กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 971.1 กลิ้งลูกหิมะ
พวกเขานั่งอยู่บนราวรั้วของสะพานโค้งเหมือนในอดีต
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินการคาดเดาที่น่าเหลือเชื่อ อย่างหนึ่งมา บอกว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่ใบนี้ อันที่จริงเป็ นวงโคจร ที่เกิดขึ้นซ้าแล้วซ้าเล่านับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งเป็ นการเกิดซ้าโดยที่ไม่มี การเปลี่ยนแปลงใดๆ”
“สิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ตายแล้วทั้งหมดล้วนอยู่ในหายนะ หายนะเกิด จากฟ้ าดิน หายนะหล่นลงฟ้ าดินดับสูญ จากนั้นก็เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง เป็ นวงโคจรซ้าไปซ้ามา ไม่ต่างกันแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับ ช่วงเวลาที่จะเกิดหายนะที่ว่านี้มีคากล่าวที่ต่างกันออกไป บ้างก็บอก ว่าสามหมื่นปี บ้างก็บอกว่าหนึ่งแสนปี หรืออาจถึงขั้นนานยิ่งกว่านั้น เป็ นเหตุให้โลกยุคหลังมีคากล่าวที่ว่า “ยากจะข้ามผ่านหายนะไปได้” เกิดขึ้น ปราชญ์ผู้ล่วงลับเคยพูดไว้แล้วแต่กลับมองไม่ออกก็เท่านั้น”
“เป็ นแบบนี้จริงหรือ?”
นางฟังคาพูดของเฉินผิงอันเงียบๆ รอกระทั่งฝ่ ายหลังเอ่ยถาม นางถึงได้ยิ้มบางๆเอ่ยว่า “ความคิดไม่เลว แปลกใหม่น่าสนใจ แต่ว่า ออกนอกเรื่องไปหมื่นลี้ ผิดประเด็นไปไกลเลย”
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ก็ดีแล้ว””
หาไม่แล้วคาพูดและการกระทาของคนคนหนึ่ง เส้นทางและวิถีวง โคจรในชีวิตคนใหญ่จนถึงการโคจรของดวงดาวในนภากาศอันก ว้างใหญ่ไพศาลนอกฟ้ า เล็กจนถึงการงอกงามและแห้งเหี่ยวโรยรา ของพืชหญ้าบนพื้นดิน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วิถีการโคจรของเกล็ดหิมะ ทุกเกล็ดที่หล่นลงมาบนพื้น ก็ล้วนมีจานวนที่แน่นอน ถ้าอย่างนั้นคา ว่าชาตินี้เรือนกาย นี้จะนับเป็ นอะไรได้
นางยิ้มถาม “เพราะเนื่องจากคากล่าวที่ว่า ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร ้ ความผิด’ กับ ‘ชะตาคือฟ้ าลิขิต” ถึงเกิดการคาดเดาเช่นนี้หรือ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปบนราวรั้ว ออกหมัดช ้าๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ตีตนไปก่อนไข้ ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย”
หยุดเดินแล้ว เฉินผิงอันมองไปสุดสายตาก็ยังไม่เห็นดวงดาว นอกฟ้ าแม้แต่ดวงเดียว
มีเพียงสะพานยาวสีทองใต้ฝ่ าเท้าที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ดูเหมือนนางจะมองออกถึงความเสียดายในใจของเฉินผิงอัน จึง โบกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ พริบตานั้นในการมองเห็นของเฉินผิงอัน ก็มีดวงดาวพร่างพราวเหมือนเม็ดหมากที่กระจายตัวอยู่ เป็ น ทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามนัก
ดวงดาวมากมายจับกลุ่มรวมตัวกันอย่างแน่นหนา เส้นแสง เหล่านั้นรวมกันกลายเป็ นแม่น้ายาวที่พร่างพราวเส้นหนึ่งเหมือนแสง
กระบี่ที่ถูกลากยาว และยังมีดวงดาวอีกมากมายที่กระจุกรวมกัน เหมือนต าหนักงามวิจิตรหลังแล้วหลังเล่า
เฉินผิงอันเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนถามอย่างใคร่รู ้“การโคจร ชะตาบู๊ในใต้หล้า ดูเหมือนว่าทั้งสามลัทธิล้วนไม่เข้าไปควบคุม เพราะ ควบคุมได้ยาก ลงมือออกคาสั่งห้ามในเรื่องนี้มีแต่จะเปลืองแรงเปล่า หรือเป็ นเพราะว่ามิอาจควบคุมได้ เป็ นเหตุให้บรรพจารย์สามลัทธิมี ข้อตกลงร่วมกันมาแต่แรกแล้วจึงตัดหางปล่อยวัด รอดูการ เปลี่ยนแปลงไปเงียบๆเท่านั้น?”
นางย้อนถาม “นายท่านเคยไปเยือนยอดเขาที่ประหลาดแห่งหนึ่ง มาแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในใจได้ทันที ถามอย่างสงสัยว่า “หรือว่า ภูเขาลูกนี้ไม่ได้อยู่บนพื้น? แต่อยู่นอกฟ้ า?”
“ตะวันจันทรานอกฟ้ ามีมากมายนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนมีส่วนใน ถ้าสวรรค์และพื้นที่มงคล แต่ดวงดาวบางดวงที่มีความหมายพิเศษ บางอย่างกลับเป็ นข้อยกเว้น หากปริแตกก็จะไม่มีอีกแล้ว ในศึกเดิน ขึ้นฟ้ าของปีนั้น “จวนและตาหนัก” ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ก็เคยถูก ทาลายไปเยอะมาก แต่ก็มีบางส่วนที่สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้ เพราะว่าตอนนั้นมรรคาจารย์เต๋ากับอาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่เคย เป็ นผู้สร ้างยันต์ก็เคยมีการอนุมานอย่างละเอียดมาก่อนครั้งหนึ่ง ส่วน ไหนที่จาเป็ นต้องเก็บเอาไว้ล้วนมีข้อพิถีพิถันทั้งนั้น”
ระหว่างที่พูดนางก็ยิ้มพลางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาชี้ไปยังพื้นที่ ว่างเปล่าบางแห่งไกลๆ
มองตามการชี้ของนางไป เฉินผิงอันคล้ายได้รับมอบ ‘เนตร สวรรค์” ดั่งว่าไร ้ขอบเขตสิ้นสุดของลัทธิพุทธ เป็ นเหตุให้ทันทีที่มอง ไปเขาสามารถมองเห็นดวงดาวดวงหนึ่งที่อันที่จริงไม่ได้แปลกใหม่ ส าหรับเขา
ในการมองเห็นของบนโลกมนุษย์ คือดวงดาวสีทองในกลุ่มของ ห้าธาตุ ทุกครั้งที่ฟ้ าสว่างจะมีเพียงดาวดวงนี้ดวงเดียวที่สว่างไสว คล้ายกับว่าหนึ่งดวงดาวขับไล่หมู่ดาว เป็ นเหตุให้มีชื่อว่าฉางเกิง หรือไม่ก็ฉี่หมิง จากบันทึกใน “ต าราเทียนกวาน” หากดาวโบราณ ฉางเกิงคลาดเคลื่อนออกจากวิถีของการโคจรก็จะเกิดการ ‘เปลี่ยน ฟ้ า” หมายความว่าสงครามในใต้หล้าก าลังจะก่อเกิด กอง โหราศาสตร ์ของราชวงศ์โลกมนุษย์จะต้องจัดหา “เทียนซือ” ที่ เชี่ยวชาญการมองปรากฏการณ์ดวงดาวให้มารับผิดชอบเฝ้ ามอง ตาแหน่งและการเคลื่อนย้ายของดาวโบราณดวงนี้ตามช่วงอากาศ และช่วงเวลาโดยเฉพาะ
“ปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารที่จุดจบน่าสงสารคนนั้น ใน ระดับใหญ่แล้วเขายังเคยบุกเบิกเส้นทางการเดินขึ้นสวรรค์เส้นหนึ่ง ในการเรียนวรยุทธ เพียงแต่ว่าเดินไปได้ครึ่งทางก็ยังไม่อาจชักน าฟ้ า ดินได้อย่างแท้จริง หากว่าท าส าเร็จ การด ารงอยู่ของตัวเขาเองก็จะ เท่ากับหอบินทะยานแห่งที่สามแล้ว คุณูปการครั้งนี้ โลกมนุษย์จาต้อง
ยอมรับ ถึงได้มีข้อตกลงหมื่นปีที่บรรพจารย์สามลัทธิทาร่วมกับเขา เพียงแต่ว่าถูกเก็บไว้เป็ นความลับ ไม่มีการจดลงบันทึก ทุกวันนี้จากัด เวลาหมื่นปีกาลังจะมาถึง กองโหราศาสตร ์น้อยใหญ่ในโลกมนุษย์จึง มีงานให้ต้องท ากันแล้ว”
คาพูดของนางแฝงการหยอกล้อ สองมือตบราวรั้วเบาๆ เอ่ยเนิบ ช ้าว่า “ดังนั้นหากย้อนไปถึงต้นกาเนิด พูดกันในความหมายที่ เข้มงวด ความต่างระหว่างวรยุทธและเวทคาถาไม่ได้มีการแบ่งแยก กันอย่างชัดเจน เพราะเป็ นต้นก าเนิดเดียวกันแต่ไหลแยกกันไปคนละ กระแส มองดูเหมือนมีความสัมพันธ ์ที่เป็ นดั่งน้าบ่อไม่ยุ่งกับน้าคลอง สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังคงเกิดมาจากต้นกาเนิดเดียวกัน นี่คือ เหตุผลที่ว่าทาไมปีนั้นทั้งๆ ที่นายท่านคือผู้ฝึ กยุทธเต็มตัว แต่กลับ สามารถฝึกวิชายันต์ได้ เป็ นเพราะโค่วหมิงที่มองเห็นในเรื่องนี้ และ เมื่อผ่านการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิงท่านนี้ จึงเหมาะกับการให้ผู้ฝึกยุทธฝึกตน ก็เหมือนการเล่นแง่ที่จาเป็ นต้อง เดินผ่านประตูข้างเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ แล้วก็เป็ นเหตุผลที่ว่า ท าไมผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของภูเขาผูซานของใบถงทวีปถึงสามารถควบ ฝึ กวิชาตระกูลเซียนได้ การที่มิอาจขยับขยายต่อไปได้เป็ นเพราะ ธรณีประตูสูงเกินไป มีข้อเรียกร ้องต่อคุณสมบัติค่อนข้างสูง ค าว่าผู้ ฝึ กตนใหญ่ ส่วนใหญ่ก็มักจะหมกมุ่นอยู่กับการพิสูจน์ความเป็ น อมตะไม่เสื่อมสลาย จาเป็ นต้องมีจิตใจจดจ่อมุ่งมั่น ยิ่งตาแหน่งสูง เท่าไรก็ยิ่งจาเป็ นต้องตัดของนอกกายทิ้งเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีความ
จาเป็ นที่จะต้องเรียนวรยุทธ นานวันเข้าจึงกลายมาเป็ นเหมือนซี่โครง ไก่”
“แต่ในความเป็ นจริงแล้ว เส้นทางการเรียนวรยุทธที่อยู่ใต้ฝ่ าเท้า ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวต่างหากถึงจะเป็ นเส้นทางที่มีความหวังว่ากาย เนื้อจะกลายเป็ นเทพ จิตวิญญาณที่แท้จริงไม่เสื่อมสลายได้มากที่สุด นี่ก็ออกจะยากสักหน่อยแล้ว ต้องเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบเอ็ดภายใน เวลาสองสามร้อยปี ส าหรับคนในยุคปัจจุบันแล้ว หากว่าพอจะมี คุณสมบัติด้านการฝึกตนอยู่บ้าง ในเมื่อสามารถเดินทางลัด เดินไป บนทางกว้างที่ราบเรียบได้ ไยต้องเสี่ยงอันตรายเดินไปบนทางเล็กไส้ แกะที่เป็ นทางหัวขาดด้วยเล่า คนที่สามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุ โปร่ง ลู่เฉินต้องถือว่าเป็ นคนหนึ่งในนั้น ดังนั้นหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เจ้าลัทธิลู่ท่านนี้ นอกจากเจินเหรินกระดูกขาวแล้วจะต้องยังมีร่างแยก ที่ซ่อนไว้อีกร่างหนึ่งซึ่งคอยแอบฝึกวรยุทธ มาโดยตลอด การที่เขา ไปหาซินขู่ที่ยอดเขารุ่นเยว่ อันที่จริงก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ แสดงออกภายนอก ไม่แน่ว่าคุณสมบัติในการเรียนวรยุทธของเจียง จ้าวหมอเจ้าหอจือขี่จากห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิง ก็ยังสู้ลู่ เฉินไม่ได้ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด”
เฉินผิงอันยิ้มจนตาหยี “ที่แท้ลู่เฉินก็เรียนวรยุทธเหมือนกันหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยน่ะสิ
บนโต๊ะเหล้าที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ของตัวเมือง เฉินผิงอันคล้าย คนที่เหม่อลอยไปไกลแสนไกล แต่ก็ไม่ขัดต่อการที่เขาจะพูดคุยกับ กลุ่มของฉินปู้ อี๋ได้อย่างเป็ นปกติ
เฉินผิงอันถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ผู้อาวุโสฉินกับสายของเซียน กระบี่ซีซานของศิษย์พี่ค่อนข้างเข้าใจข้ามากเลยสินะ?”
ฉินปู้ อี๋ส่ายหน้า “ไม่มากเท่าไร แล้วก็ไม่จ าเป็ นต้องเข้าใจมากนัก ยกตัวอย่างเช่นระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปในปีนั้น เจ้า ขุนเขาเฉินเคยได้เจอกับกองทัพทหารม้าแคว้นเป่ ยเยี่ยนกองหนึ่ง โดยบังเอิญ ในกลุ่มคนยังมีนักฆ่าของภูเขาเกอลู่แฝงตัวอยู่หลายคน เมื่อมาพบเจอกันบนเส้นทางคับแคบ ผู้ที่กล้าหาญย่อมคว้าชัยชนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ นั่นเป็ นการเปิ ดฉาก สังหารครั้งใหญ่ตามความ ที่แท้จริงเป็ นครั้งแรกของเฉินผิงอัน
ต่อให้ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มลงมือจะเป็ นการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ กับซ่งอวี่เซา เผชิญหน้ากับกองทัพมากฝีมือของแคว้นซูสุ่ย เฉินผิง อันในเวลานั้น ยามลงมือบนสนามรบก็ยังจงใจละเว้นพวกทหารม้าที่ เป็ นคนธรรมดาไป
อาจารย์เจิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อใบไม้ใบหนึ่งร่วงหล่นก็รู ้ว่าฤดู ใบไม้ร่วงมาเยือนแล้ว”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ไม่จ าเป็ นหรือ ท าไม่ได้มากกว่า กระมัง? แจกันสมบัติทวีปมีพื้นที่เล็กก็มีข้อดีของการเป็ นสถานที่
เล็กๆ ขอแค่มีลมพัดใบไม้ไหวสักเล็กน้อยก็มิอาจซุกซ่อนร่องรอย ของงูและมังกรได้”
ฉินปู้ อี๋พยักหน้ารับ “เจ้าสานักชุยกล่าวเช่นนี้ ก็ถือเป็ นความจริง เหมือนกัน”
สายเซียนกระบี่ซีซานที่มีศิษย์พี่หลิวเถาจือเป็ นผู้ดูแลหลัก ใน อดีตอยากจะตั้งรกรากอยู่ที่แจกันสมบัติทวีปจริงๆ เพียงแต่ว่า ภายหลังมีมโนทัศน์ในการปกครองแคว้นที่ไม่สอดคล้องกับซิ่วหู่ คน ทั้งกลุ่มจึงถูกส่งออกจากอาณาเขตอย่างมีมารยาท บอกว่าส่งตัว ออกไปอย่างมีมารยาท แต่แท้จริงก็คือขับไล่ออกจากอาณาเขต นั่นเอง เพียงแต่ว่าชุยฉานยังนับว่าไว้หน้าศิษย์พี่หลิวอยู่บ้าง ทั้งไม่ได้ ป่ าวประกาศเรื่องนี้ให้ภายนอกรับรู ้ แล้วก็ไม่ได้ใช ้ผู้ฝึ กตนของ ราชวงศ์ต้าหลี ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยทาร ้ายใคร
ชุยตงซานยกนิ้วให้ เอ่ยชื่นชมว่า “พี่ฉินเป็ นคนตรงปากเร็ว สหายอย่างเจ้านี้ตงซานคบหาด้วยแล้ว!”
ฉินปู้ อี๋ยิ้มรับ ก่อนถามว่า “เหตุใดเจ้าขุนเขาเฉินถึงไม่ยอมเป็ น ราชครูต้าหลี?”
พอประโยคนี้หลุดออกมา แม้แต่เจี่ยนหมิงก็ยังเงี่ยหูรอฟัง รอคอย ค าตอบของเฉินผิงอัน
ในเมื่อราชวงศ์ต้าหลีส่งถ่านท่ามกลางหิมะ ทั้งยังเป็ นการปักบุป ผาเพิ่มลงบนผ้าแพรให้กับภูเขาลั่วพั่วและตัวเฉินผิงอันเอง ไยถึงไม่ ยินดีท าเล่า?
ไม่ว่าจะเป็ นการสืบทอด เรื่องราว ชื่อเสียง ความสามารถที่ แท้จริง ความสัมพันธ ์ควันธูปบนภูเขา….แต่ละด้าน เฉินผิงอันล้วน เหมาะสมทั้งหมด เป็ นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ไม่มีหนึ่งใน
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งคา คลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
หรือว่าคนล้างมลทินสามสายซึ่งมีสายเซียนกระบี่ซีซานของหลิว เถาจือก็ต้องการลงจากภูเขามาเหมือนลั่วหยางมู่เค่อ คิดจะผุดลอย ขึ้นไปเหนือผิวน้าแล้ว? คงไม่ใช่ว่ามีข้อตกลงลับๆ บางอย่างกับบรรพ จารย์บางคนของเมธีร ้อยสานัก คิดจะร่วมกันสร ้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ ในช่วงเวลาที่บรรพจารย์ของสามลัทธิสลายมรรคาติดต่อกัน พยายามจะเดินออกมาจากห้อง หิ้วถังน้าออกมา “รองน้า” จาก สวรรค์หรอกกระมัง?
เฉินผิงอันไม่พูดจา ในโถงใหญ่จึงตกอยู่ในความเงียบงันอันน่า กระอักกระอ่วน
ชุยตงซานเป็ นคนท าลายความเงียบ “หากว่าข้าไม่เปิดปากพูด จะไม่เงียบวังเวงกันไปอีกครึ่งชั่วยามเลยหรือ?”
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีจะพูดคุยเรื่องนี้ ฉินปู้ อี๋ก็คิดแค่ว่าตัวเอง ไม่ได้ถาม
ซงจือถาม “ดูเหมือนเจ้าสานักชุยจะเข้าใจเรื่องประวัติลับหลาย อย่างเป็ นอย่างดี?”
สายลั่วหยางมู่เค่อบ้านตนคือคนที่ปลีกตัวสันโดษจากโลก ภายนอก ไม่มีรากฐานอยู่นอกภูเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าเจ้าส านัก หนุ่มที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่มคนนี้ กลับรู ้ชื่อจริงของบรรพจารย์ร้าน ผ้าห่อบุญได้ อีกทั้งดูจากท่าทางแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะคุยเรื่องอะไร คนผู้นี้ก็ล้วนต่อคาได้ เก้าทวีปของไพศาลมีคนมหัศจรรย์อยู่ตั้ง มากมายเพียงนั้น ไม่ว่าจะเรื่องเล่าแห่งป่ าเขาหรือเรื่องราวของตระกูล เซียนก็ยิ่งมีมากมายเกินคณานับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องลับ บางอย่างที่ไม่เคยมีบันทึกไว้ เพียงแค่บอกเล่ากันปากต่อปากในวง แคบเท่านั้น คนนอกอยากจะรู ้เรื่องวงในให้ชัดเจนก็ไม่ต่างอะไรจาก การงมเข็มในมหาสมุทร ทว่าคนผู้นี้กลับทาเหมือนเชี่ยวชาญในการ พลิกค้นประวัติศาสตร ์ที่จมลึกอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรขึ้นมา ทาได้ ง่ายดายราวกับยกมือ เข้าใจดีเหมือนสมบัติในบ้านตัวเอง ชุยตงซาน เหมือนกลายมาเป็ นผู้เชี่ยวชาญด้านเกร็ดประวัติศาสตร ์คนหนึ่ง คิด อยากจะทาให้ได้ถึงขั้นนี้ ไม่ว่าจะอายุขัยใน การฝึกตน ขอบเขต หรือ เส้นสายคนรู ้จักก็ล้วนจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
ชุยตงซานใช้ฝ่ ามือสองข้างแนบติดไว้กับชามเหล้า หมุนชาม เบาๆ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เก็บเมล็ดข้าวสาลีในนา เก็บต้นอ่อนถั่ว ลันเตาในลานตากธัญพืช ไม่ได้ท าอะไรเป็ นการเป็ นงาน ไม่มีค่าพอ ให้พูดถึง”
ชุยตงซานถามหยั่งเชิงว่า “พี่ซงจือ ในเมื่อเดินมาถึงอาณาเขต ของภูเขาเซียนตูแล้ว จะมีเหตุผลให้เดินผ่านประตูแล้วไม่เดินเข้าไป ได้อย่างไร คืนนี้ดื่มเหล้ากันเสร็จแล้ว พวกเจ้าสามารถไปพักผ่อนที่ ภูเขาเซียนตูกันได้ จากนั้นข้าจะพาพวกเจ้าไปเดินชมล าคลองหลิน เหอด้วยตัวเองรอบหนึ่ง ดูว่ามีพื้นที่ที่เหมาะสมให้บุกเบิกสร ้างเป็ น ท่าเรือตระกูลเซียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในใบถงทวีปหรือไม่ วันนี้อยู่ ต่อหน้าอาจารย์ของข้า ข้าก็จะพูดให้ชัดเจนไปเลยว่าขอแค่พี่ซง ถูกใจ ต่อให้ข้าต้องทิ้งหนังหน้าตัวเอง ต้องทุ่มชีวิตออกไป ก็จะต้อง วางแผนกิจการใหญ่พันปีให้พี่ซงได้แตกกิ่งก้านสาขาให้จงได้!”
ชายผู้เงียบขรึมเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าสานักชุย เจ้าเรียกแค่ชื่อข้าก็ พอ ผังเขา ผังจากผังเหลี่ยนที่แปลว่าใบหน้า เขาจากเขาหรานที่ แปลว่าอยู่เหนือข้อพิพาท”
เพราะว่าอีกฝ่ายเรียกขานเขาคาแล้วคาเล่าว่าพี่ซง พี่ใหญ่ชง ทา เอาผังเชาขนลุกขนขันไปทั้งร่าง
ชุยตงซานเอ่ยเสียงหนักจริงจัง “ไม่ได้หรอก เรียกกันว่าสหาย ห่างเหินกันเกินไป หากพี่ใหญ่ผังไม่เรียกข้าว่าน้องตงซานก็เท่ากับ ว่าดูถูกข้า พี่ผังดูถูกข้าก็ไม่เป็ นไร ถึงอย่างไรข้าก็ตั้งใจไว้แล้วว่า จะต้องตีสนิทพี่ใหญ่ผังให้จงได้”
ตนเรียกตัวเองเป็ นพี่เป็ นน้องกับผังเชา เป็ นพี่น้องร่วมสาบานกัน ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อจางจื๋อพบเจอตนก็ต้องเรียกตนว่าท่านอาซุย แล้ว
นั่นคือเจ้าตะพาบที่หากไร ้ผลประโยชน์ก็ไม่มีทางตื่นเช ้า มีห่าน ป่าบินผ่านก็ชอบจับมาถอนขน ตอนนี้มีความสัมพันธ ์ฉันท์ญาติชั้น นี้อยู่ อากับหลานพบกัน จางจื๋อเจ้าจะยังกล้าเป็ นคนท าการค้าพูด ภาษาการค้าอีกหรือ?
ผังเขาพูดไม่เก่ง เจอกับคนที่ไหลลื่นอย่างชุยตงซานก็ยิ่งไม่รู ้ว่า ควรจะรับมืออย่างไรดีได้แต่ดื่มเหล้าไปเงียบๆ ไม่ตอบรับไม่ต่อคา แน่นอนว่าเขารู ้สึกว่าตนเองปฏิเสธอีกฝ่ ายไปอย่างละมุนละม่อมแล้ว เพียงแต่อีกฝ่ายกลับรู ้สึกว่าผังเขายอมรับโดยปริยายแล้ว
ท่ามกลางค่าคืนที่มีลมหิมะ การพบเจอกันโดยบังเอิญ ดื่มเหล้า ร่วมกันไปแล้ว คุยธุระกันก็เสร็จแล้ว นับจากนี้ก็แยกย้ายกันไป เดิน ไปบนเส้นทางของใครของมัน