กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 977.2 หลอมกระบี่ก็คือการเดินทางไกล
ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของชีวิต ทัศนียภาพแบบเดียวกัน ปรากฏสู่คลองจักษุ แต่กลับทิ้งรสชาติที่แตกต่างกันไว้ในใจ
เด็กชายชุดแดงเงียบไปพักหนึ่งก็ถามอย่างใคร่รู ้ว่า “เจ้าไม่ใช่ เทพเซียนบนภูเขาสักหน่อย เจองูที่เกือบจะกลายเป็ นภูตตัวหนึ่ง ระหว่างทางก็ไม่กลัวสักนิดเลยหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับรูปโฉม ของข้าที่หากอยู่ในตาราเรื่องเล่าประหลาดของล่างภูเขา ไม่ว่า อย่างไรก็น่าจะเรียกได้ว่าตัวประหลาดแล้ว ท าไมเจ้าถึงไม่แปลกใจ เลยสักนิด หรือว่ามีชาติก าเนิดมาจากผู้ฝึกตนท าเนียบของจวนเซียน ประตูสูง แต่แสร ้งทาเป็ นจอมยุทธพเนจรที่ออกท่องเที่ยวภูเขาสายน้า พลางค้นภูเขาไปทั่วสารทิศด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เดินทางอยู่ข้างนอกตลอด ไม่กล้าพูดว่า ความรู้กว้างขวาง แต่อย่างน้อยที่สุดเดินทางตอนกลางคืนมากเข้าก็ ใจกล้าไม่น้อยแล้ว เห็นเรื่องประหลาดมาจนชินแล้ว”
เด็กชายชุดแดงยกสองแขนกอดอก มองท่าทางนั่งยองเคี้ยว หญ้าด้วยความคุ้นเคยของบุรุษก็ถามว่า “มีชีวิตยากล าบากหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ยังดี ครอบครัวเล็ก ผู้อาวุโสและ ญาติในตระกูลท าความดีละสมบุญมาไว้ ก็เหมือนในบ้านมีธัญพืช เหลือกินทุกปี ลูกหลานรุ่นหลังจึงไม่ต้องอดอยากหิวโหย”
เด็กชายชุดแดงพยักหน้า สูดน้ามูก ไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้เลย พอ พูดถึงก็เจ็บปวดหัวใจ “ข้านี่แหละที่มีชีวิตยากลาบาก โทษคนอื่น ไม่ได้หรอก ต้องโทษที่ข้าเจอคนไม่ดี เมื่อหลายปีก่อนมักจะต้องอิ่ม ครึ่งมื้อหิวสามมื้อเป็ นประจา โชคดีที่ตัวข้าเองก็พยายามพัฒนา ตัวเองสะสมทรัพย์สมบัติมาได้บ้างเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นข้าก็เกือบจะ สงสัยแล้วว่าในบ้านเจอผียากจนที่ไม่ยอมย้ายรังตัวไหนหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ตามคากล่าวในตารา หากมีผียากจนตัวหนึ่ง เข้ามาอยู่ในบ้านจริงๆ ก็ช่วยต้านหายนะไว้ให้ได้ อีกทั้งหากใน อนาคตมีวันใดที่สามารถเชิญผียากจนออกจากบ้านได้ ดั่งคาว่าเชิญ เทพมาง่ายเชิญเทพกลับยาก ถ้าอย่างนั้นก็จะได้พบเจอกันด้วยดีและ จากลากันด้วยดี ไม่แน่ว่าอาจมีโชคดีอย่างอื่นรออยู่”
เด็กชายชุดสีชาดร ้องเอ๊ะหนึ่งที ดูท่าเจ้าหมอนี่น่าจะอ่านหนังสือ เป็ นการเป็ นงานมาหลายเล่มเหมือนกันนะ จึงถามด้วยสีหน้า ประหลาดใจ “สอบเคอจวี่ได้ไม่ดีพอ ก็เลยได้แต่ถอยมาเลือกล าดับ รอง อ่านต าราเบ็ดเตล็ดมาเยอะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “อ่านหนังสือมากๆ ถือเป็ นเรื่องดี คา โบราณกล่าวไว้ว่าชาติก่อนอ่านหนังสือไว้ให้ชาตินี้ ชาตินี้อ่าน หนังสือไว้เผื่อชาติหน้า ก็น่าจะเป็ นหลักการเหตุผลเช่นนี้แหละ”
เด็กชายชุดแดงพลันเอ่ยว่า “มองออกว่าคุณชายเองก็เป็ นคนที่ อารมณ์อ่อนไหวคนหนึ่งเหมือนกัน”
เฉินผิงอันเงยหน้ายิ้มถาม “นี่ก็ดูออกด้วยหรือ?”
เจ้าตัวน้อยยกมือขึ้นชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง “แววตาในการมอง คนของข้าแม่นย ามาโดยตลอด”
เฉินผิงอันยิ้ม “ใช่แล้ว ลืมแนะนาตัวเองไป ข้าชื่อเฉินผิงอัน”
เด็กชายชุดแดงยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งขึ้นมาโบกแรงๆ หัวเราะร่าเอ่ย ว่า “ข้าเคยเปิดอ่านหนังสือเกล็ดปลาของฝ่ ายส ามะโนครัวมาก่อน ทุกวันนี้ที่ตัวเมืองของจังหวัด คนที่มีชื่อนี้อย่างน้อยที่สุดก็มีจานวน เท่านี้!”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ พยักหน้ารับ “เป็ นเรื่องดี”
ในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ ชื่อนี้ในอาเภอไหวหวง มีก็เหมือนไม่มี
ภายหลังเจ้าตัวน้อยก็ซึ่งป่ ายฮวาไปต่อ เฉินผิงอันเดินก้าวเร็วๆ ราวกับบินอยู่ด้านช้างคุยเล่นกับเด็กชายที่สวมชุดสีขาดไปตลอดทาง กระทั่งเดินกันไปถึงหน้าประตูภูเขาของบ้านตัวเอง
เด็กชายชุดแดงกระโดดลงจากหลังงู ให้สัญญากับแม่ทัพที่รักผู้รู ้ ใจซึ่งเป็ นลูกน้องของเทพแห่งผืนดินภูเขาฉีตุนว่า “กฎเดิม จะบันทึก คุณความชอบของเจ้าลงในสมุดบัญชีหนึ่งครั้ง”
งูป๋ ายฮวาตัวนั้นเอาศีรษะแนบพื้น บอกลากับบุคคลอันดับสองใน ศาลเทพอภิบาลเมืองที่มีสถานะสูงศักดิ์ผู้นี้ จากนั้นก็หมุนตัวเลื้อย กลับไปบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
เด็กชายชุดแดงถูมือ หัวเราะหึหึพลางเอ่ยว่า “วันหน้ารอให้มัน หลอมเรือนกายได้สาเร็จ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ นสาวงามที่ต้องการ อย่างไรก็มีอย่างนั้นก็ได้นะ”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เจ้าต้องคุยกับนักพรตเซียนเว่ยได้อย่าง ถูกคอแน่”
เด็กชายชุดแดงหน้าเปลี่ยนสีทันใด เอ่ยเสียงหนัก “เจ้ารู ้ได้ อย่างไรว่าคนเฝ้ าประตูของภูเขาลั่วพั่วคือนักพรตเซียนเว่ย?! หากจ า ไม่ผิด ข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเจ้านะ!”
มารดามันเถอะ ขออย่าให้ตนพาตัวก่อเรื่องมาที่ภูเขาลั่วพั่วเลย ถ้าเป็ นอย่างนั้นก็เท่ากับว่ามีดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกงแล้ว จะต้อง ถูกจดลงบัญชี หัวหน้าเผยต่างหากถึงจะเป็ นบรรพบุรุษเปิ ดส านัก ก่อตั้งพรรคน่ะ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องตื่นเต้น ล้วนเป็ นคนกันเอง”
ตรงหน้าประตู เซียนเว่ยรีบม้วนหนังสือเล่มหนึ่งสอดกลับเข้าไป ในชายแขนเสื้ออย่าง ว่องไว ก้าวยาวๆ ตรงมาหาดุจดาวตก ก้มหัว คารวะตามขนบลัทธิเต๋าอย่างเข้าท่าเข้าที “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลาบากแล้ว”
เด็กชายชุดแดงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม หัวคิ้วขมวดมุ่น
เซียนเว่ยหลุดหัวเราะพรืด “เป็ นอะไรไป รู ้จักกับเจ้าขุนเขาเฉิน แล้วก็ไม่เห็นเสี่ยวเต้าอยู่ในสายตาแล้วหรือ?”
เด็กชายชุดแดงถามอย่างขลาดๆ “นักพรตเซียนเว่ย สรุปแล้ว เป็ นเจ้าขุนเขาเฉินคนใดกันแน่?”
เซียนเว่ยหันไปมองเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าก็บอกชื่อ ไปแล้ว แต่เขาไม่ยอมเชื่อ แต่ตลอดทางมานี้พวกเราคุยกันถูกคอ มาก”
เซียนเว่ยเองก็คร ้านจะสนใจนายท่านใหญ่ที่แค่แตะเหล้าก็เมาผู้นี้ กดเสียงต่าเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่าน บอก กับท่านให้ชัดเจนก่อนนะว่าข้าไม่ใช่คนชอบขี้ฟ้ องหรอกนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย”
เซียนเว่ยหันหน้าไปมองเส้นทางภูเขา แล้วถึงได้เอ่ยว่า “ก่อน หน้านี้ไม่นานมีแขกคนหนึ่งมาเยือน มีรูปโฉมเป็ นแม่นางน้อย ชื่อ ว่าเซี่ยโก่ว เจ้าขุนเขารู ้เรื่องนี้กระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “รู ้ แม่นางเซี่ยมาหาเสี่ยวโม่ ก่อนหน้านี้ไม่ นานข้าได้เจอกับนางที่ตรอกฉีหลงแล้ว นิสัยของนางค่อนข้าง… แปลกใหม่”
เซียนเว่ยถอนหายใจ “อาจารย์เสี่ยวโม่รู ้หลักทานองคลองธรรมดี ถึงเพียงนั้น ไฉนถึงมีสหายที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ได้นะ
คนทั้งสองเดินไปที่เก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตูภูเขาด้วยกัน เด็กชาย ชุดแดงกลับพุ่งตัวออกไป ประหนึ่งพยัคฆ์ร ้ายกระโจนลงจากภูเขา เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอานาจ วิ่งตะบึงไปได้ระยะทางหนึ่งก็ทะยานตัว กระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง หมุนตัวกลิ้งตลบอยู่หลายรอบ แล้วจึงนอนคว่าใช ้ชายแขนเสื้อเช็ดถูอย่างแรง ไม่ลืมเป่ าลมใส่ก่อน แล้วค่อยเช็ด สุดท้ายจึงกลิ้งตัวลงมาจากเก้าอี้ไม้ไผ่ เรียกได้ว่า คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้าไหล แค่มองก็รู ้ว่ากราบเฉินหลิงจวินเป็ น อาจารย์เรียนรู ้วิชามาจากเขา หลังจากเจ้าตัวน้อยยืนนิ่งบนพื้นแล้วก็ ก้มหัวประสานมือคารวะ “เชิญใต้เท้าเจ้าขุนเขานั่ง!”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณเจ้าตัวน้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น “หมายความว่าอย่างไร? แม่นางเขี่ยทาอะไรหรือ?”
อันที่จริงเซียนเว่ยรู้สึกเสียใจภายหลังนิดๆ แล้วที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่าไม่ค่อยเหมาะสม ไยต้องท าให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน ด้วยเล่า หากว่าเชี่ยโก๋วผู้นั้นเป็ นญาติในบ้านหรือเป็ นผู้เยาว์ในส านัก ของอาจารย์เสี่ยวโม่ ทีนี้จะทาอย่างไรดี?
เพียงแต่ว่าเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวก็ท าอะไรไร้คุณธรรมจริงๆ รังแกขึ้นไปถึงบนหัวของหน่วนซู่ เซียนเว่ยมิอาจทนได้
เฉินผิงอันตบเก้าอี้ ยิ้มเอ่ยเชื้อเชิญเจ้าตัวน้อยที่ยืนอยู่บนพื้น “นั่งด้วยกันไหม?”
เด็กชายชุดแดงมึนงงไปชั่วขณะ “ข้าตัวเล็กแต่ก้นใหญ่ กินพื้นที่ มากเกินไป คงไม่นั่งแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันก็ไม่ได้ฝื นใจอีกฝ่ าย หันหน้ามาพูดกับเซียนเว่ยว่า “เล่ามาเถอะ ถือเสียว่าเป็ นพ่อครัวเฒ่าที่เล่าให้ข้าฟังล่วงหน้า ไม่ เกี่ยวอะไรกับนักพรตเซียนเว่ย”
เซียนเว่ยจึงพยักหน้า ไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ตกลงกันไว้แล้วนะ ห้ามให้อาจารย์เสี่ยวโม่เข้าใจผิดเด็ดขาด เดี๋ยวเขาจะรู ้สึกว่าข้าคือ สตรีปากมากที่ชอบพูดจาเลื่อนเปื้อนยุแยงผู้อื่น”
ทุกวันนี้ในห้องของพี่น้องต้าเฟิง เซียนเว่ยยังตั้งรองเท้าลายเมฆที่ อาจารย์เสี่ยวโม่ถักเองกับมือบูชาไว้คู่หนึ่ง แค่มองก็รู ้ว่าต้องมีค่ามาก เซียนเว่ยจะตัดใจสวมได้อย่างไร มีแค่บางครั้งที่เอามาสวมเดินอยู่ใน ห้อง ตอนที่สวมมันเรียนท่าเหยียบพายุย่างดาราของนักพรตเต๋าตัว จริงยังรู ้สึกเหมือนทะยานเมฆขี่หมอกอยู่บ้างจริงๆ แล้วก็เพราะเซียน เว่ยหน้าบาง ไม่อย่างนั้นคงจะต้องขอจากอาจารย์เสี่ยวโม่เพิ่มอีกคู่ให้ จงได้
เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยืดแขนบิดขี้เกียจ ฟังเซียนเว่ย เล่าการกระท าของเซี่ยโก่ว แค่ฟังก็รู ้ว่าเป็ นเรื่องที่ป๋ ายจิ่งจะท าได้ ไม่มี ทางใส่ร ้ายนางแน่นอน
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองที่ขั้นบันได “ทาไมถึงไม่เห็นแม่นางเฉิน ฝึกหมัดแล้วล่ะ?”
เซียนเว่ยตอบ “นางน่ะหรือ กลับบ้านไปแล้ว ยังไม่กลับมาเลย”
เด็กชายชุดแดงไม่ได้อยู่เฉย ก าลังง่วนอยู่กับการกอบกู้ความ ผิดพลาดของตัวเอง ใช ้ชายแขนเสื้อเช็ดขาเก้าอี้ที่ใหญ่เหมือนเสา บ้านอยู่เงียบๆ ไม่ว่าใต้เท้าเจ้าขุนเขาจะรับน้าใจหรือไม่ จะดีจะชั่วก็ เป็ นน้าใจอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันไม่รู ้ว่าจะโน้มน้าวเจ้าตัวน้อยอย่างไรดีแล้ว อดรู ้สึก ไม่ได้ว่าขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วบ้านตนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หลายปีมานี้คิดไปคิดมา บางทีหากสืบย้อนไปถึงต้นก าเนิดจริงๆ ก็ น่าจะเป็ นคุณความชอบมาจากอาจารย์กระมัง ส่วนพวกเผยเฉียนก็ ถือว่าเป็ นต้นครามที่เกิดจากครามแต่สีเข้มกว่าครามแล้ว
จากเส้นทางที่กาหนดไว้ เรือเพิ่งยวนจะมาถึงท่าเรือหนิวเจี่ยวอีก สองวันให้หลัง
หงเซี่ยและอวิ๋นจื่อที่ถูกชุยตงซานขุดมุมก าแพงมาเอาตัวไป ถึง เวลานั้นจะติดตามเรือข้ามฟากเดินทางขึ้นเหนือไปที่อุตรกุรุทวีปก่อน สุดท้ายจึงจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ภูเขาเซียนตู เข้าร่วมเรื่องการขุด เจาะลาน้าใหญ่ ดูเหมือนว่านี่จะเป็ นครั้งแรกที่พวกเขาออกเดิน ทางไกลอย่างเป็ นทางการ
เฉินหลิงจวินกับกวอจู๋จิ่วเข้าร่วมงานพิธีเปิดยอดเขาของพรรค หวงเหลียง เนื่องจากได้รับคาเชื้อเชิญให้เป็ นผู้ถวายงานจึงต้องไป
เยือนเมืองหลวงแคว้นเมิ่งเหลียงรอบหนึ่ง คาดว่าก็น่าจะใกล้กลับ มาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว
หลี่ไหวและนักพรตเนิ่นที่เดินทางไปด้วยก็น่ าจะมาพักที่นี่ เหมือนกัน แล้วค่อยเดินทางไปที่สานักศึกษาซานหยาต้าสุยต่อ เฉิน ผิงอันจึงเตรียมจะพูดคุยเรื่องของลาน้าใหญ่ที่ใบถงทวีปกับนักพรต เนิ่น
ได้ฝากให้ถัวเหยียนฮูหยินน าความไปบอกแล้ว ซานจวินของ ภูเขาจิ่วอี้แผ่นดินกลางเชื้อเชิญให้นางไปเป็ นแขกบนภูเขาด้วย ตัวเอง ด้วยนิสัยของถัวเหยียนฮูหยิน คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะปฏิเสธเรื่อง นี้ เพราะถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็มีคากล่าวที่ไพเราะว่า “ดอกเหมย สองดอกครึ่งในใต้หล้า ดอกหนึ่งอยู่ที่ภูเขาจิ่วอี้ มานานแล้ว และ เจ้าของสวนดอกเหมยเก่าท่านนี้ ทุกวันนี้เนื่องจากมีสถานะเป็ นผู้ ถวายงานสานักกระบี่หลงเซี่ยง ออกจากภูเขาห้อยหัวหวนกลับมายัง ไพศาล นางออกเดินทางท่องไปในใต้หล้าอีกครั้งก็ย่อมไร ้ข้อห้ามใดๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลบนภูเขาฉีตุน ได้พูดคุยกับซ่งอวี้จาง ถึงเรื่องขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่ที่มารับตาแหน่งต่อจาก เฉาเกิงซิน ตาแหน่งขุนนางระดับสี่ มีชื่อว่าเจี่ยนเฟิง ดูเหมือนว่าจะมี นิสัยของบัณฑิตอยู่บ้าง พบเจอกับอุปสรรคทุกที่ ต้องกินน้าแกงประตู ปิดไปไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็ นซ่งอวี้จางที่มีวงการขุนนางหนึ่งกั้นขวาง ระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขา หรือจะเป็ นต่งสุ่ยจิ่งที่เคยพูดคุยกับเจี่ยน
เฟิ ง ล้วนมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อ ผูตรวจการเจี่ยนที่ใบหน้า หม่นหมองผู้นี้
อู๋ยวนชื่อเสียงเงียบหายไปในวงการขุนนางต้าหลีนานหลายปี นั่ง เก้าอี้เย็นมานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะกอบกู้ศักดิ์ศรีหวนกลับคืนมา ได้อย่างสง่างาม ทุกวันนี้มีตาแหน่งสูงศักดิ์กลายเป็ นใต้เท้าเจ้าเมือง ของจังหวัดฉู่โจวใหม่ กลายเป็ นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาอย่าง แท้จริงแล้ว ส่วนค าซุบซิบนินทาท านองว่ามีเส้นสายอยู่ในราชส านัก ก็เป็ นขุนนางได้ง่ายนั้น ต้องมีไม่น้อยแน่นอน เมื่อก่อนสถานะนอก วงการขุนนางของอู๋ยวน นอกจากจะเป็ นลูกเขยของสกุลหยวนเสาค้า ยันแคว้นแล้ว ยังเป็ นลูกศิษย์ของราชครูชุยฉานด้วย ทุกวันนี้จู่ๆยังมี อาจารย์อาน้อยผู้อาวุโสในสายบุ๋นเพิ่มมาอีกคน
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ริมล าคลองชางผูเมืองหลวงต้าหลี ได้ดื่มเหล้ากับจิ่งควนแห่งกองชิงสื่อกรมคลังไปมื้อหนึ่ง และทุกวันนี้ อีกฝ่ ายก็ได้ออกจากเมืองหลวงไปรับหน้าที่เป็ นใต้เท้าเจ้าเมืองอยู่ที่ เขตเป่าซีแล้ว
ได้ยินมาว่าสวินชวี่ ชวี่ปันแห่งศาลหงหลูที่ร่วมสอบเคอจวี่ปี เดียวกับเฉาฉิงหล่าง ทุกวันนี้ก็ได้เลื่อนตาแหน่งสูงแล้ว มารับหน้าที่ อยู่ในกองคลังยุทธโทปกรณ์ของกรมกลาโหม
หยวนป๋ ายยังคงอยู่ที่พรรคกระบี่หวงซานซึ่งเป็ นภูเขาเบื้องล่าง ของภูเขาตะวันเที่ยง ไม่ได้ตอบตกลงว่าจะไปอยู่ใบถงทวีป
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าตรอกนอกหอเหรินอวิ๋นอื้อวิ๋นแห่งนั้น ช่วงนี้หลิว เซียนชื่อได้รั้งตัวใครไว้อีกหรือไม่
เฉินผิงอันเก็บความคิดกลับคืนมา ยิ้มถามว่า “เซียนเว่ย การฝึก ตนเป็ นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เซียนเว่ยมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เรื่องที่ควรพูดไม่พูด เรื่องที่ไม่ ควรถามดันถามเสียนี่แล้วก็ได้แต่หัวเราะฮ่าๆ “ใจร ้อนก็มิอาจกินเต้าหู้ ร ้อนได้ เรื่องของการฝึ กตนมิอาจแสวงหาแต่ความเร็ว เป็ นไป ตามลาดับขั้นตอนย่อมดีที่สุด”
ในความเป็ นจริงแล้วหากกินเต้าหู้ร ้อนแล้วสามารถท าให้ ขอบเขตเพิ่มพูนได้จริงๆ อย่าว่ากินแค่ไม่กี่ชามเลย ให้ยกถาดใหญ่ มาให้ผินเต้าก็ยังไม่เป็ นปัญหา เพียงแต่พอเซียนเว่ยคิดอีกที ขอบเขตสูงแล้วมีความหมายตรงใดกัน ห้าขอบเขตกลาง เป็ นเทพ เซียนพสุธา แล้วก็เป็ นห้าขอบเขตบน? เส้นทางสายนี้ เมื่อไหร่จะไป ถึงปลายทางเสียทีเล่า เป็ นคนเฝ้ าประตูก็ไม่ใช่ว่าดีมากหรอกหรือ เป็ นคนควรต้องเป็ นอย่างตนนี่แหละ กลัวเรื่องวุ่นวาย เรื่องวุ่นวายก็จะ ได้ลดน้อยลงหน่อย ส่วนเรื่องการฝึกตนอะไรนั่นก็ให้พวกนักพรตตัว จริงที่แสวงหาคุณูปการและคุณธรรมที่สมบูรณ์พร ้อมยุ่งวุ่นวายกันไป เองเถอะ นักพรตตัวปลอมอย่างตนยังคงเป็ นการอ่านหนังสือที่สาคัญ กว่า แลงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งที เสี่ยวโม่เผยตัวจากความว่างเปล่า ช่วง นี้เขาอยู่ในเมืองเล็กตลอด ต้องคอยจับตามองป๋ ายจิ่งที่ตรอกฉีหลง ไม่ให้คลาดสายตา หลีกเลี่ยงไม่ให้นางสร ้างเรื่องก่อราวอะไรอีก
พอเห็นคุณชายบ้านตน เสี่ยวโม่ทาท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “การที่แบ่งดวงจิตดวงหนึ่งออกมา ไว้ข้างนอกก็เพราะว่า…”
เสี่ยวโม่กระจ่างแจ้งทันควัน เอ่ยว่า “คุณชายไม่ต้องพูดแล้ว” กาลังหลอมกระบี่ บางทีพื้นที่ประกอบพิธีกรรมอาจอยู่ที่นอกฟ้ า
ส่วนจะหลอมกระบี่อย่างเป็ นรูปธรรมเช่นไร เสี่ยวโม่ก็ไม่ถามให้ มากความแล้ว
ก่อนหน้านี้อยู่ในน้าวนของแม่น้าแห่งกาลเวลา เนื่องจากพูดไป ถึงพรรคแห่งหนึ่งที่เป็ นแค่จินตนาการล้วนๆ เฉินผิงอันพลันยิ้มเอ่ย “ต้องเพิ่มไปอีกคนหนึ่ง อู๋ซวงเจี้ยงผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง
เด็กชายผมขาวทาท่ากระเหี้ยนกระหือรือ “บรรพบุรุษอิ่นกวาน?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเพิ่มไปอีกคน ผู้ถวายงาน อันดับท้าย ฉายาเทียนหราน นามแฝงคงโหว
สานักแห่งหนึ่งไม่มีคู่รักเทพเซียนสักสองสามคู่ก็ไม่เข้าท่าเท่าไร จริงๆ ตอนนั้นเซี่ยโก่วกล่าวอย่างไม่เห็นเป็ นสาคัญ ในเมื่อก็พูดแล้วว่า เป็ นเรื่อง “สมมติ” คุยเรื่องนี้จะมีความหมายอะไรเล่า
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม้ว่านี่จะเป็ นแค่ตัวเลือกที่ดีที่สุดใน ใจของคนบางส่วน แต่หากว่านักพรตเซียนเว่ยอยู่ด้วย เขาคงไม่คิด แบบนี้แน่นอน
เซี่ยโก่วกลอกตามองบน ‘จะไปเทียบกับเขาได้ยังไง
ป๋ ายจิ่งที่หยิ่งผยองทระนงตนมาโดยตลอดยอมรับความพ่ายแพ้ อย่างหาได้ยาก
หากว่าพรรคที่ว่านี้เป็ นแค่การสมมติขึ้นมาอย่างหนึ่ง ถ้าอย่าง นั้นหากมีภูเขาอีกลูกหนึ่ง กลับจะสมจริงยิ่งกว่า
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าส านักเฉินผิงอัน คนรักหนิงเหยา
ในศาลบรรพจารย์มีชุยตงซาน เจียงซ่างเจิน เสี่ยวโม่ หมื่อวี้ จูเห ลี่ยน สุยโย่วเปียน จ้งชิว ชุยเหวย คงโหวแห่งตรอกฉีหลง ชิงถงแห่ง หอสยบปีศาจ…
คนรุ่นเยาว์มีเผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง ไฉอู๋ ป่ายเสวียน ซุนชุนหวัง …..
ก่อนที่เฉินผิงอันจะเดินขึ้นเขาได้ทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มเอ่ยกับ เด็กชายชุดสีชาดว่า “เรื่องหัวหน้าผู้พิทักษ์ของตรอกฉีหลงที่ตั้งขึ้น
ใหม่ วันหน้าข้าจะลองปรึกษากับพวกเผยเฉียนดู ตัวข้าเองแนะน าให้ เจ้าเป็ นคนรับหน้าที่นี้”
เด็กชายชุดสีชาดที่ยังมาขานชื่อได้ไม่ครบหนึ่งร ้อยครั้งชาบซึ้ง ใจอย่างถึงที่สุด พูดพึมพาซ้าไปซ้ามาว่า “มีคุณธรรมมีความสามารถ ใด มีคุณธรรมมีความสามารถใด…..
ทั้งคาพูดและสีหน้าท่าทางเหมือนโขลกออกมาจากพิมพ์ เดียวกันกับโจวอันดับหนึ่งในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อของปีนั้น เลย พรสวรรค์เฉพาะตัวเช่นนี้ช่างทาให้คนทอดถอนใจที่สู้ไม่ได้จริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ขึ้นเขาไปด้วยกันไหม?”
เด็กชายชุดแดงส่ายหน้าอย่างแรง “ต้องไปขานชื่อลงนามที่ห้อง ของนักพรตเซียนเว่ยก่อน ข้าน้อยตัวเล็กขาสั้น ง่ายที่จะถ่วงธุระ สาคัญ คงไม่ขึ้นเขาไปพร ้อมกับใต้เท้าเจ้าขุนเขาแล้ว”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินขึ้นเขาไปกับเสี่ยวโม่ช ้าๆ
เซียนเว่ยจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ไปเรียนวิธีพูดแบบนี้มา จากไหน วันหน้าสอนข้าบ้างสิ?”
เด็กชายชุดแดงยกสองมือเท้าเอวฉับ เงยหน้าถลึงตาใส่ เซียน เว่ยตัวดี บังอาจยิ่งนักใต้เท้าเจ้าขุนเขายังอยู่ตรงหน้านี้อยู่เลยนะ เจ้า อย่ามาท าตัวไม่เป็ นโล้เป็ นพายต่อหน้าข้าอย่าเดือดร ้อนให้ข้าต้องถูก เจ้าขุนเขาเข้าใจผิดไปด้วย
เฉินผิงอันถาม “ป๋ ายจิ่งอยู่ที่ตรอกฉีหลง ปรับตัวได้จริงๆ หรือ?”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “ก่อนหน้านี้ได้เจอกับคุณชาย ตอนนี้จึงถือว่า ท าตัวว่าง่ายบ้างแล้วเพียงแต่วันทั้งวันเอาโต้เถียงอยู่กับคงโหว แต่ กับโจวจวิ้นเฉินกลับมีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลว”
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “การหลอมกระบี่ครั้ง นี้ อันที่จริงก็ถือเป็ นการเดินทางไกลอีกครั้งแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้ต้อง เดินย้อนแม่น้าแห่งกาลเวลาไปตั้งสองหมื่นปีแน่ะ”