กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 975.2 ครอบครัวพร ้อมหน้ากลมเกลียว
ร ้านหมั้นหมายในโลกมนุษย์ ภูเขาฉั่วเหอในใต้หล้า (จับคู่/เป็ น คนกลางติดต่อให้) ใช่เต้าหวงที่ถูกคนรุ่นหลังเรียกขานว่า “เฒ่าจัน ทราผูกด้ายแดง” เคยทาหน้าที่ดูแลสมุดชะตา ชีวิตคู่เล่มหนึ่ง
สู่เฉินที่อยู่ในถ้าสวรรค์หลีจูเคยยืนยันเรื่องหนึ่งกับตัวเองจน มั่นใจ สมุดชะตาชีวิตคู่ที่จะบอกว่าไร ้ประโยชน์ก็ไร ้ประโยชน์อย่าง สิ้นเชิง จะบอกว่ามีประโยชน์ก็มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด” เล่มนั้น ไม่ได้อยู่ในมือของผู้เฒ่าที่เปิดร ้านขายของส าหรับงานมงคลอยู่ใน เมืองเล็กนานแล้ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด เรื่องนี้ต้องเป็ นฝีมือของห ยางเหล่าโถวแห่งร ้านยาที่ลงมืออยู่ลับหลังแน่นอน
สมุดชะตาชีวิตคู่อีกครึ่งเล่มตกไปอยู่ในมือของหลิ่วชีนานแล้ว การที่ฝ่ ายหลังจับมือกับเฉาจู่สหายรักเดินทางไกลไปยังต่างบ้านต่าง เมือง ออกจากไพศาลมายังมืดสลัว ก็มีความเป็ นไปได้อย่างยิ่งว่ามา เพราะสมุดชะตาชีวิตคู่ครึ่งเล่มนั้น เป็ นเจาเกอผู้นั้นหรือ? เพราะถึง อย่างไรสามะโนครัวของนักพรตหญิงผู้นี้ก็คือ “เฉาเทียนหนวี่ (หมายถึงพระสนมของฮ่องเต้ ที่ต้องถูกฝังไปพร ้อมกับฮ่องเต้ด้วย)
หลิ่วชีทาเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเป็ นการกระทาที่จนใจก่อนหน้าป๋ าย เหย่
จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดในบทกวีของหลิ่วชี เดิมก็คือการระบายทุกข์ ให้กับคนมีรักแต่มิอาจสมหวังทุกคนในโลกอยู่แล้ว
ถ้าอย่างนั้นหากพยายามอาศัย “สมุดชะตาชีวิตคู่เล่มสมบูรณ์ แบบ มาร ้อยด้ายแดงให้กับคนมีรักในใต้หล้า ก็สอดคล้องกับมหา มรรคาของหลิ่วชีจริงๆ
เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ชุยเฉิงผู้ฝึกยุทธแห่งแจกันสมบัติทวีป ชั่ว ชีวิตที่ผ่านมาผู้เฒ่าเรียกตัวเองว่าบัณฑิตด้วยความภาคภูมิใจ สุดท้ายกลับรับลูกศิษย์มาแค่สองคน แล้วยังเป็ นประเภทที่ไม่ได้รับ การบันทึกชื่อด้วย ผลคือไม่ทันระวังกลับสอนปลายทางออกมาได้ถึง สองคน
ลู่เฉินถอนหายใจยาวเหยียด
ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธก็ไร ้อิสระ มีชุยเฉิงยืนอยู่เหนือหัวมาแต่แรกแล้ว
ตะวันลอยขึ้นดวงจันทร ์ลาลับ ล้วนเป็ นเวทกระบี่
หลินเจียงเซียนมีชื่อเก่าว่าเซี่ยซินเอิน แต่ก็เป็ นแค่นามแฝงที่มีไว้ ปิดบังตัวตนเหมือนกัน
ชื่อที่แท้จริง เกรงว่าน่าจะมีเขียนไว้ในเอกสารลับของคฤหาสน์ หลบร ้อนก าแพงเมืองปราณกระบี่เสียมากกว่า
อิ่นกวานคนเก่าเซียวสวิ้น อิ่นกวานคนใหม่เฉินผิงอัน สิงกวาน คนเก่าหาวซู่ สิงกวาน คนใหม่ฉีโซ่ว
ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่สามคนที่มียศขุนนาง ของก าแพงเมืองปราณกระบี่ มีเพียงจี้กวานที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู ้ ร่องรอยและไม่รู ้ว่าเป็ นหรือตายเท่านั้นที่ยังคงเป็ นคนเก่าไม่เคย เปลี่ยนคนใหม่
สังเกตเห็นว่าลู่เฉินจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด หยางหนิงซิ่งก็ถอย หลังไปสามก้าวประสานมือก้มหัวคารวะ เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าลัทธิลู่ ผู้เยาว์จะออกไปจากที่นี่นะขอรับ?”
ลู่เฉินคืนสติ ยิ้มเอ่ย “ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน”
ใช ้ฝ่ามือข้างเดียวยันราวรั้ว พลิกตัวข้ามออกไป ลู่เฉินมุ่งหน้าไป ยังนครเสินเซียว
เจ้านครคนปัจจุบันของนครเสินเซียวคือเจียงอวิ๋นเซิงที่อยู่ในรูป โฉมของนักพรตน้อย
เจ้านครคนก่อน เหยาเข่อจิ่ว ฉายา “หนีกู่” สุดท้ายก็มิอาจได้ หวนคืนสู่บ้านเกิด
บุปผางามเหมือนคนรู ้จักเก่า ไม่ดื่มเหล้าจอกเหล้าย่อมว่างเปล่า น่าเสียดายที่คนรู ้จักเก่ามิเหมือนบุปผา
บนหัวกาแพงเมืองของบ้านเกิดมีผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ว่าฟางอ้ายที่เก็บด้ามไม้แส้ปัดฝุ่นที่เหยาเข่อจิ่วทิ้งไว้ได้
แล้วก็มีเพียงเขาและต่งฮว่าฝูเท่านั้นที่เลือกจะอยู่ต่อในนครเสิน เซียวของห้านครสิบสองหอเรือน ผู้ฝึกกระบี่อีกเจ็ดคนที่เหลือต่างก็ กระจายตัวกันไปอยู่ในนครและหอเรือนอื่นๆของป๋ ายอวี้จิง เพียงไม่ นานก็ได้กลายเป็ นเต้ากวานอย่างเป็ นทางการ แต่ละคนต่างก็มี อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา
ด้ามไม้ชิ้นนี้ถือว่าเป็ นของเพียงชิ้นเดียวที่เหยาเข่อจิ่วทิ้งไว้
ลู่เฉินเห็นของชิ้นเก่าก็เหมือนได้เจอคนรู ้จักเก่า จึงมักจะมาดื่ม เหล้ากับเด็กหนุ่มที่นครแห่งนี้เป็ นประจา
บนโต๊ะเหล้าวันนี้ ฟางอ้ายรินเหล้า ยืนกรานจะให้เจ้าลัทธิลู่ที่ ใบหน้าเริ่มแดงแล้วดื่มอีกชามให้จงได้
เจ้าลัทธิลู่ใช ้สองมือถือชามเหล้า หันหน้ามา ปากก็บอกว่าไม่ ต้องรินแล้ว ดื่มไม่ไหวแล้ว หากดื่มอีกต้องเมาแน่ อย่าๆๆ พอแล้ว พอ แล้ว…
ทีนี้ดีนัก ไปๆ มาๆ ต่อให้รินเหล้าช ้าแค่ไหนก็รินจนเต็มอยู่ดี
วันนี้ต่งฮว่าฝูก็มาขอเหล้าดื่มที่นี่ด้วย เหล้าของลู่เฉินพอจะมี ราคาอยู่บ้าง
ส่วนการรินเหล้าของฟางอ้ายและการห้ามปรามของลู่เฉิน ต่งฮ ว่าผู่เห็นจนชินแล้ว คนทั้งสองมักจะทาเรื่องแบบนี้เป็ นประจา
คงจะเหมือนอย่างที่เฉินผิงอันเคยพูดไว้ในปีนั้น ดื่มเหล้า หากไม่ มีใครยุให้ดื่มก็น่าเบื่อแย่ ไม่สนุกมากพอ
แน่นอนว่านี่ก็เพราะว่าร ้านเหล้าร ้านนั้นเป็ นเฉินผิงอันที่เริ่มทุน กับเตี๋ยจ้างเปิดร ้านหากไม่ยุให้ดื่มเหล้าบนโต๊ะมากๆ เหล้าจะขายดีได้ อย่างไร
ลู่เฉินก้มหน้าลงมองชามเหล้าที่ในชามมีสุราเต็มสองตาแล้วทอด ถอนใจ เงยหน้าขึ้นบ่น “ดูสิ รินจนเต็มอีกแล้ว คราวหน้าอย่าท าแบบ นี้อีกนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่มาหาแล้ว”
ฟางอ้ายพยักหน้ารับ ยิ้มเอ่ย “ไม่มีคราวหน้าแล้ว” ตอนที่เพิ่งจะมาอยู่นครเสินเซียว ฟางอ้ายยังเป็ นแค่เด็กหนุ่มคน หนึ่งจริงๆ
ลู่เฉินจิบเหล้าหนึ่งคาแล้วก็ตัวสั่นเยือก หรี่ตายิ้มทันใด “เหล้าดี เหล้าดี”
ลู่เฉินยกขานั่งไขว่ห้าง เอนกายพิงโต๊ะหิน ถามว่า “ฟางอ้าย วัน หน้าอยากนั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของนครเสินเซียวหรือไม่?”
ฟางอ้ายเอ๋ย “เป็ นรองเจ้านครก่อนค่อยว่ากัน” ความหมายในคาพูดนี้ก็คือ แน่นอนว่าอยากเป็ นเจ้านคร
เป็ นเจ้านครแล้วก็คงไม่ขาดเงินเทพเซียนอีก เรื่องการหลอม กระบี่ของผู้ฝึ กกระบี่เป็ นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าคือหลุมไร ้กัน
สิ้นเปลืองสมบัติวิเศษแห่งฟ้ าดินมากเกินไป สามารถเอาของเหล่านั้น มากองกันให้กลายเป็ นภูเขาได้เลย
แต่เจียงอวิ๋นเซิงเพิ่งจะเป็ นเจ้านครเสินเซียวได้แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ในสถานการณ์ทั่วไปจากกฏเดิมของป๋ ายอวี้จิง นี่หมายความว่าเวลา สั้นหน่อยคือหลายร ้อยปี ยาวหน่อยก็หลายพันปีที่จะไม่มีทางเปลี่ยน เจ้านครคนใหม่ กลับเป็ นรองเจ้านครที่ยังพอจะมีความหวังอยู่บ้าง หนึ่งคือไม่ได้เป็ นหัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุมอย่างตาแหน่งเจ้า นคร แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่มีเหตุผลมากพอ สามารถทาให้ เจ้าลัทธิสองท่านพยักหน้าตอบตกลงได้ในเวลาเดียวกันก็ใช่ว่าจะไม่ สามารถเพิ่มตาแหน่งชั่วคราวได้
ลู่เฉินชอบฟางอ้ายในข้อนี้ คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ไม่เล่นแง่ จึง ยิ้มถามว่า “ผินเต้ามีแผนการอันแยบยล อยากฟังหรือไม่?”
ฟางอ้ายรีบดื่มสุราคารวะหมดชามก่อนทันที
ใบหน้าของลู่เฉินเต็มไปด้วยความลึกลับ ปิดปากแน่น พูดแค่ค า เดียวว่า “ทน!”
ฟางอ้ายกระตุกมุมปาก เจ้าลัทธิลู่ที่ท่านพูดนี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล หรอกหรือ
หากข้าสามารถอดทนจนมีอายุในการฝึกตนได้นานสามพันห้า พันปี ไฉนจะเป็ นเจ้านครหรือเจ้าหอของสิบสองนครห้าหอเรือน ของป๋ ายอวี้จิงไม่ได้เล่า
หากว่ามีความจริงใจจริงๆ ให้ข้าไปเป็ นรองเจ้านครที่นครหนัน หัวของเจ้าลัทธิลู่ดูสิ ขอแค่ท่านกล้าทาแบบนี้ ท่านก็ลองดูเถิดว่าข้า จะกล้าเป็ นหรือไม่
ลู่เฉินถาม “คิดถึงบ้านเกิดไหม?”
ฟางอ้ายตอบตามตรง “บางครั้ง”
ลู่เฉินคล้ายจะประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มถาม “แค่บางครั้งเอง หรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มพยักหน้า “แค่บางครั้งจริงๆ”
ไม่ได้คิดถึงบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่คิดขึ้นมาจะคิดถึงมากเป็ นพิเศษ
ลู่เฉินใช ้ฝ่ามือตบโต๊ะเบาๆ “ใช่แล้ว ความคิดถึงประเภทนี้เรียกว่า คิดถึงบ้านเกิด”
ศิษย์พี่อวี๋ก็เหมือนเฉินผิงอันที่เคยไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ ไม่เคยหยุดอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน
ไม่ว่าจะเป็ นบ่อโคลนใจคนบ่อใดก็ล้วนมิอาจรั้งตัวอวี๋โต้วเอาไว้ ได้ เมื่อก่อนเป็ นเช่นนี้คิดดูแล้วในอนาคตก็น่าจะเป็ นแบบเดียวกัน
ลู่เฉินเคยเอาอย่างซิ่วหู สร ้างสถานการณ์ถามใจที่คล้ายคลึงกับ ทะเลสาบซูเจี่ยนให้กับศิษย์น้องเล็กที่มีฉายาว่าซานชิง
น่าเสียดายที่คาตอบที่ซานชิงตอบมา ในสายตาของลู่เฉินแล้ว เป็ นหัวมังกุท้ายมังกรทั้งไม่เหมือนศิษย์พี่อวี๋ แล้วก็ไม่เหมือนเฉินผิง อัน
นี่ทาให้ลู่เฉินผิดหวังอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็เป็ นคนที่เขา น าพาเข้าประตูใหญ่ป๋ ายอวี้จิงมาด้วยตัวเอง ไม่อาจปล่อยมือไม่สนใจ ไปทั้งอย่างนี้ได้ ดังนั้นศิษย์น้องเล็กซานชิงจึงถูกลู่เฉินโยนไปไว้ที่ใต้ หล้าห้าสี
ลู่เฉินวางชามเหล้าลง มือหนึ่งวางทาบไว้บนโต๊ะ สองขายืดยาว รองเท้าสองข้างกระทบกันเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเบื่อหน่ายสุดขีด
ต่งฮว่าผู้ถาม “เจ้าลัทธิลู่ ในเมืองต่างก็พูดกันว่าเจินเหรินกระดูก ขาวที่อยู่ในอันดับของตัวสารองคือหนึ่งในร่างแยกของท่าน เป็ นเรื่อง จริงหรือ?”
ลู่เฉินรีบนั่งตัวตรงทันใด ขยับสาบเสื้อ พูดเสียงทุ้มหนักด้วยสี หน้าเคร่งขรึม “ใช่แล้วล่ะ”
ต่งฮว่าฝูกล่าว “ถ้าอย่างนั้นท่านเอาชนะอวี๋โต้วได้ไหม?”
ลู่เฉินรีบจิบเหล้าทันใด พลางโบกมือเป็ นพัลวันไปด้วย “สู้ไม่ไหว สู้ไม่ไหว ผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริงของศิษย์พี่อวี๋ไม่ใช่ชื่อที่คุยโวออก มานะ ทุกคนต่างก็เป็ นคนในยุทธภพ ในเมื่อเป็ นคนในยุทธภพก็มีแต่ ตั้งชื่อผิด ย่อมไม่มีการตั้งฉายาผิดแน่นอน”
ต่งฮว่าผู้ถาม “เจ้าลัทธิลู่คือผู้ฝึกกระบี่หรือ?”
ลู่เฉินครุ่นคิด ในเมื่อเป็ นคนครอบครัวเดียวกันแล้วก็ควรจะ พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา จึงยื่นมือมาป้ องข้างปาก “เวทกระบี่ของ ผินเต้าไม่บริสุทธิ์มากพอ ไม่ถือว่าเป็ นผู้ฝึกกระบี่อย่างแท้จริง”
ต่งฮว่าฝูถามอีกว่า “นอกจากเจินเหรินกระดูกขาวแล้ว ในบรรดา ตัวสารองยี่สิบคนยังมีร่างแยกของเจ้าลัทธิลู่อยู่อีกไหม?”
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ “เจ้าเดาดูสิ”
มารดามันเถอะ ผินเต้ามิอาจตอบทุกค าถามได้อีกแล้วจริงๆ
หากยังถูกต่งถ่านดาถามแบบนี้ต่อไปก็จะเป็ นการเปิ ดเผย ความลับของตัวเองอย่างหมดเปลือกแล้วจริงๆ
และเวลานี้เอง สตรีสวมชุดชาววังคนหนึ่งก็เดินเยื้องย่างมา นาง คลี่ยิ้มหวาน ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับคลอประกายน้าตา พึมพาว่า “คน ใจด า ชายทรยศ ยังสบายดีอยู่อีกไหม?”
ลู่เฉินเหลือบตามองสตรีแล้วลุกพรวดขึ้น สองมือเท้าเอวฉับอ้า ปากได้ก็ด่าอีกฝ่ ายทันทีว่าไร ้คุณธรรมเกินไปแล้ว ด่าจนน้าลาย กระเซ็นแตกฟอง สุราที่ดื่มไปเมื่อครู่ถือว่าดื่มเสียเปล่าแล้ว
เพียงแต่ว่าคาด่าของลู่เฉินล้วนเป็ นภาษาโบราณบางอย่างที่ ทั้งต่งฮว่าฝูและฟางอ้ายต่างก็ฟังไม่เข้าใจ
สตรีผู้นั้นหยุดเดิน ยื่นมือมาหาลู่เฉิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความ เศร ้าระทม “ลู่หลาง ข้ามิเคยต้องการสิ่งใด หวังเพียงเจ้าคืนใจข้ามา”
ลู่เฉินโบกชายแขนเสื้อ “เลิกเล่นได้แล้ว” จากนั้นร่างของสตรีก็แปรเปลี่ยนไป กลายมาเป็ นนักพรตเฒ่า คนหนึ่ง ฟางอ้ายตกใจสะดุ้งโหยง ดูเหมือนจะเป็ น….มรรคาจารย์เต๋า?! เคยเห็นภาพแขวนในศาลบรรพจารย์ของนครเสินเซียวมาก่อน ลู่เฉินกลอกตามองบน “ไม่รู ้จักกลัวตายเลยสินะ” ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงกลายร่างไปเป็ นนักพรตวัยกลางคน ลู่เฉินถอนหายใจ “จะต่อสู้กันอย่างไรก็ตามใจเจ้า”
เพียงแต่ลู่เฉินก็เอ่ยอีกประโยคเสริมมาอย่างว่องไวว่า “ผินเต้าจะ พาศิษย์พี่อวี๋มาด้วย”
สุดท้าย “คนผู้นี้” ก็กลายไปเป็ นเด็กหนุ่มสีหน้าเฉยเมย ทาท่าจะ เดินไปหยิบเหล้าดื่มเพียงแต่ว่ามันเดินมาถึงระยะห่างจากโต๊ะเพียง หนึ่งตารางจังก็คล้ายกับเจอกาแพงที่มองไม่เห็น มันงอนิ้วเคาะตรา ผนึกชั้นนั้น พยักหน้าเอ่ย “ลู่เฉินเชี่ยวชาญพระธรรมจริงๆ”
ลู่เฉินเอ่ยเตือน “อย่าได้คืบแล้วยังจะเอาศอก” มันพยักหน้า “ได้สิ”
ผู้ฝึกตน คิดอยากจะรักษาจิตใจดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้ก็เหมือน ผีที่ต้องประคับประคองสติปัญญาที่แท้จริงส่วนหนึ่งเอาไว้ไม่ให้สลาย หายไปไหน
เป็ นคนเป็ นผีเป็ นเซียนล้วนเหมือนเรือแจวที่ล่องอยู่บนมหาสมุทร ต้องมีหินทับเรือก้อนหนึ่ง เป็ นเข็มเทพค้ามหาสมุทรของจิตแห่ง มรรคาดวงหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือต้องมีความยึดมั่นอย่างหนึ่ง คือการ กระทาที่ “แกะเรือหากระบี่” อีกทั้งอิงตามวิธีทางใจที่ “นักพรต” คน แรกของโลกสืบทอดต่อมา การรักษา “นิสัยดั้งเดิม” ยังมีเส้นสายที่ ต้นก าเนิดเดียวกันแต่ไหลไปต่างกระแสทอดยาวออกไปอีกหลายเส้น
และรากฐานมหามรรคาของเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ หากว่า กันในบางระดับแล้วก็คือ “เงา” อย่างหนึ่งของนักพรตผู้นั้น หรือควร จะพูดว่าคือเงาของ…ผู้ฝึกตนทุกคนที่มารวมตัวกัน!
อยู่ในห้องมืดนานหมื่นปี ตะเกียงน้ามันหนึ่งดวงส่องแสงสว่าง
มันยิ้มเอ่ย “พวกเจ้าคุยกันต่อไปเถอะ”
ลู่เฉินพยักหน้า “พวกเราคุยกันต่อ”
เส้นเอ็นหัวใจของฟางอ้ายขมวดขึงตึงอยู่นานแล้ว ยังคงเป็ นต่งฮ ว่าฝูที่ใจกว้าง ถามต่ออีกว่า “ที่ภูเขาห้อยหัวมีศาลาจัวฟ่ าง และภูเขา ห้อยหัวก็เป็ นตราประทับอักษรภูเขาของอวิ๋โต้ว ขาดอีกแค่ไม่กี่ก้าว เท่านั้น ทาไมถึงไม่ไปกาแพงเมืองปราณกระบี่ล่ะ?”
ได้ยินคาถามข้อนี้ ฟางอ้ายก็เงี่ยหูรอคอยคาตอบจากลู่เฉินทันที เหมือนกัน
ความหมายในคาพูดประโยคนี้ของต่งฮว่าฝูเรียบง่ายมาก ท าไม ไม่ไปตีกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสของพวกเราที่กาแพงเมืองปราณ
กระบี่ หากเผลอๆ เอาชนะได้ ใครจะกล้าไม่ยอมรับฉายานี้ของเจ้าอีก เล่า?
ลู่เฉินรีบรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชามทันใด ต้องระงับความตกใจ เอาไว้ก่อน คาถามนี้ตอบได้ยากมากเลยนะ
ต่งถ่านด าผู้นี้ ทาไมชอบถามคาถามยากที่ชวนให้คนลาบากใจ แบบนี้นักนะ
ลู่เฉินจิบเหล้าอย่างเชื่องช ้า รู ้สึกว่าเหล้าหนึ่งคาสามารถดื่มได้ หนึ่งวัน
ต่งฮว่าฝูกล่าว “ในเมื่อไม่อยากตอบก็ดื่มเหล้าไปเถอะ”
ลู่เฉินถอนหายใจ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสผสานมรรคากับ กาแพงเมืองปราณกระบี่มันก็น่ากระอักกระอ่วนมากนะ”
ฟางอ้ายสอดปากถาม “เจ้าลัทธิอวี๋รู ้สึกว่าถามกระบี่ที่นั่นไม่ได้ เปรียบเรื่องสถานที่ จะต้องขาดทุนหรือ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องว่าจะขาดทุนหรือไม่ขาดทุน ศิษย์พี่อวี๋ สู้ไม่ได้หรอก ต้องแพ้แน่นอน”
“แต่ไม่ใช่ว่ากลัวแพ้ ศิษย์พี่อวี๋ถึงได้ไม่ไปก าแพงเมืองปราณ กระบี่ หากเข้าใจผิดเช่นนี้ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ดูแคลนศิษย์พี่อวี๋ เกินไปแล้ว”
“ชั่วชีวิตนี้ สิ่งที่ศิษย์พี่อวี๋แสวงหาก็คือค าว่าแพ้ ต่อสู้กันอย่างเต็ม คราบสักครั้ง แล้วก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ”
“เพียงแต่ว่าหากศิษย์พี่อวี๋ปลดปล่อยฝี มือถามกระบี่กับเซียน กระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างจริงจัง ผลลัพธ ์ที่ตามมาจะรุนแรงเกินไป เกี่ยวพันเป็ นวงกว้างเกินไป”
ต่งฮว่าฝูถาม “หรือว่าอวี๋โต้วสามารถใช ้หนึ่งกระบี่ฟันเปิดกาแพง เมืองได้?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ท าไม่ได้หรอก”
การที่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่สามารถทาเรื่องนี้ได้สาเร็จ เพราะกระบี่ที่เฉินชิงตูจะปล่อยออกไปนั้น ต้องการช่วยให้นครบิน ทะยานเดินทางไปยังใต้หล้าห้าสีได้
เพียงแต่ภายหลังเซียนกระบี่ทั้งหลายร่วมมือกันเคลื่อนย้ายดวง จันทร ์เฮ่าไฉ่ถึงท าให้รู ้ว่าการข้ามใต้หล้านั้นมีความยากมากเพียงใด
เฉินชิงตูทาเรื่องนี้สาเร็จภายใต้เปลือกตาของเผ่าปี ศาจแห่ง เปลี่ยวร ้าง ใช่ว่ากระโจมเจี่ยจื่อจะไม่เคยคิดพิจารณาและอนุมานมา ก่อน เพียงแต่ว่าคิดไปคิดมาแล้วก็ได้ผลลัพธ ์เหมือนเดิม ขวางไม่อยู่