กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 978.1 ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่ปรองดอง
สายลมฤดูใบไม้ผลิกระแสน้าอบอุ่น ทัศนียภาพงามละมุนละไม นอกต้นไผ่บนฝั่งคือดอกท้อสองสามกิ่ง เปิดป่าในน้าไล่ตามเงาเขียว ขจีที่อยู่ห่างไปไกล
กลุ่มของหวังจูแหวกน้าขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีป เตรียมจะไปเยือน ราชวงศ์สกุลอวี๋ที่อาศัยความบังเอิญจึงสามารถเสนอตัวมาเอาอกเอา ใจจวนสุ่ยจวินของมหาสมุทรบูรพาอย่างกระตือรือร ้น
ผลคือเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ดันมาเจอเข้ากับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ มีใฝ่ แดงกลางหว่างคิ้วโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาพบกันเป็ นครั้งที่ สองแล้ว ครั้งแรกคือเจอกันในซากปรักเก่าของวังมังกรลาน้าใหญ่ องค์รักษ์ของจวนวารีทั้งหลายต่างก็จดจาคนผู้นี้ได้อย่างลึกซึ้ง กล อุบายลึกล้าจนมองไม่เห็นกันบึง แน่นอนว่าสิ่งที่ทาให้พวกเขากริ่ง เกรงอย่างแท้จริง ยังคงเป็ น “เสี่ยวโม่” ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้า เขียวคนนั้น อีกฝ่ายเรียกอิ่นกวานหนุ่มว่าคุณชายขอบเขตสูงส่งจนมิ อาจปืนป่ายได้ถึง
หวังจูรู ้จักกับชุยตงซานมานานมากแล้ว แล้วยังถือว่าเป็ น “คน บ้านเดียวกัน” ได้ครึ่งตัวอีกด้วย ดังนั้นจึงเคยชินกับอีกฝ่ ายเสียแล้ว แต่พวกกงเยี่ยน หวงม่านเห็นท่าทางน่าขาของเจ้าหมอนั่นแล้วกลับ รู ้สึกว่าการกระทาของเด็กหนุ่ มผู้นี้ทั้งทาให้คนสะอิดสะเอียน
ขณะเดียวกันก็ข่มขู่คนอื่นให้กลัวได้ด้วย พวกเขาต่างก็เป็ นผู้ที่ฝึก ตนประสบความส าเร็จในระดับหนึ่งแล้ว อยู่ในบ้านเกิดของแต่ละฝ่ าย ก็ถือเป็ นวีรบุรุษของพื้นที่หนึ่ง พบเห็นเรื่องประหลาดบนภูเขามา มากมาย แต่เด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนท่าไก่ทองขาเดียว ใช ้มือถือ ประคองกระจกวิเศษ พูดจาเหลวไหลไร ้สาระตรงหน้าผู้นี้กลับมี เอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน
ชุยตงซานเห็นว่าพวกเขาไม่รับกระบวนท่าก็เหมือนถูกร่ายเวท กักตัว คล้ายตัดสินใจไว้เรียบร ้อยแล้วว่า หากพวกเจ้าไม่แสดงท่าที สักหน่อย ถ้าอย่างนั้นพวกเราทั้งสองฝ่ ายก็คุมเชิงกันไปอยู่อย่างนี้ ตราบจนชั่วฟ้ าดินสลายก็แล้วกัน
หวังจูแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เจ้าสานักชุยไม่เหนื่อยหรือ?”
ชุยตงซานยังคงค้างอยู่ในท่านั้น พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกผู้ชาย เท้าหนึ่งเหยียบพื้นมือหนึ่งค้าประคองฟ้ า จากนั้นใช ้กระดูกที่ แข็งแกร่งเส้นหนึ่งค้ายันเนื้อหนังมังสาร่างนี้ไว้ ไม่กล้าพูดว่าเหนื่อย วีรบุรุษ ค้าฟ้ าดุจเสาหยกขาว พาดขวางมหาสมุทรดุจเสาคานม่วง ทอง ไม่บ่นว่าเหนื่อยยาก…”
หวังจูมีสีหน้าเย็นชา “ชุยตงซาน แค่พอสมควรก็พอแล้ว มีธุระก็ พูดมา ไม่มีก็หลีกทางชะ ข้าไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับเจ้าอยู่ที่นี่”
“มีธุระสิ จะไม่มีธุระได้อย่างไร เจ้าสานักของสานักแห่งหนึ่งยุ่ง มากนะ นี่ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะไปเดินเที่ยวลาคลองหลินเหอกับลั่วหยางมู
เค่อมาหรอกหรือ ตลอดทางมานี้ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ล าบากมากเลย”
ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เก็บ “ท่าหมัด” นั้นมา เท้าเพิ่งจะสัมผัสพื้นก็ยกเท้าอีกข้างขึ้นเตะหินก้อนหนึ่งที่อยู่ บนชายฝั่ง ให้มันพุ่งไปบนผิวน้าด้วยความว่องไวกระแทกเข้าไปใน น้าเกิดเสียงดังครืนครั่นประหนึ่งมีฟ้ าผ่าลงบนผิวน้าจนฝูงเปิ ดป่ า ตกใจกระพือปีกบินหนีกันไปทันที
ชุยตงซานบิดหมุนข้อมือเสกไม้เท้าไผ่เขียวที่แกะสลักคาว่า “สิง ขี่หมิง” ออกมา ไม้เท้าเดินป่าชิ้นนี้เป็ นของขวัญพบหน้าที่อู๋ซวงเจี้ยง มอบให้ตอนอยู่บนเรือราตรี เดิมทีชุยตงซานคิดจะมอบให้เป็ น ของขวัญแสดงความยินดีที่ไฉอู๋เดินขึ้นฟ้ าในก้าวเดียวด้วยการเลื่อน เป็ นขอบเขตหยกดิบ เพียงแต่เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน คิดจะเอาไปใช ้ ทาอย่างอื่นแทน เก็บรักษาไว้ให้ดีๆ หากไม่เอาไปเป็ นสมบัติสืบทอด ประจ าตระกูล มอบให้กับลูกศิษย์ปิดส านักในอนาคต ก็จะเอาไปมอบ ให้จ้าวหลวนที่มีความเป็ นไปได้ว่าจะมีโอกาสมาฝึกตนที่ยอดเขาอู๋ เฉาของตน ในเมื่อแบกจอบไปขุดมุมกาแพงของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ถ้า อย่างนั้นก็ไม่ถือสาหากจะถูกอาจารย์จดบัญชีเพิ่มไปอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นชุยตงซานจึงไปหาไฉอู๋ ปรึกษากับแม่นางน้อยที่ชอบดื่มเหล้า ซึ่งถูกป๋ ายเสวียนตั้งฉายาให้ว่า “พืชหญ้า” และ “โหย่วน่า” (แปลตรง ตัวว่ามีนั่น แต่ชื่อนี้ก็ยังมีความหมายอีกมากมาย เช่นหมายถึงคนที่ มากความสามารถ แข็งแกร่งขยันหมั่นเพียร ยินดีช่วยเหลือคนอื่น
โดดเด่นกว่าผู้อื่น และประสบผลส าเร็จ) ถามนางว่าต้องการไม้เท้าไผ่ เขียวที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนี้หรือไม่ หรือว่าจะให้เขามอบเหล้าหมัก ตระกูลเซียนร ้อยไหในนามส่วนตัวของเขาให้นาง อีกทั้งยังรับรองว่า เหล้าทุกไหล้วนจะไม่ซ้าชื่อกันตอนนั้นไฉอู๋ดวงตาเป็ นประกายทันใด บอกว่าร ้อยไหเยอะเกินไป แค่ห้าสิบไหก็พอแล้วความนัยในค าพูด ของแม่นางน้อยเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด ฟ้ าดินกว้างใหญ่ดื่มเหล้าใหญ่ ที่สุด!
ชุยตงซานพูดหน้าทะเล้น “แม่นางจื้อกุย มีแขกสูงศักดิ์มาเยือน ภูเขาลั่วพั่ว อาจารย์ของข้าจึงต้องรีบเดินทางกลับบ้านเกิดทันที ดังนั้นพองานฉลองเสร็จสิ้นก็กลับไปเลย มิอาจอยู่รอรับแขกด้วย ตัวเองได้”
หวังจูพูดด้วยสีหน้าไร ้อารมณ์ “จวนวารีเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งโดด เดี่ยวอยู่นอกมหาสมุทร ไม่กล้ารบกวนให้เฉินอิ่นกวานออกมารอ ต้อนรับด้วยตัวเองหรอก”
ซุยตงชานพูดด้วยสีหน้าเป็ นการเป็ นงาน “จะพูดแบบนี้ไม่ได้ แม่ นางจื้อกุยกับอาจารย์ของข้าเป็ นเพื่อนบ้านที่รู ้จักกันตอนที่ต่างคน ต่างยังเป็ นแค่บุคคลตัวเล็กๆ มานานหลายปี ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อน บ้านใกล้เคียง มีวาสนาและความผูกพันต่อกันมากนัก”
หวังจูกระตุกมุมปาก ไม่พูดอะไรมาก คราวก่อนจากลากันที่ซาก ปรักวังมังกรของลาน้าใหญ่ หวังจูที่ได้กลับมาพบกับเฉินผิงอันใหม่ อีกครั้ง หลังจบเรื่องก็ไม่เคยพูดถึงสถานะภายในของชุยตงซานกับ
ผู้ติดตามในจวนวารี บอกแค่ว่าคนผู้นี้คือคนของแจกันสมบัติทวีป เป็ นขุนนางอยู่ที่ราชสานักต้าหลี ปี นั้นชุยตงซานเข้าไปอยู่ในถ้า สวรรค์หลีจูที่ยังไม่ปริแตกแล้วร่วงหล่นลงพื้น ภายหลังไม่รู ้ว่ากลาย มาเป็ นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันได้อย่างไร หวังจูเล่าอย่างเรียบง่าย พวก กงเยี่ยนย่อมไม่ใคร่จะเชื่อนัก หวังจูจึงบอกปัดพวกเขาด้วยการกล่าว ว่าเกี่ยวกับชุยตงซาน พูดมากไปก็ไร ้ประโยชน์ พวกเจ้ารู ้มากกว่านี้มี แต่จะนามาซึ่งปัญหาที่ไม่จาเป็ น ก่อนหน้านี้ไม่นานจวนวารีของทะเล บูรพาได้รับรายงานข่าวฉบับหนึ่ง ภูเขาลั่วพั่วได้มาก่อตั้งสานักเบื้อง ล่างอยู่ในในอาณาเขตทิศใต้ของราชวงศ์ต้าหยวน มีชื่อว่าสานัก กระบี่ชิงผิง ชุยตงซานคือเจ้าส านักคนแรก
ชุยตงซานโบกไม้เท้าเดินป่ าทักทายกับพวกเขาไปทีละคน เป็ น ฝ่ายแสดงความกระตือรือร ้นเสียเอง
“พี่หญิงจื้อกุยล่วงรู ้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ คานวณได้มาก่อน แล้วว่าข้าจะต้องมาหาพวกเจ้า”
“ราชวงศ์สกุลอวี๋ที่เปลี่ยนชื่อรัชศกใหม่เป็ นเสินหลง ข้าคุ้นเคยดี มากเลยล่ะ พูดประโยคที่ไม่ได้คุยโว ไปถึงที่เมืองลั่วจิงข้าก็สามารถ ถือเป็ นเจ้าบ้านได้ครึ่งตัวเลยทีเดียวตอนนี้พวกเจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ ถึง อย่างไรพอไปถึงที่นั่นก็จะรู ้ได้เอง ยกตัวอย่างเช่นว่าหลวี่ปี้หลงเจินเห รินผู้พิทักษ์แคว้นที่อยู่ในอารามจีชุ่ยคือสหายรักบนภูเขาของข้า และ ยังมีพรรคชิงจ้วนที่เป็ นผู้นาจวนเซียนบนภูเขาของราชวงศ์สกุลอวี๋ที่ ก็ถือเป็ นคนครอบครัวเดียวกันครึ่งตัวความสัมพันธ ์จะแย่ได้หรือ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไต้หยวนผู้นั้นกับข้าก็ยิ่งตัดหัวไก่เผากระดาษ เหลืองสาบานเป็ นพี่น้องที่ดีต่อกัน”
กงเยี่ยนยิ้มหวาน “สหายของเจ้าสานักชุยมีเยอะจริงๆ”
ชุยตงซานพยักหน้า “แน่อยู่แล้ว ออกจากบ้านต้องอาศัยเพื่อน ขอแค่มีเพื่อนในยุทธภพอยู่เยอะพอ รับรองว่าหนึ่งวันได้กินอิ่มถึงเก้า มื้อ”
เจ้าเฒ่าไต้หยวนผู้นั้น ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ที่ได้รู ้จักกับตน ไป ดื่มเหล้าใต้ซุ้มองุ่นของหอเติงหมีในเมืองลั่วจิงซึ่งเป็ นสถานที่ผลาญ เงินทองมื้อเดียว ไอ้หมอนี่ก็เจริญก้าวหน้าทันทีอันดับแรกก็ได้เลื่อน ขั้นในพรรคชิงจ้วน เพิ่งจะได้รับเกียรติเป็ นผู้คุมกฏ ถือว่าเข้ามา แทนที่ตาแหน่งของสวี่ป่ ายลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุขเกาซูเห วินแล้ว ถึงอย่างไรไต้หยวนก็เป็ นผู้ฝึกตนโอสถทอง จึงรับต าแหน่งได้ อย่างถูกต้องชอบธรรม นอกจากนี้ไต้หยวนที่อยู่ในราชวงศ์สกุลอวี๋ อันดับรายชื่อของผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ก็ได้ยกระดับสูงขึ้นด้วย ถือ ว่าเป็ นดอกไม้สองดอกในกาแพงที่ไปบานอยู่นอกกาแพง
และตอนนั้นเค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิวที่ดื่มเหล้าอยู่ ด้วยกันก็คือจางหลิวจู้ก่อกาเนิดเฒ่าที่มีฉายาว่า “สุยเซียน” ทุกวันนี้ ใช ้นามแฝงว่าจางแซ พอไปถึงราชวงศ์ต้าฉงก็รับหน้าที่เป็ นกุนซือ ให้กับคนหนุ่มที่เป็ นรองเจ้ากรมโยธาซึ่งอายุน้อยๆ แต่กลับมีชื่อเสียง เลื่องลือ มีชื่อว่าซืออวี้เหยียน เจ้ากรมอาญาถือว่าได้ลูกชายมาตอน อายุมากแล้ว จึงฝากความหวังกับซืออวี้เหยียนไว้มาก ดูจาก
ความหมายของชื่อที่ตั้งให้ลูกชายซึ่งหมายความว่า ปฏิบัติตาม ศีลธรรมปลูกฝังอุปนิสัย อภิปรายศิลป์ วิทยาการพื้นฐานหกประการ แต่งต าราสร ้างวาทะค าคม ก็รู ้ได้แล้ว
จากลากันที่หอเติงหมี ชุยตงซานเคยใช ้จิตหยางกายนอกกาย ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานไปหาจางหลิวจู้มารอบหนึ่ง แล้วก็ได้เจอกับรองเจ้ากรมซือผู้นั้นด้วย ทั้งสองฝ่ ายแค่พบหน้าก็ เหมือนรู ้จักกันมานาน
เมืองหลวงสารองของต้าหลีมีชื่อว่าลั่วจิง นี่เกี่ยวข้องกับ “ลั่วหวัง (หวังหรืออ๋อง) ซึ่งเป็ นชื่อของซ่งมู่ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็ นอ๋องเจ้าเมือง
ส่วนเมืองหลวงของราชวงศ์สกุลอวี๋ในใบถงทวีปก็ชื่อว่าลั่วจิง เหมือนกัน แน่นอนว่าเป็ นแค่ความบังเอิญเท่านั้น
ด้วยชื่อเสียงและอานาจของราชสานักต้าหลีในทุกวันนี้ บวกกับ การขับเรือตามกระแสลมของราชวงศ์สกุลอวี๋ ต่อให้ไม่อยู่ในทวีป เดียวกัน คาดว่าหากฝ่ ายแรกให้ฝ่ ายหลังเปลี่ยนชื่อก็ยังไม่ใช่ปัญหา ด้วยซ้า
ชุยตงซานบอกว่าจะพาพวกเขาไปสถานที่แห่งหนึ่ง ไม่ไกลนัก ทะยานลมอยู่ในเมฆหมอก ใช ้เวลาแค่สามก้านธูปเท่านั้น
ระหว่างที่ทะยานลมเด็กหนุ่มชุดขาวเหยียบไม้เท้าไผ่เขียวเหมือน ขี่กระบี่หันหน้ามาพูดคุยตีสนิทกับกงเยี่ยน “พี่หญิงอาอู่ ก่อนหน้านี้ ได้ยินพวกเจ้าคุยเล่นกัน คาพูดของพี่สาว ข้าเงี่ยหูตั้งใจฟังที่สุด ไม่ ยอมให้ตกหล่นไปแม้แต่คาเดียว ในเมื่อพี่สาวอยากจะไปเที่ยวดู อาเภอไหวหวง นี่จะมีอะไรยากเล่า คราวหน้าข้าจะน าทางให้เอง ไม่สู้ พวกเรามานัดหมายเวลากันตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหม?”
กงเยี่ยนแสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน ชุยตงซานจึงหันไปคุยกับคนอื่น แทน “พี่ใหญ่หลีป๋ า ดูจากที่เจ้าแก่แล้วแต่ยังแข็งแรงแบบนี้ หวานเห ยียนเหล่าจิ่งผู้นั้นเป็ นสหายรักต่างวัยของเจ้าได้ยินมาว่ามี ความสัมพันธ ์เป็ นทั้งอาจารย์เป็ นทั้งสหาย เคยเป็ นเรื่องเล่าขานที่ งดงามในเกราะทองทวีปของพวกเจ้า ไม่เป็ นไร ชีวิตคนคือการ เดินทาง สะดุดล้มหัวทิ่มบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อมาตุภูมิคือ สถานที่แห่งความเสียใจ ก็อย่าหวนกลับไปอีกเลย วันหน้าเมื่อต้อง พบเจอกันด้วยดีและจากลากันด้วยดีกับแม่นางจื้อกุย ก็ไปตั้งหลักปัก ฐานอยู่ที่ใบถงทวีปของพวกเราก็แล้วกัน หรือจะไปที่แจกันสมบัติทวีป ก็ได้ ที่นั่นข้ามีสหายอยู่เยอะ กลับไปทาอาชีพเก่าอีกครั้ง ไปเป็ น ราชครูในราชสานักสักแห่งหนึ่งทางทิศใต้ ม้าแก่แต่กายใจหมายพัน ลี้ นี่ก็ยังเป็ นเรื่องเล่าที่งดงามอยู่ดีไม่ใช่หรือ พี่ใหญ่หลี่ป๋ า ข้าพูดแบบ นี้ทาให้เจ้าอารมณ์ดีขึ้นได้บ้างแล้วหรือไม่?”
หลี่ป๋ าสีหน้ามืดทะมึน ถูกคนพูดแทงใจด า อารมณ์จะดีไปได้ อย่างไร ชื่อของหวานเหยียนเหล่าจิ่ง ต่อให้เป็ นหวงม่านกับกงเยี่ยนก็ ยังไม่กล้าเอามาพูดต่อหน้าหลี่ป๋ า
“พี่ใหญ่ซีหมาน อยากประลองฝี มือกับผู้ฝึ กยุทธขอบเขต ปลายทางสักคนสองคนหรือไม่? หากว่ามีความตั้งใจเช่นนี้อยู่ก็เป็ น เรื่องเล็กเลย ข้าสามารถช่วยแนะนาให้ได้ ใบถงทวีปในทุกวันนี้มีอยู่ สองคนพอดี บังเอิญอีกเหมือนกัน ล้วนเป็ นสหายของข้า ด้วย ความสัมพันธ ์ระหว่างข้ากับพี่ใหญ่ซีหมาน ต่อให้ต้องทุ่มหนังหน้าทิ้ง ไป ก็จะต้องสานสะพานความสัมพันธ ์ ขอให้เจ้าได้ถามหมัดขัดเกลา วิถีวรยุทธสักสองครั้งให้จงได้”
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางขั้นสูงสุดอย่างซีหมานนี้ รากฐาน มหามรรคาคือมังกรดิน บนพื้นพสุธาตัวหนึ่งของหลิวเสียทวีป และ หลิวเสียทวีปแห่งนั้นก็มีโชคชะตาบู๊ธรรมดา เคยมีผู้ฝึกยุทธขอบเขต ปลายทางสองคน ทุกวันนี้เหลือแค่คนเดียวแล้ว เพราะปรมาจารย์ ใหญ่ที่คุณสมบัติดียิ่งกว่า ผลสาเร็จสูงยิ่งกว่าซึ่งมีชื่อว่าเย่คู เขาเคย เดินทางข้ามทวีปเพียงล าพังมุ่งหน้าไปยังสนามรบภาคกลางของ เกราะทองทวีปเพื่อปล่อยหมัดสังหารปี ศาจ ด้วยเหตุนี้ขอบเขตจึง ถดถอย ดังนั้นหลายปีมานี้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ชอบซุกซ่อน ตัวคนไว้มากที่สุดจึงมีคาพูดเหน็บแนมหลิวเสียทวีปมาโดยตลอด
บอกว่าหลิวเสียทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หากพูดกัน ถึงคุณูปการด้านการสู้รบ บนภูเขาสู้ล่างภูเขาไม่ได้ พูดถึงความกล้า หาญ คนแก่สู้เด็กน้อยไม่ได้
ค ากล่าวแรกด่าสาดเป็ นวงกว้าง เท่ากับด่าหมดทั้งสานักจวน เซียนที่มีสานักของเซียนเหรินฉินจ่าวเป็ นหนึ่งในนั้น ทั้งถ้าสวรรค์ เทียนอวี๋ แล้วก็ผู้ฝึกตนทุกคนบนภูเขา ส่วนค ากล่าวหลังพูดถึงแค่คน คนเดียว ก็คือผู้ฝึ กยุทธเฒ่าที่ถูกเรียกขานว่า “หลังจากเลื่อนเป็ น ขอบเขตปลายทาง ถามหมัดกับขอบเขตเดียวกันไร ้ผลพ่ายแพ้” บุคคลอันดับหนึ่งด้านการเรียนวรยุทธของหลิวเสียทวีป การที่ไม่เคย แพ้สักครั้ง แน่นอนว่าเพราะหลังจากเขาเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบแล้วก็ ไม่เคยถามหมัดกับใครอีก
แต่กลับไม่ได้ล้างมือในอ่างทองค าถอยออกจากยุทธภพ เป็ นเหตุ ให้เย่คูไม่มีความคิดที่จะถามหมัดกับคนผู้นี้แม้แต่น้อย
และการที่เย่คูได้รับคาเชิญให้เขาร่วมการประชุมของศาลบุ๋น แผ่นดินกลางแต่ปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม สาเหตุก็เพราะขอบเขต ของเย่คูถดถอยมาเป็ นขอบเขตยอดเขาเหมือนกับหันกวงหู่ผู้ฝึกยุทธ ของเกราะทองทวีปที่ขอบเขตถดถอยมาหนึ่งขั้นเล็ก
ซีหมานถามอย่างกังขา “นอกจากหวงอือวิ๋นแห่งผูซานแล้ว อริยะบู๊อูซูก็อยู่ที่ใบถงทวีปด้วยหรือ? เขาไม่ได้ไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง แล้วหรือ?”
รายงานของจวนวารีบางอย่างที่เกี่ยวพันกับเรื่องลับจะถูกส่งตรง ไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางโดยตรง ดังนั้นข่าวสารของพวกเขาจึง ว่องไวกว่าสานักทั่วไป
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “ขอให้ข้าได้อุบเอาไว้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ พี่ใหญ่หลีป๋ าฟังแล้วอารมณ์อัดอั้น หัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย อารมณ์ ไม่ดี” “พี่หวงม่าน ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้บรรลุมรรคาซึ่งถูกขนานนามว่า “นักพรตหยก” มีศาสตร ์คงความเยาว์ที่ดีจริงๆ รูปโฉมถึงได้งดงาม เหมือนหยกเช่นนี้! วันหน้าหากภูเขาเซียนตูของพวกเราเปิดบุปผา ในคันฉ่องจันทราในสายน้าเมื่อไหร่ จะต้องเชื้อเชิญให้พี่หวงม่านไป เผยหน้าเผยตาให้จงได้!”