กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 972.3 ไม่แปลกหน้า
โจวหมี่ลี่เฝ้ าอยู่ตรงหน้าประตูห้อง อีกเดี๋ยวรอให้เห็นว่าใครดื่ม น้าชาในถ้วยหมดแล้วนางก็จะได้ไปเติมชาได้ตลอดเวลา
ส่วนคนโต๊ะนั้นคุยอะไรกัน นางได้ยินไม่ชัด แล้วก็ไม่มีทางแอบ ฟัง เป็ นไปได้มากว่าห่านขาวใหญ่จะต้องร่ายวิชาอภินิหารอีกเป็ นแน่ ดูสิ ห่านขาวใหญ่หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ตนด้วยนะ เฮ้อ ทุกวันนี้เป็ น ถึงเจ้าส านักแล้ว ยังไม่รู ้จักท าตัวเป็ นการเป็ นงานบ้างเลย
พอหันไปมองเจ้าขุนเขาคนดี ก าลังพูดคุยกับคนอื่นอย่างยิ้มแย้ม อยู่เลยนะ คาดว่าการค้าที่มาส่งถึงหน้าประตูบ้านครั้งนี้ เก้าในสิบคือ ต้องได้มาแน่นอนแล้ว!
มีผู้ฝึกกระบี่อีกคนกลายร่างเป็ นสายรุ ้งพุ่งมาถึง พลิ้วกายลงข้าง โต๊ะ ชุยตงซานกลัวว่าเรื่องสนุกจะไม่ครึกครื้นมากพอ จึงสูดจมูก พูด ด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธว่า “หมี่อันดับหนึ่ง บรรพบุรุษอู๋ท่านนี้ เมื่อครู่เพิ่ง ด่าว่าหมี่ลี่น้อยของพวกเราไม่ฉลาด”
เดิมทีใบหน้าของหมี่อวี้ยังประดับรอยยิ้มน้อยๆ พอได้ยินประโยค นี้สีหน้าก็มืดทะมึนทันที จ้องบรรพบุรุษอู๋ที่…อึ้งตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง เขม็ง “อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็คือขอบเขตก่อกาเนิดที่มีความกล้าของ ขอบเขตบินทะยานสินะ คุยธุระกันเสร็จแล้ว ก็ไปหาสถานที่สักแห่ง ขุดหลุมรอไว้ให้ตัวเองเถอะ”
โจวหมี่ลี่เห็นหมื่อวี้ก็แอบยกมือขึ้นกระดิกนิ้ว อวี๋หมี่ อวี๋หมี่ มา ทางนี้ มาทางนี้ เจ้าขุนเขาคนดีกาลังคุยเรื่องการค้ากับคนอื่นอยู่นะ พวกเราสองคนต่างก็ไร ้คุณสมบัติ ไม่เหมาะจะเข้าร่วมด้วย
หมื่อวี้เปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง สีหน้าแววตาเปลี่ยนมาเป็ นอ่อนโยน เดินไปทางหน้าประตูห้อง ระหว่างนั้นยังหันกลับไปมองจางจื๋อและอู๋ โซ่วด้วย จางจื๋อยังดี ยังคงมีสีหน้าเป็ นปกติ เหมือนเดิม แต่อู๋โซ่วกลับ รู ้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อน้าแข็ง
จางจื๋อดื่มน้าชาในถ้วยหมดแล้วก็หมุนตัวกลับมา คลี่ยิ้มพลาง ยกถ้วยขาวในมือขึ้นสูง
หมี่ลี่น้อยรีบหิ้วกาน้าที่วางไว้บนกระถางไฟขึ้นมา วิ่งตะบึงไปที่ ข้างโต๊ะ รับถ้วยชามาแล้วก็รินน้าชาลงไปเจ็ดแปดส่วนของถ้วย ครั้น จึงส่งคืนให้กับอาจารย์จาง จางจื๋อเอ่ยขอบคุณแม่นางน้อยแล้วยิ้มเอ่ย ว่า “ครั้งหน้าที่ต้มชารับรองแขกต้องมีข้อพิถีพิถันเรื่องน้าที่ใช ้ต้มชา ด้วย ข้าน่ะไม่คิดอะไรหรอก นอนกลางดินกินกลางทรายมาจนชิน แล้ว ขอแค่ดับกระหายได้ก็ล้วนถือเป็ นชาดี แต่เซียนซือบนภูเขา หลายคนเลือกกิน แค่ดื่มก็สามารถลิ้มรสสูงต่าได้แล้ว ต่อให้ภายนอก ไม่แสดงออก แต่ในใจกลับนินทา ก็แค่ยอมกล้อมแกล้มดื่มไปเท่านั้น วันหน้าน้าที่ใช ้ต้มชาไม่สู้เอามาจากน้าพุใสสะอาดในภูเขา หากข้า จ าไม่ผิดล่ะก็ ในมหาบรรพตเก่าสามลูกล้วนมีต้นกาเนิดน้าพุที่ไม่เลว อยู่”
ดื่มชาต้องมีข้อพิถีพิถันแบบนี้ด้วยหรือ? เป็ นแบบนี้จริงๆ หรือ? โจวหมี่ลี่หันไปมองเจ้าขุนเขาคนดี เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แม่นาง น้อยชุดดาก็คลี่ยิ้มกว้างทันใด เอ่ยขอบคุณอาจารย์จางว่า “ได้รับ คาสั่งสอนแล้ว!”
จางจื๋อดื่มน้าชาหนึ่งอีก ยิ้มเอ่ยว่า “ภูเขาลั่วพั่วไม่เหมือนที่อื่น จริงๆ”
จางจื๋อใช ้สองมือประคองถ้วยชา ยิ้มเอ่ยว่า “ขอแนะนาตัวเอง อย่างเป็ นทางการ ข้าชื่อว่าจางจื๋อ มีชาติก าเนิดมาจากลั่วหยางมู่เค่อ เพราะทาผิดกฎของศาลบรรพชนจึงถูกตัดชื่อออกจากผังวงศ์สกุล หันมาท าการค้าต้นทุนต่าล่างภูเขา ใช ้วิธีการที่สะสมน้อยจน กลายเป็ น มาก มิอาจเทียบกับการวางแผนลึกล้าพิจารณายาวไกล ของอาจารย์ฟ่ านและกิจการใหญ่โตของเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุล หลิวได้ คนที่อยู่ด้านข้างผู้นี้คืออู๋โซ่ว ฉายาหลิงเจี่ยว เคยเป็ น ผู้รับผิดชอบส่วนของร ้านผ้าห่อบุญในแจกันสมบัติทวีป อู๋โซ่วเพียง แค่จ้องมองลูกคิดและสมุดบัญชี ไม่เคยเงยหน้ามองสถานการณ์ใหญ่ ที่ไกลตัว คุณความชอบเพียงหนึ่งเดียวก็คือจับผลัดจับผลูทิ้งสิ่งปลูก สร ้างพวกนั้นไว้ที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว ทุกวันนี้มันเป็ นของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ก็ถือเป็ นความโชคดีอย่างใหญ่หลวง หลายปีมานี้เวลาที่เจอกับผ้าห่อ บุญอื่นๆ ที่เป็ น เพื่อนร่วมอาชีพ มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่อู๋โซ่วสามารถ ยึดเอวตรงคุยโวได้โดยไม่ต้องร่างค าพูด
ใบหน้าของอู๋โซ่วเต็มไปด้วยความขมฝาด
น้อยครั้งนักที่นายท่านจะพูดแบบนี้กับคนอื่น แล้วนับประสาอะไร กับที่ก่อนหน้านี้ยังตั้งใจเตือนตนว่าไม่อนุญาตให้พูดถึงท่าเรือหนิว เจี่ยว
แต่สองสามประโยคสุดท้ายของจางจื๋อก็ไม่ถือว่าเป็ นค าพูดตาม มารยาทที่ไร ้ซึ่งความจริงใจ อู๋โซ่วมักจะโอ้อวดเรื่องนี้กับเพื่อน ร่วมงานเป็ นประจาจริงๆ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนแปลงความจริงเล็กน้อย บอกว่าปีนั้นตัวเองได้รู ้จักกับอิ่นกวานหนุ่มอย่างไร พบเจอกันแล้วถูก ชะตากัน เรียกกันเป็ นพี่เป็ นน้องอย่างไร ตอนนั้นเฉินผิงอันยังเป็ นแค่ เด็กหนุ่มที่ทางานในเตาเผา แต่ข้าอู๋โซ่วตามีแวว แค่มองก็รู ้ว่าอีก ฝ่ ายไม่ธรรมดา ตอนอยู่บนโต๊ะสุราได้ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่าข้ารู ้สึกว่า ท่านไม่ใช่คนที่จะอยู่ในบ่อเล็กๆ นาน ตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่เชื่อ เพียงแค่ดื่มสุราคารวะตัวเอง ดื่มหมดหนึ่งชาม….พูดคุยกันมากมาย จนถึงสุดท้ายขนาดตัวอู๋โซ่วเองก็ยังเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดแล้ว ด้วย
อย่าได้รู ้สึกว่าวิธีการต่าช ้าเช่นนี้น่าหัวเราะเยาะ ในวงการการค้า มันอาจจะแลกเปลี่ยนมาเป็ นเงินทองของมีค่าได้จริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ย “ทางฝั่งของใบถงทวีปนี้ ข้าจะไม่มาดูแลแล้ว” จางจื๋อก็มีท่าทางโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด อู๋โซ่วก้มหน้า เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
ส่วนจะแค่ว่าทาท่าให้คนอื่นดูหรือไม่นั้น คนใบ้กินหวงเหลียง รสชาติขมขื่นมีเพียงตัวเองที่รู ้
จางจื๋อเองก็เป็ นคนตรงไปตรงมา ถามโดยตรงว่า “ขอถาม อาจารย์เฉิน นอกจากสานักกระบี่ชิงผิงของพวกท่านแล้ว ในอาณา เขตของใบถงทวีปแห่งนี้ กองกาลังที่มีสิทธิ์มีเสียง มีใครกันบ้าง?”
ชุยตงซานแกว่งชามเหล้า “ข่าวสารว่องไวถึงเพียงนี้ เป็ นข่าวลือ ที่แพร่ไปจากทางฝั่ งของส านักกุยหยกหรือทางกรมคลังของ ราชวงศ์ต้าเฉวียนล่ะ?”
เฉินผิงอันดื่มน้าชาจนหมด ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกวันนี้คนที่จัดการธุระ ต่างๆ คือชุยตงซานพวกเจ้าพูดคุยกันไปเถอะ”
ลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวลา เดินไปทางประตูห้อง เฉินผิงอันลูบศีรษะ ของหมี่ลี่น้อย ยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องช่วยเติมชาต่อแล้ว”
หมี่อวี้ยกสองแขนกอดอก เอนหลังพิงพนัง จ้องอู๋โซ่วผู้นั้นอยู่ ตลอด
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท าอะไรน่ะ สายตาฆ่าคนได้ หรือ ท าไมข้าถึงไม่รู้เลยว่าเซียนกระบี่เก่งกาจขนาดนี้”
หมี่อวี้ยิ้มอย่างพิพักพิพ่วน
เข้ามาในห้อง เฉินผิงอันยิ้มทักทายฉิวคู่กับหูอู๋หลิง นั่งอยู่ข้าง กระถางไฟใบหนึ่งในห้องยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ลังเลเล็กน้อย
ก่อนเอ่ยว่า “หมี่ลี่น้อย เมื่อครู่นี้มีคนรู ้สึกว่า…อืม เอาเป็ นว่าเป็ นค าพูด ร ้ายกาจที่ไม่น่าฟังก็แล้วกัน บังเอิญข้าได้ยินเข้าพอดี”
หมี่ลี่น้อยขยับม้านั่งตัวเล็กเข้ามานั่งใกล้ๆ เจ้าขุนเขาคนดี ยื่นมือ มาป้ องข้างปาก กดเสียงลงต่าพูดว่า “ไม่ใช่อาจารย์จางคนนั้น ใช่ ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คือเจ้าอ้วนที่ชื่ออู๋โซ่วผู้นั้น อาจารย์จางชอบเจ้ามากเลยล่ะ”
หมี่ลี่น้อยหน้าตาเบิกบานทันใด “ฮ่าๆ เดาถูกแล้ว ข้ารู ้อยู่แล้วว่า ต้องไม่ใช่อาจารย์จางแน่!”
แม่นางน้อยชุดดาโคลงศีรษะ ไหล่สองข้างเดี่ยวยกขึ้นเดี๋ยวขยับ ลง อารมณ์ดีอย่างมาก ราวกับว่าความคิดเห็นของอู๋โซ่ว ไม่ว่าจะพูด อะไรก็ถูกนางมองข้ามไม่ถือสา
แม่นางน้อยเอาแต่อารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง
ก็เหมือนกับที่นางมักจะไปนั่งมองทัศนียภาพริมหน้าผาของภูเขา ลั่วพั่วเป็ นประจ าเรื่องที่ไม่มีความสุขก็ปล่อยให้มันลอยตามก้อนเมฆ ไป เรื่องที่มีความสุขก็เหมือนนกมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ อยู่เป็ นแขก ต่อไป
เฉินผิงอันเกือบอดไม่ไหวเตรียมจะลุกขึ้นยืน คราวนี้เป็ นหมื่อวี้ที่ ต้องตระหนกบ้างแล้วเขากระแอมหนึ่งที “ใต้เท้าอิ่นกวาน หากไม่ได้ จริงๆ ก็ให้ข้าเป็ นคนลงมือเถอะ”
โจวหมี่ลี่ยื่นมือออกมาดึงชายแขนเสื้อของเจ้าขุนเขาคนดีเอาไว้ เบาๆ สายหน้า ยิ้มกว้าง คล้ายก าลังพูดว่า อยู่ในบ้านของตัวเองท าไม ถึงอารมณ์ไม่ดีเสียล่ะ
แม่นางน้อยเกาแก้ม ก่อนจะกระซิบกระซาบกับเจ้าขุนเขาคนดี อีกว่า ตนกับเผยเฉียนก็มักจะเรียกพี่หญิงเฉินลับหลังว่าคนซื่อบื้อเห มือนกันนะ
เฉินผิงอันหัวเราะลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “ผู้พิทักษ์ขวาพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ชัดเลยไม่รู ้ จ าไม่ได้”
โจวหมี่ลี่ “ฮ่า!” เจ้าขุนเขาคนดี “ฮ่าๆ”
โจวหมี่ลี่ “ฮ่าๆๆ!”
เจ้าขุนเขาคนดี “เจ้าชนะแล้ว”
หมี่อวี้มองใต้เท้าอิ่นกวานแล้วก็ให้สะท้อนใจนัก แล้วก็เพราะใต้ เท้าอิ่นกวานไม่แตะต้องหมู่มวลบุปผาเอง หาไม่แล้วตนรวมกับโจว อันดับหนึ่ง ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
เฉินผิงอันหันหน้ามาด่าอย่างกรุ่นโกรธ “ไสหัวไปไกลๆ เลย” หมี่อวี้อึ้งตะลึง น่าประหลาดนัก ใต้เท้าอิ่นกวานได้ยินเสียงในใจ ของตนได้อย่างไร …….
ภูเขาลั่วพั่ว บนโต๊ะอาหารตัวหนึ่งมีจูเหลี่ยน เฉินหน่วนซู่และเด็ก สาวสวมหมวกขนเตียวที่ใช ้นามแฝงว่าเซี่ยโก่วนั่งอยู่
เชี่ยโก่วเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “อาจารย์ผู้เฒ่าจู ข้ายังนึกว่าภูเขา ลั่วพั่วของพวกท่านด้วยความสามารถของใต้เท้าอิ่นกวานจะต้องมี คนหลายพันคนเสียอีก”
ผู้ฝึกกระบี่หลายสิบถึงร ้อยคน ผู้ฝึกลมปราณอีกหลายร ้อยคน ผู้ ฝึ กยุทธอีกหลายพันคน บวกกับพวกลูกศิษย์ฝ่ ายนอก ข้ารับใช ้ นักการทั้งหลาย อิ่นกวานหนุ่มออกคาสั่งคาเดียว ชี้ไปทั้งไหนก็ตีกัน ไปถึงทางนั้น มีหรือไม่มีเรื่องก็ไปโอ้อวดบารมีที่เมืองหลวงต้าหลี ไป เตร็ดเตร่กันสักรอบ
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าภูเขาลั่วพั่วจะมีคนอยู่น้อยนิดแค่นี้
เสี่ยวโม่ก็จริงๆ เลย ไม่ยอมออกแรงเลยสักนิด คาดว่าคงเป็ น เพราะขี้เกียจแน่ๆ
คนแก่หนังเหนียวอย่างพวกเขา นางกับเสี่ยวโม่ บวกกับอู๋หมิงชื่อ ที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่คิดให้ดี ล้วนพอๆ กัน มักจะไปไหนมาไหนเพียง ลาพัง ส่วนหลีโก้วที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยสมบัติล้าค่า และยังมีสตรีที่ หน้าอกโตผู้นั้น ก็ไม่ค่อยชอบความครึกครื้นสักเท่าไร คนที่เหลือ อย่างพวกหวังโหยวอู้ต่างก็ต้องกลับไปเปิดสานักตั้งพรรคกันใหม่แน่ๆ เฮอะ ห่วยแตกชะมัด พลังพิฆาตไม่มากพอก็เอาสมบัติอาคมมาผสม ความสามารถไม่สูงพอเลยสักนิด
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “อันที่จริงยังมีพื้นที่มงคลรากบัวอีกแห่งหนึ่ง หากรวมกับที่นั่น จานวนคนก็จะมีมากแล้ว”
เซี่ยโก่วพ่นเสียงออกจากจมูกอย่างไม่ปกปิดความดูแคลนของ ตัวเอง คีบอาหารค าใหญ่ยัดใส่ปาก พูดเสียงอู้อี้ว่า “นั่นก็ถือว่าเป็ น คนได้ด้วยหรือ? รวมกันแล้วเอามาใช ้งานเท่าขอบเขตหยกดิบได้ หรือ?”
เฉินหน่วนซู่ได้ยินคาพูดนี้แล้วก็ได้แต่ก้มหน้าลงเคี้ยวข้าวเงียบๆ
จูเหลี่ยนยังคงยิ้มเป็ นปกติ “ดินน้าของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคน ของพื้นที่หนึ่ง แม้ว่าแต่ละคนจะมีชะตาชีวิตต่างกัน ไม่ว่าจะพูด อย่างไรก็ล้วนเป็ นชะตาชีวิต”
เซี่ยโก่วร ้องอ้อหนึ่งที เพียงแค่จ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน ตอบขอ ไปทีอย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “มีเหตุผล มีเหตุผล”
หลังจากนั้นหน่วนซู่ก็เก็บชามและตะเกียบไปที่ห้องครัว
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยเตือนว่า “แม่นางเซี่ย วันหน้าอย่าได้ตรวจสอบใจ คนอื่นอย่างส่งเดชอีก”
“ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา แม้ว่าจะมีกฏไม่มาก แต่กฏจ านวนไม่ มากพวกนั้น ไม่ว่าจะเป็ นคนกันเองหรือแขกคนอื่นก็ล้วนต้องระวังไว้ บ้าง”
“แม่นางเซี่ยเพิ่งมาถึง ดังนั้นข้าจึงต้องอธิบายเหตุผลข้อนี้ให้ ชัดเจน”
เซี่ยโก่วเรอดังเอ็ก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “รู ้แล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตา ตาม แขกตามใจเจ้าบ้าน เหตุผลนั้นข้าเข้าใจดี!”
นางลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากห้อง “เดินเล่น เดินเล่น กินข้าวอิ่ม แล้วเดินร ้อยก้าว มีชีวิตได้เก้าสิบเก้า เพ้ย มีชีวิตได้เก้าหมื่นเก้า ต่างหาก!”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก
ไม่เข้าใจแกล้งท าเป็ นเข้าใจ ไม่ได้น่ากลัว กลัวก็แต่ว่าเข้าใจ แล้วแต่แกล้งท าเป็ นว่าตัวเองไม่เข้าใจแต่แสร ้งท าเป็ นเข้าใจ
สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ป๋ ายจิ่งที่แค่มาหาเสี่ยวโม่ผู้นี้ยังคงไม่รู ้สึก ว่าภูเขาลั่วพั่วน่ากลัวอย่างแท้จริง ดังนั้นนอกจากเสี่ยวโม่แล้วก็ไม่มี อะไรที่มีค่าพอให้ป๋ ายจิ่งเก็บมาใส่ใจอีก
ต่อให้เป็ นเซียนเว่ยนักพรตคนเฝ้ าประตู ในสายตาของป๋ ายจิ้ง แล้ว บางทีอาจถือได้ว่าน่ากลัวแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น?
เซี่ยโก่วเดินออกมาจากเรือนแล้วก็กระตุกมุมปาก น่าเสียดายนัก ต่อให้ความรู ้ของอาจารย์ผู้เฒ่าจูจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ เป็ นบัณฑิต มีกฎเกณฑ์มากไปสักหน่อย
ภายหลังเซี่ยโก่วจึงเริ่มเดินเที่ยวไปตามยอดเขาต่างๆ ของภูเขา ลั่วพั่ว ยกตัวอย่างเช่นที่เรือนไม้ไผ่แห่งนั้น ฉวยโอกาสที่เด็กหญิงชุด กระโปรงชมพูกาลังทาความสะอาดห้องชั้นหนึ่ง นางที่ไม่มีอะไรทาก็ เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปดูพักหนึ่ง ตอนนั้นหน่วนซู่ที่กาลังง่วน ทางานเพียงแค่หยุดงานในมือลง รอกระทั่งแม่นางเซี่ยคนนั้นออกจาก ห้องไปแล้ว สุดท้ายหน่วนซู่ก็ยังไม่เอ่ยอะไร เซี่ยโก่วไปที่ภูเขา ด้านหลังอีก นั่งอยู่บนหลังคาเรือน มองชายหนุ่มหญิงสาวสองคนที่ ก าลังฝึกหมัด รอกระทั่งคนทั้งสองสัมผัสได้ถึงแขกไม่ได้รับเชิญที่อยู่ บนหลังคาเรือนก็หยุดท่าเดินนิ่งทันที มองเด็กสาวสวมหมวกขนเตียว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เซี่ยโก่วเพียงแค่ยื่นมือออกไป เป็ นนัยบอกให้ฝึกหมัดของพวกเจ้าต่อ คิดแค่ว่าตนไม่อยู่ก็พอแล้ว
เซี่ยโก่วเดินเตร็ดเตร่อย่างนี้อยู่สองสามวัน ไปที่ยอดเขา ฟุบตัว เหม่อลอยอยู่บนราวรั้วนางยังเดินวนรอบลานกว้างนอกศาลบรรพ จารย์ยอดเขาจี้เซ่อด้วยหนึ่งรอบ
ท่ามกลางแสงสนธยา เซียนเว่ยเตรียมจะเลิกงานตรงตามเวลา
โดยทั่วไปแล้วเซียนเว่ยมักจะไปขอกินดื่มอยู่กับพ่อครัวเฒ่าบน ภูเขา แต่บางครั้งก็จะจุดเตาเล็กๆ ของตัวเอง ลงมือท าอาหารด้วย ตัวเอง นี่เรียกว่าพยายามยืนอยู่ด้วยลาแข้งของตัวเอง ใช ้ชีวิตอยู่ดี กินดี
หลักๆ แล้วเป็ นเพราะเซียนเว่ยรู ้สึกว่าไปหาผู้ดูแลเฒ่าจูเหลี่ยน ขึ้นเขาลงเขา ไปกลับรอบหนึ่งค่อนข้างลาบาก ถ่วงเวลาการอ่าน ต าราของตน บัณฑิตไม่อ่านต าราให้มากจะได้ดิบได้ดีได้อย่างไร?!
ปกติแล้วเซียนเว่ยจะเฝ้ าประตูถึงยามซวี (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) แล้วก็เตรียมจะหิ้วเก้าอี้ไม้ไผ่กลับไปเรือนพักของพี่น้องต้าเฟิ ง ไม่ เกียจคร ้านที่จะต้องทางาน แต่จะไม่อยู่นานเกินเวลาเด็ดขาด ถึง อย่างไรภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ก็ไม่มีแขกที่มาจากภายนอกอยู่แล้ว
เวลาหนึ่งขุ่นเท่ากับทองหนึ่งขุ่น อ่านตาราให้มาก ต่อให้ได้แค่ เปิดหน้าหนังสือมากกว่าเดิมไม่กี่หน้าก็ยังสามารถเพิ่มพูนความรู ้ได้ ส่วนหนึ่ง
วันนี้เซียนเว่ยกาลังจะเก็บเก้าอี้ไม้ไผ่ก็เห็นว่าเด็กสาวที่สวม หมวกขนเดียวเดินลงมาจากภูเขา ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดี
เซียนเว่ยจึงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ที่เดิม คิดว่าจะ คุยเล่นกับแม่นางน้อยคนนี้สักสองสามประโยคแล้วค่อยกลับไปอ่าน หนังสือที่เรือนต่อ
เซียนเว่ยรอกระทั่งนางขยับเข้าใกล้ประตูภูเขาแล้วค่อยยิ้ม ทักทาย ถามว่า “นี่คือฝึกหมัดเลียนแบบแม่นางเฉินหรือ?”
เซี่ยโก่วเดินเตร่จนมาถึงตีนเขา นางขยี้หมวกขนเตียว ส่ายหน้า “ฝึกหมัดอะไรกัน ไม่รู้ว่าข้าท าอะไร บางทีอาจมีประโยคไหนไม่ระวัง
พูดผิดไป ถึงได้ท าให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูไม่สบอารมณ์ ไล่ข้าลงมาจาก ภูเขา สั่งให้ไปทางานอยู่ที่ร ้านร ้านหนึ่งในตรอกฉีหลง”
เซียนเว่ยตกใจอย่างหนัก ผู้ดูแลผู้เฒ่าจูใจเย็นขนาดนั้น แม่นาง เซี่ยเจ้าต้องก่อกรรมทาเข็ญ สร ้างเรื่องก่อราวใหญ่แค่ไหนกัน ถึงได้ ท าให้อาจารย์จูรู ้สึกไม่สบอารมณ์ได้?
เซียนเว่ยลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังอดไม่ไหวเอ่ยว่า “แม่นางเซี่ย บน ภูเขาของพวกเรา แต่ไหนแต่ไรมาไม่ต้องระวังเรื่องคาพูดคาจา สรุป แล้วเป็ นเรื่องอะไรกันแน่ ข้าสามารถช่วยเจ้าทบทวนความผิด หาช่อง โหว่ดูได้ อย่างมากข้าก็จะขึ้นเขาไปกับเจ้าสักรอบ ไปขอโทษพ่อครัว เฒ่า ยอมรับผิดก็สามารถอยู่บนภูเขาต่อได้แล้ว”
เซี่ยโก่วจ้อง “นักพรตตัวปลอม” ที่สวมชุดคลุมเต๋าที่ทาจากผ้า ฝ้ ายผู้นั้นเขม็ง
ไอ้หมอนี่ปักปิ่ นไม้ไว้บนมวยผม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ นักพรตคนนั้นเลยนะ
หากว่าถูกเจ้าหวังโหยวอู้ที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับผู้นั้นหาเจอเข้า แล้วเสี่ยวโม่ก็ไม่ได้อยู่บนภูเขา จะไม่มีจุดจบเป็ นเสียงเคี้ยวกร ้วมๆ หรอกหรือ?
เซียนเว่ยยิ้มเอ่ย “แม่นางเซี่ย ยอมรับผิดยากตรงไหนกัน อย่าได้ รู ้สึกว่าเสียหน้าเด็ดขาด ไม่จ าเป็ นเลย”
เชี่ยโก่วกะพริบตาปริบๆ
คงไม่ใช่คนโง่หรอกกระมัง
คนกลุ่มน้อยที่อายุขัยและลาดับอาวุโสพอๆ กันซึ่งมีตนกับเสี่ยว โม่เป็ นหนึ่งในนั้น หากไม่นับพลังพิฆาตและการป้ องกันที่ติดสาม อันดับแรก เศษสวะเฒ่าที่เหลือ อันที่จริงหากอิงตามวิธีคิดค านวณ ของผู้ฝึกตนทั่วไปก็ไม่ได้ถือว่าไร ้ค่าไร ้ประโยชน์มากถึงเพียงนั้นแล้ว