กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 975.1 ครอบครัวพร ้อมหน้ากลมเกลียว
ป๋ ายอวี้จิง จุดที่สูงที่สุด
นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ยิ้ม ตาหยี ถึงอย่างไรอยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรท าอยู่แล้ว ไม่สู้มองใต้หล้าอยู่ใน มุมสงบ เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของพี่สาวน้องสาวในห้านครสิบสอง หอเรือนด้านล่าง จะดีจะชั่วก็ยังพอมีกลิ่นอายเซียนอยู่บ้าง
ลู่เฉินมองไปยังตาหนักในนครสูงแห่งหนึ่ง ในนั้นมีคนผู้หนึ่งที่ เพิ่งรับโองการจากเจ้าลัทธิฉบับหนึ่งไป จึงออกเดินทาง ถือโองการ ทะยานลมมาเข้าพบลู่เฉินบนหอซ่างชิงแห่งนี้ มีเซียนจวินสัมผัสได้ถึง ร่องรอยการ “บินทะยาน” ของคนผู้นี้อย่างเฉียบไวแล้ว ก็อดรู ้สึก อิจฉาคนผู้นี้ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรการที่ได้ขึ้นไปบนหอซ่างชิงแล้ว หลุบตาลงมองห้านครสิบสองหอเรือนก็ถือเป็ นเกียรติอย่างหนึ่ง แสดง ให้รู ้ว่าได้เข้าตาท่านเจ้าลัทธิแล้ว มีความหวังบนมหามรรคาแล้ว ลู่ เฉินกวักมือไปทางเงาร่างสีเขียวนั้น ยิ้มเอ่ยว่า “เทียนจวินน้อยหยาง ทางนี้ ทางนี้”
นักพรตหนุ่มพลิ้วกายลงบนพื้นเบาๆ ยืนอยู่กลางระเบียงอย่าง นอบน้อม ก้มหัวคารวะลู่เฉินตามขนบลัทธิเต๋า “หยางหนิงซิ่งแห่ง นครหลิงเป่าคารวะเจ้าลัทธิลู่”
ลู่เฉินยิ้มตาหยี โบกมือเอ่ย “ไม่ต้องมากพิธี ไม่ต้องมากพิธี บอก กี่รอบแล้วว่าเรียกข้าว่าอาจารย์อาก็พอ ในเมื่อเจ้ากับเฉินผิงอันคือ สหายรักที่เรียกขานกันเป็ นพี่เป็ นน้อง ถ้าอย่างนั้นก็คือสหายสนิท ของข้าด้วย ที่นี่ไม่มีคนนอก จะเกรงใจให้ใครดูกัน ใช่หลักการข้อนี้ หรือไม่?”
หยางหนิงซิ่งผู้นี้มาจากตาหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน อาศัย การเดินทางผ่านใต้หล้าห้าสีมายังใต้หล้ามืดสลัว ผลคือได้เดินขึ้นฟ้ า ในก้าวเดียว เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในป๋ ายอวี้จิงก็กลายมาเป็ นลูกศิษย์ที่ ได้รับการบันทึกชื่อของศิษย์พี่อวี๋แล้ว อีกทั้งนครหลิงเป่ายังเป็ นพื้นที่ พิสูจน์มรรคาของศิษย์พี่อวี๋ด้วย ดังนั้นทุกวันนี้หยางหนิงซิ่งจึงฝึกตน อยู่ในนครหลิงเป่ าอายุน้อยๆ ทว่าล าดับอาวุโสกลับสูงจนสูงไป มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
หยางหนิงซิ่งยังคงก้มหัว “มิกล้า”
ลู่เฉินตีหน้าเคร่งพูดสั่งสอน “ศิษย์หลานอย่าได้ทาเช่นนี้ แบบนี้ จะน่าเบื่อมาก ยังคงเป็ นบัณฑิตชุดดาที่วางแผนเล่นงานเฉินผิงอัน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่น่ารักมากกว่า”
หยางหนิงซิ่งเงยหน้าขึ้น ลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าวันนี้ เจ้าลัทธิลู่เรียกผู้เยาว์มาพบเพราะเหตุใด?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ไม่มีเรื่องเป็ นการเป็ นงานอะไรอย่างที่เจ้าคิด หรอก แค่อยากจะพาเจ้ามาชมทัศนียภาพด้วยกัน พยายามทาหน้าที่ ของอาจารย์อาอย่างสุดความสามารถ”
แม้ว่าหยางหนิงซิ่งจะมึนงงสงสัย แต่กลับไม่กล้าถามอะไรให้มาก ความ
ลู่เฉินยื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน ดีดไปที่หว่างคิ้วของหยางหนิง ซิ่งหนึ่งที ทันใดนั้นดวงตาของฝ่ ายหลังก็กลายเป็ นสีทอง หยางหนิง ซิ่งรู ้สึกเพียงว่าเวียนหัวตาลาย ต่อให้พยายามข่มกลั้นริ้วกระเพื่อม ของจิตแห่งมหามรรคาและแรงสั่นสะเทือนในฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ลงไปอย่างสุดความสามารถ แต่กระนั้นศีรษะก็ยังเหวี่ยงสะบัดเบาๆ ยื่นนิ้วมากุมขมับ อีกมือหนึ่งยันราวรั้ว กว่าจะทาให้ร่างกายมั่นคงได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องตื่นเต้น ช่วยให้เจ้าได้เปิดเนตร สวรรค์ชั่วคราว สามารถยืมความสามารถในการมองเห็นของป๋ ายอวี้ จิงมาเล็กน้อย ข้ามองเห็นอะไร เจ้าก็จะมองเห็นสิ่งนั้นด้วย”
เป็ นอย่างที่เจ้าลัทธิลู่บอกจริง หยางหนิงซิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเอง มองเห็นในเวลานี้ก็คือ “หยางหนิงซิ่ง
ลู่เฉินหมุนตัวกลับไปมองยังหอเรือนสูงแห่งหนึ่ง อยู่ในป๋ ายอวี้จิง มันมีคาเรียกขานที่ไพเราะว่า “ขอบฟ้ าพิงก้อนเมฆท้อมรกต” นกหล วนเขียวกลุ่มหนึ่งสยายปีกโบยบินอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก อารามเต๋ อยู่ในป่า ใบหน้าดุจสีมรกต
ลู่เฉินอยากจะชมทัศนียภาพของใต้หล้าก็เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด อาศัยขอบเขตของตัวเองและข้อได้เปรียบด้านชัยภูมิจากการนั่ง บัญชาการณ์ป๋ ายอวี้จิงก็มากพอจะเห็นทั้งบุคคลและทิวทัศน์ทั้งหลาย ในใต้หล้าอยู่ในสายตาทั้งหมดแล้ว ถึงขั้นที่ว่าเส้นสายทุกอย่างล้วน แจ่มชัดเหมือนอยู่ประชิดตรงหน้า แต่หากจะหาใครสักคน หาร่องรอย ของอีกฝ่ ายได้อย่างแม่นยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็ นผู้บรรลุมรรคา ที่เชี่ยวชาญการอาพรางชะตาฟ้ า ไม่ถึงขั้นที่ว่าต้องงมเข็มใน มหาสมุทรหรือเปลืองแรงเปล่าอะไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช ้ เรี่ยวแรงมหาศาล และลู่เฉินก็ขึ้นชื่อว่าเป็ นคนขี้เกียจ อีกอย่างในป๋ า ยอวี้จิงก็มีหอหย่างกวานที่รับผิดชอบคอยเฝ้ ามองความเคลื่อนไหว ของผู้ฝึกตนบนยอดเขาในใต้หล้าโดยเฉพาะ เพียงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ข้อบกพร่องเสียเลย เวทอาพรางตาในใต้หล้านี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง
ลู่เฉินไปเยือนถ้าสวรรค์หลีจูมาก่อนรอบหนึ่ง ตั้งแผงดูดวงอยู่ใน เมืองเล็กมาสิบกว่าปี ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งไปเยือนกาแพงเมือง ปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมา ดูเหมือนว่าแค่งีบหลับไป บวก กับกะพริบตาอีกหนึ่งที ใต้หล้ามืดสลัวก็ยิ่งกลายเป็ นว่าข้าวของยังคง อยู่แต่คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว
ภายหลังหยางหนิงซิ่งก็ “ติดตาม” ไปพร ้อมกับสายตาการมอง ของลู่เฉิน รวดเร็วราวลูกธนูแล่น มองลอดทะลุทะเลเมฆแต่ละชั้น ประหนึ่งนกที่โผบินหลุบตามองพื้นดิน เห็นเค้าโครงของอาณาเขต
ในหนึ่งทวีป จากนั้นก็เป็ นเทือกเขาสายน้าที่ทอดยาวคดเคี้ยวเหมือน มังกรขดตัว ตามมาด้วยนครยิ่งใหญ่โอฬารที่มีกลิ่นอายมังกรเข้มข้น แห่งหนึ่ง สุดท้ายจึงเป็ นอารามชิงอู๋ที่สร ้างขึ้นตามคาสั่งของเชื้อพระ วงศ์…
“ใต้หล้า ปิงโจว ราชวงศ์ชิงเสิน อารามชิงอู๋ ใต้หล้าเริ่มเล็กคน เริ่มใหญ่ขึ้น”
เส้นสายตาของลู่เฉินขยับไปด้านข้างเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เด็กหนุ่มอู่หลิงกลุ่มนั้นก็อยู่ที่นี่ ถ้าเมล็ดพันธ ์เต๋าพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมหยกทอง วันหน้าเจ้าออกไปท่องเที่ยวจะต้องไปเยือนสถานที่ แห่งนี้ให้จงได้ หวังหยวนลู่โจรขโมยข้าว ผู้ฝึกยุทธชีกู่ ต่างก็มาจาก ที่นี่ แต่เหยาชิงเสนาบดีรูปงามทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ไปช่วย ปกป้ องมรรคาให้กับคู่รักเทพเซียนอย่างเจาเกอและสวีเจวี้ยนแล้ว และราชวงศ์ชิงเสินก็มีสถานที่ที่สร ้างวัดอยู่น้อยมาก ในบรรดานั้นมี ภิกษุจื่ออีที่เวทกระบี่ร ้ายกาจมากซ่อนตัวอยู่ หรือก็คือเจียงซิวที่ ชื่อเสียงโด่งดังมากคนนั้นนั่นแหละ เวทกระบี่ของเจียงซิวสูงมากจน สามารถงัดข้อกับอาจารย์ของเจ้าได้เลย ครั้งนี้เจียงซิวเผยกายถือ เป็ นการคล้อยไปตามโชคชะตาและสถานการณ์ คงเพราะต้องการจะ ทวงความเป็ นธรรมให้กับพระธรรมมาจากป๋ ายอวี้จิงของพวกเรา กระมัง”
“นี่ก็คือยาซานของราชวงศ์ชื่อจินแห่งมณฑลหรู่โจวแล้ว”
“แล้วก็เพราะว่าราชวงศ์ชื่อจินแห่งนี้มี “หลินซือ” มียาซาน โชคชะตาบู๊จึงโชติช่วง เป็ นหนึ่งในใต้หล้า หลินเจียงเซียนมาเป็ น แขกที่ใต้หล้ามืดสลัวของพวกเรา ก็ไม่รู ้ว่าต้องการอะไรกันแน่”
ฟังมาถึงตรงนี้ หยางหนิงซิ่งก็ถามอย่างใคร่รู ้ว่า “เจ้าลัทธิลู่ หลิน ซือท่านนี้ใช่ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งหรือไม่?”
หลังจากมาถึงใต้หล้ามืดสลัว ต่อให้จะเป็ นนครหลิงเป่ าที่ ภาคภูมิใจในอารามเต๋าของตัวเองอย่างมาก แต่ขอแค่พูดถึงหลิน เจียงเซียนก็ยังให้ความเคารพเป็ นอย่างยิ่ง
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “พูดถึงแค่ชาตินี้ หลินเจียงเซียนไม่ใช่ผู้ฝึ ก ลมปราณ แล้วก็ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับเป็ น…..มือกระบี่คนหนึ่ง?”
“การที่นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูมีคากล่าวว่า “ละอายใจที่ อยู่เบื้องหน้าหลินซือก็เป็ นทั้งการทะนุ ถนอมเห็ นค่าคนมี ความสามารถเหมือนกัน ยิ่งไม่ใช่ถ้อยคาที่กล่าวให้ไพเราะอะไร แต่ เป็ นเพราะหลินเจียงเซียนผู้นี้เป็ นคนที่ต่อสู้ได้ ต่อสู้เก่งอย่างแท้จริง! ใต้หล้าแห่งอื่นๆ ที่เหลือ แม้แต่เผยเป่ ยเทพีแห่งการต่อสู้ของใต้หล้า ไพศาล บุคคลอันดับหนึ่งในสามใต้หล้ากับบุคคลอันดับหนึ่งอย่าง หลินเจียงเซียน ความหมายไม่เหมือนกัน อันดับหนึ่งของหลินซือใน ใต้หล้ามืดสลัวก็เป็ นแค่อันดับหนึ่งเท่านั้นจริงๆ แล้ว ความต่างระหว่าง อันดับที่สองในใต้หล้ากับหลินเจียงเซียนก็น่าจะมากเหมือนความต่าง ระหว่างขอบเขตบินทะยานกับขอบเขตสิบห้ากระมัง ความต่าง ระหว่างจางเถียวเสียกับเผยเปยกลับไม่ได้เกินจริงมากขนาดนี้”
หยางหนิงซิ่งถามอย่างสงสัย “มือกระบี่?””
ลู่เฉินพยักหน้า “เพราะมีหรือไม่มีกระบี่ยาวอยู่ในมือ ก็คือหลิน เจียงเชียนสองคน”
“น่าเสียดายที่คนที่ฝึกวรยุทธในใต้หล้ามืดสลัวมีเป็ นพันพันหมื่น แต่กลับไม่มีใครมีคุณสมบัติพอให้หลินเจียงเซียนใช ้กระบี่ก็เท่านั้น”
“แล้วลองมามองโยวโจวแห่งนี้ ทุกครั้งที่มีหิมะตกที่นี่ เกล็ดหิมะ มักจะใหญ่มากเป็ นพิเศษ ปีนี้ก็ไม่ยกเว้น เกล็ดหิมะใหญ่เกือบเท่า กาปั้นแล้ว ซากปรักสนามรบโบราณแห่งนั้นเห็นแล้วหรือยัง ปราณดุ ร้ายเข้มข้นหรือไม่? พุ่งทะยานขึ้นไปถึงบนฟ้ าแล้ว หากไม่เป็ นเพราะ ตาหนักหัวหยางของภูเขาตี้เฝ่ ยร่วมมือกับสกุลหยางหงหนง แต่ละ ฝ่ายต่างก็ส่งยอดฝีมือมาเฝ้ าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่ง ทุกๆ พันปียอมสละ ตบะของผู้ฝึกตนบินทะยานคนหนึ่งอย่างไม่เสียดาย ป่ านนี้ก็คงเกิด ความวุ่นวายที่กองทัพหยินนับร ้อยล้านตนชูธงรบไปแล้ว ว่ากันว่าเมื่อ หลายปีก่อนสกุลหยางมีสาวงามล้าเลิศที่งามล่มบ้านล่มเมืองคนหนึ่ง อยู่ในช่วงอายุแปดสอง (แปดคูณสองหมายถึงอายุสิบหกปี) ก าลัง พอเหมาะพอดี เจ้าดูสิ หวีผมใต้ม่านผลึกน้า ท่านั่งอย่างเกียจคร ้านนี้ ของนาง สวย สวยจริงๆ แล้วเจ้าลองมองเส้นโค้งเว้าความอวบอิ่มที่ แนบติดม้านั่งนั่นดูสิ…แล้วยังมีมือขาวนวลที่ถือกระจกนั่นอีก เอ๊ะ ท าไมถึงมองเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัดเจนแล้วล่ะ สกุลหยางหง หนงทาอะไรไร ้คุณธรรมจริงๆ นี่เรียกว่าป้ องกันโจรนะ!”
หยางหนิงซิ่งทาเรื่องแบบนี้ไม่ลงจึงหลับตาไปแล้ว แต่กลับค้น พบว่าไม่มีประโยชน์ ลู่เฉินมองเห็นอะไร เขาก็เห็นด้วย
“ศิษย์หลานหยาง ฟังคาสั่งสอนของคนอาบน้าร ้อนมาก่อนอย่าง อาจารย์อาสักค าเถอะ วันหน้าเมื่อมรรคกถาสูงแล้ว เรื่องแบบนี้ อย่าได้ทาบ่อยๆ สิ้นเปลืองจิตใจเกินไป เป็ นข้อห้ามใหญ่ในการฝึก ตนเชียวนะ”
“พวกเรามาดูยงโจวกัน นี่คือมณฑลที่มีอาณาเขตเล็กที่สุดในใต้ หล้ามืดสลัวคล้ายคลึงกับแจกันสมบัติทวีปของใต้หล้าไพศาล นี่ น่าสนใจมากเลยใช่ไหมล่ะ? ที่นี่เคยมีพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของอู๋โจ วในอดีตอยู่ ทุกวันนี้มีราชวงศ์อวี๋ฝูเพิ่มมาอีกแห่ง จูเสวียน ฮ่องเต้ หญิงกาลังจัดงานพิธีใหญ่ผู่เทียน บนยอดเขาของเทือกเขาที่อยู่ใน น้าเส้นนั้นมีศาลโอ่วเสินที่ประวัติศาสตร ์ยาวนานถูกสร ้างไว้ ในศาล บูชาแม่ทัพเทพพิทักษ์แคว้นองค์หนึ่ง นอกศาลยังมีต้นการบูรเก่าแก่ อยู่ดันหนึ่งที่สามารถทานายโชคและเคราะห์ของสี่มณฑลได้
“จูเสวียนผู้นี้คือสตรีที่เชี่ยวชาญเรื่องการพลิกแพลงจริงๆ ตอน อายุน้อยนางยังเคยเกี่ยวก้อยสัญญาร ้อยปีไม่เสื่อมคลายกับผินเต้า บอกว่าหากเติบใหญ่จะแต่งงานกับพี่ใหญ่ลู่ทุกวันนี้กลายเป็ นสาวงาม สะโอดสะองแล้ว นางกลับตีเนียนไม่จ าค าพูดตัวเอง เฮ้อ คงไม่ใช่ว่า สตรีที่หน้าตางดงามล้วนชอบพูดแล้วไม่รักษาคาพูดกันแบบนี้หรอก นะ?”
“หย่งโจว ภูเขาปิงเจี่ยมีหลงชินผู่บรรพจารย์ไท่ซ่างที่ชอบแพร่ บทเพลงพื้นบ้านและคาทานายไปทั่ว แต่กลับชอบหวังซุนแห่งอาราม เสวียนตูมาโดยตลอด ลุ่มหลงในรักเช่นนี้ ไม่เหมือนผู้ฝึกตนที่พิสูจน์ มรรคาเป็ นอมตะเลยสักนิด แล้วก็เป็ นหย่งโจวแห่งนี้ที่เคยเป็ นสถานที่ ในการถือกาเนิดของสายโจรขโมยข้าว แต่เต้ากวานที่ได้รับหนังสือ การรับรองออกบวชกลุ่มนี้ เวลานั้นไม่เคยมองประเมินโจรขโมยข้าว ต่าเลย ช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด เต้ากวานกับตัวส ารองเต้า กวานที่หากสามารถทาไปตามลาดับขั้นตอนก็จะได้รับหนังสือรับรอง การออกบวชอย่างแน่นอนก็มีจานวนมากหลายล้านคน และนี่ยังเป็ น แค่ที่แสดงออกภายนอกเท่านั้น หยางหนิงซิ่ง เจ้ารู ้หรือไม่ว่าจานวน ตัวเลขนี้หมายความว่าอะไร?”
จู่โจวมีอวี่เค่อ (羽客 อีกคาเรียกขานหนึ่งของนักพรต ปกติคา ว่านักพรตจะใช้ค าว่า เต้าซื่อ หรือ 道士) อยู่มากมาย
ฉีโจว อารามเสวียนตู หรือก็คือมณฑลและอารามเต๋ที่ลู่เฉินไป เยือนบ่อยที่สุด
อินโจว ภูเขาเหลี่ยงจิงและสานักต้าเฉาแต่งงานเชื่อม ความสัมพันธ ์กัน พี่หญิงเจาเกอที่มีฉายาว่าฟูคานช่างเป็ นคู่ชีวิตที่ดี จริงๆ ช่วยตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นได้ถึงขั้นนี้ ตัดใจสละมรรคกถาของ ทั้งร่างไม่ต้องการ ยอมให้ตัวเองขอบเขตถดถอยอย่างไม่เสียดาย เพียงเพื่อความเป็ นไปได้ที่จะทาให้สวีเจวี่ยนคนรักที่มีชาติกาเนิดจาก
ผู้ฝึ กตนผีมีหวังจะได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งในกลุ่มของผู้ฝึ กตน ขอบเขตสิบสี่ก่อนใคร
หน้าประตูถ้าแห่งหนึ่งที่มีตราผนึกหนาชั้นของสานักต้าเฉา เหยาชิงพลันเงยหน้าขึ้นใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าบอกเป็ นนัย ราวกับต้องการเตือนเจ้าลัทธิลู่ว่าอย่าได้แอบมองมายังที่แห่งนี้
ลู่เฉินอึ้งตะลึง รู ้สึกเป็ นเดือดเป็ นแค้นขึ้นมาทันควัน เต้นผางสบถ ด่าดังลั่น “ใต้หล้ามีคนมหัศจรรย์อยู่มากมายถึงเพียงนั้น จะมีแค่ผิน เต้าเท่านั้นที่กินอิ่มว่างงานหรือไร!”
ในอาณาเขตของยงโจว ภิกษุจื่ออีเดินย่าหิมะโดยไม่ทิ้งร่องรอย ก าลังขับขานบทเพลงเสียงดัง “ถูกหลักการลี้ลับในกระท่อมหญ้าฟาง นั่งบนเบาะบรรยายคุณธรรม นอกจากนี้อย่าได้พูดถึงเรื่องใด”
ดูเหมือนว่าภิกษุจะสัมผัสได้ถึงเบาะแสบางอย่างจึงหันหน้ามายิ้ม บางๆ มองไกลๆมายังป๋ ายอวี้จิง ภิกษุใช ้มือหนึ่งกรีดวาด แสงกระบี่ก็ ระเบิดออกมาระหว่างฟ้ าดิน สะบั้นเส้นสายตานั้นทิ้งไปทันที
ลู่เฉินจุ๊ปากอย่างประหลาดใจ “ศิษย์หลาน เห็นหรือยัง เวทกระบี่ ของเจียงซิวร ้ายกาจมาก สมกับค าเล่าลือเลยใช่ไหม? สายตาในการ มองคนของผินเต้า แต่ไหนแต่ไรมาก็แม่นย าเสมอ! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากเจียงซิวลงมือเต็มกาลัง แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็สามารถพุ่งตรง มาถึงป๋ ายอวี้จิงได้เลย?”
หยางหนิงซิ่งจนค าพูดจะตอบโต้
ภูเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง หิมะขาวกดทับไผ่เขียว มีคนหนุ่ม หน้าตาคมคายคนหนึ่งออกมาจากถ้าแยนเสียของตาหนักเจิ้นเยว่ แล้วมาเลือกที่แห่งนี้ กาลังกินหน่อไม้ฤดูหนาวต้มเนื้อเค็ม ข้างโต๊ะยัง มีสตรีสองคนนั่งอยู่ด้วย คนหนึ่งผิวค่อนข้างคล้า ปักปิ่นไม้บนมวยผม สวมชุดผ้าป่ านรองเท้าสาน อีกคนหนึ่งมีรูปโฉมสอดคล้องกับค าว่า เทพธิดาตามความหมายทั่วไปมากกว่า สวมชุดคลุมอาคมสีมรกต กลิ่นอายมรรคาเปี่ยมล้น
ลู่เฉินยิ้มพลางแนะนาสถานะของคนทั้งสามให้หยางหนึ่งซึ่งได้ รู ้จัก “เจ้าลัทธิน้อยจางเฟิงไห่ หลวี่ปี้เสีย แน่นอนว่าสามารถเรียกว่า เซียนอิสระเนี่ยปี้เสียได้ และยังมีสือสิงหยวนอีกคน
จางเพิ่งไห่พลันวางตะเกียบลง ใช ้นิ้วเช็ดมุมปาก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ครู่หนึ่งต่อมา จางเฟิงไห่ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เห็นได้ชัด ว่าสายตานั้นขยับมองไปที่อื่นแล้ว
ภาพสุดท้ายที่หยางหนิงซิ่งมองเห็นก็คือต าหนักสุ่ยฉู หอกว้าน เขวี่ย
ลู่เฉินยิ้มอ่อน “เจ้าเกาผิงแห่ง ‘วรรณกรรม” ตัวดี บัณฑิตวาง แผนการรบพูดเรื่องการต่อสู้บนกระดาษ แม่ทัพผู้พ่ายแพ้มิกล้าพูดจา ห้าวเหิม”
ลู่เฉินถอนหายใจ ยื่นมือไปปาดหนึ่งที สลายวิชาอภินิหารที่ให้ห ยางหนิงซิ่งยืมชั่วคราวออก
สูดหายใจเอากลิ่นอายสดชื่นจากน้าใสเขาเขียว ควันปื นจาง หายแสงตะวันจันทราสาดส่องทั่วทุกหนแห่ง