กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 976.2 พรรคบางแห่ง
รอกระทั่งคนทั้งสามออกไปจากห้องบัญชี ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นั่งอยู่ บนเก้าอี้อันดับหนึ่งของท่าเรือปี้เฉิงก็ถามเสียงเบาว่า “น้องเจี่ย คุณชายท่านนี้คือ?”
เจี่ยเฉิงลูบหนวดยิ้มกล่าว “ไม่ขอปิดบัง แน่นอนว่าเขาต้องเป็ น เจ้าขุนเขาเฉินของภูเขาลั่วพั่วพวกเราแล้ว พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู ้ว่า ชีวิตนี้เจ้าขุนเขาเฉินให้ความเคารพนับถือนักบัญชีเป็ นที่สุด เป็ นเหตุ ให้ครั้งนี้เรือมาจอดเทียบท่า ต่อให้เจ้าขุนเขาเฉินจะมีกิจธุระรัดตัวแต่ กระนั้นก็ยังจะต้องมาพบหน้าพี่ชายทั้งหลายให้จงได้ เมื่อครู่ระหว่างที่ เดินทางกันมา เจ้าขุนเขาเฉินยังพูดด้วยว่าตัวเองเป็ นคนร่วมอาชีพ กับพวกเจ้าครึ่งตัว ข้าก็เลยฉวยโอกาสนี้พูดถึงประวัติของทุกท่าน คร่าวๆ เจ้าขุนเขาเฉินตั้งใจฟังอย่างมาก แล้วก็จดจาไว้ในใจ เรียบร ้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่ได้บอกกล่าวสถานะ แน่นอน ว่าไม่ใช่เพราะเจ้าขุนเขาบ้านข้าวางมาด แต่เพราะเจ้าขุนเขาเป็ นคน ที่อาบน้าร ้อนมาก่อน คุ้นเคยกับลูกคิดและสมุดบัญชีเป็ นอย่างดี รู ้ดี ที่สุดว่าเรื่องของการคิดบัญชีเป็ นงานละเอียดอ่อน ไม่ยินดีจะให้ทุก ท่านต้องเสียสมาธิไปกับการโอภาปราศรัยให้เสียเวลา”
จ้งชิวดื่มชาเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไร
จางเจียเจินก้มหน้าคิดบัญชี แต่ในใจรู ้สึกนับถืออย่างถึงที่สุด
เดิมทีโจวหมี่ลี่ไม่คิดจะลงมาจากเรือ รู ้สึกว่าฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ชมทัศนียภาพก็พอแล้ว เพียงแต่เจ้าขุนเขาคนดีบอกว่าอยากกิน อาหารมื้อดึก นางจึงแอบลองชั่งน้าหนักถุงเงินของตัวเองดู ลูกน้องใต้ บังคับบัญชายังมีทหารเป็ นพันม้าเป็ นหมื่น จะแพ้ให้กับกับแกล้มบน โต๊ะตัวหนึ่งได้หรือ? ไม่มีทาง แต่นางก็ยังทิ้งคานหาบสีทองชิ้นนั้นไว้ บนเรือเฟิงยวน
ดังนั้นคืนนี้แม่นางน้อยชุดดาจึงสะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้า เดินป่า เดินอยู่ตรงกลางสุด ฮ่า เป็ นจิ้งจอกที่แอบอิงบารมีเสือ
ด้านหนึ่งคือเจ้าขุนเขาคนดีที่ปักปิ่นหยกบนศีรษะ สวมชุดกว้า ตัวยาวรองเท้าผ้าสะพายกระบี่
อีกด้านหนึ่งคืออวี๋หมี่ที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะ รูปโฉม งดงามอย่างถึงที่สุดสะพายกระบี่ แล้วยังพกน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีชื่อว่า หาวเหลียงไว้ที่เอว
คนหนึ่งก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย มีมาดของปรมาจารย์ อีกคน หนึ่งท่วงท่าเกียจคร ้านเนื้อหนังมังสาโดดเด่น
ใครเห็นก็รู ้ว่าไม่ควรไปมีเรื่องด้วย
ต่อให้เป็ นยามค่าคืน บนถนนของท่าเรือปี้เฉิงก็ยังคงมีผู้คนเดิน สวนกันขวักไขว่ เบียดเสียดกันแออัด หลายคนรู ้สึกสงสัยใคร่รู ้ใน สถานะของ “แม่นางน้อย” อยู่หลายส่วน คงไม่ใช่บรรพจารย์เฒ่าใน จวนเซียนบางแห่งที่ฝึ กตนประสบความสาเร็จจึงสามารถกลับคืน
รูปลักษณ์จากแก่มาเป็ นเด็กได้กระมัง? อยู่ข้างนอก จะดีจะชั่วก็ต้องมี ความสามารถในการ “มองลมปราณ” อยู่สองสามแบบ ลักษณะของ เสื้อผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดคลุมอาคม รวมไปถึงเครื่องประดับที่ สามารถเป็ นหน้าเป็ นตาของพรรคหรือจวนเซียน…ล้วนมีข้อพิถีพิถัน อย่างมาก
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ดูท่าน่าจะเป็ นเพราะอยู่ห่างจากแจกัน สมบัติทวีปมาไกลเกินไป เดินอาดๆ อยู่บนถนนแบบนี้ ทั้งยังไม่ได้ร่าย เวทคาถาอ าพรางตา ถึงกับไม่มีใครจ าเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ได้”
โจวหมี่ลี่ถาม “เจ้าขุนเขาคนดี อวี๋หมี่อยู่นอกบ้านมีชื่อเสียงมาก เลยหรือ?”
หมื่อวี้รู ้ได้เลยว่าท่าไม่ดีแล้ว ก าลังจะอธิบาย เฉินผิงอันกลับพยัก หน้าเอ่ยขึ้นมาแล้วว่า “ชื่อเสียงของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่โด่งดังมาก เลยล่ะ เอาเป็ นว่าข้าเทียบกับเขาไม่ได้แน่นอน”
โจวหมี่ลี่เอ่ยเสียงเบา “ใช่แล้วๆ ได้ยินพี่หญิงหลวนเล่าให้ฟัง บอกว่าตอนที่อยู่จวนไช่เฉวี่ยของอุตรกุรุทวีป อวี๋หมี่ของพวกเราเป็ น ที่นิยมของผู้คนมาก ทุกครั้งที่เดินอยู่บนถนนล้วนจะต้องมีพวกพี่สาว เทพธิดามาทักทายอวี๋หมี่เสมอ ได้รับการต้อนรับอย่างมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันเหล่ตามองเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ยิ้มเอ่ยว่า “อ้อ?” หมื่อวี้อธิบาย “ข้าอยู่ที่จวนไช่เฉวี่ย เจอใครก็ล้วนไม่พูดไม่จา” ใต้เท้าอิ่นกวานหัวเราะเสียงเย็น “เฮอะ”
ใบหน้าของหมี่ลี่น้อยเต็มไปด้วยความสงสัย อวี๋หมี่เจ้าอยู่ที่จวน ไช่เฉวี่ยวางมาดขนาด นี้เลยหรือเหตุใดถึงไม่ทาตัวให้เข้ากับคนอื่น ง่ายๆ ไม่น่านะ ข้าจะช่วยไกล่เกลี่ยจะช่วยแก้ไขให้เจ้าอย่างไรดี แม่ นางน้อยจึงได้แต่แสร ้งท าเป็ นเลอะเลือนด้วยการร ้องว่า “อ๋า?”
หมื่อวี้จนใจยิ่งนัก
เฉินผิงอันยิ้มถาม “จะแวะซื้อเมล็ดแตงไปด้วยเลยไหม?”
โจวหมี่ลี่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “สถานที่ที่กลิ่นอายเซียนเข้มข้น เช่นนี้ ซื้ออะไรก็ห้ามซื้อของที่สามารถหาซื้อได้ตามตลาดเด็ดขาด อยากเป็ นหมูที่ถูกเชือดหรือไร ซื้อเมล็ดแต่งต้องไปซื้อที่ร ้านในเมือง หงจู๋ ข้าสนิทกับพวกเขา เป็ นลูกค้าเก่าแล้ว ซื้อเยอะยังจะได้ลดราคา ด้วย!”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เชี่ยวชาญ”
เดิมทีก็ตั้งใจมากินอาหารมื้อดึกอยู่แล้ว โจวหมี่ลี่สอดมือใส่ไว้ใน ชายแขนเสื้อ ลูบคลาถุงเงินที่หนักอึ้งอีกครั้ง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “วันนี้ข้า เลี้ยงเอง!”
แล้วก็เลือกเหลาสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง บนผนังด้านหลังโต๊ะ คิดเงินมีป้ ายไม้ที่เขียนชื่ออาหารแนะนาแขวนไว้เต็มผนัง โจวหมี่ลี่ เห็นแล้วก็ชอบมาก แต่พอเห็นราคาที่อยู่ในเครื่องหมายวงเล็บ…
โจวหมี่ลี่เกาแก้ม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ช่างเถิดๆ เงินทอง เป็ นของนอกกาย ไปเถอะๆ หลังจากย้ายบ้านแล้วก็หาคนดีๆ จากลา กันวันนี้ หากมีวาสนาก็ค่อยมาพบกันใหม่ในยุทธภพ
หลังจากสั่งอาหารนั่งลงเรียบร ้อยแล้ว หมื่อวี้อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวถามว่า “หมี่ลี่น้อย เจ้าก็ชอบกินปลาด้วยหรือ?”
ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว พ่อครัวเฒ่าก็เคยทาอาหารที่ทาจาก วัตถุดิบในแม่น้าอยู่บ้างเพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นาขึ้นวางบนโต๊ะ หมี่อวี้ก็ จะอดมองหมี่ลี่น้อยหลายครั้งอย่างอดไม่อยู่ทุกครั้งนางก็ขยับตะเกียบ เหมือนกัน เพียงแต่มองไม่ออกว่าชอบหรือไม่ชอบ ถึงอย่างไรทุกครั้ง ที่กินปลาล้วนไม่คายก้าง ผลคือวันนี้หมี่ลี่น้อยใจป้ามาก สั่งอาหารมา เต็มโต๊ะ สองจานในนั้นยังเป็ นปลา จานหนึ่งนึ่งน้าใสอีกจานตุ๋นน้า แดง
หมี่ลี่น้อยกะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หมี่ลี่น้อยอยู่ที่ทะเลสาบคนใบ้ ทุกวันหากไม่กินปลากินกุ้งจะให้กินอะไร ดื่มน้าอย่างเดียวจะอิ่มหรือ ค าถามนี้ก็ช่างถามมาได้ หมื่อวี้เจ้าคงไม่ใช่…”
จากนั้นเฉินผิงอันกับหมี่ลี่น้อยก็พูดขึ้นพร ้อมกันว่า “คนโง่หรอก กระมัง”
แม่นางน้อยนั่งอยู่บนมานั่งยาว กุมท้องหัวเราะก๊าก ตลกเกินไป แล้ว
หมื่อวี้ก็หลุดหัวเราะพรีดอย่างอดไม่อยู่
ก็ถูกนะ หมี่ลี่น้อยยังพกปลาแห้งตัวเล็กไว้ถุงหนึ่งติดตัวอยู่ตลอด ด้วยนี่นา
โจวหมี่ลี่แอบขยิบตาให้หมี่อวี้ บัญชีเลอะเลือนก่อนหน้านั้น เจ้า ขุนเขาคนดีต้องได้เอามาเปิดดูเป็ นแน่
เฉินผิงอันขอจอกเหล้ามาอีกหนึ่งใบ ให้หมี่ลี่น้อยได้ดื่มเหล้า เล็กน้อยดับกระหาย
อันที่จริงตอนที่เผยเฉียนยังเด็ก นางก็น้าลายสออยากดื่มเหล้า เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะชอบดื่มเหล้าจริงๆ นางเองก็อยากโอ้อวดว่า ตัวเองอายุไม่น้อยแล้ว สามารถดื่มเหล้าได้แล้ว แต่ตอนนั้นเฉินผิงอัน ควบคุมอย่างเข้มงวด ทุกครั้งที่ถ่านดาน้อยอยากดื่ม อย่าว่าแต่จะได้ ดื่มเลย มะเหงกน่ะจะเอาด้วยไหม
ถ่านด าน้อยจึงมักจะแอบไปหาเว่ยคอแข็งลับหลังอาจารย์พ่อ เล่นทายหมัดกันเป็ นประจา เพียงแต่ว่าคนหนึ่งดื่มเหล้าคนหนึ่งดื่ม น้าเปล่า ทาท่าทางเสียเหมือนจริง เว่ยเซี่ยนยังเอาชนะนางไม่ได้ด้วย
ทุกครั้งที่โจวหมี่ลี่จิบเหล้าหนึ่งคาก็จะร ้องว้าวหนึ่งที เหล้าดี เหล้า ดี ดังนั้นจะต้องส่งเสียงอุทานเพื่อแสดงความเคารพ
หากว่าดื่มชา ข้อพิถีพิถันจะไม่เหมือนกัน ต้องใช ้สองมือยกถ้วย ชา พยักหน้าเบาๆ ร ้องอืมหนึ่งที
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ นหลักเกณฑ์ในยุทธภพที่โจวหมี่ลี่ใคร่ครวญ ออกมาได้ด้วยตัวเอง
กินกันไปได้ครึ่งทาง หวังจี้ผู้ถวายงานศาลบรรพจารย์ส านักกุย หยกก็พาชิวจื๋อเจ้าแห่งยอดเขาจิ๋วอี้ และยังมีผู้ฝึ กกระบี่รุ่นเยาว์ที่ เหมือนหยกคู่ ศิษย์พี่ชายศิษย์น้องหญิงอย่างเหวยกูชูและเหวยเซียน
โหยวมาที่เหลาสุราด้วย ในเหลาสุราเกิดเสียงฮือฮาทันใด |
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใบถงทวีปในทุกวันนี้ ล้าค่าหายาก ดุจขนหงส์เขากิเลน
และเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นั้นก็ยิ่งเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เซียนกระบี่ ใหญ่เหวยอื๋งให้ความสาคัญอย่างถึงที่สุด
ส่วนเกี่ยวกับเด็กชายคนนั้นก็มีการคาดเดาอยู่เช่นกัน บางทีอาจ เป็ นผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ของยอดเขาจิ่วอี้ที่ยังไม่เผยตัว
หวังจี้กุมหมัดยิ้มเอ่ย “เจ้าขุนเขาเฉิน พวกเรามีธุระต้องมา จัดการที่ท่าเรือปี้เฉิงพอดีได้ยินว่าเรือเฟิยวนมาจอดเทียบท่าก็เลยแวะ มาหา รบกวนแล้ว”
ใบถงทวีปในอดีต จ านวนเรือข้ามทวีปมีมากมายเหมือนผู้ฝึกตน ขอบเขตบินทะยาน
ทุกวันนี้เรือข้ามทวีปที่มาจอดที่นี่ ของอุตรกุรุทวีปมีอยู่สองลา แจกันสมบัติทวีปก็มีสองลา ลาหนึ่งคือเรือเฟิงยวนของภูเขาลั่วพั่ว และยังมีอีกลาที่มาจากตระกูลฝุ่ นครมังกรเฒ่า ล้วนจ าแนกได้ง่ายทั้ง สองล า
เฉินผิงอันลุกขึ้นกุมหมัดคารวะกลับคืน “อาจารย์หวัง พี่เหนียน จิ่ว แม่นางเหวย”
หมื่อวี้เพิ่งจะคีบอาหารคาหนึ่งยัดใส่ปาก เขาคร ้านจะลุกขึ้นยืน จริงๆ จึงเพียงแค่ยกมือขึ้นกุมเป็ นหมัดเท่านั้น
เจ้าขุนเขาเฉินกับโจวหมี่ลี่นั่งอยู่บนม้านั่งยาว หมี่อวี้ยึดเก้าอี้ตัว หนึ่งไป ตอนนี้จึงเหลือม้านั่งยาวแค่สองตัว
หวังจี้นั่งลงก่อน เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน เหวยกูชูยืน นิ่งไม่ขยับ ศิษย์น้องหญิงอย่างเหวยเซียนโหยวก็เช่นเดียวกัน นาง เพียงแค่ขยับเท้าไปยืนอยู่ด้านข้างม้านั่งยาวของหมื่อวี้ก่อน
เหวยเซียนโหยวเอ่ยเตือนเสียงเบา “ศิษย์พี่ นั่งสิ มัวยืนอึ้งทาไม” เหวยกูชูจึงได้แต่นั่งลงข้างกายหวังจี้ เหวยเซียนโหยวยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่หมี่ ได้เจอกันอีกแล้วนะ” หมี่อวี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เหวยกูซูดื่มเหล้าเงียบๆ ไปหนึ่งอีก
อันที่จริงยังไม่ทันได้ดื่มเหล้าก็ใจสลายก่อนแล้ว
อดีตเจ้าสานักเจียงชอบพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน แต่ทาไมกับ เรื่องความรักชายหญิง เขาจึงมักจะพูดถูกเสมอเลยนะ?
หมื่อวี้เองก็ได้แต่ทนลาบากใจอยู่กับตัวเองเท่านั้น มีใต้เท้าอิ่นก วานอยู่ด้วย เรียกได้ว่าตนไม่มีที่ให้แสดงฝีมือเลยจริงๆ
เฉินผิงอันกวาดตามองหมี่อวี้อย่างไม่ให้เป็ นที่จับสังเกต หมื่อ วี้ยืดเอวขึ้นตรงนานแล้วกาลังนั่งตัวตรงอย่างสารวมคล้ายวิญญูชนผู้ เที่ยงตรงที่แม้จะอยู่ในกอร ้อยบุปผาก็ยังไม่ปล่อยให้ใบไม้สักใบแตะมา โดนตัว
หวังจี้มีสีหน้าปั้นยาก ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งไม่มี หน้าไม่มีตาขนาดนี้เขียวหรือ?
หากไม่เป็ นเพราะฉายาหมี่ผ่าเอวที่แพร่อยู่ด้านนอกไม่ใช่ของ ปลอม หาไม่แล้วหวังจี้ก็คงอดสงสัยไม่ได้แล้วว่าสรุปแล้วหมี่อวี้ใช่ผู้ ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกาแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่กันแน่
หวังจี้ถาม “เจ้าขุนเขาเฉิน พวกเรากินข้าวกันแล้วไปหาที่สงบๆ คุยกันหน่อยดีไหม?”
ตลอดทั้งท่าเรือปี้เฉิงล้วนเป็ นทรัพย์สินส่วนตัวของสานักกุยหยก แต่ไหนแต่ไรมาก็แค่ให้เช่าไม่เคยขาย ทุกปีล าพังแค่ค่าเช่าที่เก็บมา จากจวนเซียนแต่ละฝ่ าย และยังมีราชวงศ์ของแต่ละแคว้นที่มาเปิด กิจการทาการค้าอยู่ที่นี่ก็เป็ นรายรับที่ไม่เล็กก้อนหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น พวกเรากิน ไปพลางคุยกันไปด้วย”
หวังจี้ใช ้เสียงในใจสอบถาม “การเข้าร่วมของร ้านผ้าห่อบุญและ การขุดเจาะลาน้าใหญ่ ใช ้เงินสี่พันเหรียญฝนธัญพืชเป็ นเงินมัดจา ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาเสินจ้วนได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากพวก เจ้าแล้ว เมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งจะเปิดการประชุมด้วยเรื่องนี้โดยเฉพาะ ความเห็นต่างมีไม่มาก ตอนนี้ก็ได้แจ้งให้กับเจ้าสานักเหวยทราบแล้ว อย่างน้อยที่สุดในจดหมายลับก็บอกกล่าวถึงความต้องการของศาล บรรพจารย์ไว้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่ล้วนเห็นด้วยที่จะกระตุ้นเรื่องนี้ ให้ส าเร็จ”
เนื้อหาในการประชุมศาลบรรพจารย์ ไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ก็ไม่ ควรเอาไปแพร่งพรายแก่คนนอกง่ายๆ นี่คือกฎที่ไม่เป็ นลายลักษณ์ อักษรของบนภูเขา การที่หวังจี้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หนึ่ง เพราะยอมรับในขนบธรรมเนียมของสานักกระบี่ชิงผิงและนิสัยใจคอ ของเฉินผิงอัน นอกจากนี้เกี่ยวกับเรื่องที่ร ้านผ้าห่อบุญสอดเท้าเข้า มาแทรกกลางคัน อันที่จริงสานักกระบี่ชิงผิงก็ต้องบอกกล่าวแก่คน นอก ถือว่าเป็ นการไว้หน้าส านักกุยหยกอย่างหนึ่ง
แต่ที่สาคัญที่สุดยังคงเป็ นวิธีการร่วมงานของร ้านผ้าห่อบุญที่ไม่ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ที่กาหนดไว้แล้วมากนัก คล้ายคลึงกับการ เพิ่มอิฐปูกระเบื้องและเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร หาไม่แล้วอย่าว่าแต่
ส านักกุยหยกเลย เกรงว่าต่อให้เป็ นสกุลเหยาต้าเฉวียนก็คงเป็ นคน แรกที่ต่อต้านแน่นอน
เฉินผิงอันคีบอาหารให้หมี่ลี่น้อย ส่วนตัวเองยกชามเหล้าขึ้นชน กับหวังจี้เบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทางฝั่งของยอดเขาเสินจ้วนนี้ ศาล บรรพจารย์มีความเห็นต่างมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องร ้าย ข้ามองดูแล้ว ทางฝั่งของร ้านผ้าห่อบุญก็คล้ายจะมีการเตรียมใจมาก่อนบ้างแล้ว เหมือนกัน”
หวังจี้เข้าใจได้ทันที ยกเหล้าดื่มไปพร ้อมกับเจ้าขุนเขาเฉิน
หมื่อวี้นับว่าได้เปิดโลกกว้างแล้ว ยามที่บัณฑิตทาการค้าขึ้นมา ช่าง…ช านาญจริงๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไร ร ้านผ้าห่อบุญท าการค้าล้วนมี ชื่อเสียงอยู่ทั้งบนและล่างภูเขา คือป้ ายอักษรทองป้ ายหนึ่งที่สะสม ชื่อเสียงมานานหลายปี อีกทั้งข้าเองก็รู ้สึกว่าแก่นส าคัญของร ้านผ้า ห่อบุญยังคงเป็ นอาณาเขตของใบถงทวีปทางทิศใต้ของลาน้าใหม่ เอี่ยมในอนาคตเส้นนั้นมากกว่า วันหน้าย่อมต้องไปมาหาสู่กับสานัก กุยหยกเป็ นประจ าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าได้พบกับบรรพบุรุษจางของ ร ้านผ้าห่อบุญแล้ว สามารถท าการค้าได้ถึงชั้นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ ขาดอุบายและฝีมือ เพียงแต่ข้ารู ้สึกว่าผู้อาวุโสจางยังเป็ นคนใจกว้าง เปิดเผย ในอนาคตยอดเขาเสินจ้วนของพวกเจ้าก็ไม่สู้คบค้ากับเขา อย่างตรงไปตรงมา”
หวังจี้พยักหน้ายิ้มเอ่ย “พอจะรู ้แล้วว่าต้องทาเช่นไร”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็คุยเล่นกับชิวจื๋อสองสามประโยค ดู เหมือนว่าเจ้ายอดเขาจิ๋วอี้ผู้นี้กลับสานักไปได้ไม่นานก็ได้ส่งจดหมาย ตอบกลับไปมากับป่ ายเสวียนหลายรอบแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็ น ลูกผู้ชายที่มีชื่ออยู่บนตาราวีรบุรุษ มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านจริงๆ
ทั้งสองฝ่ ายพบเจอกันโดยบังเอิญ พูดคุยกันอย่างถูกคอ ดื่ม เหล้ากินอาหารอิ่มหน า ระหว่างนั้นโจวหมี่ลี่ยังสั่งเหล้าเพิ่มอีกหนึ่งกา รอกระทั่งเฉินผิงอันลุกขึ้นยืนเตรียมจะให้หมื่อวี้ไปจ่ายเงิน หวังจี้ก็ยิ้ม เอ่ยว่า “มาถึงท่าเรือปี้เฉิงของพวกเรา ไหนเลยจะมีหลักการที่กินข้าว แล้วยังต้องควักกระเป๋ าเงินอีก”