กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 976.4 พรรคบางแห่ง
“หงโฉว เจ้าคือปรมาจารย์ขอบเขตหก หากยินดีก็ไปรับหน้าที่ อยู่กับแม่ทัพเป้ าเถอะส่วนจะมีหน้าที่ทาอะไร วันหน้าค่อยคุยกัน อย่าง ช ้าสุดครึ่งเดือน ทางราชสานักจะต้องให้คาตอบที่แน่ชัดแก่เจ้า”
หงโฉวได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นกุมหมัดรับคาสั่งทันที
“วังม่านเมิ่ง เจ้าคือเทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลาง หากยินดี เปิดภูเขาก่อตั้งพรรคทางฝั่งของราชสานักก็ยินดีจะยกพื้นที่แห่งหนึ่ง ให้กับเจ้า ส่วนเรื่องของเงินทอง ข้าเองก็ไม่ปิดบัง ทางราชส านักได้ แต่มีใจแต่ไร้ก าลังจริงๆ”
วังม่านเมิ่งยิ้มกล่าว “ฝ่ าบาทชมกันเกินไปแล้ว อันที่จริงข้าเป็ น แค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้าสถิต แค่ใกล้เคียงกับห้าขอบเขตบน เท่านั้น ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง ทั้งยังเป็ นสตรีแล้วก็ไม่มีพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมเป็ นของตัวเอง ร่อนเร่ไปมา มิอาจคู่ควรกับค าว่า “เทพ เซียน” ได้เด็ดขาด ส่วนเรื่องของการเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคก็ยิ่งไม่ กล้าเพ้อฝัน มีชีวิตอิสระมาจนชินแล้ว ไม่แน่เสมอไปว่าจะปรับตัวเข้า กับวงการขุนนางแห่งภูเขาสายน้าได้ หวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัย”
หยวนอิ๋งมีสีหน้าอ่อนโยน พยักหน้ายิ้มรับ “ไม่กล้าบังคับ”
หลังจากนั้นเฉียนโหวเอ๋อร ์ที่อาศัยฤทธิ์เหล้าปลุกความกล้าก็เล่า เนื้อหาที่พูดคุยกันในคืนนั้นออกมาทั้งหมด
ฮ่องเต้หยวนอิ๋งยิ่งฟังก็ยิ่งรู ้สึก….ล้าลึกจนมองไม่เห็นก้นบึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เฉินท่านนั้นที่สรุปแล้วเขาคือเทพเซียน จากฝ่ ายใดกันแน่? ถึงได้สามารถเป็ นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้กับเจ้า สานักแห่งหนึ่ง?
กู่ชิวพลันเปิดปากเอ่ย “ฝ่ าบาท มีแขกมาเยือน มากันทั้งหมดสี่ คน สองคนเป็ นผู้ฝึ กตนผี คือขอบเขตโอสถทอง สองคนที่เหลือ ตอนนี้ยังมองตื้นลึกไม่ออก”
เพียงไม่นานก็มีคนมาเยือน พวกเขาเดินเข้ามาในลานบ้านนอก ห้อง ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ในกลุ่มสี่คนนี้มีผู้ฝึกตนผี เซียนดินอยู่สองคนจริงๆ
กูชิวขมวดคิ้วน้อยๆ เพียงแค่มองประเมินอีกฝ่ ายอย่างรวดเร็ว แล้วหัวคิ้วของเทพอภิบาลเมืองตัวสารองท่านนี้ก็คลายออก โลกมืด และโลกสว่างเดินกันคนละเส้นทาง ความดีและความเลวแตกต่าง ไม่ มีแบ่งแยกผีหรือคน
ก็คือเฉาฉิงหล่าง ชุยเหวย อู๋โก้ว เซียวม่านอิ่ง
หยวนอิ๋งโบกมือบอกเป็ นนัยว่าไม่ต้องตื่นเต้น ก่อนจะเดินข้าม ธรณีประตูออกไปนอกห้อง
เห็นเพียงว่าคนที่ใส่ชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียวมีสีหน้าอ่อนโยน ประสานมือคารวะพลางเอ่ย “ผู้ฝึ กตนท าเนียบศาลบรรพจารย์ของ ยอดเขาชิงผิงภูเขาเซียนตู เฉาฉิงหล่างคารวะฝ่าบาท”
บุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาแต่สีหน้าเย็นชากล่าวอย่าง เฉยเมย “ชูยเหวยผู้คุมกฎแห่งสานักกระบี่ชิงผิง”
ผู้ฝึกตนผีอีกสองคนก็บอกกล่าวชื่อแซ่ตัวเอง “ผู้ถวายงานศาล บรรพจารย์สานักกระบี่ชิงผิง อู๋โก้ว” “ผู้ถวายงานศาลบรรพจารย์ เซียวม่านอิ่ง”
ฮ่องเต้หนุ่มใจกระตุกเล็กน้อย
บรรพจารย์ผู้คุมกฏคนหนึ่งของศาลบรรพจารย์ถึงกับเปิดปากที หลังผู้ฝึกตนบนทาเนียบคนหนึ่งอีกหรือ?
น่าเสียดายที่ข่าวสารบนภูเขาของใบถงทวีปทุกวันนี้ถูกปิดกั้น นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องบนภูเขาของทวีปอื่นเลย รายงานขุนเขา สายน้าบางอย่างก็ได้แต่อาศัยการส่งคนไปทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมา จากสถานที่อย่างท่าเรือปี้เฉิงหรือไม่ก็ท่าเรือใบท้อเท่านั้น ที่น่าสงสาร ยิ่งไปกว่านั้นก็คือทางราชสานักยังต้องติดเงินผู้ฝึกตนเหล่านั้นเอาไว้ ก่อน ก็โชคดีที่เซียนซือเหล่านั้นส่วนใหญ่เคยเป็ นผู้ถวายงานใน ตระกูลของขุนนางเก่าแก่ตระกูลสูงศักดิ์ของต้าหยวน จึงไม่เคยถือสา ในเรื่องนี้
วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ในอาณาเขตของภูเขาเซียนตูมีส านัก กระบี่ชิงผิงก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ชุยตงซานคือเจ้าส านักคนแรก ในบรรดา คนที่มาเข้าร่วมงานพิธีก็มีสานักกุยหยกและราชวงศ์ต้าเฉวียน
ในรายงานขุนเขาสายน้ามีข่าวเพียงเท่านี้
ชุยตงซาน? หยวนอิ๋งไปหาผู้ฝึกตนที่อายุขัยการฝึกตนค่อนข้าง สูง ต่างก็ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน
หยวนอิ๋งจัดระเบียบสาบเสื้อ ประสานมือคารวะเฉาฉิงหล่างกลับ คืน “ลูกหลานเกาจงสกุลหยวนต้าหยวน หยวนอิ๋งคารวะเฉาเซียนซือ ผู้คุมกฏชุยและเซียนซือผู้ถวายงานทั้งสองท่าน”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝ่ าบาทไม่ต้องมากพิธี ผู้คุมกฏชุย ผู้ถวายงานอู๋และผู้ถวายงานเชียวกับข้า ต่างก็แยกย้ายกันไปดูชีวิต ความเป็ นอยู่ของชาวบ้านในอาณาเขตการปกครองของฝ่ าบาท ของ หยวนลี่และของหยวนมี่มาแล้วคร่าวๆ รอบหนึ่ง”
ในความเป็ นจริงแล้ว อันที่จริงข่าวสารของฮ่องเต้อีกสองคน ว่องไวกว่าหยวนอิ๋งมากนัก พูดถึงแค่หยวนลี่ก็ถึงขั้นนาพาเจินเหรินผู้ พิทักษ์แคว้นกับซานจวินห้ามหาบรรพตใหม่จัดขบวนใหญ่โต ระดม พลกันอย่างเอิกเกริก กาลังอยู่ระหว่างเดินทางมุ่งหน้าไปที่ภูเขาเซียน ตูแล้ว
เฉาฉิงหล่างกล่าว “การปกครองแว่นแคว้นก็เหมือนการนึ่งปลา ตัวน้อย สตรีมีฝีมือแต่ไร ้วัตถุดิบย่อมมิอาจปรุงอาหารเลิศรสได้ แต่ถึง อย่างไรก็ยังเป็ นคนมีฝี มือ การกระหายใน ความส าเร็จและ ผลประโยชน์เฉพาะหน้า การเรื่องอานาจชั่วคราวของผู้ครองแคว้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แผนการที่ยาวไกล”
ฮ่องเต้หยวนอิ๋งได้ยินแล้วก็อึ้งงันไร ้คาพูด
ชุยเหวยกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เฉาฉิงหล่างคือลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดของเจ้าขุนเขาเฉินภูเขาลั่วพั่วสานักเบื้องบนของพวกเรา ดังนั้น ความเห็นของเฉาฉิงหล่างก็คือความเห็นของตลอดทั้งสานักกระบี่ชิง ผิง”
หงโฉวและวังม่านเมิ่งที่มีท่าทางผ่อนคลายสบายๆ อยู่ตลอดต่าง ก็ใจสั่นขึ้นมาพร ้อม กันหันมามองหน้ากันเอง พริบตานั้นหน้าผาก ของหงโฉวก็เต็มไปด้วยเหงื่อ กลืนน้าลายลงคอ กุมหมัดถามว่า “ขอ ถามเฉาเซียนชื่อและผู้คุมกฏชุย ภูเขาลั่วพั่วที่ว่านี้ใช่ภูเขาลั่วพั่วของ แจกันสมบัติทวีปหรือไม่? เจ้าขุนเขาเฉิน….ใช่เจ้าขุนเขาเฉินของ แจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”
เ ฉ า ฉิ ง ห ล่ า ง พ ยัก ห น้า ยิ้ม รับ ส่ ว น ชุย เ ห ว ย ย้อ น ถ า ม “ไม่อย่างนั้น?”
เมื่อคาพูดนี้ดังออกมา กลุ่มของฮ่องเต้หนุ่ มต่างก็รู ้สึก เหมือนกับเฉียนโหวเอ๋อร์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เหมือนกาลังฝันไป
แต่กลับเป็ นฝันดี
……
ตรอกฉีหลง
เซี่ยโก่วลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้เผยร่างจริงออกมา หลังจากถูกกดหัวเอาไว้ นางก็ย่นคอ แสดงท่าทีอ่อนข้อให้อย่างที่หา ได้ยาก “คือว่า ทุกคนล้วนเป็ นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
นางยิ้มเอ่ย “เซี่ยโก่ว? ทาไมถึงตั้งชื่อนี้ล่ะ ป๋ ายจิ่ง เฉายวิน ไหว้ จิ่ง เหย้าหลิง แต่ละชื่อก็ไม่ได้ดีอยู่แล้วหรอกหรือ ตอนนี้น่ะหรือ ระวัง จะรักษาหัวสุนัข (โก่วแปลว่าหมา) เอาไว้ไม่ได้ล่ะ”
ป๋ ายจิ่งคือผู้ฝึกกระบี่ อีกทั้งยังเป็ นเจ้าของ “เสื้อเกราะเหว่ย” คน ใหม่อีกด้วย เป็ นเหตุให้หากว่ากันถึงการสืบทอด ป๋ ายจิ่งและหย่างจื่อ
ต่างก็ถือว่ามีสายเป็ นของตัวเอง เซี่ยโก่วยิ้มอย่างผิดฝืน |
ผู้ถือกระบี่ ข้ารับใช ้กระบี่ วิญญาณกระบี่?
เสี่ยวโม่อยากจะลุกขึ้นยืน แต่ “เฉินผิงอัน” กลับบอกเป็ นนัยให้ เสี่ยวโม่นั่งต่อ
โต๊ะเหล้าของร ้านฉ่าวโถวในตรอกฉีหลงตัวเอง เวลานี้คล้ายเป็ น น้าวนจุดหนึ่งในแม่น้าแห่งกาลเวลา แล้วก็เหมือนดั่งน้าบ่อที่ไม่ยุ่งกับ น้าคลอง
ภาษาพระธรรมเคยกล่าวไว้ว่า คนผู้หนึ่งเดินข้ามสะพาน มองเห็นสะพานไหลผ่าน แต่มิได้เห็นน้าไหล
ไม่ว่าจะเป็ นการจับผลัดจับผลูหรือไม่ แต่ก็ถือเป็ นการเปิดเผย ความลับสวรรค์แต่เนิ่นๆ แล้ว
เฉินผิงอัน” ผู้นั้นยิ้มเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ ร่างจริงของข้ายังอยู่ที่ใบถง ทวีป ส่วนข้าที่เจ้าเห็นตอนนี้เป็ นแค่คนน่าสงสารที่ถูกตัวเองเนรเทศ ออกมาเท่านั้น แน่นอนว่าข้ายังคงเป็ นข้า
เสี่ยวโม่ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังข่มกลั้นความอึดอัดในใจเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่คารวะคุณชาย”
ป๋ ายจิ่งมองไปยังบุคคลประหลาดผู้นั้น แล้วถามคาถามประหลาด ที่เหมาะสมกับอีกฝ่ าย “เจ้ากับเฉินผิงอันผู้นั้น สรุปว่าใครกินใครกัน แน่?”
ความสัมพันธ ์ของจิตหยางกายนอกกาย จิตหยินออกจากช่อง โพรงกับร่างจริงของผู้ฝึกตน ใครเป็ นหลักใครเป็ นรอง แค่มองก็รู ้ได้
แต่คนตรงหน้าผู้นี้กลับมีความรู ้ใหญ่แฝงอยู่
ส่วนในร ้านเหล้า จ้าวเติงเกา เถียนจิ๋วเอ๋อร ์เด็กชายผมขาวที่ทุก วันนี้ใช ้นามแฝงว่าคงโหว เด็กสาวชุยฮวาเซิง แต่ละคนต่างก็หยุดนิ่ง ไม่ขยับ
นางมองเทวบุตรมารนอกโลกที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชายผม ขาวแล้วยิ้มเอ่ยว่า “กาลังเล่นเป็ นหุ่นไม้อยู่หรือ?”
ลูกตาของเด็กชายผมขาวกลอกน้อยๆ รู ้สึกว่าในเมื่อทุกคนล้วน เป็ นคนกันเอง ยังต้องกลัวอะไรอีก จึงไม่แกล้งท าเป็ นหุ่นไม้อีก รีบชู แขนตะโกนเสียงดังทันที “บรรพบุรุษอิ่นกวานมรรคกถาเลิศล้าค้าฟ้ า
หมัดสยบสามทวีป เวทกระบี่ไร ้เทียมทาน มาดองอาจสง่างามวางแผน แม่นย าไม่เคยผิดพลาด…”
วิถีการโบกสะบัดแขนของเด็กชายผมขาวกระตุกให้เกิดสีแก้วใส เจ็ดสีชุมแล้วชุมเล่าและยังมี “คาพูด” ที่ออกจากปาก แต่ละคาเหมือน ทรายสีทองที่สลายไปตามสายลม
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “พูดต่อสิ คาพูดดีๆ ไม่รังเกียจว่ามีมาก เกินไป”
เด็กชายผมขาวรู ้สึกว่าควันแทบจะผุดออกจากล าคอแล้ว จึงพูด ด้วยสายตาฉายแววไม่พอใจ “บรรพบุรุษอิ่นกวาน โปรดอภัยที่ข้ามี ความรู ้แค่หางอื่ง หาคาศัพท์อื่นไม่ได้แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่ลองคิดดูอีกหน่อยหรือ?”
เด็กชายผมขาวสูดจมูก ใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่าใจ “ต้องเปิดต ารา เรียนรู้แล้วเอามาใช้ทันที”
ป๋ ายจิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คงโหว เจ้าอ าพรางตัวตนได้ ลึกล้ามากเลยนะ”
เดิมทีนึกว่าเพื่อนบ้านคนนี้จะเป็ นเซียนเหรินที่ชอบมาเที่ยวเล่น ในโลกมนุษย์ คิดไม่ถึงว่าจะเป็ นขอบเขตบินทะยานที่อาพรางตัวอย่าง ลึกล้าคนหนึ่ง?
ระหว่างผู้ฝึ กลมปราณด้วยกัน ขอบเขตเดียวกันมองขอบเขต เดียวกัน ล้วนเป็ นทัศนียภาพเหมือนการมองดอกไม้ในม่านหมอก ไม่ เหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สามารถอาศัยลมหายใจ ฝีเท้า ท่วงท่ายาม ก้าวเดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนตามเส้น เอ็นกระดูกและกล้ามเนื้อ จึงยากมากที่จะปิดบังขอบเขตวิถีวรยุทธ
สัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน ป๋ ายจิ่งก็กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ต้องให้สาบานหรือไม่?”
อาเภอไหวหวงที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ ามือแห่งนี้ ในที่สุดก็ทาให้ป๋ า ยจิ่งได้รู ้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่ามังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ อันดับแรกก็เป็ น เซียนเว่ยคนเฝ้ าประตู ตอนนี้ยังมีเทวบุตรมารนอกโลกที่เป็ นขอบเขต บินทะยานอีกตนหนึ่ง อีกฝ่ ายถึงกับมารับหน้าที่เป็ นแค่ลูกศิษย์ นักการฝ่ายนอกของภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นหรือ?
นางตบหมวกขนเตียวของป๋ ายจิ่ง ขยับมานั่งลงด้านข้าง “สถานะ ของคงโหวไม่ใช่เรื่องเล็กอะไรจริงๆ แต่เรื่องเอ่ยคาสาบานนั้นก็ช่าง เถิด ควบคุมปากไม่อยู่ก็ไม่ใช่โทษทัณฑ์ที่หนักหนาสักเท่าไร ก็แค่ รักษาหัวไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง”
อยู่ดีๆ ป๋ ายจิ่งก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “มนุษย์เรามี ช่วงเวลาที่ทาผิดต่อบัญญัติสวรรค์ ทว่าสวรรค์กลับไม่ไร ้เส้นทางให้ คนได้เดิน”
เด็กชายผมขาวสัมผัสได้ถึงสายตาดูแคลนจากเซี่ยโก่ว เหล่ตา มองข้ารึ?
เจ้าฟักแคระเจ้าถือเป็ นพี่ใหญ่คนที่เท่าไรกัน
เด็กชายผมขาวจึงยกสองมือเท้าเอวฉับ หันไปจ้องตาถมึงทึง ใส่ป๋ ายจิ่งทันที เซี่ยโก่วแบมือ “เจ้าชนะแล้ว”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ป๋ ายจิ่ง หากนับตามล าดับอาวุโส เฟย เฟยใช่ลูกศิษย์ของลูกศิษย์เจ้าหรือไม่?”
เซี่ยโก่วคิดแล้วก็ตอบว่า “ศิษย์ลูกศิษย์หลานของข้ามีมากมาย จะตายไป นับก็นับไม่หวาดไม่ไหว เฟยเฟยเรียนวิชาคาถามาจากใคร เว้นเสียจากว่าเผชิญหน้ากันตรงๆ แล้วตีกันหาไม่แล้วก็ยากที่จะ ยืนยันให้แน่ใจได้ ข้านอนหลับครั้งนี้ตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้ าก็สว่างแล้ว ก่อนหน้านี้อยู่ที่ลาคลองเย่ลั่ว เพื่อได้เจอกับเสี่ยวโม่จึงรีบร ้อน เดินทางมา ก็เลยไม่ได้ไปทักทายกับผู้เยาว์อย่างเฟยเฟย”
ตามค ากล่าวของชิงถง ป๋ ายจิ่งผู้นี้เคยสร ้างพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมอยู่ในดวงตะวันดวงใหญ่ของเปลี่ยวร ้าง เพียงแต่ว่าทุกๆ หลายร ้อยปีผ่านไปจะต้องสร ้างพื้นที่ประกอบพิธีกรรมขึ้นมาใหม่ ผู้ ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เดินบนเส้นทางการฝึกตนโดยการหลอมเรือนกาย กราบไหว้ดวงจันทร ์อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ครึ่งหนึ่งล้วนต้องรับน้าใจ จากป๋ ายจิ่ง ดังนั้นแรกเริ่มสุดตอนที่เฉินผิงอันได้ยินชิงถงพูดถึงป๋ า ยจิ่งจึงเดาเอาว่าป๋ ายจิ่งจะใช่ “ร่างจ าแลงของแก่นตะวัน” หรือไม่ ไม่
เหมือนกับแสงจันทร ์มากมาย ท่ามกลางตะวันดวงใหญ่ ต่อให้เป็ นผู้ ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่เชี่ยวชาญคาถาไฟ ก็ยากที่จะพักอาศัย อยู่ข้างในนั้นได้นานเหมือนกันก็เหมือนอย่างฮว่อหลงเจินเหรินที่ถูก ขนานนามว่าเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งด้านคาถาอัคคีในไต้หล้าไพศาล ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเดินผ่านทางสายนี้มาก่อน มิอาจอาศัยสิ่งนี้มา เลื่อนขั้นเป็ นขอบเขตสิบสี่ได้
เมื่อหมื่นปีก่อน บนพื้นดินมีรากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนที่มี พรสวรรค์หลายคนที่ถือว่าอยู่ในสายของ “เทพเจ้า” ล้วนเป็ นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างทองปริแตกแล้วกลับมาจุติใหม่แม้ว่าความเป็ นเทพจะ ไม่ครบสมบูรณ์ แต่เกิดมาก็เหมาะกับการฝึกตน ส่วนใหญ่มักจะฝ่ า ทะลุขอบเขตได้อย่างว่องไว แต่คอขวดของเขียนดินกลับฝ่ าไปได้ ยากยิ่งกว่า “นักพรตบริสุทธิ์มากนัก
ส่วนที่เซี่ยโก่วบอกว่าตัวเองมี “ศิษย์ลูกศิษย์หลาน” มากมาย ก็ ไม่ถือว่าเป็ นการคุยโวโอ้อวด
เซี่ยโก่วใช ้หางตาเหลือบมองสตรีชุดขาวที่อยู่ข้างกายอย่าง ระมัดระวัง โอ้โห ตัวสูงไม่เบาเลยนะ สูงกว่าตนเกือบหนึ่งช่วงศีรษะเลย ทีเดียว
เซี่ยโก่วเหลือบมามองเฉินผิงอันอีกที ถามข้าท าไมกัน ไยต้อง สละใกล้แสวงหาไกลด้วยเล่า เจ้าต้องถามผู้ถือกระบี่ที่อยู่ข้างกายข้า นี่สิ
นางมองเซี่ยโก่วแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “ไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่ จะคิดมากไปไย”
เซี่ยโก่วไม่รู ้ว่าโทสะผุดมาจากไหน ปกติคาพูดประโยคนี้ล้วน เป็ นนางที่เป็ นคนพูด ก็แค่ว่าเปลี่ยนคาว่า “ขอบเขตสิบสี่” เป็ น ขอบเขตบินทะยานเท่านั้น
เมื่อเป็ นเช่นนี้ตนก็ต่าต้อยกว่าคนอื่นเขาหนึ่งขั้นจริงๆ บางที อาจจะไม่ใช่แค่ชั้นเดียวด้วยซ้า
นางเองก็คร ้านจะสนใจป๋ ายจิ่ง พูดเนิบช ้าว่า “สมมติว่าบนโลก มนุษย์มีภูเขาที่เป็ นเช่นนี้อยู่ ให้อาเภอไหวหวงแห่งนี้เป็ นพื้นที่มังกร ลุกผงาดก็แล้วกัน”
“สักวันหนึ่งจะบอกกล่าวแก่ใต้หล้า ตั้งลัทธิเรียกตนเองเป็ นบรรพ บุรุษ”
“โค่วหมิง ชุยฉาน ฉีจิ้งชุน เจ้าลัทธิหลักรองสามคน เจิ้งจวีจงคือ ผู้คุมกฏ หลิวจวี้เป่ าเป็ นคนดูแลเงินทอง”
“คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่สามารถช่วยชี้ทางสว่างให้กับคนข้างกาย ขณะเดียวกันเมื่อมีคนเดินนาขึ้นสู่ที่สูงไปก่อน ใช ้ตัวเองเป็ น แบบอย่าง บุกเบิกเส้นทาง เปลี่ยนปราการธรรมชาติให้เป็ นถนนใหญ่ พร ้อมกันนั้นก็ตรวจสอบหาช่องโหว่แล้วช่วยกันชดเชยแก้ไข ศึกษา หาความรู ้ อบรมสั่งสอน ลาภยศความดีความชอบ แต่ละคนมีเรื่องที่
ถนัดต่างกัน พูดถึงแค่ในศาลบรรพจารย์ก็มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขต สิบสี่นั่งกันอยู่ถึงห้าท่านแล้ว” ต่อให้เป็ นป๋ ายจิ่งก็ยังฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คือผักกาดขาวหัวใหญ่ที่กองกันอยู่ ในสวนผักข้างทาง นึกอยากจะเก็บกี่หัวก็เก็บได้อย่างนั้นหรือ?