่อยากเปลี่ยนใจ”
วังม่านเมิ่งพึมพา “คืนนี้เหมือนกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น”
ชุยตงซานพลิกตัวเอนหลังไปพิงที่เท้าแขนเก้าอี้ มองไปยังหิมะ ใหญ่นอกห้อง เอ่ยเสียงเบาว่า “คนคนหนึ่ง หากแม้แต่จะฝันก็ยังไม่ กล้า จะต้องทุกข์ทนถึงเพียงใด บุปผาในวันวานเหมือนเกล็ดหิมะ เกล็ดหิมะในวันนี้เหมือนบุปผา ช่วงเวลาอันงดงามไม่ใช่สิ่งที่สมมติ ขึ้นมาควรจะวางใจให้สบายอย่างไร ้ขีดจ ากัดอย่างไร บางทีพวกเรา
กับโลกใบนี้อาจมีความอาลัยอาวรณ์เหมือนคนรักกัน หรืออาจ ถลึงตาจ้องมองกันเหมือนศัตรูคู่แค้นกัน ต่างคนต่างพูดในเรื่องของ ตัวเองเหมือนคนหูหนวกกับคนตาบอด คนที่ไม่มีอะไรให้พูดกับคนที่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยจ้องมองตากัน ต่างคนต่างเงียบงัน”
วังม่านเมิ่งได้ยินแล้วก็มีเพียงความเงียบเป็ นค าตอบ
ชุยตงซานเงียบไปพักหนึ่งก็หันหน้ามา พูดบ่นว่า “เฮ้อ ไม่รู ้จัก ปรบมือให้ก าลังใจกันบ้างเลย หรือจะแค่พยักหน้าก็ยังดี ไม่ให้การ สนับสนุนกันเลยสักนิด”
วังม่านเมิ่งคิดจะพูดประโยคที่อยู่ในใจ ชุยตงซานกับยึดคอ ออกไปมองข้างนอก ร ้องเอ๊ะหนึ่งที “เหล่าปราชญ์ผู้มีความสามารถ พากันมาเยือน ครึกครื้นขนาดนี้เชียว?”
ชุยตงซานรีบลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อสีขาวเสียงดังพึ่บพับ “พี่สาว พวกเราไปกันเถอะ เรียกเฉียนโหวเอ๋อร์ไปด้วย ไปดักปล้นคน อื่นกัน! กลับไปทาอาชีพเดิม ขวางทางชิงทรัพย์กัน!”
วังม่านเมิ่งได้แต่กลืนคาพูดแสดงความในใจที่มารออยู่ตรงปาก กลับลงท้อง เอ่ยอย่างจนใจว่า “ต่อให้เป็ นเฉียนโหวเอ๋อร์ ก็ยังไม่เคย ทาเรื่องประเภทนี้มาก่อน”
“ไม่เคยทาแล้วเกี่ยวอะไรด้วย”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ “วันหน้าอยู่กับชุยตงซาน ทุกวัน ได้กินเก้ามื้อ!”
วังม่านเมิ่งลุกขึ้น พลันเอ่ยว่า “ชุยตงซาน ข้านึกถึงกลอนบท หนึ่งขึ้นมาได้”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “คือประโยคที่ว่า “ข้าชอบภาพหิมะตกยามฟ้ า โปร่งที่ตงชานเป็ นที่สุด” ของอาจารย์เฉิงไจใช่ไหม?”
ใบหน้าของวังม่านเมิ่งมีแต่ความอ่อนใจ
อยู่กับเขา เหมือนนางไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้น
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินเตร็ดเตร่ไปนอก ห้อง “กลอนดี กลอนดี ข้าชอบภาพหิมะตกยามฟ้ าโปร่งที่ตงชานเป็ น ที่สุด ตงชานชอบหิมะยามฟ้ าโปร่งมากที่สุด”
วังม่านเมิ่งเดินตามไปด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว ชุยตงซาน ประกบเท้าสองข้างเข้าด้วยกัน กระโดดออกไปนอกห้อง ถามชวนคุย ว่า “วังม่านเมิ่ง ทางฝั่งของบ้านเกิดเจ้ามีความเคยชินเช่นนี้หรือไม่ สตรีที่อยู่ในห้องนอน ในช่วงสามเดือนที่มีลมวสันต์จะต้องหวีผมทุก ช่วงเช ้าตรู่หนึ่งร ้อยยี่สิบครั้ง?”
วังม่านเมิ่งส่ายหน้า “ไม่มี”
ชุยตงซานจุปาก “น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
แล้วก็พลันตะโกนเสียงดัง “เฉียนโหวเอ๋อร ์เลิกดูภาพวังวสันต์ที่ ถูกเจ้าเปิดจนปรุหลายเล่มนั้นได้แล้ว! น่าสนใจตรงไหนกัน”
เฉียนโหวเอ๋อร ์รีบวิ่งออกมาจากในห้อง เอ่ยอย่างเขินอายว่า “มีที่ ไหนกัน ข้าไม่ได้ท าแบบนั้นเสียหน่อย”
ชุยตงซานนั่งอยู่บนขั้นบันได
เพิ่งเมื่อครู่นี้เอง ชุยตงซานเหมือนจะได้กุญแจเปิดประตูมาอีก ดอกหนึ่ง เขาถึงได้นึกถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่างที่ถูกปิ ดผนึก เอาไว้ เกี่ยวข้องกับตน หรือบางทีควรจะพูดว่าเกี่ยวข้องกับเจ้า ตะพาบเฒ่า
ยังคงเป็ นในหอเรือนสูงริมทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนั้น
ชุยฉานถามเขา
ศึกษาหาความรู ้ฝึ กบาเพ็ญตน เขาเหมือนฉีจิ้งฉุนได้หรือ? มี โอกาสจะก่อตั้งลัทธิเรียก ตัวเองเป็ นบรรพบุรุษได้หรือ?
หลอมกระบี่ ภายในร ้อยปี ความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขต ความ สูงของเวทกระบี่สามารถเอาอย่างจั่วโย่วได้หรือ?
ฝึกหมัดเรียนวรยุทธ เขาต้องใช ้เวลามากมาย ถึงจะพอไล่ตามจ วินเชี่ยนได้ทัน?
ตอนนั้นชุยตงซานนอนอยู่บนพื้น ชุยฉานเป็ นคนให้คาตอบ
ไม่ผิดไปจากที่คาด ไม่ว่าใครก็เหมือนอย่างละนิดอย่างละหน่อย ผลคืออย่างมากสุดก็ได้แค่สี่ไม่เหมือน (เปรียบเปรยว่าไม่ได้เรื่องได้ ราว ไม่เป็ นโล้เป็ นพาย)
ข้าจะทาให้เขาไม่อาจกลายเป็ นฉีจิ้งชุนได้อย่างสิ้นเชิง ให้เขา ถอดใจเสียแต่เนิ่นๆ
ชุยตงซานถามเขา หรือว่ามีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้นที่เดินได้?
ชุยฉานดูแคลนจะตอบคาถามข้อนี้
อันที่จริงชุยตงซานรู ้ดีอยู่แก่ใจว่า หากไม่ทาเช่นนี้ ก็จะไม่ทัน กาล
อาจารย์ไม่ทันที่จะสามารถใช ้สถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื้อแห่ง ไพศาลท่องเที่ยวไปในใต้หล้าอย่างเนิบช ้าภายใต้การปกป้ องของซิ่ว ไฉเฒ่าและเหล่าศิษย์พี่แห่งสายเหวินเซิ่ง ไม่ทันค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไข หลักการหลายอย่างในใจให้ดีขึ้นจากการได้พบเห็นขุนเขาสายน้าที่ ยิ่งใหญ่งดงามนับหมื่น พบเห็นคนและเรื่องราวประหลาดนับพัน ไม่ ทันเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานในอดีต ค่อยๆ เติบใหญ่ อาศัยจิตบุ๋นสีทองดวงหนึ่ง ตาราอริยะปราชญ์เล่มแล้วเล่มเล่า หลักการเหตุผลในต าราแต่ละข้อ หลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตออก มา อาศัยกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีสืออูนามาหลอมใหญ่เป็ นวัตถุแห่ง ชะตาชีวิต เวทกระบี่ วรยุทธควบการฝึ กตน เดินไปทีละก้าวอย่าง มั่นคง ค่อยๆ ขึ้นสู่ที่สูงตามลาดับ สร ้างโอสถทองเป็ น เทพเซียนบน พื้นพสุธา ห้าขอบเขตบน ขอบเขตบินทะยาน พิสูจน์มรรคา…
ดังนั้นตอนนั้นชุยตงซานจึงถามค าถามข้อสุดท้าย
ไม่กลัวว่าเขาจะกลายเป็ นอวี่โต้วคนที่สองหรือ?
ชุยฉานเงียบงันเป็ นครั้งแรก ไม่ได้ให้คาตอบ คงเป็ นเพราะหากดู จากสถานการณ์ในเวลานั้น บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ รวมไปถึงข้อดีและ ข้อเสียของใช่และไม่ใช่ บางทีอาจเป็ นเพราะเวลายังเร็วเกินไป
เพราะในอดีตอวี๋โต้วเดินกร่างไปทั่วใต้หล้าพร ้อมกับสหายรักสี่ คน ผลคือมีสองคนที่บังเอิญตายด้วยน้ามือของอวี่โต้วพอดี
นี่ก็คือการบอกว่า สถานการณ์ถามใจอย่างทะเลสาบซูเจี่ยนนี้อวี๋ โต้วเคยเดินผ่านมาก่อน แค่ต้องเดินผ่านมาครั้งเดียวเท่านั้น หาก ต้องเดินผ่านอีกครั้ง และอีกนับครั้งไม่ถ้วนหลังจากนั้น อันที่จริงก็ ล้วนเป็ นผลลัพธ ์ที่เหมือนกัน
ตัวสารองสิบคนของใต้หล้าที่ใต้หล้ามืดสลัวประเมินออกมาใน ทุกวันนี้มีเป่าหลินเซียนกระบี่หญิงขอบเขตบินทะยาน นางมีชื่อเสียง เลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ไม่ใช่ในด้านขอบเขตไม่ใช่สถานะของผู้ฝึ ก กระบี่บริสุทธิ์ แต่เป็ นเพราะนางเคยถามกระบี่ต่อเจ้าลัทธิรองอวี๋โต้ว แห่งป๋ ายอวี่จิง อวี่โต้วที่ถูกขนานนามว่า “ผู้ไร ้เทียมทาน” ที่แท้จริงคน นั้นอยู่หลายครั้ง
และเหตุผลที่เป่ าหลินถามกระบี่กับอวี๋โต้ว ทั้งใต้หล้าล้วนรับรู ้ เพียงแค่เพราะนางก็คือหนึ่งในสี่คนของตอนนั้น และคนรักของนางก็ ยิ่งถูกอวี๋โต้วใช ้กระบี่สังหารกับมือตัวเอง
เป็ นเหตุให้ครั้งแรกที่เป่ าหลินถามกระบี่กับอวี๋โต้ว เหตุผลก็คือ ตลอดทั้งใต้หล้า ใครก็ ล้วนสามารถฆ่าเขาได้ แต่มีเพียงเจ้าอวี่โต้ว เท่านั้นที่ทาไม่ได้!
เพราะต่อให้จะเป็ นนักพรตชุนแห่งอารามเสวียนตู ตอนที่พูดถึง ว่าอวี่โต้วมีใจที่เห็นแก่ ตัวหรือไม่ เขาก็จาต้องยอมรับว่า อวี่โต้วไร ้ใจ ที่เห็นแก่ตัว ในเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยด่าไม่ออก
ใต้หล้ามืดสลัว ทุกคนที่ละเมิดกฎ ไม่ว่าจะเป็ นใคร มีขอบเขต อะไร เหตุผลคืออะไรคนที่ฆ่าได้ฆ่าไม่ได้ ล้วนต้องตายทั้งหมดอย่าง ไม่มีข้อยกเว้น
และเต้ากวาน ผู้ฝึกตนและคนธรรมดาที่ตายไปเช่นนี้ หลายพันปี ที่ผ่านมา สิบสี่มณฑลของใต้หล้ามืดสลัว สรุปแล้วมีกี่หมื่นคน? หรือ ว่ากี่แสนคน? ถึงหนึ่งล้านคนหรือไม่หรืออาจหลายล้านคน? ไม่เคยมี การคิดคานวณอย่างเป็ นรูปธรรมมาก่อน เนื่องจากเผชิญหน้ากับอวี๋ โต้ว ทุกอย่างนี้ล้วนสิ้นความหมาย แล้วก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ
นี่ไม่ใช่ปัญหาของความถูกหรือความผิด เป็ นแค่ปัญหาของใจ คนอย่างหนึ่งเท่านั้น
คนเหล่านั้นที่ตายไป ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ข้างกาย พวกเขาเคยคิด อย่างไรกันแน่ รู ้สึกอย่างไรกันแน่ ในสายตาของประวัติศาสตร ์ไม่ใช่ เครื่องหมายคาถาม แต่เป็ นเครื่องหมายจบประโยค ในต ารา ประวัติศาสตร ์ที่เดิมทีก็ถนอมตัวอักษรเหมือนทองคาที่ล้าค่าอยู่แล้ว
ก็ยิ่งไม่มีตัวอักษรใดที่บันทึกเนื้อหาเอาไว้แม้แต่ตัวเดียว คนที่ตายไป แล้วและคนที่มีชีวิตอยู่ซึ่งตอนนั้นอยู่ข้างกายคนที่ตายไป พวกเขาก็ เหมือนช่องว่างระหว่างตัวอักษรพวกนั้น คนที่เปิดหนังสืออ่านทุกคน ในใต้หล้า ใครเล่าจะสนใจช่องว่างบนหน้าหนังสือ?
ดังนั้นชุยฉานจึงกาลังเดิมพัน
เดิมพันว่าเฉินผิงอันจะไม่กลายเป็ นอวี่โต้วคนที่สอง
ชุยตงซานยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมาพลางพึมพา คล้ายกาลังตบ หูใครอยู่แล้วก็พร่าพูดซ้าๆ ว่าเจ้าตะพาบเฒ่า
ปกป้ องมรรคา ปกป้ องมรรคา วิธีการในการปกป้ องมรรคาของ เจ้าช่างบุกเบิกโฉมหน้าใหม่เสียจริง ซิ่วหูซิ่วหู เก่งจริงก็มีชีวิตอยู่อีก หลายๆ ปีแล้วไปโอ้อวดบารมีที่ใต้หล้ามืดสลัวเสียสิ
พริบตานั้นชุยตงซานพลันสะดุ้งโหยง รีบหดมือกลับมา เอามา กดไว้ตรงหว่างคิ้วอย่างว่องไว เพราะเมื่อครู่อยู่ดีๆ ก็มีความคิดหนึ่ง โผล่ขึ้นมา
อันที่จริงก็เป็ นแค่คาศัพท์คาเดียวเท่านั้น ฉางเกิ่ง (ชื่อของดาว วีนัสในภาษาจีน)
ชุยตงซานขมวดคิ้วแน่น สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ลังเล เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่คิดจะท าการอนุมาน
ฉางเกิ่ง? ชื่อของดวงดาว คนที่พอจะอ่านหนังสือมาบ้างต่างก็ ต้องรู ้กันดีว่านับแต่โบราณมีคากล่าวว่า “ตะวันออกมีฉี่หมิง (ดวงดาว สีทองที่ปรากฏบนท้องฟ้ าทางทิศตะวันออกก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้นใน สมัยโบราณ) ตะวันตกมีฉางเกิ่ง” ในตารา “เทียนกวานชู” มีบทหนึ่ง ที่บอกไว้ว่า ดวงดาวโบราณฉางเกิ่ง ประหนึ่งผ้าผืนหนึ่งที่แผ่คลุมปิด ท้องฟ้ า เมื่อพบดาวดวงนี้สงครามจะก่อเกิด
หากว่าในใต้หล้าแห่งหนึ่งมีดาวฉางเกิ่งส่องประกายแสงอย่าง ยาวนานล่ะมรรคาในใต้หล้าดับสูญสามร ้อยปี ห้าร ้อยปี?
ชุยตงซานยื่นมือออกมาเกาหน้าเลียนแบบหมี่ลี่น้อย
ก่อนหน้านี้อาจารย์กลับจากหอสยบปี ศาจมายังภูเขาเซียนตู บอกว่าเขานึกถึงนามแฝงที่จะเอาไปใช ้ในใต้หล้ามืดสลัวในอนาคต ได้ ชื่อว่าเฉินจิ้ว (เก่าแก่/ล้าสมัย)
แต่อาจารย์ก็พูดอีกว่า ดูเหมือนจะมีอีกชื่อที่ดียิ่งกว่า เพียงแต่ว่า เขาลืมไปแล้ว