กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 979.1 วันนี้ไร ้เรื่องใด
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่เดินขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อยๆ
อารมณ์ความคิดถึงบ้านเกิดก็หนีไม่พ้นคิดถึงบุคคลและเรื่องราว ในมาตุภูมิเดิม ถ้าอย่างนั้นโต๊ะตัวหนึ่งของพ่อครัวเฒ่าก็มักจะวาง อาหารพื้นๆ ที่ทาให้ทุกคนอิ่มหน้ามีลาภปากได้เสมอ มักจะท าให้ ความคิดถึงเป็ นห่วงของคนที่พเนจรไปต่างบ้านต่างเมืองคลายลงได้
บนขั้นบันไดของเส้นทางภูเขามีจูเหลี่ยนที่นั่งอยู่ กับเด็กหญิงชุด กระโปรงชมพูที่ยืนอยู่พ่อครัวเฒ่าโบกมือ เฉินหน่วนซู่ยอบกาย คารวะนายท่านที่ได้กลับคืนสู่บ้านและอาจารย์เสี่ยวโม่ที่ย้อนกลับมา บนภูเขาอยู่ไกลๆ
ทางฝั่งของประตูภูเขาที่อยู่ด้านหลัง เซียนเว่ยช่วยเด็กชายชุด แดงให้ลงนามขานชื่อเรียบร ้อยแล้ว คนจิ๋วควันธูปยืนสองมือเท้าเอว อยู่บนไหล่ของนักพรต มองแผ่นหลังของใต้เท้าเจ้าขุนเขาแล้วพึมพ า กับตัวเองเงียบๆ ว่า มาดของใต้เท้าเจ้าขุนเขาช่างเป็ นดั่งภูเขาสูงที่ คนต้องแหงนหน้ามองจริงๆ การรับรองต้อนรับผู้คนของใต้เท้าเจ้า ขุนเขาก็ท าให้คนประหนึ่งได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางลมวสันต์…เด็กชาย ชุดแดงรู ้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก ยกเท้ากระทืบลงบนไหล่ของ นักพรตเซียนเว่ยแรงๆ อิจฉาเหลือเกินแล้ว ปากก็พูดไปด้วยว่าเซียน เว่ย เซียนเว่ย โชคเข้าข้างเจ้าแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าบนโลกใบนี้จะ
มีบุคคลที่มีครบทั้งความห้าวหาญของวีรบุรุษและมีความองอาจของ อริยะปราชญ์ หัวหน้าศูนย์บัญชาการเผยปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความ จริงใจจริงๆ เซียนเว่ย เจ้าจะร่ารวยแล้วนะ
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจสอบถาม “ตบะอย่างของเจ้าและของป๋ า ยจิ่ง สามารถมองเห็นโฉมหน้าแท้จริงที่อยู่ใต้หน้ากากของจูเหลี่ยน ได้ไหม?”
ในอดีตเฉินผิงอันเคยเข้าใจผิดคิดว่า “หน้ากาก” ที่จูเหลี่ยนทา ขึ้นมาเองกับมือเป็ นแค่ฝี มือในยุทธภพอย่างหนึ่งของพื้นที่มงคล ดอกบัว ภายหลังเฉินผิงอันได้ศึกษาหน้ากากแปลงโฉมหลายแผ่นที่จู เหลี่ยนมอบให้ ถึงได้รู ้ว่าจูเหลี่ยนใช ้วิธีการบางอย่างที่คล้ายคลึงกับ ยันต์บนภูเขา จากนั้นค่อยเสริมด้วยลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธ ให้มันไหลรินอยู่ภายในไม่สลายหายไปไหน ประหนึ่งเมฆหมอกที่ลอย อ้อยอิ่งวนเวียนอยู่ตรงใบหน้า ถึงกับสามารถ“บดบังความลับสวรรค์” ได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับเวทอาพรางตาของตระกูลเซียนบนภูเขา ของไพศาลแล้ว คือเส้นทางสองสายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง พูดไม่ได้ ว่าฝี มือสูงส่งยิ่งกว่า แต่อาพรางได้ลึกล้ากว่า ยกตัวอย่างเช่นก่อน หน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในขอบเขตหยกดิบก็ยังมิอาจมองทะลุ หน้ากากสองชั้นไปเห็น โฉมหน้าที่แท้จริง” ของจูเหลี่ยนได้ ดังนั้น ครั้งนี้เขาจึงคิดว่าจะต้องขอความรู ้จากจูเหลี่ยนในเรื่องนี้ให้จงได้
นี่หมายความว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต พูดถึงแค่เรื่องที่ผู้ ฝึกยุทธเต็มตัวย่างเท้าไปบนเส้นทางของการฝึกเซียน อวี๋เจินอี้แห่ง
พรรคหูชานแคว้นซงไล่ บางทีอาจจะไม่ใช่บุคคลแรกตามความหมาย ที่แท้จริง ควรต้องเป็ นจูเหลี่ยนที่มีลาดับอาวุโสในยุทธภพสูงกว่าทั้ง ติงอิงและอวี๋เจินอี้มากกว่า
เสี่ยวโม่ตอบ “หากใช ้ใจสังเกต คิดดูแล้วก็น่าจะทาได้ เพียงแต่ว่า อาจารย์จูไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง คิดดูแล้วก็น่าจะ เป็ นเพราะมีความลาบากใจที่ยากจะอธิบายได้ เสี่ยวโม่ย่อมไม่สะดวก ลอบสังเกตเองโดยพลการ ส่วนป๋ ายจิ่งจะใช ้ศาสตร ์มองลมปราณ ล่วงเกินอาจารย์จูเพราะเหตุนี้หรือไม่ ตอนนี้เสี่ยวโม่ก็ไม่รู ้ได้”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าปั้นยาก “คาดว่าป๋ ายจิ่งคงจะข่มกลั้น ความอยากรู ้อยากเห็นในใจไว้ได้อย่างไม่ง่าย จึงไม่ได้ส ารวจสืบเสาะ”
เสี่ยวโม่กังขา “ทาไมคุณชายถึงกล่าวเช่นนี้?”
เฉินผิงอันอารมณ์ซับซ ้อน “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจ หรอก”
เอ่ยประโยคที่ไม่เกินจริง กวาดตามองไปทั่วสองใต้หล้า คนที่ สามารถท าให้เฉินผิงอันรู้สึกว่า “คุมเชิงเป็ นศัตรูกับอีกฝ่ าย” แล้วต้อง ถอยหลังมาหลายก้าวอย่างอดไม่อยู่ ก็ดูเหมือนว่าจะมีแค่จูเหลี่ยนที่ ตอนนั้นถอดหน้ากากออกเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เห็นเท่านั้น
ต้องรู ้ว่าตอนอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ราชาบนบัลลังก ์สิบสี่ ท่านของเปลี่ยวร ้างซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และ มหาสมุทรความรู ้โจวมี่เป็ นหนึ่งในนั้น ต่างก็ไม่เคยทาให้เฉินผิงอัน
ถอยได้แม้แต่ครึ่งก้าว กลับกันยังบุกรุดหน้า ถือกระบี่ยกมือขึ้นใช ้ ปลายกระบี่ชี้ไปที่ปีศาจใหญ่
รอกระทั่งเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่เดินเข้ามาใกล้แล้ว จูเหลี่ยนก็ลุก ขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “ง่วนกับเตรียมอาหารมื้อค่า คุณชายก็กลับมาพอดี” เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามเสียงเบา “นายท่าน หมี่ลี่ไม่ได้ กลับบ้านมาด้วยกันหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “นางนั่งเรือเฟิงยวนกลับบ้านมาพร ้อมกับพวก ผู้คุมกฏฉางมิ่ง ส่วนข้าลงเรือที่นครมังกรเฒ่าพร ้อมกับผู้อาวุโสซ่ง แห่งแคว้นซูสุย เดินทางผ่านขุนเขาสายน้าไปด้วยกันระยะทางหนึ่ง หลังจากนั้นข้าก็แยกกับผู้อาวุโสซ่ง เร่งรีบเดินทางจึงกลายเป็ นว่า กลับมาถึงที่นี่ก่อน รออีกเดี๋ยว เสี่ยวโม่ รบกวนเจ้าไปรับตัวผู้พิทักษ์ ขวามาหน่อยได้ไหม?”
เรื่องที่ทาให้เฉินผิงอันมุ่งมั่นตั้งใจอย่างไม่มีย่อท้อ ก่อนหน้านี้ก็มี การฝึกเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ทุกวันนี้ก็คือฝึกวิชา แสงกระบี่หลบหนีที่หนิงเหยาแค่มองก็ทาเป็ นอีกทั้งยังเชี่ยวชาญอย่าง มากวิชานี้แล้ว
แสงกระบี่พร่างพราวคล้ายแสงเมฆเรืองรองเสี้ยวสุดท้ายที่สลาย หายไป ท่ามกลางม่านราตรี ดวงจันทร ์คือหิมะที่กองรวมตัวกัน แสง จันทร ์คือเกล็ดหิมะที่ปลิวปราย ทุกครั้งที่เรือนกายของเฉินผิงอันไป หยุดพักอยู่ระหว่างทะเลเมฆ แสงกระบี่หลายสิบเส้นรวมตัวกันในจุด
หนึ่งใหม่อีกครั้ง เขามักจะรู ้สึกว่ามีคาเปรียบเปรยหนึ่งที่เหมาะสมเข้า กันอย่างมากนั่นคือนกโง่ต้องหัดบินก่อน
เดี๋ยวโม่พยักหน้ายิ้มรับ “ได้เลย”
พอพูดถึงหมี่ลี่น้อย เสี่ยวโม่ที่เดิมทีก็อ่อนโยนอยู่แล้วยิ่งอ่อนโยน กว่าเดิม
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “มื้อค่า มื้อค่า กินข้าวตอนค่าคืน พวก เราสามารถรอให้เสียวโม่กับผู้พิทักษ์ขวากลับมาพร ้อมกันก่อน ใช่ แล้ว อย่าลืมเรียกเซียนเว่ยกับผู้พิทักษ์ขวาตรอกฉีหลงมากินมื้อค่า พร ้อมกันด้วยล่ะ”
เสี่ยวโม่รีบรุดเดินทาง เขาพุ่งตัวไปที่หน้าประตูภูเขาก่อน เชื้อ เชิญเซียนเว่ยและเด็กชายชุดสีชาดให้ไปกินข้าวที่เรือนของอาจารย์ จูด้วยกัน อีกประมาณครึ่งชั่วยามค่อยขึ้นไปบนภูเขา หลังจากนั้น เรือนกายของเสี่ยวโม่ก็กลายร่างเป็ นสายรุ ้งที่พุ่งวาบหายไป พริบตาเดียวก็ห่างไปไกลร ้อยพันลี้ หากมีทะเลเมฆที่สามารถนามา ทาเป็ นท่าเรือได้ แสงกระบี่ก็จะยิ่งพุ่งทะยานไปอย่างไม่หยุดยั้ง ความเร็วในการทะยานลมเช่นนี้ เกรงว่าเรือหลิวเสียที่มีชื่อเสียงเลื่อง ลือก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด พอคิดถึงเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็อด อยากจะครอบครองเรือตระกูลเซียนที่ว่ากันว่ามีความเร็วมากที่สุดใน ใต้หล้านี้ไม่ได้ ไม่รู ้ว่าเมื่อไหร่ภูเขาลั่วพั่วถึงจะได้ครอบครองเรือหลิว เสียกับเขาสักล านะ? แต่ดูเหมือนว่าเรือหลิวเสียจะไม่เหมาะให้น ามา ท าเป็ นเรือขนส่งสินค้าทางไกล เพราะเผาผลาญเงินเทพเซียนมาก เกินไป ส่วนใหญ่แล้วเป็ นสานักชั้นสูงที่เอาไว้ใช ้โอ้อวดหน้าตา ยกตัวอย่างเช่นในงานพิธีที่จะเอาไว้ใช ้รับส่งผู้ฝึ กตนบนยอดเขา บางส่วนที่มีคุณธรรมมีชื่อเสียง สถานะสูงศักดิ์โดยเฉพาะ
ในเรือนพักของจูเหลี่ยน เฉินผิงอันอยู่ว่างไม่มีอะไรทาจึงไปนั่ง อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา ถักตะกร ้าไม้ไผ่สานใบหนึ่งที่ยังทาไม่ เสร็จต่ออีกครั้ง ด้านข้างคือเก้าอี้หวายสาหรับนอนเล่น คิดดูแล้วตอน ที่ไม่มีแขกมาเยือน พ่อครัวเฒ่าก็น่าจะมานอนบนเก้าอี้หวายตัวนี้ หน้าร ้อนรับลมเย็น หน้าหนาวชมหิมะ
จูเหลี่ยนไปที่ห้องครัว ผูกผ้ากันเปื้อนเข้าที่เอว เริ่มง่วนทากับข้าว แล้ว หาได้ยากนักที่จะได้กินข้าวพร ้อมกับคุณชาย ต้องท าอาหารให้ อุดมสมบูรณ์สักหน่อย ปีนั้นออกจากพื้นที่มงคลบ้านเกิดพร ้อมกับ ถ่านด าน้อย เผยเฉียนต้องการ “ถามหมัด’ กับคนในภาพวาดทั้งสี่คน จูเหลี่ยนเคยบอกว่าตนที่คนที่ต่อยตีได้เก่งที่สุดในห้องครัว คือผู้ฝึก ยุทธที่ทากับข้าวได้เก่งที่สุด ทาเอาเผยเฉียนหัวเราะชอบใจ ยอมละ เว้นจูเหลี่ยนไปคนหนึ่ง ชนะแล้วก็ไม่สนุกตรงไหน ถือว่าชนะมาได้ อย่างไม่สมเกียรติ ภายหลังพอได้ยินว่าจูเหลี่ยนมีฉายาในยุทธภพที่
ไพเราะว่า “จูหลางผู้เป็ นเจ๋อเซียน” และยังมีฉายาว่า “คุณชายผู้สูง ศักดิ์” เผยเฉียนก็หัวเราะจนเกือบจะลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น จอมยุทธ หญิงและเทพธิดาในยุทธภพพวกนั้นต้องตาบอดขนาดไหน ต้องไม่ เคยเห็นโลกกว้างมาแค่ไหน บวกกับที่ต้องมีใจกว้างเท่าไร ตอนที่ เผชิญหน้ากับพ่อครัวเฒ่าที่ตอนเป็ นหนุ่มหน้าตาเหมือนแตงเบี้ยว
พุทราแตกแล้วถึงได้สามารถเรียกเขาว่า “จูหลาง” ได้เต็มปาก ยังคง เป็ นเหล่าเว่ยที่จริงใจกว่าหน่อย คุยกับเผยเฉียนเรื่องนี้เป็ นการ ส่วนตัว ช่วยเผยเฉียนคิดไปคิดมา เหล่าเว่ยก็บอกว่าคงเป็ นเพราะ ตอนนั้นจูเหลี่ยนต้องมีเงินมากแน่ๆ อายุน้อยแต่เงินเยอะ ทั้งยังเป็ น ลูกหลานขุนนางที่เคยอ่านตารามาหลายเล่ม ท่องอยู่ในยุทธภพก็ ชอบร่ายบทกวีเสียดหูพร ้อมกับโปรยเงินไปตลอดทาง พอในกระเป๋ า บุรุษมีเงิน อีกทั้งยังมีความสามารถ รูปลักษณ์ในสายตาของสตรีก็จะ หล่อเหลาขึ้นมาด้วยเผยเขียนรู ้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก เหล่าเว่ย อ่านหนังสือมาไม่มาก แต่ความรู ้กลับไม่ต่า
เฉินหน่วนซู่นั่งอยู่ด้านข้าง เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งบนและ ล่างภูเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมาให้นายท่านบ้านตนฟังด้วยน้าเสียง อ่อนนุ่ม
อันที่จริงเทพรายงานข่าวของภูเขาลั่วพั่ว ผู้พิทักษ์ขวาที่มี ชื่อเสียงเลื่องลือ เมื่อเทียบกับหน่วนซู่แล้วก็ได้แต่อยู่ในอันดับสอง เท่านั้น
เวลาที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทามักจะผ่านไปเร็วเสมอ โดยไม่ทันรู ้ตัว เมื่อเวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป เสี่ยวโม่ก็พาโจวหมี่ลี่มาจากเรือข้ามฟาก เฟิงยวน มาพลิ้วกายลงที่หน้าประตูภูเขาเรียกนักพรตเซียนเว่ยและ เด็กชายชุดสีชาดให้ขึ้นเขาไปกินข้าวด้วยกัน โจวหมี่ลึกระโดดข้าม บันไดทีละหลายๆ ชั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบานยินดี บนคิ้วสี เหลืองอ่อนจางสองช ้างคล้ายม้านั่งยาวตัวเล็กสองตัวที่มีคนจิ๋ว
ออกมานั่งอาบแดดอยู่หน้าประตูจนเต็มพื้นที่ไม่เหลือที่ว่าง ไม่ใช่ ญาติก็เป็ นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ดีใจ มีความสุข ชอบใจ เบิกบาน ลิง โลด…
“กลับบ้านแล้วนะ”
เด็กชายชุดสีชาดที่เดินขึ้นเขาอยู่ด้านข้างถามอย่างระมัดระวัง “รองหัวหน้าโจว ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้พบเจอกับใต้เท้าเจ้าขุนเขา แล้ว ได้พูดคุยกันแล้ว ใต้เท้าเจ้าขุนเขาเห็นว่าข้าน้อยมานะมาขาน ชื่อ คุณความเหนื่อยยากมีมากมาย จึงตอบตกลงกับข้าเรื่องหนึ่ง บอกว่าเรื่องของหัวหน้าผู้พิทักษ์ตรอกฉีหลงที่จะจัดตั้งขึ้นมาใหม่เริ่ม มีเค้าลางให้เห็นแล้ว ยินดีจะแนะนาให้ข้ารับตาแหน่งนี้ รองหัวหน้า โจวคิดเห็นเช่นไร หากท่านกับหัวหน้าศูนย์บัญชาการเผยต่างก็รู้สึก ว่าข้ายังต้องศึกษางานอยู่ในต าแหน่งของผู้พิทักษ์ขวาตรอกฉีหลง ต่อไปอีกหลายๆ ปี ต้องสะสมเส้นสายผู้คนและประสบการณ์ให้ มากกว่าเดิมก่อน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะถือโอกาสที่โชคดีได้กินข้าวร่วม โต๊ะกับเจ้าขุนเขาคนดีในวันนี้ บากหน้าปฏิเสธเรื่องนี้ไป ต่อให้ถูกใต้ เท้าเจ้าขุนเขาเข้าใจผิดว่าข้าไม่รู ้จักดีชั่ว ก็ดีกว่าให้ข้าไปรับตาแหน่ง แล้วคุณธรรมไม่สมกับต าแหน่ ง ท าอะไรไม่มีประสบการณ์ไม่ รอบคอบมากพอ สุดท้ายเดือดร้อนให้ใต้เท้าเจ้าขุนเขาตกเป็ นที่ต้อง สงสัยว่ามองคนไม่กระจ่าง ถึงเวลานั้นความผิดของข้าย่อมมาก มหันต์”
วงการขุนนางซับซ ้อนมากนะ ไม่ใช่ว่าเบื้องบนสั่งความมาคา เดียว แล้วเบื้องล่างจะนั่งอยู่ในตาแหน่งได้อย่างมั่นคง มีที่พึ่งก็จริง แต่ คิดจะตีเหล็กร่างกายตัวเองก็ต้องแข็งแรงก่อนด้วย
เซียนเว่ยได้ยินแล้วก็กลอกตามองบน
ท าไมถึงได้รู ้สึกว่าตัวเองท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี ล้วน เอาไปทิ้งไว้บนร่างของผู้พิทักษ์ฝ่ายซ ้ายตรอกฉีหลงหมดแล้วเล่า
โจวหมี่ลี่ชะลอฝีเท้า กระตุกสายเชือกของกระเป๋ าผ้าฝ้ าย ขมวด คิ้วครุ่นคิดอย่างจริงจังพักหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาคน ดีของพวกเรา น้อยครั้งมากๆ ที่จะแนะนาให้ใครมารับหน้าที่สาคัญ อะไรด้วยตัวเอง ตัวเจ้าเองมีความมั่นใจหรือไม่ล่ะ?”
เด็กชายชุดแดงได้ยินแล้วก็เหมือนมีแสงเปล่งออกมาจากใบหน้า “มีสิ ท าไมจะไม่มีล่ะต่อให้ต้องบุกน้าลุยไฟก็จะไม่เกี่ยงงอน”
อย่าว่าแต่เป็ นหัวหน้าผู้พิทักษ์ตรอกฉีหลงที่ต้องดูแลผู้พิทักษ์ ซ ้ายตัวเดียวเลย ความ มั่นใจที่จะเป็ นหัวหน้าน้อยของสาขาแยกซึ่ง แต่งตั้งใหม่ก็มีเหมือนกันนะ!
ยกตัวอย่างเช่นที่ตัวจังหวัด คนสนิทและคนรู ้ใจบางคนที่นิสัยแข็ง กร้าว ความสามารถโดดเด่น ล้วนเป็ นลูกน้องในวงการขุนนางภูเขา สายน้าของจังหวัดฉู่โจว รู้จักกันมานานหลายปี รู้ไส้รู้พุงกันดี เด็กชายชุดแดงได้เริ่มอบรมปลูกฝังพวกเขาอย่างตั้งใจแล้ว รอแค่ให้ มีการแต่งตั้งสาขาแยกขึ้นมา ก็จะเหมือนแม่ทัพที่ชูธงใหญ่บนสนาม
รบอย่างถูกต้องชอบธรรม เขาสามารถก่อสร ้างที่ว่าการหกกรมครบ ชุดขึ้นมาได้ทันที สามารถตบอกรับรองถามมโนธรรมในใจตัวเอง แล้วให้คารับประกันว่า พวกลูกสมุนทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็ นแม่ทัพ ผู้แข็งแกร่งชานาญการรบ คือขุนนางผู้มากความสามารถอันดับหนึ่ง แต่ละคนข่าวสารว่องไว ท าอะไรคล่องแคล่วรวดเร็ว พูดถึงแค่เรื่อง การรวบรวมรายงานข่าวของแต่ละฝ่ ายมาให้หัวหน้าใหญ่ก็ต้องไม่ เป็ นปัญหาแน่นอน
เพียงแต่ว่าการกระทาเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็อาจตกเป็ นที่ต้องสงสัย ว่าล้าเส้นเกินไป หากหัวหน้าใหญ่เผยและรองหัวหน้าโจวรู ้เข้า ก็ง่าย ที่จะเป็ นการหาเรื่องใส่ตัว ก่อให้เกิดปัญหาแทรกซ ้อน ถูกเข้าใจผิด คิดว่ารังเกียจที่หมวกขุนนางเล็กเกินไป สร ้างความหวาดระแวงให้กับ ผู้บังคับบัญชาถือเป็ นข้อห้ามใหญ่หลวงในราชส านักเชียวนะ เด็กชายชุดแดงหรือจะกล้าโอ้อวดตัวเองแต่เนิ่นๆ ผู้ที่จะทาการใหญ่ ได้ส าเร็จต้องไม่สั่นคลอนเพราะคาพูดคนข้างกายนี่นะ
ก็เหมือนอย่างที่เด็กชายชุดสีชาดถูกรับเข้าไปอยู่ในทาเนียบ ภูเขาสายน้าของสายเรือนไม้ไผ่อย่างลับๆ ถูกบันทึกลงในต าราแล้ว แต่ในความเป็ นจริงแล้วแม้แต่บรรพบุรุษหลิงจวินที่มีตาแหน่งสูงศักดิ์ เป็ นถึงขุนนางผู้ประคับประคองมังกรของภูเขาลั่วพั่ว จนถึงทุกวันนี้ก็ ยังไม่อาจมีชื่ออยู่ในทาเนียบได้เลย
เรื่องแบบนี้จะเอาไปแพร่งพรายข้างนอกได้หรือ? จะไม่ถูกบรรพ บุรุษหลิงจวินที่สามารถเดินลงลาน้าที่อุตรกุรุทวีปกลายเป็ นเจียวซ ้อม เกือบตายหรือไร?
ว่ากันว่าบรรพบุรุษหลิงจวินจะถูกบันทึกชื่อลงบนทาเนียบได้ หรือไม่ ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา ประเด็นส าคัญคือรอง หัวหน้าโจวเคยเสนอแนะไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังถูกตีกลับมา บอกว่าใน อนาคตค่อยประชุมกันใหม่
โต๊ะอาหารตัวหนึ่ง เฉินผิงอันย่อมต้องนั่งตาแหน่งประธาน จูเห ลี่ยนและเสียวโม่นั่งตรงข้ามกัน
เซียนเว่ยเป็ นฝ่ ายเชื้อเชิญให้หน่วนซู่น้อยนั่งบนม้านั่งยาวตัว เดียวกัน โจวหมี่ลี่นั่งข้างพ่อครัวเฒ่า เด็กชายชุดแดงพิเศษสุด มิอาจ ไปนั่งบนม้านั่งได้ ต้องนั่งที่ขอบโต๊ะ เจ้าตัวน้อยพก “ถังเหล้า” ขนาด เท่าเล็บมือติดตัวมาด้วยใบหนึ่ง แค่ดื่มเหล้าข้าวเหนียวเล็กน้อยก็ พอแล้ว
บนภูเขาลั่วพั่ว ความประทับใจที่นักพรตเซียนเว่ยมีต่อทุกคน ล้วนไม่เลว แต่กลับยังชอบหน่วนซู่น้อยมากที่สุด ไม่มีหนึ่งใน
ก่อนหน้านี้ที่เขาฟ้ องเฉินผิงอันก็เพราะแม่นางเซี่ยที่สมองไม่ สมประดีผู้นั้นมาหาเรื่องหน่วนซู่น้อย
หาไม่แล้วคนฉลาดที่คิดว่าตัวเองพเนจรอยู่ในยุทธภพมานาน หลายปีอย่างเซียนเว่ยไยต้องทาเรื่องเกินความจาเป็ นที่ง่ายจะถูกคน อาฆาตแค้นแบบนั้นด้วยเล่า
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็รับถ้วยข้าวใบหนึ่งมาจากมือของหน่วนซู่ เห็นว่าทุกคนไม่มีใครขยับตะเกียบก็ยิ้มเอ่ย “อย่ามัวนิ่งเฉยกันอยู่สิ ขยับตะเกียบ อยู่ที่นี่ยังต้องเกรงใจอะไรกันอีก”
เฉินผิงอันคืบเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิให้หน่วนซู่ก่อนหนึ่งคา แล้วจึงคืบปลาหลูนึ่งดอกซิ่งให้กับหมี่ลี่น้อย
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “หน่อไม้ยังหาง่าย ในบ้านตัวเองมีอยู่แล้ว แต่ ปลาหลูดอกซิ่งนี้กลับหายากแล้ว คือปลาแม่น้าอันดับหนึ่งที่ตระกูล เซียนทั่วไปก็ยังหากินไม่ได้ แล้วยังเป็ นปลาที่คุณชายตกมาจากล า คลองเที่ยวโปด้วยตัวเองอีกด้วย คุณชายตัดใจกินไม่ลง เลี้ยงไว้ใน ถาดน้าแข็งที่เอาไว้เก็บอาหารสดโดยเฉพาะในวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น พวกเราถึงได้มีลาภปาก ปลาหลูนี่ปกติจะกระโดดพ้นจากน้าขึ้นมา งับกินดอกซิ่ง เป็ นเหตุให้เนื้อเนียนนุ่ม แค่นึ่งน้าใสก็อร่อยแล้ว หาก ตุ๋นเป็ นน้าแดงจะเป็ นการย่ายีวัตถุดิบสวรรค์เกินไป พวกเจ้าลองชิมดู หากว่าอร่อยก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฝีมือทาอาหารของข้า แต่หาก พวกเจ้ารู ้สึกว่ารสชาติเฉยๆ ข้าก็คงต้องกลับไปทบทวนตัวเองใหม่ แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ไม่ใช่ว่านึกถึงพวกเจ้าเลยตัดใจ เสวยสุขคนเดียวไม่ลงหรอก คนที่ชอบตกปลาอย่างเราๆ กว่าจะตก
ได้ของดีก็ไม่ง่ายเลย แล้วจะไม่เดินอวดรอบ หมู่บ้านสักรอบสองรอบ ได้อย่างไร”
ตอนที่เป็ นเด็กหนุ่ม หลิวเสี้ยนหยางมักจะทาเรื่องแบบนี้เป็ น ประจ า แล้วยังชอบลากเฉินผิงอันไปด้วยกัน เดินไปกลับตรอกซิ่งฮวา และตรอกหนีผิงสองรอบ ตอนนี้ย้อนนึกดูแล้วก็น่าอับอายขายหน้ายิ่ง นัก