กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 973.3 ยืมลมตะวันออก
หลังจากที่จางจื๋อฟังแล้ว ในใจก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ขณะที่ ก าลังจะเปิดปากพูด ชุยตงซานกลับเพิ่มน้าหนักเสียงเอ่ยเตือนว่า “จางจื๋อ เจ้าต้องรู ้นะว่าสกุลหลิวกับสกุลอวี๋ออกเงินไปมากมายขนาด นี้ หากโชคไม่ดีก็ต้องขาดทุน เท่ากับว่าจ่ายเงินลอยทิ้งไปตาม กระแสน้า แต่พวกเขาจะไม่มีความไม่พอใจใดๆ ไม่มีใบยืมหนี้ที่เป็ น ลายลักษณ์อักษรใดๆ ต่อให้ในอนาคตสามารถทาเงินได้ เมื่อลาน้า ใหญ่ปรากฏขึ้น ไม่ว่าในอนาคตจะได้กาไรแบบไหนหลิวจวี้เป่ากับอวี้ พ่านสุยก็รับปากและลงนามในสัญญาตัวอักษรด าบนกระดาษขาวไว้ ตั้งนานแล้วว่า อย่างมากสุดสองบ้านก็จะเอากาไรแค่หนึ่งส่วนจาก เงินทุนเท่านั้น เงินเทพเซียนที่ได้มาก้อนนี้ ก็เท่ากับว่าลาน้าใหญ่ของ ใบถงทวีปไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง แล้ว”
ส่วนรายรับของลาน้าใหญ่มาจากไหนกันแน่ คิดดูแล้วคงเป็ นสิ่ง ที่จางจื๋อและร ้านผ้าห่อบุญน่าจะสนใจที่สุด เพียงแต่ขอโทษด้วย ต้อง เห็นเงินทองของจริงเสียก่อนถึงมีสิทธิ์จะรู ้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็เดา กันเอาเองเถิด
จางจื๋อกล่าว “คิดบัญชีกันในเรื่องเงินทอง พวกเราสามารถเอา อย่างเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวและอวี้พ่านสุยได้ หากขาดทุนก็ ยอมรับชะตากรรม ได้ก าไรมากสุดแค่ส่วนเดียวจากเงินทุน นอกจากนี้ร ้านผ้าห่อบุญก็มีข้อเรียกร ้องเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่น คือท่าเรือตระกูลเซียนทุกแห่งที่ตั้งอยู่รายทางของลาน้าใหญ่ ไม่ว่าจะ เก่าหรือไม่ ล้วนจะต้องสร ้างร ้านผ้าห่อบุญขึ้นมา แต่ละแคว้นจะไม่ เก็บเงินค่าเช่าที่ ล้วนถือว่าร ้านผ้าห่อบุญจ่ายเงินซื้อมา ไม่ต้องคอย มาทะเลาะกันให้เปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์ เว้นเสียจากว่าราชวงศ์ ในพื้นที่มีการผลัดเปลี่ยน เปลี่ยนแซ่แคว้นใหม่ ถึงเวลานั้นค่อยมาดู กันอีกทีว่ามันจะตกไปเป็ นของใครหาไม่แล้วการค้าขายก็จะมีแค่ ราคาเดียวนี้เท่านั้น ส่วนราคาอย่างเป็ นรูปธรรมของร ้านผ้า ห่อบุญ แห่งใหม่ทั้งหลายที่ตั้งบนท่าเรือ ข้าจะให้อู๋โซ่วไปพูดคุยกับพวกเขา เอง ก็ถือว่าเป็ นการมอบกาไรส่วนต่างก้อนหนึ่งให้กับราชสานักของ แคว้นต่างๆ ไม่ถึงขั้นทาให้จักรพรรดิและที่ว่าการกรมคลังของแคว้น ทั้งหลายรู ้สึกพบเจออุปสรรคทุกครั้งที่ต้องพูดคุยกันถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ง่ายที่จะถ่วงรั้งให้งานขุดเจาะล้าน้าใหญ่ล่าช ้าออกไปอีก”
ชุยตงซานทั้งขันทั้งฉุน เจ้าตัวดี นี่วางท่าชัดเจนแล้วว่าจะมาแย่ง ชิงที่ดินกันชัดๆ
จางจื๋ออธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ท่าเรือตระกูลเซียนมีร ้านผ้าห่อ บุญหรือไม่ กลิ่นอายความเป็ นที่นิยมก็จะแตกต่างกันอย่างมาก”
ในที่สุดอู๋โซ่วก็คิดว่ามีโอกาสที่จะทาความดีชดใช ้ความผิดแล้ว ขณะที่กาลังจะเปิดปากพูด คิดจะแสดงน้าใจ บอกว่าท่าเรือชิงซาน แห่งนี้ ข้าสามารถควักเงินก้อนนี้ออกมาก่อนได้ ทั้งกาลังคนและกาลัง
ทรัพย์ล้วนให้ร ้านผ้าห่อบุญของใบถงทวีปพวกเราเป็ นคนออกกันเอง รวมถึงการสร ้างสิ่งปลูกสร ้างทุกแห่งที่ควรมีในท่าเรือตระกูลเซียนแห่ง หนึ่งด้วย…
จางจื๋อกลับหันขวับมามอง ใช ้สองนิ้วประกบกันเคาะผิวโต๊ะเบาๆ “อู๋โซ่ว ท าตัวให้ดีหน่อย ดื่มชาของเจ้าไป”
ยากนักที่บรรพบุรุษร ้านผ้าห่อบุญจะโมโห หากโกรธเข้าจริงๆ ข้าผู้อาวุโสก็อยากจะตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ
หากว่ามีความเห็นแก่ตัว ไยสานักกระบี่ชิงผิงที่มีฐานะเป็ นคนที่ ริเริ่มเรื่องการขุดเจาะลาน้าใหญ่จะต้องสิ้นเปลืองความสัมพันธ ์ควัน ธูปบนภูเขามากมายขนาดนั้นเพื่อถมช่องว่างที่ราวกับหลุมไร ้กันนี้ให้ เต็ม
หากเจ้าอู๋โซ่วเปิ ดปากเสนอความคิดเห็นที่อยู่ในใจออกมาก็ เท่ากับบอกกับคนทั้งทวีปว่า ไม่ใช่เลย อันที่จริงสานักกระบี่ชิงผิงของ พวกเจ้านั้นมีใจเห็นแก่ตัว
ชุยตงชานหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “อาจารย์จางอย่าได้เรียกร ้องให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนมีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้าง เข้าใจสถานการณ์ ใหญ่ในใต้หล้าอย่างเข้มงวดแบบนี้สิ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ร ้านผ้าห่อบุญ ก็คงถูกสานักการค้าเข้ามาแทนที่ ตั้งตัวเป็ นบรรพบุรุษ หรือไม่ก็ ได้รับความโปรดปรานจากอาจารย์ฟ่ าน เชิญให้ไปเป็ นบรรพบุรุษ สามแห่งส านักการค้านานแล้วน่ะสิ? จางจื๋อยิ้มเอ่ยอย่างอ่อนใจ “คาพูดประเภทนี้อย่าพูดให้คนอื่นได้ ยินเข้าล่ะ”
เป็ นอย่างที่ชุยตงซานพูดจริงๆ ในพรรคแห่งหนึ่ง นิสัยการกระทา ต่างๆ วิธีการหาเงินไม่มีทางท าได้ส าเร็จด้วยคนคนเดียว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกุมหมัดเอ่ยลา “ในเมื่อเจรจากันเรื่อง ทิศทางได้แล้ว ต่อจากนี้ก็เป็ นแค่เรื่องของรายละเอียดปลีกย่อย เท่านั้น ก็ให้ตงซานคุยกับอาจารย์จางอย่างละเอียดแล้วกัน อะไรที่ ควรทะเลาะก็ทะเลาะ อะไรที่ควรด่าก็ด่า ไม่ต้องเกรงใจ คิดเสียว่าเรื่อง ดีควรต้องพิจารณาให้มาก”
จางจื๋อลุกขึ้นยืน กุมหมัดน้อมส่ง
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยกับอู๋โซ่วว่า “วันนี้พวกเราสองคนถึงจะถือว่า รู ้จักกันอย่างแท้จริง วันหน้าอย่าได้เอาไปโม้ให้คนนอกฟังว่าดื่มเหล้า ด้วยกันอีกล่ะ ถึงอย่างไรดื่มชาด้วยกันต่างหากถึงจะเป็ นเรื่องจริง”
อู๋โซ่วพยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก พูดจา รับรองอย่างน่าเชื่อถือว่า “ทราบแล้วๆ คาสอนของอิ่นกวาน ข้าจดจ า ไว้ขึ้นใจแล้ว”
จากนั้นเฉินผิงอันก็พาหมี่ลี่น้อย และยังมีเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ออกไปจากท่าเรือชิงซานด้วยกัน เดินเท้ากลับไปที่ยอดเขามี่เซวี่ย
โจวหมี่ลี่ถาม “เจ้าขุนเขาคนดี กลับบ้านด้วยกันหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถือว่าไปด้วยครึ่งทาง รอให้ เรือเพิ่งยวนไปถึงนครมังกรเฒ่า ข้าค่อยลงจากเรือเดินทางไปกับผู้ อาวุโสซ่งระยะทางหนึ่ง จากนั้นก็จะกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วเพียงล าพัง จะต้องถึงบ้านก่อนเจ้าแน่”
โจวหมี่ลี่พยักหน้า “แบบนี้ก็ดีน่ะสิ”
หาได้ยากนักที่เจ้าขุนเขาคนดีจะรอตนกลับไปบ้าน ไม่ใช่ตนที่ รอเจ้าขุนเขาคนดึกลับมาบ้าน
ดีใจ ดีใจ ดีใจมากเลย ดีใจยิ่งกว่าได้รับซองแดงตอนปีใหม่เสีย อีก
หมื่อวี้หันหน้าไปมองอู๋โซ่วแวบหนึ่ง ถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน จะ ปล่อยไปอย่างนี้จริงๆหรือ?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “อยากให้ต่อยเขาสักรอบ ระบายความโมโหหน่อยไหม?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง “ไม่ได้โมโหสักหน่อยจะระบายความโมโห ท าไม ท่องอยู่ในยุทธภพต้องใจกว้าง!”
เฉินผิงอันดึงมือกลับมา พยักหน้ายิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ได้ยินหรือยัง หัดเรียนรู ้บ้าง”
หมื่อวี้อยากจะลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อยเอาอย่างใต้เท้าอิ่นกวาน ผลคือถูกแม่นางน้อย ยื่นมือออกมาจับข้อมือของหมี่อวี้เอาไว้ เอ่ย อย่างร ้อนรนว่า “อวี๋หมี่ อวี๋หมี่ อะไรน่ะ อะไรน่ะ หากยังลูบหัวอีกตัวจะ ไม่สูงจริงๆ แล้วนะ!”
หมี่อวี้ใช ้เสียงในใจเอ่ยถามอย่างลังเล “ใต้เท้าอิ่นกวาน ท่าน เลื่อมใสบรรพจารย์ร ้านผ้าห่อบุญมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? ไม่คิดจะ ใช ้โอกาสอันดีนี้พูดคุยกับเขาอีกสักสองสามประโยคหรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เลื่อมใสนั้นเป็ นความจริง แต่ก็เหมือนที่ อาจารย์จางพูดเองนั่นแหละ ทาการค้ากับคนที่ตัวเองเลื่อมใส พอ เลือดร ้อนขึ้นหัวก็ง่ายที่จะไม่รู้กะหนักเบา อีกอย่างแค่ข้าเห็นบรรพ บุรุษอู๋ที่ใจแคบตัวอ้วนผู้นั้นก็หงุดหงิดแล้ว”
ทางฝั่งของโต๊ะตัวนั้น ชุยตงซานเริ่มร ้องทุกข์กับจางจื๋อ
เดิมทีด้วยเรื่องของการขุดเจาะล้าน้าใหญ่จึงได้สร ้างสิ่งปลูกสร ้าง แห่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับศาลบรรพจารย์ขึ้นมาชั่วคราว สานักกระบี่ชิง ผิงบ้านตนได้ส่งตัวจังชิวและหมี่อวี้ออกไป มิอาจบอกได้ว่าไม่ให้ ความสาคัญกับเรื่องนี้ สานักกุยหยกมีหวังจื้ออกหน้า ราชส านักต้า เฉวียนก็เป็ นหลี่ซีหลิงเจ้ากรมพิธีการ บวกกับรองเจ้ากรมการคลังที่ ออกจากเมืองหลวงมาด้วยเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็ถือว่าเป็ นการชุบตัวใน วงการขุนนางซึ่งโอกาสหาได้ยากครั้งหนึ่ง เซวียไหวแห่งเรือนอวิ๋น ฉ่าวผูซาน และยังมีทางฝั่งของภูเขาไท่ผิงที่ส่งตัวอวี๋ฟู่ ซานผู้ถวาย งานพิทักษ์ภูเขามา สกุลหลิวธวัลทวีปและสกุลอวี๋แผ่นดินกลาง แต่ละ ฝ่ ายก็จะส่งคนผู้หนึ่งมาที่ใบถงทวีปด้วย มีความเป็ นไปได้อย่างยิ่งว่า จะเป็ นหลิวโยวโจวที่มีเจตนาไม่ดี ซึ่งอาจจะต้องโดนกระสอบป่ าน
ครอบหัวเข้าสักวัน รวมไปถึงอวี้เจวี้ยนฟูสหายเก่าของทั้งใต้เท้าอิ่นก วานและเผยเฉียน
นอกจากนี้แคว้นทั้งหลายเลียบลาน้าใหญ่ในอนาคตก็สามารถ ส่งคนของตัวเองมาเข้าร่วมการประชุม ได้ครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่ง ใน “ศาลบรรพจารย์” แห่งนี้
พูดถึงแค่ทางฝั่งของสานักกระบี่ชิงผิง นอกจากจะใช ้ยันต์มัลละ กลุ่มของชุยตงซานแล้วก็ยังมีหุ่นเชิดที่เป็ นจินซือ มัวอวี่เอ๋อร ์และ เที่ยวซานกงรวมอยู่ด้วย
จ้งชิวรับหน้าที่เป็ นนักบัญชี หมี่อวี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเป็ นคน น าขบวนด้วยตัวเองเถาหรานเซียนกระบี่ใหญ่เถารับผิดชอบปกป้ อง มรรคา เหอกู อวี๋เสียหุย
บวกกับฉิวเฒ่าฉิวตู๋ หรือแม้กระทั่งหงเซี่ยเจียวน้าขอบเขต ก่อกาเนิดและอวิ๋นจื่อที่ไปขุดตัวมาจากภูเขาลัวพั่ว
แน่นอนว่ายังมีบุคคลใหญ่อีกสามคนที่สามารถ “ย้ายภูเขาคว่า มหาสมุทรได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ ามือ” มากที่สุด ทว่าตอนนี้ชุยตง ซานยังไม่ได้เปิดเผยความลับนี้ให้กับร ้านผ้าห่อบุญ
สุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพา หวังจู หย่างจื่อปี ศาจใหญ่บน บัลลังก ์ราชาเก่า และเถาถิงแห่งเปลี่ยวร ้างที่ได้ครอบครองคาถา หลอมภูเขาครึ่งบท หรือนักพรตเนิ่นในทุกวันนี้
ทุกเรื่องล้วนมีการเตรียมการไว้หมดแล้ว
คนที่คอยเติมน้าชาเปลี่ยนมาเป็ นเด็กสาวชู่ชู่
ชุยตงซานดื่มน้าชาถ้วยสุดท้ายหมดก็ถอนหายใจ “จางจื๋อ ไม่ใช่ ว่าข้าต าหนิเจ้าจริงๆนะ เดิมทีอาจารย์ของข้าเลื่อมใสและนับถือในตัว เจ้ามาก เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าจะหยั่งเชิงอย่างส่งเดชไปท าไม คราวนี้ กลับดีแล้ว เกือบจะต้องแตกหักกันเสียแล้ว โชคดีที่ข้าช่วยแก้ไขให้ อย่างเหน็ดเหนื่อย วันนี้ที่ได้พบหน้ากันถึงได้ถือว่าเริ่มต้นด้วยดีและ จบลงด้วยดี และยังมีการเริ่มต้นที่ดีอีกด้วย”
จางจื๋อเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ได้พบหน้าไม่สู้ได้ยินชื่อเสียง”
ขุยตงขานทอดถอนใจ “เรื่องราวในใต้หล้านับแต่โบราณมานี่นะ มักจะอยู่เหนือความคาดฝัน แล้วก็ไม่ได้เหนือการคาดฝันอยู่เสมอ ทุกเรื่องราวล้วนก่อเกิดมาจากความกังวลความส าเร็จเกิดจากความ ขยันหมั่นเพียร ความผิดพลาดเกิดจากความเย่อหยิ่ง ได้มาเพราะ ความจริง ความรุ่งเรืองกลับสู่ความเงียบสงบ ทิ้งไว้เป็ นความทรงจา ตายไปก็ลืม มีชีวิตอยู่ก็เพื่อ…จางจื๋อ ข้าหมดค าศัพท์แล้ว เจ้าช่วย เสริมให้หน่อยสิ”
จางจื๋อส่ายหน้า ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ข้าผู้แช่จางมีความรู ้ ความสามารถตื้นเขิน ไม่ได้มีความรู ้ที่แท้จริงและสายตาลึกซึ้งเหมือน ซิ่วหู่ แน่นอนว่าไม่กล้าใช ้หางสุนัขไปต่อหางเตียว”
ชุยตงซานถามอย่างสงสัย “เจ้าเคยเจอข้ามาก่อนหรือ?”
จางจื๋อยิ่งสงสัยมากกว่า นี่มันคาถามอะไรกัน “ปีนั้นอยู่ที่แจกัน สมบัติทวีป ไม่ใช่ว่าเจ้าแนะน าตัวเองแล้วบอกให้ข้าไสหัวไปกับปาก ตัวเองหรอกหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้า “นั่นก็คือหนึ่งในแก่นแท้ของวิชาความรู ้ที่ ข้าเรียนรู้มาจากอาจารย์ไม่ทันระวังเลยจ าผิดไป”
รอกระทั่งวันนี้จางจื๋อออกไปจากท่าเรือชิงซาน ผังเชาลั่วหยางมู่ เค่อที่อยู่บนยอดเขามี่เซวี่ยก็ยังไม่ได้เผยตัวมาราลึกความหลังกับ ผู้เยาว์ในภูเขาคนนี้
เรือเฟิงยวนเริ่มเดินทางลงใต้ เฉินผิงอันกับหมี่ลี่น้อยต่างก็ขึ้นไป บนเรือ หมื่อวี้ตามมาด้วย เดินทางครั้งนี้เสร็จแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ก็จะต้องทุ่มเททั้งกายและใจไปกับเรื่องของการขุดเจาะลาน้าใหญ่แล้ว
ในห้องหนังสือบนเรือนพักของยอดเขามี่เซวี่ย หลังจากบอกลา อาจารย์และหมี่สี่น้อยแล้ว ชุยตงซานก็กลับมาที่นี่ ตอนนี้กาลังนั่งอยู่ บนเก้าอี้ ด้านข้างมีผู้คุมกฏชุยเหวยยืนอยู่ด้วย
บนผนังแขวนกระดาษเสวียนจื่อไว้แผ่นหนึ่ง เขียนด้วยตัวอักษร โบราณว่า “ส านักกระบี่ชิงผิง” ด้านล่างคือป้ ายไม้และคาอธิบายที่ เขียนชื่อของบุคคลต่างๆ รวมไปถึงการแบ่งแยกขอบเขตที่ต่างกัน เอาไว้
จุดที่สูงที่สุดซึ่งเขียนสามคาว่า ‘ขอบเขตสิบสี่” ยังว่างเปล่า
ขอบเขตบินทะยาน ยังคงเว้นว่างไว้ชั่วคราว
ส่วนแถวของเซียนเหรินมีชุยตงซาน ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัว หมื่อวี้ ผู้ ฝึกกระบี่
หยกดิบด้านล่างมีไฉอู๋ ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัว บนกระดาษเซวียนจื่อ ยังมีตัวอักษรแบบ บรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันเขียนไว้อีกว่า ‘อย่างมากสุดสิบปี พยายามจะให้ได้ภายใน ห้าปี
ก่อกาเนิดมีชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่ สุยโย่วเปียน ผู้ฝึกกระบี่ ฉิวตู๋ ฉิว เฒ่า
โอสถทองมีเฉาฉิงหล่าง ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัว เถาหราน ผู้ฝึกกระบี่ ด้านข้างอธิบายไว้ว่าต้องเสริมกระบี่ อู๋โก้ว ผู้ฝึกตนผี เซียวม่านอิ่ง ผู้ ฝึกตนผี
ชุยตงซานถาม “ชุยเหวย เจ้าคงรู ้เรื่องของสานักในไพศาลแล้ว กระมัง?”
ชุยเหวยพยักหน้า “รู้แล้ว”
ชุยตงซานกล่าว “ดังนั้นเจ้าที่เป็ นบรรพจารย์ผู้คุมกฏของสานัก กระบี่ชิงผิงพวกเราจึงจาเป็ นต้องเลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบให้ได้เร็ว กว่าสุยโย่วเปียน สุยโย่วเปียนจะพยายามในเรื่องนี้หรือไม่ เป็ นเรื่อง ของนาง และนางเองก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รีบร ้อนทาลายคอขวดขอบเขต ก่อกาเนิด แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะไม่รีบร ้อน”
ชุยเหวยกล่าว “ก่อนหน้านี้อาจารย์เสี่ยวโม่ได้ถ่ายทอดวิชาที่ พื้นที่ประกอบพิธีกรรมชายหาดลั่วเป่ า ข้าเคยได้รับคาชี้แนะด้านวิถี
กระบี่อยู่หลายครั้ง เหมือนสติปัญญาได้เปิดกว้าง ได้รับผลประโยชน์ มาไม่น้อย ภายในสามปีต้องเป็ นหยกดิบได้แน่นอน”
ชุยตงซานอิ่มรับหนึ่งที “นี่เจ้าเป็ นคนพูดเองนะ ผ่านไปสามปี หากยังท าไม่ได้ก็อย่ามา โทษว่าข้าชักสีหน้าใส่ล่ะ”
ในใต้หล้าไพศาล จะมีคุณสมบัติเลื่อนเป็ นสานักชั้นบนสุด หรือไม่ มีธรณีประตูหนึ่งกั้นขวาง ก็คือปัจจุบันมีผู้ฝึ กตนใหญ่ ขอบเขตบินทะยานนั่งเฝ้ าพิทักษ์สานักหรือไม่
สานักระดับหนึ่ง ทุกวันนี้มีเซียนเหรินหรือไม่มี ก็คือป้ ายอักษร ทองอย่างหนึ่ง รุ่นบรรพบุรุษเคยมีขอบเขตบินทะยานปรากฏมาก่อน ก็จะสูงส่งกว่าสานักอื่นอยู่ขั้นหนึ่งได้อย่างเป็ นธรรมชาติ ในส านักมี จ านวนเซียนเหรินสองคนหรือถึงขั้นมากกว่านั้น ก็มักจะดูแคลน สานักที่มีเซียนเหรินแค่คนเดียว สานักระดับสอง บางทีอาจจะยังไม่มี ขอบเขตเซียนเหริน แต่มีหยกดิบหลายคน หรือไม่ในบรรดานั้นก็มี บรรพจารย์หยกดิบที่ปิดด่านนานหลายปี มีหวังจะกลายเป็ นเซียนเห ริน
สานักระดับสามที่อยู่อันดับล่างสุดในบรรดาจวนเซียนตัวอักษร จง มีเพียงหยกดิบแค่คนเดียว ถึงขั้นที่ว่าจวนซียนที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง อาจจะไม่มีบรรพจารย์หรือเจ้าสานักที่เป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ เลยด้วยซ้า
แน่ นอนว่าอักษรจงก็คืออักษรจง ไม่ใช่ว่าใครจะไม่ให้ ความส าคัญก็ได้ ในสายตาของผู้ฝึกตนท าเนียบและผู้ฝึกตนอิสระ ทั่วไป ยังคงถือว่าเป็ นบุคคลที่สูงส่งจนปืนป่ายไม่ถึง
ชุยตงซานยิ้มถาม “ผู้คุมกฏใหญ่ชุย เจ้ารู ้หรือไม่ว่าท าไมข้าต้อง เลือกสถานที่แห่งนี้เป็ นที่ตั้งรากฐานของสานักกระบี่ชิงผิงพวกเรา?”
ชุยเหวยส่ายหน้า “ไม่รู้”
ชุยตงซานเอนกายพิงเก้าอี้ บิดหมุนข้อมือ “ข้อหนึ่งในนั้นก็คือ อยากจะหายอดฝีมือที่เร ้นกาย ในชีวิตไม่ชอบต่อยตีกับใครมากที่สุด แต่ดันต่อสู้เก่งที่สุด ในปีนั้นเป็ นคนหาเส้นทางถอยของเฟยเฟยได้ เจอ แต่ความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเซียนอิสระที่ร่องรอยไม่แน่ชัด ท่านนี้ยังคงเป็ นความเชี่ยวชาญในการหลอมกระบี่ แต่กลับไม่ใช่คน ของไพศาล มาจากใต้หล้ามืดสลัว ในเมื่อเป็ นสหายของศัตรู ถ้า อย่างนั้นก็เป็ นสหายของเรา”
ชุยเหวยถาม “ชื่อแซ่ฉายา? ขอบเขตเท่าไร?”
ชุยตงซานกล่าว “เจ้าไม่ต้องรู ้เรื่องพวกนี้ รู ้แค่ว่ามีบุคคลเช่นนี้ อยู่ก็พอ ไม่ช ้าก็เร็วต้องได้พบหน้ากันแน่”
อาจารย์หลอมกระบี่ที่ฝีมือเป็ นอันดับหนึ่งไม่เป็ นสองรองใครของ ใต้หล้ามืดสลัว สวีฟูเหริน (ฮูหยิน)
เขาไม่ใช่สตรี เพียงแค่ว่าแช่สวีนามฟูเหริน
“น้าและเมฆเคลื่อนคล้อยไหลเลื่อย ข้าและท่านร่วมทุกข์ตรม เจินเหรินใต้บุปผาแซ่สวีต่อให้ฝันถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่มีทางฝันถึง ท่าน ขายเหล้าไปตลอดทางจนถึงอวี๋หัง ร่วมดื่มสุราเผยนิสัยที่แท้จริง ละทิ้งความองอาจสง่างามตลอดชีวิต”
“ผู้ฝึกตนที่เรียกได้ว่าเป็ นยอดฝีมือนอกโลกท่านนี้ อันที่จริงเขา จะปรากฏตัวตอนนี้หรือไม่ก็ไม่ส าคัญแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องยืมลม ตะวันออก (เปรียบเปรยว่าลงมือทาเรื่องต่างๆ โดยใช ้ประโยชน์จาก สถานการณ์ที่เอื้ออานวย) จากภูเขาเซียนตูของพวกเราอยู่ดี”