กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 978.2 ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่ปรองดอง
“จางเถียวเสียที่มีฉายาว่า “หลงป๋ อ” ผู้นั้นก็ช่างลงไม้ลงมือได้ลง คอ ชัดกระบวนท่าใส่มาบนร่างของพี่หวงม่าน น้าหนักหมัดเท้าของ บุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธในใต้หล้า จุ๊ๆ น้องชายอย่างข้าแค่คิด ก็รู ้สึกเจ็บปวดแทนพี่หวงม่านแล้ว”
หวงม่านยิ้มบางเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะยังไม่มีน้าหนักได้เท่าคาพูด ของเจ้าส านักชุยหรอก”
ชุยตงซานตบอกกล่าว “บัณฑิตเอ่ยวาจามักเป็ นสหายกับ หลักการเหตุผลอยู่เสมอ ตัวอักษรและถ้อยคาล้วนมิอาจเลื่อนลอยไร ้ แก่นสาร!”
กงเยี่ยนหลุดหัวเราะคิก หญิงงามคนนี้มีชื่อเล่นว่าอาอู่ นางแต่ง กายเหมือนชาววังเรือนกายสูงเพรียว มองดูเหมือนรูปร่างผอมบาง แต่แท้จริงแล้วกลับอาพรางความอวบอิ่มเอาไว้
มวยผมทรงเมฆา ปักปิ่นดอกไม้ไหวสีทองเอียงๆ กงเยี่ยนเพียงแค่ ประทินโฉมอย่างบางเบาก็มีรูปโฉมงามพิลาสล้าแล้ว สองข้างของเอว บางที่การอบด้วยมือเดียวแยกกันห้อยคันฉ่องทองสัมฤทธิ์โบราณ บานหนึ่งและผลึกแก้วใสหนึ่งชิ้นหนึ่ง
ก็ไม่แปลกที่หวงม่านมักจะเอ่ยสัพยอกบ่อยๆ ว่านางไม่ไปเป็ น ฮองเฮาเหนียงเนียงก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
บุรุษบนโลก ตอนอายุน้อยไม่รู ้จักความเลิศล้าของคาว่าอวบอิ่ม สายตามักจะวนเวียนอยู่แต่บนใบหน้าของสาวงามเท่านั้น จึงต้อง พลาดท่วงท านองดีๆ หลายอย่างไปเสียเปล่า
หากจะพูดถึงเนื้อหนังมังสาที่โดดเด่น หวงม่านที่เป็ นเซียนเหริน แม้จะเป็ นบุรุษ แต่รูปโฉมกลับไม่เป็ นรองสตรีอย่างกงเยี่ยนแม้แต่น้อย
บุรุษที่ถูกกล่าวถึงในนิยายชายมากความสามารถกับโฉม สะคราญ ดูเหมือนจะโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน หนีไม่พ้นว่า ใบหน้างามดุจหยกล้าค่า คิ้วกระบี่ทอดยาวหายไปในจอนผม รูปร่าง สูงสง่าดุจต้นไม้หยกรับลม…
เห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวเริ่มก่อกวนอีกแล้ว ระหว่างที่ทะยานลม เบื้องหน้ามีทะเลเมฆหนาหนักชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา ห่านขาวใหญ่ผู้ นั้นก็พลิกตัวตีลังกา ร่างทั้งร่างกลิ้งไปเบื้องหน้า ชายแขนเสื้อสองข้าง โบกสะบัดออกไป แหวกทะเลเมฆชั้นนั้นออกจากกัน
ซีหมานรวมเสียงให้เป็ นเส้นเอ่ยว่า “อยู่กับเจ้าหมอนี่แล้วทรมาน จริงๆ ไม่รู ้จริงๆ ว่าเฉินผิงอันทนกับลูกศิษย์ที่เป็ นเช่นนี้ได้อย่างไร”
กงเยี่ยนใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าสานัก น่าหลันพูดถึงอิ่นกวานหนุ่ม ค าประเมินน่าสนใจนัก บอกว่าเฉินผิง อันก็คือน้าเต้าต้นที่ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร ้าย เวลาปกติเงียบขรึม พูดน้อย แต่อันที่จริงในหัวเอาแต่วางแผนเล่นงานคนอื่น แต่โดย ภาพรวมแล้วยังเป็ นคนที่พูดคุยด้วยง่าย เงื่อนไขก็คือต้องไม่ไปหา
เรื่องเขาก่อน มีอาจารย์ที่เป็ นเช่นนี้ หากยังหาลูกศิษย์ที่ไม่ชอบพูด มาอีก อยู่ด้วยกันก็ไม่รู ้จะคุยอะไรกันแล้ว ถ้าถามข้านะ ก็ต้องหาลูก ศิษย์ที่ร่าเริงสดใสแบบชุยตงซานนี่แหละ จะได้ปรับกลิ่นความเงียบ ขรึมของอาจารย์และความสดใสของลูกศิษย์ให้ผสานกันได้อย่าง สมดุล”
หลี่ป๋ าพลันเอ่ยแทรก “พวกเจ้ามองผิดแล้ว ตรงกันข้ามเลยด้วย ซ้า คนที่สดใสมีชีวิตชีวาคืออิ่นกวานหนุ่มที่มองดูเหมือนไม่ค่อยพูด นั่นต่างหาก อันที่จริงคนที่เรียกได้ว่าจิตแห่งมรรคาลึกล้า เงียบขรึม อึมครึม ต้องเป็ นเจ้าสานักชุยที่มองดูคล้ายไม่ยี่หระกับสิ่งใดผู้นี้ มากกว่า ฝ่ ายแรกมองวิถีทางโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ส่วนฝ่ ายหลังกลับ มองโลกในแง่ร ้ายอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองต่างก็อยู่กันคนละขั้วเลย ทีเดียว”
หวงม่านยิ้มเอ่ยคล้อยตาม “หลี่ป๋ ามองคนได้แม่นย ามากนะ”
คนทั้งกลุ่มลอดทะลุผ่านทะเลเมฆไปด้วยกัน สองข้างทางของ ก้อนเมฆเหมือนหิมะทับถมเป็ นก าแพงสูงสองด้าน
ชุยตงซานเหลือบมองเด็กหนุ่มที่เดินอยู่รั้งท้ายซึ่งหวังจูตั้งชื่อให้ ว่าหวังฉงจวี นามอวี้ซา ฉายา “หันซู สรุปก็คือหากไม่นับแซ่ ทุกชื่อก็ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับ “หิมะ” ทั้งหมด
อยู่ในกลุ่มคน หวังฉงจวีไม่ให้ความรู ้สึกถึงการด ารงอยู่เลยแม้แต่ น้อย ถูกหวังจูเอามาใช ้แรงงานอย่างเดียว ไหล่แบกมือหิ้วสัมภาระ น้อยใหญ่
หน้าผากของเด็กหนุ่มนูนขึ้นมาน้อยๆ เพิ่งจะหลอมเรือนกายได้ ส าเร็จ ในบรรดาโชควาสนาห้าอย่างของถ้าสวรรค์หลีจูในอดีต ไม่ พูดถึงจุดจบของแต่ละฝ่ ายว่าเป็ นอย่างไร พูดถึงแค่ขอบเขตสูงต่า ก็ เป็ น “งูสี่ขา” ที่ตอนนั้นเป็ นฝ่ ายเลือกซ่งจี๋ซินและจื้อกุยแห่งตรอกหนี ผิงตัวนี้ที่เอาออกหน้าออกตาไม่ได้มากที่สุด ทุกวันนี้เพิ่งจะเป็ น ขอบเขตถ้าสถิต นี่ต้องกินข้าวไม่อิ่มถึงเพียงใดถึงได้ตกมาอยู่ใน สภาพเช่นนี้ได้? สิ่งเดียวที่พอจะยกมาพูดได้ก็คือ น้าเต้าเปลือกสีม่วง ใบใหญ่ที่หวังฉงจวีสะพายไว้ด้านหลังซึ่งแกะสลักเป็ นอักษรโบราณ สองค าว่าจัวฟ่าง
ชุยตงซานถอนสายตากลับมาแล้วเริ่มพูดเจื้อยแจ้ว “พี่หญิงอาอู่ ไม่คิดจะไปลงหลักปักฐานที่สานักอวี่หลงจริงๆ หรือ? ถึงอย่างไรเจ้าก็ เป็ นคนรู ้จักเก่ากับเจ้าส านักน่าหลันแล้ว มีความสัมพันธ ์ส่วนตัวชั้นนี้ อยู่ คว้าเอาตาแหน่งเค่อชิงอันดับหนึ่งมาเป็ นก็ไม่ต้องเปลืองแรงสักกะ ฝึก”
“เป็ นคนว่างงานที่ฟ้ ามิอาจควบคุมดินมิอาจควบคุม แม้กระทั่ง เจ้าส านักของส านักหนึ่งก็ยังควบคุมไม่ได้ รับเงินเดือนมาเปล่าๆ โดย ไม่ต้องออกแรง ก็ไม่มีอิสระมากหรอกหรือ? เรื่องดีๆ แบบนี้ขนาดข้า ยังอิจฉาตาร ้อน น้องชายรู ้สึกว่าเทพธิดาอวิ๋นเซียนที่นิสัยนุ่มนิ่มผู้นั้น
ได้เจอกับพี่หญิงอาอู่แล้ว ก็มีแต่จะยินดีต้อนรับ ในเมื่อก่อนหน้า นี้อวิ๋นเซียนยังยินดีออกจากต าแหน่งเจ้าส านักไปเป็ นผู้คุมกฏอย่าง ไม่สมชื่อได้ คิดดูแล้วเมื่อพี่สาวไปเยือน อย่าว่าแต่เค่อชิงอันดับหนึ่งที่ พอมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองเลย คาดว่าหากให้นางยอมถอยออก จากตาแหน่ง ให้พี่หญิงอาอู่ไปเป็ นผู้คุมกฏของสานักก็ยังไม่ยาก ใช่ แล้ว หากว่ามีวันนี้จริง คงต้องรบกวนให้พี่หญิงอาอู่ทาตัวเป็ นผู้เฒ่า จันทรา บอกไปว่าข้ายินดีมารับหน้าที่เป็ นเค่อชิงอันดับหนึ่งของ สานักอวี่หลง เรื่องของเงินเดือน คุยกันได้ง่าย แค่มอบให้พอเป็ นพิธีก็ พอแล้ว”
“อีกอย่างสานักอวี่หลงเมื่อเทียบกับจวนวารีทะเลบูรพา หรือเมือง หลวงส ารองของต้าหลีในแจกันสมบัติทวีป จวนอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ยัง อยู่ใกล้กับฝูเหยาทวีปมากกว่านะ ส านักของพี่สาวตอนนี้ไม่ได้อยู่ใน สภาพการณ์ที่ดีกันสักเท่าไร แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอิงตามกฎ ของศาลบุ๋น ต่อจากนี้ร ้อยปี ถ้ายังไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคน ใหม่ปรากฏตัว ก็ต้องถูกถอนอักษรจงออกจากชื่อสานักแล้ว พี่หญิง อาอู่ทนเห็นสานักต้องตกอับเช่นนี้ได้เชียวหรือ จะยอมเป็ นหวังเสี่ยว เอ้อที่ชีวิตแย่ลงทุกปีได้หรือ? ไปอยู่ที่สานักอวี่หลง พวกผู้เยาว์ที่อยู่ ในฝูเหยาทวีปเจอกับเรื่องอะไร พี่สาวก็ทะยานลมไปถึงได้เร็วกว่า ไม่ ต้องสิ้นเปลืองความสัมพันธ ์ควันธูปที่สะสมไว้ด้วย สามารถคลี่คลาย เรื่องต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นคิดๆ ดูแล้วเป็ นบรรพจารย์ผู้คุมกฏ ของสานักอวี่หลง คอยปกป้ องมรรคาให้กับสานักเก่า นั่งฟังการ
ประชุมอยู่ในศาลบรรพจารย์กับน้องชายที่เป็ นเค่อชิงอันดับหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ส านักอวี่หลงเป็ นพันธมิตรกับสานักกระบี่ชิง ผิง ยิงธนูนัดเดียวได้นกสามตัว คนโง่เท่านั้นแหละที่จะไม่ท า!”
กงเยี่ยนนินทาในใจไม่หยุด ไอ้หมอนี่เป็ นพยาธิในท้องของตน หรือไร ทาไมไม่ว่าเรื่องอะไรถึงได้รู ้ชัดเจนเช่นนี้
เด็กหนุ่มชุดขาวถอนหายใจดังเฮ้อ พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “เปรียบเทียบแบบนี้ไม่น่าฟังเลย พยาธิน่าแขยงจะตายไป บอกว่า น้องชายเป็ นผ้านวมผืนน้อยที่แนบติดกายพี่หญิงอาอู่ยังจะน่าฟัง มากกว่า”
หวงม่านหลุดหัวเราะพรืด เกรงว่าคาเปรียบเทียบนี้น่าจะทาให้คน ฟังสะอิดสะเอียนมากกว่ากระมัง
กงเยี่ยนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น
นางเองก็เป็ นคนเผ็ดร ้อนกล้าได้กล้าเสีย พูดจาสัปดนแค่ไม่กี่คา จะนับเป็ นอะไรได้ ตอนอยู่ที่ฝูเหยาทวีป กงเยี่ยนเคยใช ้ความ “โดด เด่นหายาก สร ้างชื่อเสียงอยู่บนภูเขา คิดไม่ถึงว่ามาตอนนี้จะสู้ “เด็ก หนุ่ม” คนหนึ่งไม่ได้
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “วันใดข้าจะให้พ่อครัวเฒ่าจู พี่น้องต้า เฟิง โจวอันดับหนึ่งและหมี่อันดับหนึ่งมารวมตัวกัน คุยเล่นเป็ นเพื่อน พี่หญิงอาอู่ นั่นแหละสนุกแน่”
แล้วชุยตงซานก็รีบพูดเสริมมาอีกประโยค รับรองเป็ นหมั่นเป็ น เหมาะว่า “รับรองว่าอยากได้เนื้อก็มีเนื้อ อยากได้ผักก็มีผัก ต้องการ ความสง่างามก็มีความสง่างาม ต้องการความสามัญก็มีความ สามัญ!”
หวังจูพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เจ้าสานักชุย พวกเรามาคุยเรื่อง เป็ นการเป็ นงานกันเถอะ”
ชุยตงซานยกฝ่ ามือป้ องตรงหน้าผาก มองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ย ว่า “ใกล้จะถึงแล้ว กินดื่มอิ่มหนาเสียก่อนถึงจะมีแรงคุยกัน”
หวังจูมองตามสายตาของซุยตงชานไปก็เห็นเทือกเขาเขียวขจี คดเคี้ยวเส้นหนึ่งประหนึ่งมีงูเขียวเลื้อยขดตัวอยู่บนพื้นดิน นางลอง ย้อนนึกดูก็พอจะมีความทรงจาเกี่ยวกับเส้นชีพจรมังกรที่ตั้งอยู่บนฝั่ง ทะเลตะวันตกของใบถงทวีป ทอดยาวจากใต้ไปเหนือเส้นนี้อยู่บ้าง เพียงแต่น่าเสียดายที่เพื่อเปิดทางให้กับลาน้าใหญ่ที่เปลี่ยนเส้นทาง ปี นั้นจึงถูกหลงจวินของลาน้าใหญ่สั่งให้ขุดเจาะทางน้าขึ้นมาเส้นหนึ่ง สะบั้นกลิ่นอายมังกรบนบกที่สมบูรณ์แบบทิ้งไป เป็ นเหตุให้เลียบ ชายฝั่งทะเลตะวันตกของใบถงทวีปไม่เคยมีแคว้นที่แข็งแกร่งรุ่งเรือง ปรากฏขึ้นอีกเลย ส่วนใหญ่ล้วนกลายไปเป็ นแคว้นใต้อาณัติของ ราชวงศ์ใหญ่ทั้งหมด
บางคนบอกเจียวหลงท าให้แตกหัก บางคนบอกฟ้ าผ่าจึงแยก ออกจากกัน
ชุยตงซานยิ้มเอ่ยขอภัย “รับรองแขกได้ไม่ดีพอ คงได้แต่หา สถานที่ใกล้เคียงมาเลี้ยงอาหารเจทุกท่านมื้อหนึ่งแล้ว”
พลิ้วกายลงบนพื้น ในอารามเต๋ากลางภูเขาที่จักรพรรดิสั่งให้ สร ้างขึ้น ก่อนหน้านี้ได้ถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจท าลายจนย่อยยับ กษัตริย์แคว้นเล็กพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็สั่งให้ขุนนาง กรมกลาโหมหาแผนที่ออกมา สิ้นเปลืองกาลังคนและทรัพย์สิน มหาศาลกว่าจะซ่อมแซมตาหนักหลักได้เหมือนใหม่อีกครั้ง สิ่งปลูก สร ้างอื่นๆ ตอนนี้ยังไม่มีก าลังพอจะซ่อมแซมได้
ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญศาสตร ์การมองลมปราณสามารถมองเห็น ได้ว่าในภูเขามีไอหมอกสองสีแดงและเขียวที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ วนเวียนไม่จากไปไหน นี่ก็คือ “กลิ่นอายราชาล้อมวน คราบร่างมังกร ซุกซ่อนอยู่ภายใน” ที่กล่าวถึงในตาราด้านชัยภูมิ
ชุยตงซานกล่าว “อารามเต๋าบนภูเขาได้เป็ นที่พักค้างแรมให้กับ พี่หญิงจื้อกุย ก็ช่างเป็ นเกียรติยิ่งนัก นักพรตแก่และเด็กในอารามจุด ธูปกราบไหว้ทุกวัน ตอนกลางคืนก็ต้องจุดตะเกียง สิ้นเปลืองน้ามันไป หลายสิบขวด ความจริงใจนี้นับว่าไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ”
ใต้หล้าไพศาล ศาลบุ๋นแต่งตั้งสุ่ยจวินใหม่สี่คน รับผิดชอบ บัญชาการณ์สี่มหาสมุทร มีตาแหน่งสูงเป็ นขั้นหนึ่งชั้นโทของ ทาเนียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเรียบเรียงขึ้นใหม่ ระดับ ขั้นเท่าเทียมกับเทพใหญ่แห่งภูเขาสู้ยซาน
โชคชะตาน้าตลอดทั้งใต้หล้าถูกแบ่งออกเป็ นสองส่วน หนึ่งใน นั้นมีต้นสั้นฮูหยินแห่งหลุมน้าลู่ที่มีฉายาว่าชิงจงเป็ นผู้ดูแลโชคชะตา น้าบนพื้นดินทั้งหมด เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนบนยอดเขาต่างก็ไม่เห็นนาง อยู่ในสายตามากนัก
นอกจากหวังจูแล้ว สุ่ยจวินของมหาสมุทรใหญ่อีกสามท่านล้วน เลื่อนขั้นตามลาดับขั้นตอนมาจากสุ่ยจวินของทะเลสาบใหญ่ในทวีป ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบเจียวเยว่ของทวีป แดนเทพแผ่นดินกลาง
นอกจากนี้ยังมีหูจวินซึ่งเป็ นสตรีอีกคนหนึ่ง คือหลิวโหรวสี่ ปี้สุ่ย หยวนจวินแห่งทะเลสาบเจิงหรง ทุกวันนี้ก็คือสุ่ยจวินที่นั่งบัญชา การณ์มหาสมุทรประจิม
และสตรีที่มีฉายาว่าปี้สุ่ยหยวนจวินผู้นี้ ในอดีตก็เคยติดประกาศ ให้รางวัลบนก าแพงของเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว เล่นงานสวี่รั่วจอม ยุทธพเนจรของส านักโม่โดยเฉพาะ ส่วนสาเหตุที่วกวนอ้อมค้อมใน เรื่องนี้ คนนอกไม่มีใครรู ้
หวังจูหรี่ตามองไปไกล พลันเอ่ยว่า “เจ้าส านักชุยจ่ายเงินไป ให้กับที่นั่นไม่น้อยกระมัง?”
ชุยตงซานถูมือ “นับว่ายังดี แค่เงินฝนธัญพืชไม่กี่เหรียญเท่านั้น เล็กน้อยเหมือนเม็ดฝนพร่างพรม”
สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่าภูเขาไห่หลง ยามที่ฟ้ าสีครามโปร่งใสไร ้ ก้อนเมฆ หากขึ้นไปบนยอดเขาก็จะสามารถมองไกลๆ ไปเห็น มหาสมุทรกว้างใหญ่ คือสุดยอดจุดชมทิวทัศน์ยามที่พระอาทิตย์ขึ้น จากบนมหาสมุทร นอกจากนี้เมื่อสามพันปีก่อน ตอนที่เจียวหลงมี หน้ามีตาลาพองตนที่สุดนั้น ขุนนางน้าเจียวหลงทั้งหลายในวังมังกร ล าน้าใหญ่ที่ทาหน้าที่เคลื่อนเมฆโปรยพิรุณ มีจานวนไม่น้อยที่มักจะ ข้ามผ่านที่แห่งนี้เพื่อเดินทางไปกลับระหว่างทะเลกับบนบก มังกร ใหญ่โปรยฝนไประหว่างก้อนเมฆ ข้ามผ่านหนองน้าหมื่นลี้บนปฐพี โผผินดุจเมฆมรกตบนฟ้ าคราม
ในฐานะ “คนหลอกง่าย” ที่ช่วยจ่ายเงินซ่อมแซมอารามเต๋า นอกจากชุยตงซานจะสร ้างหอชมปรากฏการณ์ฟ้ ายามค่าคืนแห่ง หนึ่งขึ้นมาในอารามเต๋าแล้ว ยังสร ้างหอวัดน้าชั่งน้าหนักแห่งหนึ่ง ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อคอยประเมินทิศทางการไหลของกระแสน้าใน มหาสมุทรบูรพา รวมไปถึงตรวจสอบโชคชะตาน้าจากลาน้าใหญ่ที่ ไหลลงสู่ทะเลในอนาคตว่ามีมากหรือน้อย นี่แสดงให้เห็นว่าชุยตง ซานแน่ใจแต่แรกแล้วว่าอาจารย์ของตนต้องมาขุดเจาะลาน้าใหญ่ที่ ใบถงทวีปแน่นอน ค าว่าเตรียมการล่วงหน้าอย่างรอบคอบรัดกุมก็หนี ไม่พ้นเช่นนี้เอง
มีคนสองคนมารออยู่ในภูเขาก่อนแล้ว ยืนอยู่ที่หน้าประตูภูเขา ของอารามเต๋าที่สร ้างใหม่แต่กลับมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ แต่ว่า พวกเขาต่างก็เป็ นคนนอกของอารามในภูเขาแห่งนี้
ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ผู้คุมกฏแห่งสานักกระบี่ชิงผิง เฉาฉิงหล่างเจ้า ยอดเขาจิ่งซิงคนแรกฝ่ ายแรกถือเป็ นกองกาลังที่ชุยตงซานเกณฑ์ตัว มา ฝ่ายหลังกลับเป็ นกุญแจสาคัญว่าเรื่องนี้จะส าเร็จได้หรือไม่
“ถึงแล้วๆ ข้าน าไปส ารวจเส้นทางก่อน พวกเจ้าตามมา”
ชุยตงซานออกเดินทางน าไปก่อน พริบตาเดียวเรือนกายก็ ทะยานห่างไปหลายลี้ พอเขาพลิ้วกายลงบนพื้น เฉาฉิงหล่างก็ ประสานมือคารวะอย่างจริงจัง “คารวะเจ้าส านักชุย”
หากไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เฉาฉิงหล่างก็คงเรียกอีกฝ่ ายว่าศิษย์พี่ ชุยเท่านั้น
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “ศิษย์น้องเฉา ไม่สู้เอาอย่างผู้คุมกฏชุยให้มากหน่อย เจอหน้าข้า แม้แต่ลมก็ไม่ผาย สักครั้ง พวกเราสองคนเป็ นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันนะ ไม่ต้องท าตัวอยู่ใน กฎเกณฑ์ให้คนนอกดูแบบนี้หรอก”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็ นกฎเกณฑ์ที่มีไว้ให้ตัวเอง”