กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 976.3 พรรคบางแห่ง
เหวยกูซูลุกขึ้นยืนทันใด “ข้าจะไปจ่ายเงิน”
โจวหมี่ลี่ยิ้มอย่างเหนียมอาย “เซียนซื่อผู้เฒ่าหวัง ข้าจ่ายเงิน เรียบร ้อยแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หวังจี้จึงได้แต่ยอมล้มเลิก ความคิด ออกมาจากเหลาสุรา หวังจี้ก็พาพวกชิวจื๋อออกไปจาก ท่าเรือปี้เฉิง เรียกเรือยันต์ลาหนึ่งออกมาเดินทางกลับส านักกุยหยก ในคืนนั้นเลย
เฉินผิงอันยิ้มถาม “จ่ายเงินไปเท่าไร?”
โจวหมี่ลี่ชูนิ้วสามนิ้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “สามเหรียญเงินร้อนน้อย?! ก่อกบฏ หรือไร เชือดหมูรี! ไปไปคุยกับพวกเขาให้รู ้เรื่อง!”
โจวหมี่ลี่ยิ้มกว้าง เฉินผิงอันตบศีรษะของแม่นางน้อย พูดด้วย น้าเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า “หมี่ลี่หนอหมี่ลี่ เจ้าเป็ นหมูน้อย หรือ ขนาดนี้แล้วก็ยังยอมควักเงินจ่ายแต่โดยดี?”
หมี่อวี้หมดคาจะพูด
ใต้เท้าอิ่นกวาน ฝีมือการแสดงของท่านก็ช่าง…ห่วยแตกเกินไป หน่อยแล้ว “ผิดแล้ว! เงินเกล็ดหิมะต่างหาก”
คิดไม่ถึงว่าหมี่ลี่น้อยจะลาพองใจอย่างมาก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หากไม่เพราะตอนหลังสุดข้าสั่งเหล้าหมักตระกูลเซียนกานั้น จ่ายเงินเกล็ดหิมะไม่ถึงสองเหรียญก็พอแล้ว”
เงินเกล็ดหิมะยังไม่ค่อยเท่าไร ล้วนเป็ นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการ บันทึกชื่อ ลงจากภูเขาแล้วก็ลงไปเถอะ แต่ละคนไปขยันหมั่นเพียร บนเส้นทางของตัวเอง ตั้งใจฝึกตนกันไป วันหน้าตกไปอยู่ในกระเป๋ า ของใครก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของใครของมันแล้ว
เงินร ้อนน้อย ลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ เมื่ออยู่กับโจวหมี่ ลี่ทุกเหรียญล้วนมีชื่อมีแซ่
เงินฝนธัญพืช ว้าว นั่นร ้ายกาจมากเลยล่ะ น่าเสียดายที่หมี่ลี่ น้อยสะสมมาตั้งนานขนาดนี้ก็ยังเก็บได้ไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินฝน ธัญพืชสักที
นาง เผยเฉียน พี่หญิงหน่วนซู่ ทุกคนจะมีกระปุกเงินคนละสาม ใบ แต่ละคนมีภูเขาเงินสามลูก ล้วนเก็บไว้ที่พี่หญิงหน่วนซู่ แบ่ง ออกเป็ นใส่เงินเหรียญทองแดง เงินทอง เงินเทพเซียน
แม่นางน้อยพลันรู ้สึกละอายใจเล็กน้อย “เจ้าขุนเขาคนดี อันที่ จริงข้าซื้อเหล้าที่ราคาถูกที่สุดในร ้าน เหล้าหมักตระกูลเซียนชนิดอื่น แพงเกินไป ข้าตัดใจซื้อไม่ลง”
หมื่อวี้อยากจะปลอบใจด้วยค าพูดท านองว่าไม่เป็ นไรหรอก ของขวัญเบาน้าใจหนักแค่นี้ก็ถือว่าให้หน้าพวกเขามากแล้ว พวก หวังจี้ได้ดื่มเหล้าหนึ่งกาก็ควรจุดธูปขอบคุณแล้ว
ผลคือใต้เท้าอิ่นกวานกลับไม่คิดจะพูดอย่างเขา เขาลูบศีรษะ ของหมี่ลี่น้อย เอ่ยสัพยอกว่า “ทาไมถึงได้ขี้เหนียวแบบนี้ล่ะ ภูตน้า ใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ที่ปีนั้นโน้มน้าวให้ข้าใช ้เงินฝนธัญพืชซื้อ กระพรวนชิ้นหนึ่ง หายไปไหนแล้ว?”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะหึหึ “ต้องขยันมัธยัสถ์เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว!”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เหมือนข้า คนบ้านเดียวกันต้องเข้าประตู บานเดียวกันจริงเสียด้วย”
หมื่อวี้ใช ้สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย บางครั้งมีสายตาของสตรี ลอบมองมา เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ของพวกเราก็ยังคงมองตรงไป ข้างหน้าสายตาไม่ล่อกแล่ก
“เจ้าขุนเขาคนดี สถานที่แบบไหนที่ข้าวมื้อหนึ่งต้องจ่ายเงินตั้ง สองสามเหรียญเงินร ้อนน้อย มีที่แบบนั้นอยู่จริงหรือ?”
“มิติ ทาไมจะไม่มีล่ะ อย่าว่าแต่เงินร ้อนน้อยเลย ค่าอาหารที่ต้อง จ่ายด้วยเงินฝนธัญพืชก็ยังมี จุ๊ๆ ทุกตะเกียบที่คีบลงไปล้วนกินเงิน เทพเซียนเข้าไปทั้งนั้นนะ”
“จะยกตะเกียบไหวหรือไม่”
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่ง ยกมือขึ้นทาท่าถือตะเกียบ จงใจทามือสั่น น้อยๆ “ก็นั่นน่ะสิ ข้ายังคืบกับข้าวแบบนี้เลย”
“ฮ่า ถ้าย่างนั้นข้าต้องปรึกษากับนายท่านสักหน่อยแล้ว คีบ กับข้าวให้น้อยหน่อย กินอาหารน้อยลงหนึ่งคา ดื่มเหล้าน้อยลงหนึ่ง ค า แล้วค่อยหักเป็ นเงินมามอบให้ข้าแทน”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก เสียเกียรติเกิดไป ลดสถานะตัวเองเกินไป ข้าเปิ ดปากพูดไม่ได้หรอก ดูท่าคงจะพาเจ้าไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็ นขอทานน้อยที่นั่งยองแกว่งถ้วยขอเงินอยู่ข้าง โต๊ะเป็ นเพื่อนเจ้าแทน”
“ฮ่าๆ แค่คิดก็น่าสนใจแล้ว แต่ก็แค่คิดเท่านั้น”
หมี่อวี้ได้ยินบทสนทนาของหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กน้อยก็รู ้สึกว่า น่าสนใจมากเหมือนกัน
โจวหมี่ลี่ เฉินหน่วนซู่ เฉาฉิงหล่าง
ไม่ว่าจะมีสถานะเป็ นอะไร พวกเขาล้วนเป็ นความงดงามในใจ ของใต้เท้าอิ่นกวานเสมอ
เหมือนเขาได้ถือถ้วยใบเล็ก ฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นดอกไม้เบ่งบาน อากาศสดชื่นปลอดโปร่ง วันนี้ไม่มีเรื่องราวใด สงบสุขปลอดภัย
กับเรื่องราว ไม่ถามผลเก็บเกี่ยวถามถึงแค่การหว่านไถ ไม่ แสวงหาสิ่งที่อยู่นอกกายกับจิตใจ มานะฝึกตน มีศีลสมาธิและปัญญา ขอพรจากสวรรค์
……
ฮ่องเต้อายุน้อยพระองค์หนึ่งสวมชุดนอกเครื่องแบบออกตรวจ ราชการอย่างลับๆ มาเยือนนครแห่งหนึ่งในพื้นที่การปกครองของ ตัวเอง ข้างกายยังพาผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ขอบเขตโอสถทองมา ด้วยคนหนึ่ง อายุไม่มาก เคยเป็ นลูกศิษย์ปิดสานักของเงินเหรินผู้ พิทักษ์แคว้นที่มีคุณธรรมและชื่อเสียงคนหนึ่ง เทพเซียนผู้เฒ่า ก่อกาเนิดคนนั้นได้รบตายไปพร้อมกับอดีตฮ่องเต้แล้ว ตายไปใน เมืองหลวงนี่เอง ทุกวันนี้เมืองหลวงเก่าของราชวงศ์ต้าหยวนได้ กลายเป็ นซากปรักหักพังไปนานแล้ว เนื่องจากถูกกองทัพใหญ่ของ เผ่าปีศาจเหยียบย่าจนราบเป็ นหน้ากลอง นอกจากนี้คนที่มาด้วยกัน ก็ยังมีขันทีคนหนึ่งที่เป็ นองค์รักษ์ติดตามตัวของฮ่องเต้หนุ่ม แม่ทัพบู๊ แซ่เป้ า ระดับขั้นของขุนนางไม่ต่า ถือว่าเป็ นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ ศักดินาแห่งหนึ่งได้เลยทีเดียว
กลุ่มคนที่มารับเสด็จนอกจากกู่ชิวและเสี่ยวฝ่ างสาวใช ้แล้วยังมีผู้ ฝึกยุทธหงโจว ผู้ฝึกตนอิสระวังม่านเมิ่ง รวมไปถึงเฉียนโหวเอ๋อร ์ที่ เวลานี้คล้ายกับอยู่ในความฝัน
ช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิ พิธีการและพิธีบวงสรวงของแคว้นมี มากมาย โอรสสวรรค์ในทุกวันนี้ไม่ใช่ผู้ฝึ กตน จึงต้องนั่งเรือข้าม
ฟากเดินทางมาที่นี่ เวลานี้คนสองกลุ่มเดินไปยังเรือนหลังหนึ่งที่ถูก ทิ้งร ้างด้วยกัน ฮ่องเต้หยวนอิ๋งพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “กูชิว เรื่อง นี้มีความส าคัญมาก เจ้าควรจะแจ้งให้แม่ทัพเป้ าทราบเร็วกว่านี้ พวก เราเองก็จะได้แสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ เพราะถึงอย่างไร ชุยเซียนชื่อก็เป็ นเจ้าสานักของสานักแห่งหนึ่ง จวนเซียนอักษรจง ของใบถงทวีปในทุกวันนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้เชียวนะ”
ฮ่องเต้หนุ่มไม่ได้คิดจะซักไช ้เอาผิดกับกู่ชิว
กว่าที่ราชสานักของหยวนอิ๋งทราบจะเรื่องนี้ก็ค่อนข้างวกวนอยู่ บ้าง อันดับแรกเป็ นเฉียนโหวเอ๋อร ์ที่หลุดปากเล่าให้วังม่านเมิ่งฟัง พูด ถึงภูเขาเซียนตูกับสานักกระบี่ชิงผิง วังม่านเมิ่งจิตใจละเอียดอ่อนดุจ เส้นผม ความสัมพันธ ์ระหว่างนางกับหงโฉวชะงักค้างเกิดปัญหากันก็ จริง แต่นางก็ยังบอกข้อมูลของคนกลุ่มนั้นให้หงโฉวทราบ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งคนชุดเขียวที่เป็ นอาจารย์ของชุยตงซานที่ดูเหมือนว่าจะมา จากแจกันสมบัติทวีป หากเกี่ยวพันกับเพื่อนบ้านที่อยู่ทางทิศเหนือ หงโฉวก็จะใส่ใจทันที จึงไหว้วานสหายในยุทธภพช่วยสานสัมพันธ ์ กับแม่ทัพเป้ า….ไปๆ มาๆ เรื่องจึงดังไปเข้าหูของฮ่องเต้หยวนอิ๋ง
เผชิญหน้ากับฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง กู่ชิวยังคงมีสีหน้านิ่งสงบ “แม่ ทัพเป้ าต้องดูแลทั้งกองทัพและดูแลประชาชน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ไม่ เข้าใจเรื่องวงใน ย่อมไม่กล้าเอาเรื่องยิบย่อยที่ตัวเองยังไม่แน่ใจนี้ไป รบกวนแม่ทัพเป้ า”
แม่ทัพบู๊ที่กุมอานาจแท้จริงในมือผู้นั้นพลันมีสีหน้ากระอัก กระอ่วนทันที
หยวนอิ๋งยิ้มรับ พวกเขามาที่ห้องของเฉียนโหวเอ๋อร ์เฉียนโหว เอ๋อร ์ยังกล้าๆ กลัวๆ ยกเก้าอี้มาสองตัว เอ่ยเสียงสั่นว่า “ฝ่ าบาท คืน นั้นเจ้าสานักชุยและอาจารย์เฉินนั่งอยู่ที่นี่ตาแหน่งของเก้าอี้ รับรอง ว่าไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย”
เพิ่งเคยพูดคุยกับฮ่องเต้เป็ นครั้งแรก เฉียนจวิ้นจึงพูดจาได้ไม่ คล่องนัก
มองมือที่นิ้วเก้าอี้ซึ่งสั่นเทาของเฉียนโหวเอ๋อร ์วังม่านเมิ่งก็ปิด ปากหัวเราะคิก ได้นั่งล้อมกองไฟกับเจ้าสานักแห่งหนึ่งบนภูเขาก็เคย มาแล้ว คุยกันเกินครึ่งชั่วยาม เหตุใดเจอกับฮ่องเต้ล่างภูเขาแล้วยัง ต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้ด้วยเล่า
ราชวงศ์สกุลหยวนต้าหยวนในอดีตก็เคยเป็ นแคว้นใหญ่ที่มี รากฐานลึกล้าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของใบถงทวีป ทุกวันนี้อาณา เขตขุนเขาสายน้าแบ่งออกเป็ นสามส่วน เนื่องจากมีสมาชิกเชื้อพระ วงศ์สายรองที่มาจากพื้นที่ศักดินาสามคนทยอยกันตั้งตัวเป็ นฮ่องเต้ ทั้งสามต่างก็บอกว่าระบบสืบทอดของตัวเองถูกต้อง ส่วนอีกสองคนที่ เหลือกลับไม่ถูกต้องชอบธรรม ปี นั้นสกุลหยวนต้าหยวนกับสกุล เหยาต้าเฉวียนต่างก็กล้าใช ้กองก าลังของแคว้นต่อต้านการรุกราน ของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ สกุลหยวนยังเคยทยอยรวบรวมก าลังพล ในสามสถานที่อย่างชายแดน พื้นที่ใจกลางของแคว้นและเมืองหลวง
มาสู้รบ น่าเสียดายก็แต่จุดจบกลับไม่เหมือนสกุลเหยาต้าเฉวียน มิ อาจรักษาเมืองหลวงเอาไว้ได้ ชะตาแคว้นถูกสะบั้นขาดนับแต่นั้น ทุก วันนี้ราชสานักเก่าถูกแบ่งออกเป็ นสามส่วน กองกาลังแคว้นก็ย่อมมี อาจเทียบเท่าในอดีตได้
ในบรรดานั้นมีหยวนอิ๋งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่หลายปีมานี้รวบรวม ขุนนางปุ่ นบู๊ของราชส านักต้าหยวนเก่ามา แต่แม่ทัพบู๊ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่อายุน้อย ล้วนไปสวามิภักดิ์กับหยวนลี่ที่ตั้งตัวเป็ น ฮ่องเต้เหมือนกันมากกว่า อันที่จริงหยวนอิ๋งก็มีเรื่องลาบากใจที่มิอาจ บอกใครได้ หนีไม่พ้นว่าพวกเขารังเกียจว่าอยู่กับตนแล้วได้หมวกขุน นางมาสวมไม่ใหญ่พอรางวัลที่ได้รับก็น้อยไป ขี้เหนียวบุญกุศล สิ่งของต้องเปรียบเทียบกันสามรอบ นกที่ดีก็ต้องเลือกกิ่งไม้ที่จะมา เกาะ แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าแม่ทัพปู่ ที่ตัดแบ่งพื้นที่แยกตัวเป็ นอิสระ พวกนั้นหยวนอิ๋งเองก็ไม่รู ้สึกว่าพาพวกเขามาไว้ในตาแหน่งที่สาคัญ ในราชส านักหรือตามหน้าด่านต่างๆ แล้วจะเป็ นเรื่องดีสาหรับราช สานักและชาวบ้านในท้องถิ่นจริงๆ
หยวนอิ๋งไม่ได้ดูแคลนชาติก าเนิดของพวกเขา หากว่ามี ความสามารถจริง ขอแค่ท าอะไรอยู่ในกฎในระเบียบ หยวนอิ่งก็ยินดี จะรับตัวมาไว้ ทว่าแต่ละคนพอมีกองก าลังเป็ นของตัวเองก็ล าพองตน อยู่ว่างไม่ทาอะไร แต่จะเอาทั้งตาแหน่งขุนนางทั้งเงินเดือน หากไม่ เป็ นเพราะมีกุนซือที่เชี่ยวชาญเรื่องการวางอุบายเตือนฮ่องเต้ หยวนอิ๋งว่าไม่สู้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ผ่านด่านยากไปให้ได้ก่อน
ค่อยว่ากัน หาไม่แล้วพวกแม่ทัพผู้ห้าวหาญเย่อหยิ่งเหล่านั้นก็คงไป สวามิภักดิ์กับผู้อื่นกันหมดแล้ว เมื่อมีสิ่งหนึ่งเพิ่มก็ต้องมีสิ่งหนึ่งลดลง จะสามารถรักษาชะตาแคว้นไว้ได้หรือไม่ก็ยังยาก ควรคลี่คลาย ปัญหาเร่งด่วนที่เหมือนไฟไหม้ลามขนคิ้วให้ได้ก่อน รอให้รวบรวม ราชวงศ์ต้าหยวนให้เป็ นปึ กแผ่นก่อนแล้วค่อยวางแผนกันอีกที… เพียงแต่หยวนอิ๋งไม่ได้ตอบตกลง ผลคือแม่ทัพเป้ าที่อยู่ข้างกายผู้นี้ กลับเป็ นตัวเลือกที่ดีที่สุดในบรรดาคนที่ไม่โดดเด่นซึ่งมีอยู่ตอนนี้แล้ว
จาต้องยอมรับว่า คนที่สามารถทาสงครามได้อย่างแท้จริงล้วนไป อยู่กับหยวนลี่หมดแล้ว คนผู้นั้นสามารถตัดใจยกจวนใน “เมืองหลวง’ ต าแหน่งฐานะ สาวงาม เงินทองให้กับผู้อื่นได้มากที่สุด ขอแค่ผู้ฝึก ยุทธจากแต่ละฝ่ ายกล้าเปิ ดปาก หยวนลี่ก็จะมอบให้ ตอนนี้ยังให้ ไม่ได้ก็ติดค้างไว้ก่อน เมื่อโจมตีพื้นที่สาคัญ สร ้างคุณูปการทางการ สู้รบได้ก็จะนาพื้นที่เหล่านั้นไปมอบให้เป็ นรางวัล…ดังนั้นหยวนมีถึง ได้คิดจะเป็ นพันธมิตรกับตน เพียงแต่หยวนอิ๋งรู ้ดีอยู่แก่ใจว่า การ กระทาที่เท่ากับดื่มยาพิษดับกระหายในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากการขอ หนังเสือมาจากเสือ สุดท้ายฮ่องเต้หยวนอิ๋งที่นี่ก็ไม่ทาโน่นก็ไม่ได้จึง กลายมาเป็ นคนที่จิตใจลังเลและใจอ่อนเหมือนสตรี
เหงื่อแตกเต็มศีรษะของเฉียนโหวเอ๋อร ์ ลิ้นเขาพันกันจนพูดไม่ ชัด “กราบทูลฝ่ าบาทคืนวันนั้นชุยตงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ส่วน เก้าอี้ตัวนี้เป็ นอาจารย์ของเขาที่นั่ง เทพเซียนพสุธาที่มาจากภูเขา เซียนตูทั้งสองท่านนี้เข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก ไม่รู ้ว่าเหตุใดเซียนซือ
ทั้งสองท่านถึงถูกชะตากับผู้น้อยค่อนข้างมาก ยังพูดคุยกับข้าน้อย อยู่พักใหญ่…”
คาพูดที่สุภาพเป็ นทางการ ล้วนเป็ นถ้อยคาที่เฉียนโหวเอ๋อร ์อ่าน เจอจากในต าราเบ็ดเตล็ดและในหนังสือนิยาย จะเหมาะสมหรือไม่ สมควรพูดหรือไม่ ล้วนต้องอาศัยโชคแล้วล่ะ!
หวังเพียงว่าอย่าได้เดือดร ้อนติดร่างแหไปด้วยก็พอ ด้วยแขนขา ที่เล็กบางของเขาผอมจนหนักแค่ไม่กี่ตาลึง ยัดซอกฟันยังไม่พออิ่ม เลย
หยวนอิ๋งมีสีหน้าอ่อนโยน ได้ยินแล้วก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนบ้านที่เป็ นสานักอักษรจงแห่งหนึ่งเพิ่มมา สาหรับ ราชวงศ์ต้าหยวนแล้วแทบไม่ต่างจากฟ้ าผ่าจากพื้นดิน
หากหยวนอิ๋งจาไม่ผิด ในประวัติศาสตร ์ของใบถงทวีป ตอนที่ได้ ครอบครองส านักวิถีกระบี่แห่งหนึ่งก็เป็ นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามสี่พันปี ก่อนแล้วกระมัง?
ในเมื่อไม่ว่าจะเป็ นโชคหรือเคราะห์ล้วนหลบไม่พ้น หยวนอิ๋งเคย อ่านรายงานเกี่ยวกับนครแห่งนี้มาอย่างละเอียด หลังจากชั่งน้าหนักดี แล้วจึงยืนกรานจะมาเยือนด้วยตัวเองสักรอบ
หยวนอิ๋งยิ้มเอ่ย “เฉียนจวิ้น ไม่ต้องตื่นเต้น ไหนลองเล่ามาสิว่า คืนนั้นเขียนชื่อทั้งสองท่านพูดคุยอะไรกับเจ้าไปบ้าง?”
ฮ่องเต้หนุ่มบอกให้คนให้ยกม้านั่งยาวอีกสองตัวมาจากห้องโถง ใหญ่ ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเรานั่งลงคุยกันเถอะ”
เฉียนโหวเอ๋อร ์กลืนน้าลาย นั่งบนม้านั่งยาวแค่ครึ่งกัน หยวนอิ๋ง หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “เฉียนจวิ้น ดื่มเหล้าหรือไม่?”
เฉียนโหวเอ๋อร ์ลังเลเล็กน้อย หางตาเหลือบมองวังม่านเมิ่งแวบ หนึ่ง เห็นนางทาท่าเหมือนคนนอกสถานการณ์ กูไหน่ไนของข้า เจ้า ไร ้คุณธรรมขนาดนี้เชียวหรือ?
หงโฉวกุมหมัดเอ่ย “เรียนฝ่ าบาท เฉียนจวิ้นดื่มเหล้าได้ แต่ไม่ อาจดื่มมากเกินไป ดื่มเหล้าครึ่งจินคือดีที่สุด
หยวนอิ๋งยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเหล้ามากาหนึ่ง เฉียนจวิ้นตัดสินใจเองแล้วกันว่าจะดื่มมากแค่ไหน”
หยวนอิ๋งพูดกับกู่ชิวว่า “การกระทาของพวกเจ้าในนครแห่งนี้ ข้า ล้วนได้เห็นแล้ว กูชิวเจ้าก็มารับหน้าที่ดูแลศาลเทพอภิบาลเมือง ประจาเขตการปกครองแห่งนี้ชั่วคราวก่อนแล้วกัน รอให้วันใดข้า สร ้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง…ช่างเถอะ เรื่องของวันหน้าก็ค่อย ว่ากันวันหน้า ข้าจะไม่พูดจาเกินตัวไปก่อนแล้ว”
กูชิวพยักหน้ารับเงียบๆ
เดิมทีหยวนอิ๋งอยากบอกว่าให้กูชิวย้ายไปรับตาแหน่งที่ศาลเทพ อภิบาลเมืองประจ าเมืองหลวง เพียงแต่หยวนอิ๋งไม่เคยถนัดเรื่องการ ซื้อใจคน จึงได้แต่พูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น