กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 975.4 ครอบครัวพร ้อมหน้ากลมเกลียว
หลวี่อี่ถาม “อาจารย์ไปเจอกับหลวงจีนท่านนั้นแล้ว พวกเราสาม คนก็จะไปที่ป๋ ายอวี้จิงแล้ว ใช่ไหม?”
เป่าหลินไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
หลวี่อี่ยิ่งตระหนกลน หรือว่าอาจารย์จะหนีเข้าประตูแห่งธรรม แล้ว?!
เป่ าหลินยิ้มกล่าว “อย่าคิดเหลวไหล อาจารย์แค่ไปเจอกับคน รู ้จักเก่าเท่านั้น”
ชิวอวี้อี้ถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ไม่ต้องถามกระบี่กับป๋ า ยอวี้จิงได้ไหม”
เด็กหนุ่มรีบกระแอมเตือนศิษย์น้องหญิงว่าอย่าได้ถามเรื่องที่ไม่ ควรถาม
เป่าหลินกลับไม่โกรธ เอ่ยว่า “ในสายตาของคนนอก แน่นอนว่า เป็ นแค่การหาเรื่องใส่ตัว แต่ในสายตาของตัวข้าเองแล้วกลับเป็ นเรื่อง ที่หลบเลี่ยงไม่พ้น”
เรื่องราวทางโลกไม่มีอะไรแน่นอน จอกแหนล่องลอยไม่หยุดนิ่ง เดี๋ยวรวมตัวเดี๋ยวแยกย้าย
มีการพบเจอที่ดีจากลาที่ดีและได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แล้ว ก็มีคนและเรื่องราวที่ต้องจบลงด้วยความหม่นหมอง
อวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ ายอวี้จิงเคยร่วมฝึกตนและเดินขึ้นสู่ที่สูง ไปพร ้อมกับสหายรักสามคนที่พบเจอกันตอนที่ต่างคนต่างก็เป็ น เพียงบุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน พิสูจน์มรรคาเป็ นอมตะไปด้วยกัน ใจตรงกัน ฝากชีวิต ความเป็ นความตายไว้ให้กันและกันได้อย่าง แท้จริง
สหายรักสี่คนที่สนิทสนมกันมาก ในเวลาพันปี ต่างฝ่ ายต่าง ปกป้ องมรรคาให้แก่กัน และกัน ทยอยกันเลื่อนเป็ นขอบเขตบิน ทะยาน
นอกจากอวี๋โต้วแล้วยังมีปรมาจารย์ใหญ่สายยันต์คนหนึ่ง คู่รักคู่ หนึ่ง คู่รักเทพเซียนคู่นี้ คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ คนหนึ่งคืออาจารย์ค่าย กล
หลิวฉางโจวเคยตั้งฉายาให้ตัวเองว่านักพรตโก้ว หรือก็คือเจียง จ้าวหมอแห่งหอจื่อชื่ในทุกวันนี้
สิงโหลว อาจารย์ค่ายกล มีฉายาว่าเทียนฉือ
เป่าหลิน ผู้ฝึกกระบี่
จับคู่กันออกเดินทางท่องไปทั่วใต้หล้า ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบิน ทะยานสี่คน ความอีกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาของพวกเขาจะมีมาก แค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู ้ได้
สุดท้ายมีเพียงอวี๋โต้วที่เข้าไปอยู่ในป๋ ายอวี้จิง
ป๋ ายอวี้จิงในเวลานั้นยังไม่ได้มีขนาดเป็ นห้านครสิบสองหอเรือน อย่างในทุกวันนี้ มีแค่สามนครหกหอเรือนเท่านั้น
ฉายา “ผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริง” ของอวี๋โต้วก็เริ่มแพร่ไปใน ช่วงเวลาของเกียรติยศนั้นฉายาที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่านามด้านการฝึก ตนของอวี่โตัวนี้ แน่นอนว่าอวี๋โต้วไม่ได้เป็ นคนตั้ง เอง เพียงแต่ว่าอวี๋ โต้วคร ้านจะปฏิเสธก็เท่านั้น
จากขอบเขตบินทะยาน คิดจะขยับสูงไปอีกขั้น เลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่ ก็เป็ นทั้งด่านยาก และยิ่งเป็ นด่านทางใจ
ผู้ฝึกตนใหญ่คิดจะข้ามผ่านปราการธรรมชาตินี้ไป ไม่อาจอาศัย ก าลัง ต้องดูแค่จิตแห่งมหามรรคาเท่านั้น บางทีอาจอยู่ใกล้เพียงเอื้อม มือคว้า บางทีอาจยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์
สุดท้ายหลิวฉางโจวและสิงโหลวต่างก็ตายภายใต้คมกระบี่ขอ งอวี๋โต้ว
ดังนั้นทุกครั้งที่เป่าหลินปิดด่านหลอมกระบี่และทุกครั้งที่ออกจาก ด่าน ก็ล้วนจะต้องตรงดิ่งไปที่ป๋ ายอวี้จิง ถามกระบี่พ่ายแพ้ให้กับอวี๋ โต้วแล้วก็จะไปปิดด่านอีกครั้ง
หลายพันปีที่ผ่านมา นางถามกระบี่ไปมากมายหลายครั้งแล้ว
สร ้างชื่อเสียงให้ผู้คนรับรู ้กันทั่ว นางย่อมแพ้อย่างไม่มีอะไรให้ ต้องสงสัย ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู ้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ดูเหมือนว่า นอกจากนี้เรื่องนี้แล้วนางก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ท าได้อีก
อยู่เพียงแค่เพื่อแก้แค้นอวี๋โต้วเท่านั้น
ในใจนางมีความยึดมั่น คนใต้หล้าล้วนสังหารสิงโหลวได้ มีเพียง เจ้าอวี๋โต้วที่ฆ่าเขาไม่ได้
เพราะสิงโหลวคนรักของนางเป็ นคนบ้านเดียวกับอวี๋โต้ว ถึงขั้น ที่ว่าสิงโหลวต่างหากถึงจะเป็ นคนน าทางคนแรกของอวี๋โต้ว บน เส้นทางการฝึกตนหลังจากนั้นก็ยิ่งเคยขอบเขตถดถอยถึงสองครั้ง เพื่ออวี๋โต้ว ถูกทาร ้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา นี่ต่างหากถึงได้ทา ให้ตอนที่สิงโหลวพยายามฝ่ าคอขวดขอบเขตบินทะยานได้ถูกจิต มารชักน าเทวบุตรมารจากนอกฟ้ ามา และสมบัติหนักบนภูเขาชิ้น หนึ่งที่เดิมทีเป็ นของสิงโหลวก็ได้ถูกมอบให้อวี๋โต้วน าไปหลอมใหญ่ เป็ นวัตถุแห่งชะตาชีวิตนานแล้ว หากไม่เป็ นเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้ฝ่ า ทะลุขอบเขตไม่สาเร็จก็ไม่มีทางถึงขั้นถูกธาตุไฟเข้าแทรกระหว่าง ตอนที่ปิดด่านอย่างแน่นอน….สามารถพูดได้ว่าหากไม่มีสิงโหลว อวี๋ โต้วก็คงตายไปนานแล้ว จะไม่มีทางมีเจ้าลัทธิรองของป๋ ายอวี้จิงใน ภายหลัง และผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริงในทุกวันนี้อย่างแน่นอน
เป่ าหลินก้าวเดินเนิบช ้า ยื่นฝ่ ามือไปรองรับเกล็ดหิมะที่หล่นร่วง ลงมา
สายหมอกบดบังหอเรือน แสงจันทร ์อาพรางท่าเรือ เรื่องในอดีต ผ่านพ้น เหมือนฝันตื่นหนึ่ง
คนเดียวดายยังอยู่ในป่ าลึก ต้นไม้แห้งเหี่ยวยังกลับคืนมาเขียว ขจีได้อีกครั้ง ต้นไม้เก่าแก่ยังสามารถออกดอกผล แต่คนในวันวาน เล่า?
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าวได้ถูกต้อง ต้องทาเรื่องที่มีความหมายอย่าง แท้จริงดูบ้าง
ต้องมีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่สามคนที่พลังพิฆาตสูงอย่างถึงที่สุด อีกทั้งทุกคนต้องไม่สนว่าจะเป็ นหรือตาย เตรียมใจพร ้อมส าหรับการ ไปแล้วไม่ได้กลับคืน จากนั้นไปร่วมมือกันถามกระบี่ต่อป๋ ายอวี้จิง ถึง จะมีโอกาสท าให้อวี๋โต้วได้เจอความทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง
ปีนั้นอู๋ซวงเจี้ยงมาหานาง เป่ าหลินได้ยินค าพูดของเขาก็ได้แต่ ยิ้มเงื่อนเท่านั้น
จะไปหาผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่สามคนมาจากไหน?
“ครั้งนี้กลับตาหนักลุ้ยฉูปิดด่านเสร็จสิ้น ข้าก็คือขอบเขตสิบสี่ แล้ว “ที่เหลืออีกสองคนล่ะ?”
หากไม่พูดถึงความยึดมั่นถือมั่นส่วนนั้น เป่าหลินก็ไม่ขาดความ เข้าใจในตัวเอง ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าสามารถยกระดับขึ้นสูงได้หนึ่ง ขั้น เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึ กลมปราณประเภทอื่นๆ ก็เป็ นที่ ยอมรับว่าคือผู้ไร ้เทียมทานในขอบเขตเดียวกัน ต่อให้บางครั้งจะเป็ น ข้อยกเว้น นั่นก็เป็ นแค่ข้อยกเว้นเท่านั้น
มีเพียงผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตบินทะยานเท่านั้นที่มิอาจนับรวมใน กรณีนี้ได้
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องใส่ใจแล้ว
“เป๋ าหลิน ไม่ต้องรีบให้ค าตอบข้า
“เพราะถึงอย่างไรการที่จะให้ผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์คนหนึ่งร่วมมือกับ คนนอกไปถามกระบี่ที่ป๋ ายอวี้จิง ก็เหมือนแผนการร ้ายอย่างหนึ่ง สุดท้ายแล้วมีแต่จะผิดต่อเจตจ านงเดิมของตัวเอง รอให้เมื่อไหร่ที่คิด ได้อย่างกระจ่างแล้วเจ้าค่อยมาหาข้าที่ตาหนักสู้ยฉูแล้วกัน
“เจ้ากับอวี๋โต้ว ทุกวันนี้เป็ นศัตรูส่วนศัตรู เป็ นเพื่อนเก่าก็ส่วน เพื่อนเก่า หากว่ายังไม่คิดใคร่ครวญในข้อนี้ให้ดีก็อย่าตอบตกลงกับ เรื่องนี้
เป่าหลินเอ่ยเสียงหนัก “ได้! ตกลงตามนี้! รอให้ครั้งนี้ข้าออกจาก การปิดด่านแล้วจะไปที่ตาหนักลุ้ยฉู
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “แค่มองก็รู้แล้วว่ายังไม่ได้คิดให้ดี กลับไป ค่อยๆ คิดดูก่อน
ข้าไม่ต้องการพันธมิตรที่พออยู่บนสนามรบแล้วแว้งกลับมาหัน หัวหอกใส่คนกันเอง
ตอนนั้นอู๋ซวงเจี้ยงเผยสีหน้ายั่วเย้าที่แฝงไว้ด้วยการเหน็บแนม เล็กน้อย สีหน้าเช่นนั้นคล้ายก าลังพูดว่า เจ้าสามารถท าอะไรโดยใช ้ อารมณ์ได้ แต่อย่าได้เห็นข้าเป็ นคนโง่เด็ดขาด
ชายแดนของยงโจว
ด้านใต้ลาน้าใหญ่สายหนึ่ง บนยอดเขามีศาลโอ่วเสินตั้งอยู่ นอก ศาลคือต้นการบูรเก่าแก่ ด้านบนมีจิ้งจอกเสวียนหูและลิงดาที่เห็นต้น การบูรเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของตัวเอง
“ศาลดียอดเยี่ยม!”
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะเอ่ยชื่นชม จากนั้นก้มหน้าค้อมเอวพยายามจะเดินข้ามผ่านสะพานมังกรไปด้วย ท่าทางลับๆ ล่อๆ
ผลคือจิ้งจอกเสวียนหูและลิงดาที่อยู่บนต้นการบูรเก่าแก่ต่างก็ลุก ขึ้นยืนบนกิ่งไม้ เริ่มถ่มน้าลายใส่นักพรตผู้นั้น ปีนั้นก็มีเจ้าตะพาบบน สะพานคนหนึ่งที่ยุให้พวกมันลงเดิมพัน แน่นอนว่าเป็ นการเดิมพันที่ มองดูเหมือนจะชนะได้แน่นอน แต่ผลกลับต้องแพ้เดิมพัน แม้จะบอก ว่าไม่ถ่วงรั้งการไต่ขึ้นสูงไปบนขอบเขตการฝึกตนของพวกมัน แต่ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจหลอมเรือนกายได้ส าเร็จ เดือดร ้อนให้พวก มันกลายมาเป็ นตัวตลกของเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทั้งๆ ที่เป็ นผู้ฝึกตน ขอบเขตหยกดิบสองคน ผลกลับกลายเป็ นว่าทุกวันนี้พวกมันก็ยังไม่ กล้าออกไปจากอาณาเขตของศาลโอ่วเสิน ออกจากบ้านเดิน ทางไกล เหตุผลไม่ใช่ว่ากลัวจะถูกคนฆ่าตาย แต่ดันเป็ นเพราะกังวล ว่าจะถูกคนหัวเราะเยาะตาย
นักพรตหนุ่มหลบเลี่ยงอุตลุดพลางหัวเราะร่าไปด้วย “ไฮ้ ไม่โดน หึ หลบได้อีกแล้วโมโหหรือไม่…”
แล้วจู่ๆ ก็ก่นด่า “ไร ้คุณธรรมในยุทธภพ ไม่มีสัจจะเลยสักนิด ใช ้ อาวุธลับท าร ้ายคน…..ท่านปู่เจ้าเถอะ เสลดข้นเกินไปแล้ว!”
นักพรตหนุ่มยืดเอวตรง พลิกตัวตีลังกาหมุนตลบ กระโดดขึ้นลง ปล่อยหมัดใส่ฟ้ า ต่อยให้น้าลายที่พุ่งมาเร็วราวลูกธนูสลายหายไป
แคว้นเล็กแห่งหนึ่งในหรู่โจว
เขตการปกครองอิ่งชวน อาเภอสู้ยอัน อารามหลิงจิ้ง
ช่วงปลายปี อีกไม่นานก็จะเป็ นปีใหม่แล้ว ผลกลับกลายเป็ นว่า เจอหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมา บนนพื้นดินจึงถูกห่อหุ้มไว้ด้วยสี เงิน
ในอารามเต๋าขนาดเล็กนับว่ายังพอมีบรรยากาศของปีใหม่อยู่ บ้าง แปะตัวอักษรฝูกลอนคู่และภาพเทพทวารบาลลงสี เจ้าอารามคน เก่าเพิ่งออกจากตาแหน่งไปได้ไม่นาน เจ้าอารามคนใหม่ยังไม่มารับ หน้าที่ ช่วงนี้หลิวฟางคนเฝ้ าศาลไม่กล้าโผล่หน้ามาที่อาราม จึงเป็ น ฉางเกิงที่นาพานักพรตหนุ่มหลายคนที่ยังไม่ได้รับหนังสือรับรองการ ออกบวชซึ่งประจาอยู่ในอารามให้ทางานง่วนอยู่ด้านใน วันนี้ฉางเกิง ขึ้นไปตีกลองยามเย็นบนหอตีกลองตามเวลาที่กาหนดแล้วก็กลับมา ที่ห้องของตัวเองซึ่งอยู่ติดกับห้องครัว จุดตะเกียงน้ามัน ดึงหีบไม้ใบ เล็กออกมาจากใต้เตียง หยิบห่อสัมภาระผ้าฝ้ ายใบหนึ่งออกมาวางไว้ บนโต๊ะ พอเปิดออกแล้วก็เห็นเป็ นของต่างๆ ที่ทามาจากไม้ไผ่กอง รวมกันอยู่ เฉินฉงมาเคาะประตู ฉางเกิงบอกว่าไม่ได้ลงดาล เด็กหนุ่ม จึงเปิดประตูออกแล้วปิดประตูลงอีกครั้ง มานั่งลงข้างโต๊ะ ถามอย่าง ใคร่รู ้ว่า “ท่านลุงฉาง ของพวกนี้คืออะไรหรือ?”
ฉางเกิงยิ้มเอ่ย “ภาษาชาวบ้านเรียกว่าซ่วนจื่อ” (筭子)
เฉินฉงสงสัย “อะไรนะ?”
ฉางเกิงอธิบาย “ซ่วนที่ด้านบนคืออักษรจู๋ (17 ไผ่) ด้านล่างคือ อักษรน่ง (ท า) ความหมายเหมือนกับค าว่า “ช่วน” (算) ช่วนจาก โฉวช่วนที่แปลว่าใช ้เบี้ยมาคานวณ ยาวหกขุ่น เอาไว้นับต่างปฏิทิน หกกู (แก้วที่ใช ้ใส่เหล้าในสมัยโบราณ หรือแผ่นไม้ที่ใช ้เขียนหนังสือ ในสมัยโบราณ) เท่ากับหนึ่งกามือ จานวนค่อนข้างเยอะ หากเจ้าอยู่ ว่างไม่มีอะไรท าก็สามารถลองนับดูได้ว่ามีกี่อัน”
เฉินองกลับคร ้านที่จะนับจานวนให้แน่ชัด เพียงถามว่า “คือ อักษร “โฉว” ในคาว่าอวิ้นโฉวเหวยว่อ (运筹帷幄 วางแผนใน กระโจมทัพเพื่อเผด็จศึก) หรือ?”
ฉางเกิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เฉินฉงวางสองมือที่สอดประสานกันไว้บนโต๊ะ อาศัยแสงตะเกียง สีเหลืองอ่อนจางมามองประเมินแผ่นไม้พวกนั้น เอ่ยว่า “ท่านลุงฉาง มีเรื่องเล่าหรือ?”
ฉางเกิงอิ่มรับหนึ่งที “อริยะในฟ้ าดินประหนึ่งภูเขาเหล็กเสาหิน สยบสิ่งชั่วร ้าย? ค าตอบคือ ดุจการนับเบี้ยคานวณ แม้จะไร ้น้าใจ แต่
อาศัยโชคก็ท าให้มีความรู ้สึกได้” เฉินฉงคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” |
เฉินฉงรู ้ว่าในท้องของท่านลุงฉางบรรจุน้าหมึกเอาไว้ ไม่ว่าอะไร ก็ล้วนเข้าใจ เวลาพูดจาจึงมักจะชอบเล่นสาบัดสานวนอย่างเลี่ยง ไม่ได้ เพียงแต่ว่าโชคไม่ดี ตระกูลตกอับถึงต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ นี่ก็คงจะเป็ นดั่งคากล่าวที่ว่าคนที่ไร ้ประโยชน์ก็คือบัณฑิตกระมัง?
เพียงแต่ว่าหลายๆ เรื่องราว เฉินฉงอยากจะถามท่านลุงฉางอย่าง ละเอียด ไม่อยากจะรู ้แค่ผิวเผิน อยากถามให้กระจ่างชัด ยกตัวอย่าง เช่นสรุปแล้วท่านลุงฉางท่านได้ความรู ้นี้มาจากต าราเล่มใด ใน อนาคตตนจะมีโอกาสไปซื้อตาราในตลาดหรือไม่ บางครั้งท่านลุง ฉางก็จะบอกชื่อหนังสือ แต่เวลาส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเขาอ่านตารา มาหลากหลายเกินไป อายุก็มากแล้วจึงจ าไม่ได้แล้ว
มองท่านลุงฉางนับแผ่นไม้ไผ่อยู่กับตัวเอง มักจะแยกพวกมัน ออกจากกันแล้วก็เอากลับมารวมกันอีกครั้ง ฉางฉงหมดความสนใจ แล้วก็คร ้านจะจดจา จึงแค่พูดชวนคุยว่า “ท่านลุงฉาง อันที่จริงเจ้า อารามหงเป็ นคนดีนะ แม้ว่าเวลาปกติจะไม่เคยท าสีหน้าดีๆ ให้เห็น แต่ก็ดีกับพวกเราไม่น้อย เจ้าอารามคนถัดไป คงไม่ได้พูดคุยด้วยง่าย เหมือนเขากระมัง? โอรสสวรรค์หนึ่งราชวงศ์ขุนนางหนึ่งราชวงศ์ เจ้า อารามคนใหม่ที่มาจะไม่คิดจาบัญชีเก่า ยกเลิกทุกอย่างที่เคยมีมา จากนั้นก็หาเหตุผลง่ายๆ ไล่พวกเราออกไปจากอารามหรือไม่?”
เพราะถึงอย่างไรในอารามแห่งหนึ่ง หากยังไม่มี “นักพรต ประจาการ” ที่มีหนังสือรับรองการออกบวชมาประจาอยู่ ก็ถือเป็ นเนื้อ หอมชิ้นหนึ่ง ไม่รู ้ว่ามีคนกี่มากน้อยที่น้าลายสออยากครอบครอง หัว ไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุม ใครก็อยากจะมาแบ่งน้าแกงไปกิน ด้วยกันทั้งนั้น
ในอดีตต่อให้รวมเจ้าอารามหงเหมี่ยวเข้าไปด้วย “นักพรตที่ ประจาการ” ก็มีรวมทั้งสิ้นแค่หกคนเท่านั้น เพราะหลิวฟางที่ในนามมี สถานะเป็ นคนเฝ้ าศาลไม่ได้พักอยู่บนภูเขา
ฉางเกิงยิ้มเอ่ย “เดินหนึ่งก้าวคิดคานวณหนึ่งก้าว เรือมาถึง สะพานย่อมต้องจอด”
เฉินองเอ่ยอย่างอ่อนใจ “พูดแล้วก็เหมือนไม่พูดนั่นแหละ”
ฉางเกิงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มอีกประโยค ไม่ถามผลเก็บเกี่ยว ถามแต่การหว่านไถถึงคราวเกิดเรื่องไม่สอดมือเข้าแทรก”
เด็กหนุ่มค่อนข้างราคาญหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่ถูกยกมาพูด ซ้าๆ พวกนี้ เขาฟุบตัวลงบนโต๊ะ ฉางเกิงยิ้มเอ่ย “นั่งไม่มีท่าทีของการ นั่ง ยืนไม่มีท่าทีของการยืน”
เฉินฉงเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “ท่านลุงฉาง อันที่จริงข้า ชอบที่นี่มากเลยนะ”
ฉางเกิงกล่าว “สถานที่เล็ก ทัศนียภาพงดงาม ในต ารามีประโยค หนึ่งที่สอดคล้องกับทัศนียภาพอย่างมาก ต้นไม้เขียวขจีที่ปลูกราย ทางซ ้ายขวา ประดุจบุปผาลดหลั่นงามดั่งเทพเซียน
เฉินฉงยิ้มตาหยีถามว่า “ท่านลุงฉาง เป็ นตาราเล่มไหน คงจา ไม่ได้อีกสินะ? นี่ถือว่าแก่แล้วขี้หลงขี้ลืมหรือไม่”
ฉางเกิงเอ่ย “ไม่รู ้จักเด็กจักผู้ใหญ่”
เด็กหนุ่มหัวเราะหึ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เสริมอีกประโยคแล้วกัน อายุ มากร่างกายแข็งแรงไร ้เรื่องให้ต้องกังวล”
ฉางเกิงเลิกเปลือกตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่คิ้วตางามหมดจด ตรงหน้า แล้วพลันหัวเราะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากสักเท่าไรเลยนะ
เฉินฉงถาม “ท่านลุงฉาง ช่วงนี้ยังแกะสลักตราประทับอยู่อีก ไหม? หากมีของใหม่ ขอให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
ฉางเกิงส่ายหน้า “แค่ฝีมือปลายแถว ไม่อาจออกหน้าเป็ นการ เป็ นงานได้”
“อย่างไรถึงจะถือว่าเป็ นการเป็ นงานล่ะ? สอบติดมีต าแหน่ง ได้ไป เป็ นขุนนางในที่ว่าการหรือ? หรือว่าได้รับหนังสือรับรองการออกบวช ท าเนียบเต๋า ฝึกฝนวิชาเซียน เป็ นนายท่านเทพเซียนที่ขี่เมฆทะยาน หมอกได้?”
“ต้องการตราประทับนอกเหนือตราประทับ สอดคล้องกับการ แสวงหามรรคาบนมรรคา วิชาคาถาของเทพเซียนก็แค่เป็ นทักษะที่ ติดตัวเท่านั้น มีเพียงฝึกบาเพ็ญตนสร ้างกุศลคุณธรรมเท่านั้นที่เป็ น ด่านอันดับหนึ่ง”
เฉินฉงกลั้นขา ยกนิ้วโป้ งให้ “ท่านลุงฉาง ไม่ว่าจะพูดจามีเหตุผล หรือพูดจาเลื่อนลอยท่านน่ะเป็ นอย่างนี้เลย!”
ฉางเกิงส่ายหน้า ยิ้มด่าขาๆ ว่าเจ้าเด็กหน้าเหม็น
เฉินฉงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านลุงฉาง ข้าไม่ได้ล้อท่านเล่น จริงๆ นะ วันหน้าหากข้ามีเงินในกระเป๋ าเมื่อไหร่ เก็บรวบรวมตรา ประทับมาช่วยให้ท่านออกรูปเล่มหนังสือรวมผลงานก็ไม่ยากหรอก แต่จะขายออกได้สักกี่เล่ม ข้าก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว”
ฉางเกิงถาม “เจ้าชอบตราประทับขนาดนี้เชียวหรือ?”
เด็กหนุ่มคิดแล้วก็พยักหน้า ฟุบตัวกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง “ชอบสิ ด้านล่างของตราประทับชิ้นหนึ่ง ตัวอักษรรวมตัวกันเหมือน ครอบครัวที่กลับมารวมตัวกันพร ้อมหน้ากลมเกลียว”