กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 978.4 ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่ปรองดอง
ความมีมารยาทอยู่ในกฎเกณฑ์ของเฉาฉิงหล่าง ท าให้พวกกง เยี่ยนยิ่งรู ้สึกแปลกใจประหลาดนัก ประหลาดนัก คิดไม่ถึงว่าจะเป็ นผู้ ฝึกตนที่สมองปกติคนหนึ่งจริงๆ!
ชุยตงซานสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก
ศิษย์น้องเฉาที่อยู่ข้างกาย ไม่เสียแร่งที่เป็ นหนึ่งในสองลูกศิษย์ผู้ เป็ นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์เป็ นที่รักที่ชื่นชอบของผู้คนเหมือนศิษย์ พี่เลย ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับดีเยี่ยมเสมอ
หวังจูโยนวัตถุจื่อชื่อลักษณะคล้ายที่ล้างพู่กันซึ่งทามาจาก กระเบื้องสีเขียวมีมังกรชื่อหลงขดตัวอยู่ให้กับชุยตงซาน เอ่ยว่า “ด้าน ในมีเงินฝนธัญพืชหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญ ถือเสียว่าให้ครบเป็ น จานวนเต็มก็แล้วกัน เงินฝนธัญพืชที่เกินมาหนึ่งพันเหรียญสามารถ เอาไปสร ้างจวนแห่งหนึ่งใกล้กับอารามแห่งนี้ได้ วันหน้าเอาไว้เป็ น หนึ่งในคฤหาสน์หลบร ้อนบนบกในใบถงทวีปของจวนวารีพวกเรา นอกจากหวงม่านและซีหมานที่ต้องฟังคาสั่งจากพวกเจ้าแล้ว ในศาล บรรพจารย์ที่ตอนนี้ปลาและมังกรปะปนกันแห่งนั้น แค่เหลือเก้าอี้ตัว หนึ่งไว้ให้หลี่ป๋ าก็พอ เรื่องน้อยใหญ่ ทางจวนวารีจะให้หลี่ป๋ าพูดคุย กับพวกเจ้า ท่าทีของเขาก็คือความหมายของจวนวารี”
ชุยตงซานรีบวางตะเกียบลง รับวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นมา ยกชายแขน เสื้อขึ้นเช็ดปาก ลุกขึ้นประสานมือคารวะขอบคุณเอาอย่างเฉาฉิง หล่าง
หาเงินด้วยความปรองดอง กินอาหารเจรสจืดที่ไม่ฟุ้ งเฟ้ อร่วมกัน ไปหนึ่งมื้อ ชุยตงซานก็ต้องเดินทางกลับไปที่ลาคลองหลินเหอแล้ว ไปยุแยงให้ลั่วหยางมู่เค่อที่ชื่อว่าผังเขาผู้นั้นเลือกริมล าคลองหลินเหอ และยังเสนอแนะกลุ่มของหวังจูว่าเดินทางไปที่เมืองลั่วจิงของราชวงศ์ สกุลอวี๋แล้วก็ต้องไปนั่งเล่นที่อารามจีชุ่ยให้ได้ ดื่มชาสักถ้วยแล้วค่อย ไปกินข้าวที่หอเติงหมี ลงบัญชีไว้บนชื่อของได้หยวนแห่งพรรคชิงจ้ วนได้เลย ห้ามเกรงใจกันเด็ดขาด
ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้คุมกฏชุยเหวยไม่ได้เอ่ยอะไรสักค า
หากไม่เป็ นเพราะตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหาร ชุยตงซานแนะน าว่าผู้ คุมกฏชุยท่านนี้มีบ้านเกิดอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ พวกหวงม่าน ก็คงเข้าใจผิดคิดว่าคนใบ้ผู้นี้คือผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของใบถงทวีปที่ เก็บซ่อนตัวตนอย่างลึกล้า หรือไม่ก็เป็ นผู้ถวายงานประจาตระกูล ของขุยตงซานไปแล้ว
รู ้ว่าชุยเหวยมาจากก าแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากหวังจูแล้ว พวกกงเยี่ยนที่นอกเหนือจากจะรู ้สึกประหลาดใจ ก็ยังรู ้สึกว่า สมเหตุสมผลดีอีกด้วย มีอื่นกวานคนสุดท้ายอย่างเฉินผิงอันอยู่ พา เซียนกระบี่สี่ห้าคนกลับมายังไพศาลก็ไม่ถือว่าเป็ นเรื่องใหญ่อะไรเลย จริงๆก่อนหน้านี้ก็มีหมื่อวี้ที่ฉายประกายโดดเด่นบนสนามรบของนคร
มังกรเฒ่า ภายหลังยังมามีชุยเหวยที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย เพียงแค่ ไม่รู ้ว่าความสูงต่าของขอบเขต และเวทกระบี่ของผู้คุมกฏชุยท่านนี้ เป็ นอย่างไร หรือว่าจะสูงกว่าหมี่อวี้อีก?
ชุยเหวยยังคงไม่เอ่ยอะไร การพูดจาทิ่มแทงใจคนของชุยตงซาน คนนอกต้องทิ่ม คน กันเองก็ไม่ปล่อยผ่าน
เดินออกมาจากห้องโถงด้วยกัน ชุยตุงซานหยุดเท้ายืนอยู่ใน ระเบียง สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “พี่ หญิงจื้อกุย ทุกวันนี้สานักกระบี่ชิงผิงมีเรือข้ามฟากอยู่สองล า วัน หน้าท่าเรือตระกูลเซียนที่เป็ นของพวกเราจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ สนใจ จะร่วมกันท าการค้าเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่?”
หวังจูเอ่ย “ไม่ขาดเงิน ไม่สนใจ”
ชุยตงซานยกมือขึ้น ใช ้ชายแขนเสื้อเช็ดใบหน้า อัดอั้นตันใจนัก คาพูดนี้ช่างทาร ้ายจิตใจกันเหลือเกิน ตนไม่ควรปากมากหาเรื่องใส่ ตัวแบบนี้เลย
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “สูงสุดสว่างสุดคือตะวันจันทรา กว้าง ใหญ่สุดลึกล้าสุดคือแม่น้าทะเลสาบ ซ่อนตัวกอดมรรคาหล่อเลี้ยงจิต วิญญาณที่แท้จริง ไม่สู้รอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ เพื่อรอคอย เวลาที่เหมาะสม”
ในเมื่อเป็ นมังกรที่แท้จริง เมฆและฝนต้องสมบูรณ์พร ้อม
หวังจูเงียบไม่เอ่ยอะไร
ชุยตงซานพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส “เมื่อโชคดีมาถึงขีดสุดต้อง ระมัดระวังรอบคอบ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ยากล าบาก ต้องสุขุมเยือก เย็น แน่นอนว่าประโยคนี้สามารถพูดแบบนี้ได้แล้วก็สามารถพูด ย้อนกลับได้ ถึงอย่างไรฟังแล้วก็ล้วนเป็ นประโยคที่ดี เชื่อว่าขอแค่ สถานการณ์ยากลาบากแต่ยังเยือกเย็นได้ ถึงเวลานั้นโชคชะตาย่อม หมุนกลับ เรื่องดีเกิดขึ้นต่อเนื่อง มั่นคงหนักแน่น”
หวังจูกล่าว “เจ้าสานักชุยชอบคุยเล่นขนาดนี้ อยากจะดื่มชา หลังมื้ออาหารแล้วตามด้วยดื่มเหล้าเลยไหม?”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “ไม่ต้องๆ วันหน้ายังมีโอกาสอีกมาก ไม่สู้ เหลือค้างไว้ก่อน”
กลุ่มของหวังจูทะยานลมจากไป
กงเยี่ยนยิ้มเอ่ย “พูดย้อนกลับ ค่อนข้างมีนัยให้ขบคิด หาได้ยาก ที่ชุยตงซานผู้นี้ไม่พูดจาประหลาด”
มุมปากของหวังจูกระตุกขึ้น คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เพราะคาพูด เดิมไม่ใช่เขาที่เป็ นคนพูด”
ใต้ชายคาของอารามเต๋า ซุยตงซานไม่ได้รีบร ้อนเดินทาง ยิ้มเอ่ย เตือนว่า “วันหน้าพวกเจ้าอยู่กับหลี่ป๋ า ในเรื่องเล็กน้อยสามารถ เกรงใจเขาได้ แต่เรื่องใหญ่อย่าได้ปล่อยตามใจเขา ไม่ต้องกลัวว่า ตัวเองจะใช ้อานาจรังแกคนอื่น ยิ่งไม่ต้องจงใจแสดงความเป็ นมิตร
กับหลี่ป๋ า ตาเฒ่าผู้นี้มีนิสัยเหมือนลา จูงแล้วไม่ยอมเดิน ตีแล้วยังเดิน ถอยหลัง ดังนั้นไม่ด่าก็เสียโอกาสไปเปล่าๆ ไม่ตีก็เสียเปล่าเช่นกัน นอกจากนี้ข้ายังสงสัยว่าหวานเหยียนเหล่าจิ่งเคยดึงตัวหลี่ป๋ าไปเป็ น พวก แม้ว่าหลี่ป๋ าจะปฏิเสธ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยน าข่าวไปแจ้งให้ ทางศาลบุ๋นทราบ เพียงแต่ว่าการคาดเดาเช่นนี้ หวานเหยียนเหล่าจิ่ง ก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครเอามาตรวจสอบยันกันได้ ยิ่งไม่อาจจับตัวห ลี่ป๋ ามาทรมานให้รับสารภาพ ไม่แน่ว่าหลี่ป๋ าอาจจะใช ้เวทลับทางจิต วิญญาณบางอย่างลงดาลประตูด่านใจไว้นานแล้ว หรือไม่ก็ลบความ ทรงจาช่วงนี้ทิ้งไปอย่างสิ้นเชิงหมดแล้ว”
“เฉาฉิงหล่าง สมมติว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง เจ้าคิดว่าควรจะ จัดการกับหลี่ป๋ าอย่างไร?”
“แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทาอะไรจริงๆ แต่หากเขานาข่าวนี้ไปแจ้งให้ ศาลบุ๋นทราบ เกราะทองทวีปจะมีคนตายน้อยลงกว่าเดิมมากหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นสามารถพูดแบบนี้ได้หรือไม่ว่าก็เพราะหลี่ป๋ าปิดบังเรื่องนี้ การที่เขาไม่ทาอะไรสักอย่าง ได้ทาร ้ายให้คนเหล่านั้นตายไปโดย ทางอ้อม? ความผิดฐานฆ่าคนอย่างพร่าเพื่ออย่างหวานเหยียนเหล่า จิ่ง สมมติว่าตั้งไว้ที่สิบหลี่ป๋ าล่ะจะคิดเป็ นกี่ส่วน?”
“หรือสมมติว่าเจ้ามีความมั่นใจห้าต่อห้า ตรวจสอบจิตวิญญาณ ของหลี่ป๋ า ถามจนได้ความจริงออกมาแล้ว จะลงมือหรือไม่? หากห้า ส่วนคือความลังเล แล้วถ้ามั่นใจได้แปดส่วนสิบส่วนล่ะ?”
ชุยเหวยพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด และเขายังเป็ นแค่คนนอกที่ไม่ถูกซักถามอีกด้วย
เฉาฉิงหล่างกล่าว “หากข้าเป็ นหวานเหยียนเหล่าจิ่ง ตอนนั้น แอบบอกเรื่องนี้กับหลี่ป๋ าอย่างลับๆ ขอแค่ถูกปฏิเสธ หรือรู ้สึกว่า ปากหลี่ป๋ ารับปาก แต่อาจเลือกที่จะแสร ้งคล้อยตามไปก่อน ก็จะต้อง ก าจัดความทรงจ าของหลี่ป๋ าทิ้งทันที ลบร่องรอยทั้งหมดทิ้งไป หวาน เหยียนเหล่าจิ่งเป็ นขอบเขตบินทะยาน หลี่ป๋ าเป็ นแค่หยกดิบ ดังนั้น ต่อให้ฝ่ายหลังอยากจะเอาไปแจ้งให้ศาลบุ๋นทราบก็ยังท าไม่ได้”
“ศิษย์น้องเฉา เจ้าย่อมไม่ใช่หวานเหยียนเหล่าจิ่ง”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “พวกเราต่างก็เป็ นคนที่อ่านตาราอริยะ ปราชญ์มาก่อน!”
ดูเหมือนว่าบัณฑิตที่แท้จริงมักจะชอบสร ้างความลาบากใจให้ ตัวเองที่สุด
เฉาฉิงหล่างพลันเบี่ยงตัวหันข้าง ถอยหลังไปหลายก้าว หันหน้า เข้าหาชุยตงซาน ก้มหัวโค้งตัวคารวะต่าสุด
ไม่เพียงแต่ชุยเหวยเท่านั้นที่มึนงง ชุยตงซานเองก็รู้สึกประหลาด ใจเหมือนกัน “อะไรกัน อะไรกัน?”
เฉาฉิงหล่างไม่ยืดตัวขึ้นตรงเสียที ยังคงก้มหน้าเอ่ยเสียงอู้อี้ “สถานการณ์ถามใจบางอย่างที่ศิษย์พี่จัดวางให้กับศิษย์น้อง อาจารย์ ทนกับความทรมานได้ ข้าทนไม่ได้ ดังนั้นขอศิษย์พี่ชุยได้โปรดออม มือไว้ไมตรีด้วย!”
ชุยตงซานกระทืบเท้า “พูดจาเหลวไหล พูดจาเหลวไหล เหมือน หัวใจถูกค้อนทุบหนักๆเจ้าลองถามมโนธรรมในใจตัวเองดูสิว่า ศิษย์ พี่เล็กเป็ นคนที่สมองไม่สมประดีเช่นนั้นหรือ?!”
เฉาฉิงหล่างยืดตัวขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่สนเรื่องพวกนี้ ถึง อย่างไรก็จะต้องรีบน าเรื่องนี้ไปบอกกับอาจารย์ ถือเสียว่าเป็ นการ เตรียมความพร ้อมล่วงหน้า หากว่ามีวันนั้นจริงๆ ข้าต้องทุกข์ทรมาน ศิษย์พี่ก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้!”
ชุยตงซานโมโหจนเช่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชี้หน้าศิษย์น้องของตัวเอง “ฟ้ าดินเป็ นพยานตะวันจันทราแจ่มกระจ่าง ศิษย์พี่เล็กไม่เคยมี ความคิดเช่นนี้เลยสักนิด เจ้ากลับดีนัก ปั้นน้าเป็ นตัวจะให้มันมีขึ้นมา ให้ได้ หากเจ้าเอาไปฟ้ องอาจารย์ เคยคิดถึงสภาพการณ์ของศิษย์พี่ เล็กบ้างไหม? ห้า?! ใต้หล้านี้มีใครเขาเป็ นศิษย์น้องอย่างเจ้ากันบ้าง? ยันต์ข้ามมหาสมุทรที่ยังไม่ทันหายร ้อนในชายแขนเสื้อของเจ้าได้มา อย่างไร? หากว่าหวังจูแสร ้งท าเป็ นฟังความนัยไม่ออก ข้าที่เป็ นศิษย์ พี่เล็กก็จะไปแย่งมาให้เจ้าแล้วด้วยซ้า เจ้ากลับตอบแทนศิษย์พี่เช่นนี้ หรือ? เป็ นคนต้องหัดคิดถึงจิตใจของคนอื่นบ้าง!”
เฉาฉิงหล่างพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์พี่ชุยพูดเองนะว่า หาก เจอกับสถานการณ์ที่ยากล าบากต้องสุขุมเยือกเย็น”
ชุยตงซานอึ้งตะลึง สะบัดชายแขนเสื้อ โหวกเหวกว่า “ผู้คุมกฏ ชุย รีบห้ามข้าเร็วเข้าไม่อย่างนั้นข้าจะต้องถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์ แล้ว!”
ชุยเหวยไม่ได้โง่เสียหน่อย ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องในบ้านระหว่างศิษย์พี่ ศิษย์น้องอย่างพวกเจ้า ข้าที่เป็ นคนนอกจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้ อย่างไร เดี๋ยวจะวางตัวกันไม่ถูกเอานะ”
ชุยตงซานกลอกดวงตาเร็วจี่ เขย่งปลายเท้ากอดไหล่เฉาฉิง หล่าง “ศิษย์น้องเขา อย่าเอาไปฟ้ องนะ พูดจริงๆ ถือว่าศิษย์พี่เล็ก ขอร ้องเจ้าล่ะ ทุกวันนี้อาจารย์อยู่ในช่วงที่มองข้าอย่างไรก็ขวางหู ขวางตา เจ้ายังเป็ นลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจที่อาจารย์ให้ ความสาคัญที่สุดไม่มีหนึ่งในอะไรทั้งนั้น หากว่ามีเรื่องนี้เพิ่มเข้าไปอีก ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมเลยจริงๆ”
“เฉาฉิงหล่าง อย่าลืมนะว่าทุกวันนี้ข้าเป็ นถึงเจ้าสานักของสานัก แห่งหนึ่ง เจ้าเป็ นแค่เจ้าแห่งยอดเขาจิ่งซิง ต่อให้ไม่พูดถึงมิตรภาพ ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่เจ้าก็ห้ามล่วงเกินเบื้องสูงเด็ดขาด ข้า ได้รับการสืบทอดที่แท้จริงมาจากอาจารย์เชียวนะ ท่องยุทธภพไม่ อาฆาตแค้นใครมากที่สุด!”
“พี่ใหญ่เฉา! เมตตาข้าเถอะ สงสารข้าเถอะนะ หากอาจารย์รู้ เรื่องนี้เข้า ต้องตีข้าจนกลายเป็ นหัวหมูแน่ ปัญหาคือข้าถูกใส่ร้าย จริงๆ นายท่านใหญ่เฉา ท่านบรรพบุรุษน้อยของข้า หรือเจ้าจะต้อง ให้ข้าคุกเข่าโขกหัวให้เจ้าจริงๆ? ชุยเหวย อย่าเอาแต่ดูเรื่องสนุก เร็ว เข้าสิหลบไปอีกด้าน รอให้ข้าโขกหัวเสร็จก่อนเจ้าค่อยกลับมาใหม่ …”
แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างต้องไม่มีทางปล่อยให้ศิษย์พี่ชุยทาเช่นนี้ เขาจึงใช ้สองมือจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ ยิ้มเอ่ยรับรองว่า “ไม่เอาไป ฟ้ องแน่นอน”
ชุยตงซานกึ่งเชื่อกิ่งกังขา “ข้าไม่เชื่อ เจ้าต้องสาบาน”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด”
ชุยตงซานรีบพลิกมือมาคว้าแขนของเฉาฉิงหล่างไว้แทน “ศิษย์ พี่เล็กล้อเล่นนะ ไม่เชื่อใจใครก็ไม่มีทางไม่เชื่อใจศิษย์น้องเฉา”
“ตอนนี้อาจารย์น่าจะไปถึงบ้านเกิดแล้วกระมัง”
เฉาฉิงหล่างเดินออกมาจากอารามแล้วมองไปยังขุนเขาเขียวน้า ใสของช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่อยู่ห่างไปไกล พลันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ชุย ดู เหมือนว่าทุกครั้งที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีหิมะตก มักจะขาวก่อนที่ อื่นเสมอ ตอนที่หิมะละลายก็ละลายช ้ากว่าที่อื่นเสมอ”
ชุยตงซานโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก อืมรับหนึ่งที
รู ้ความนัยในประโยคนี้ของศิษย์น้องอย่างเฉาฉิงหล่างดีว่าพูดถึง สภาพจิตใจบางอย่างของอาจารย์พวกเขา
คนนอกมองมา หิมะขาวโพลนเต็มภูเขาคือทิวทัศน์ที่งดงาม เพียงแต่ว่าความยากลาบากที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ความงาม บางทีเขาชุย ตงซานกับเฉาฉิงหล่างอาจจะรับรู ้ แต่นั่นคือความยากล าบากมากถึง เพียงใดกันแน่ กลับไม่มีใครรู้ได้แน่นอน
ชีวิตคนมีเรื่องจนใจมากมาย ความขมขื่นที่กล้ากลืนมาอย่างเสีย เปล่า ความขมขื่นที่มิอาจเอื้อนเอ่ยเป็ นค าพูด ล้วนทุกข์ทรมาน ชั่ว ชีวิตนี้ดูเหมือนว่าดื่มเหล้าแล้วไม่มีทางเมา ดื่มชาไม่ต้องรอให้รส หวานซ่านลิ้นก็ไม่รู ้สึกขมแต่แรกแล้ว แล้วอย่างนี้จะทาเช่นไร
เฉาฉิงหล่างเอ่ยเสียงเบาว่า “ทางเดินตอนกลางคืนเดินได้ยาก ก้มหน้าก้มหน้ารีบเดินทางไม่ยาก กลัวก็แต่ว่าพอเงยหน้าขึ้นมา รอบ ด้านเห็นแต่แสงผีพุ่งใต้ ถ้อยค าซุบซิบนินทาเหมือนกระแสน้าไหล เชี่ยวกราก”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มเอ่ย “พยายาม ร่วมกัน”
ไม่ว่าจะเป็ นการระบายทุกข์หรือการให้ก าลังใจตัวเอง เฉาฉิง หล่างล้วนมีสิทธิ์ที่จะเอ่ยถ้อยคาเหล่านี้
มีเด็กหนุ่มกี่มากน้อยที่จากบ้านเกิดแล้วไม่เคยหันหลังกลับ
บางคนเป็ นเพราะมีปณิธานสูงส่งยาวไกล จึงไม่ยอมกลับหลัง
แต่กลับมีคนบางคนที่เพิ่งจะเป็ นเด็กหนุ่มก็ไม่กล้าหันกลับไปมอง ช่วงเวลายามวัยเยาว์อีกแล้ว
ชุยตงซานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าที่เต็ม ไปด้วยความน้อยเนื้อต่าใจ “ศิษย์น้องเฉา เจ้าสาบานเถอะ ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่เล็กนอนไม่ลับ”
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเฉาฉิ งหล่าง แต่ชุยตงซานไม่เชื่อใน ขนบธรรมเนียมบางอย่างของสายบุ๋นบ้านตัวเองมากกว่า
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ชุยพูดคุยกับคนอื่นแบบนี้น่า เบื่อมากแล้วนะ”
ชุยตงซานยกมือขึ้นหนึ่งขึ้น กระดิกนิ้วขึ้นไปบนฟ้ า ปากพึมพา ว่า ตึงๆๆ ครืนๆๆ แล้วฟ้ าครามหมื่นลี้ก็มีเสียงฟ้ าร ้องดังขึ้นมาระลอก แล้วระลอกเล่าจริงๆ
ชุยตงซานหรี่ตามองดวงตะวันแรงกล้าดวงนั้น
ดวงตะวันลอยอยู่กลางนภา ท าให้คนไม่กล้าจ้องมองนาน
ว่ากันว่านี่เป็ นเพราะดวงอาทิตย์ได้รวบรวมใจคนนับไม่ถ้วน เอาไว้