กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 979.4 วันนี้ไร ้เรื่องใด
เฉินผิงอันออกมาจากเรือนพักของจูเหลี่ยน มาถึงนอกเรือนไม้ ไผ่ นั่งอยู่ข้างโต๊ะหินริมหน้าผาเพียงล าพัง
ภูเขาฮุยเหมิงทางทิศเหนือ กับเฉินผิงอันที่หันหน้าไปนอกหน้า ผาซึ่งเวลานี้หันหน้าไปมอง ยอดเขาเทียนตูที่อยู่ทางซ ้ายมือคือเพื่อน บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมากกว่าภูเขา เที่ยวอวี๋และเชิงเขาฝู เหยา เพียงแต่ว่าภูเขาฮุยเหมิงที่อาณาเขตกว้างขวางได้ถูกภูเขาลั่ว พั่ว
เก็บมาไว้ในกระเป๋ าเรียบร ้อย กลายเป็ นภูเขาใต้อาณัติไปแล้ว ส่วนยอดเขาเทียนตู (ท้องฟ้ า/เมืองหลวงของจักรพรรดิ) ที่มี ความหมายยิ่งใหญ่มากนี้กลับถูกจวนเซียนของภาคกลางที่ในอดีต รากฐานของภูเขาพอๆ กับพรรคหวงเหลียงครอบครองไป อีกทั้งยังไม่ เหมือนกับยอดเขาอี้ไต้ ไม่เคยไปมาหาสู่กับภูเขาลั่วพั่ว ผู้ฝึกตนใน ภูเขาก็มีไม่มาก มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้นชอบที่จะเก็บตัวเงียบไม่ค่อย ออกไปไหน หลายปีมานี้ก็แค่ฝึกตนอย่างสงบอยู่ในภูเขาเท่านั้น ว่า กันว่าผู้ฝึ กตนที่นั่งพิทักษ์ภูเขาลูกนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เซียนดิน โอสถทองด้วยซ้า
หากผู้ฝึกตนของสองภูเขาต่างคนต่างยืนบนยอดเขาแล้วมองกัน อยู่ไกลๆ ก็ยังเป็ นภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ที่สูงกว่า
ดังนั้นยอดเขาเทียนตูจึงไม่ขัดขวางการมองเห็นที่เปิดกว้างของ บนยอดเขาภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกลายร่างเป็ นแสงกระบี่หลายสิบ เส้นมาที่ยอดเขา ยืนอยู่บนราวรั้ว สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ มองไปยังเมืองเล็กทางทิศตะวันออก แสงตะเกียงยามสายัณห์มองเห็น ได้ร าไร เฉินผิงอันกวาดตามองทุกตรอกซอกซอยไว้ในครรลองจักษุ
เมื่อก่อนในเมืองเล็ก พวกชายฉกรรจ์และยังมีชายแก่ขึ้นคาน บางคน ต่างก็ยินดีที่จะเดินผ่านตรอกหนีผิง ต่อให้อ้อมระยะทางไป หน่อยก็ยังจะต้องเดินผ่านให้ได้ ส่วนคนวัยเดียวกันที่อายุพอๆ กับเฉินผิงอันและซ่งจี๋ชิน อันที่จริงต่างก็ไม่ยินดีจะเดินผ่านตรอกหนี ผิงนัก บางครั้งที่เดินผ่านก็ไม่รู ้ว่าผู้อาวุโสในตระกูลสอนมาหรือพวก เขาคิดกันเอาเอง ถึงได้มักจะจงใจตะโกนพูดประโยคท านองว่า ครอบครัวพร ้อมหน้ากลมเกลียวเสียงดัง ด่าที่หนึ่งด่าถึงสอง คนหนึ่ง คือเด็กกาพร ้าที่ทาให้พ่อแม่ตาย อีกคนหนึ่งว่ากันว่าเป็ นบุตรนอก สมรสที่ผู้ตรวจการซ่งทิ้งไว้ข้างนอก มิน่าเล่าถึงได้มาอยู่รวมกันเป็ น เพื่อนบ้านกันได้
ทุกครั้งที่เป็ นวันที่สามสิบของสิ้นปีและวันที่หนึ่งของเดือนหนึ่ง รวมไปถึงวันเทศกาลชิงหมิง (หรือเชงเม้ง) แซ่สกุลแต่ละแห่งในเมือง เล็ก นอกจากหลุมศพของบรรพบุรุษบ้านตัวเองแล้ว ก็มักจะร่วมกัน ไปจุดธูปกราบไหว้ที่หลุมศพของบรรพบุรุษห่างไกลที่มีร่วมกัน แซ่ เฉินในเมืองเล็ก แน่นอนว่าไม่ถือเป็ นแซ่ใหญ่ ไม่ได้อยู่ในอันดับของสี่ แซ่สิบสกุลของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ แต่กลับมีลายแยกออกไป
หลายสาย ตอนที่เฉินผิงอันเป็ นเด็กก็เคยตามบิดาไปเช่นไหว้หลุมศพ บรรพบุรุษเหมือนกัน มีเส้นทางสายหนึ่งที่กาหนดไว้ให้เดิน รอกระทั้ง พ่อแม่จากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็เคยถือถาดเอากระดาษสีแดงไปวางเอา ธูปไปจุด เดินตามเส้นทางในความทรงจ าไปยังหลุมศพ เพียงแต่ว่ามี ครั้งหนึ่งถูกคนเจอเข้า พวกบุรุษแซ่เฉินทั้งหลายที่เดิมทีหากอิง ตามล าดับอาวุโสแล้วเขาจะต้องเรียกว่าปู่ เรียกว่าลุงต่างก็มีสีหน้าไม่ น่ามอง เพียงแต่ติดขัดอยู่ที่กฎของบรรพบุรุษซึ่งสืบทอดต่อกันมา หลายรุ่น สุดท้ายจึงไม่ได้เอ่ยคาพูดไม่น่าฟังอะไร เพียงแต่ว่าวันที่หนึ่ง เดือนหนึ่งของในปีหนึ่ง เฉินผิงอันค้นพบว่ากระดาษที่ตัวเองเอาไป แขวนในวันที่สามสิบของสิ้นปีไม่อยู่แล้ว ลองไปหาดูถึงค้นพบว่าดู เหมือนจะถูกคนโยนทิ้งไปในนาด้านข้างหลุมศพแทนแล้ว
เด็กชายไม่มีเวลามามัวเสียใจ กระโดดลงจากค้นนา หยิบเอา กระดาษสีแดงที่ถูกคนซึ่งมาอย่างระมัดระวัง ชั่วขณะนั้นเขาสับสนทา อะไรไม่ถูก ไม่รู ้ว่าหากเอากระดาษที่อยู่ในมือไปวางได้ก้อนหินหน้า หลุมศพอีกครั้งจะเป็ นการละเมิดข้อห้ามอะไรหรือไม่ แต่หากเอา กลับไปบ้านทั้งอย่างนี้ก็กังวลว่าจะทาผิดกฏอีก
เด็กชายที่ไว้ที่พึ่งจึงยืนอยู่ในคันนาอย่างเคว้งคว้างเช่นนั้นอยู่ นาน ไม่ได้รู ้สึกโกรธ แต่รู ้สึกว่างโหวงในใจ
หลังจากมีนั้น เดินยิ่งอันก็ไปไหว้แค่หลุมศพของพ่อแม่อย่าง เดียว
ท่ามกลางคันนา ท่ามกลางฟ้ าดิน
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนราวรั้ว หยิบน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นออกมา แหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าค าใหญ่
เรือนพักของจูเหลี่ยน เสี่ยวโม่และเว่ยเซียน รวมไปถึงเด็กชาย ชุดสีชาดต่างก็ยังอยู่ต่อ
อยู่ว่างไม่มีอะไรทา จูเหลี่ยนจึงหยิบโถเก็บเม็ดหมากออกมาเล่น หมากกับเสี่ยวโม่ เสียวโม่เรียนรู ้วิธีการเล่นหมากได้อย่างรวดเร็ว ฝีมือจึงพัฒนาจนเรียกได้ว่าผ่าทะลุล าไม้ไผ่หนึ่งวันหนึ่งขอบเขต
เด็กชายชุดสีขาดเพิ่งจะนั่งลงบนเม็ดหมากเม็ดหนึ่งที่หยิบ ออกมาจากกระดานหมาก
เซียนเว่ยก็ยิ้มคืบเม็ดหมากเม็ดหนึ่งออกมาจากโถ วางลงข้าง โต๊ะ เด็กชายชุคสีขาดถามว่าอะไรน่ะ เซียนเว่ยจึงยิ้มตอบว่าคาพูด เหมือนผายลมของเจ้ามีเยอะนี่นา
เจ้าคือหอมต้นไหน ถึงได้กล้าพูดจาสามหาวต่อหัวหน้าผู้พิทักษ์ ตรอกฉีหลงคนใหม่เช่นนี้? ก่อกบฏหรือไร เด็กชายชุดสีชาดจึงเริ่ม ลับฝีปากกับนักพรตเซียนเว่ย ทะเลาะกันไม่หยุด
เซียนเว่ยนึกถึงหวงอือวิ๋นคนนั้นขึ้นมาอีกจึงกดเสียงต่าถามว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้ารู ้สึกว่าเจ้าขุนเขาเย่ผู้นั้น สวยแค่ไหน? เจ้าว่าหาก พวกเราสองคนเจอนาง จะหวั่นไหวหรือไม่
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “คงไม่กระมัง
เซียนเว่ยทอดถอนใจ “ที่นี่ของพวกเราไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด ก็ แค่สตรีแปลกหน้าทีที่มีน้อย”
จูเหลี่ยนร ้องโอ้โหหนึ่งที “คล้องจองไม่เบา” (ในประโยคข้างต้นที่ เซียนเว่ยพูดมีค าว่าดี อ่านว่าห่าว ที่คล้องกับคาว่าน้อยที่อ่านว่าซ่าว)
เซียนเว่ยขยับคอเสื้อ “หากเสี่ยวเต้าไม่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลจะ เป็ นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรือ
เด็กชายชุดสีชาดกุมท้องหัวเราะก๊าก “เจ้าเนี่ยนะ? เซียนเว่ยหนอ เซียนเว่ย หากวันโดเจ้าแก่แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะมีรูปโฉมเหมือนพ่อครัว เฒ่าหรอกหรือ คาดว่าคงไม่ได้มีหน้าตาเมตตาปราณีอย่างพ่อครัว เฒ่าด้วยซ้า”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ดึงข้าไปเกี่ยวด้วยทาไม”
เด็กชายชุดสีชาดแสร ้งทาเป็ นเรอ เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่อง
แสงจันทร ์ในคืนฤดูใบไม้ผลิ ก้อนเมฆบางเบาสายหมอกอ่อนจาง มักจะท าให้คนหนุ่มสาวมีความสุขได้เสมอ น่าเสียดายที่อายุก็ไม่น้อย แล้ว ยังไม่มีที่พักพิง นักพรตเซียนเว่ยรู ้สึกกลัดกลุ่มเล็กน้อย ตนคง จะไม่เป็ นโสดแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง ดูอย่างพ่อครัวเฒ่านี่สิ นี่ก็คือตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
“เป็ นคุณชายผู้สง่างามที่แต่งกลอนให้หญิงขับร ้อง สวมชุดขาว ไม่เป็ นรองเหล่าขุนนางคนเสเพลเดินผ่านพุ่มบุปผา มักมีเสน่ห์เสมอ”
จูเหลี่ยนมือหนึ่งคืบเม็ดหมาก อีกมือหนึ่งอ้อมผ่านศีรษะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กาลเวลาผ่านไปเร็วไร ้เหตุผลมากที่สุด เด็กหนุ่มกลายเป็ น คนแก่ผมขาวโดยไม่ทันรู ้ตัว รูปโฉมในคันฉ่องก็เริ่มโรยรา ดอกท้อ เพิ่งจะเป็ นสีแดง ใบกล้วยก็เริ่มกลายเป็ นสีเขียว”
เซียนเว่ยใคร่ครวญถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “พ่อครัวเฒ่า ตอนที่เจ้าเป็ นหนุ่ม คงไม่ใช่ว่าก็เคยมีความรักชายหญิง ที่พัวพันให้ทุกข์ตรมอยู่เหมือนกันกระมัง?”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่เคยอ่าน ต าราอริยะปราชญ์มาก่อน ไม่มีทางตีกับสตรีง่ายๆ หรอกนะ”
เซียนเว่ยหัวเราะหึหึ “เหมือนข้า เหมือนข้า”
เด็กชายชุดแดงหัวเราะจนเจ็บท้อง “เหมือนเกาผิง พวกเจ้า เหมือนทั้งคู่”
คนทั้งสามหันไปมองเสี่ยวโม่พร ้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เสี่ยว โม่เอ่ยอย่างอ่อนใจยิ่ง นัก “ก็เหมือน ก็เหมือน”
ตอนที่เฉินผิงอันย้อนกลับมาที่เรือนไม้ไผ่ก็สังเกตเห็นว่าหน่วนซู่ ยืนเฝ้ าอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ามีกุญแจ”
เฉินหน่ วนซูแสร้งท าเป็ นกระจ่างแจ้ง เฉินผิงอันหัวเราะ “ไม่ เป็ นไรๆ เข้าไปนั่งในห้องได้พอดี”
ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด
บนโต๊ะหนังสือวางต้นชางผูกระถางหนึ่งที่เขียวปลั่งราวกับจะคั้น น้าออกมาได้ ไม่ใช่วัตถุตระกูลเซียน เป็ นหน่วนซู่ที่ขนมาจากลาธาร กลางภูเขาในอดีตและให้การดูแลเป็ นอย่างดี
ก่อนหน้านี้เพื่อแสดงความยินดีที่อาจารย์ของตนได้ตาแหน่งใน ศาลบุ๋นกลับคืนมาเทพภูเขาจิ๋วอี๋ก็ได้มอบกระถางชางผูมาให้ใบหนึ่ง แต่เป็ นชางผู้โชคชะตาบุ๋น แน่นอนว่าไม่ใช่ของทั่วไป มีอายุเป็ นพันปี แล้ว สามารถดูดซับแก่นแห่งฟ้ าดิน ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะ สามารถรวบรวมหยดน้าขนาดเท่าเล็บมือขึ้นมาได้ ชางผู้โชคชะตาบุ๋ นกระถางนี้ถูกเฉินผิง อันนามามอบต่อให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ทุกวันนี้ล้วนเป็ นนางที่ให้การดูแลอย่างเอาใจ ใส่หยดน้าครึ่งหนึ่งที่มี ชะตาบุ๋นบริสุทธิ์ล้วนทิ้งไว้ในพื้นที่มงคลรากบัว ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้ เฉินหน่วนซู่ใส่ไว้ในลาธารของภูเขาลั่วพั่ว ปล่อยให้ไหลไปตาม กระแสน้า ไปยังลาคลองหลงชวี แม่น้าเถี่ยฝู…เพียงแค่เพราะเป็ นการ เพิ่มพูนโชคชะตาบุ๋นที่เหมือนสายน้าไหลยาวครั้งหนึ่ง ไม่มีโอกาสที่ จะเห็นผลทันตา ดังนั้นราคาของต้นชางผูภูเขาจิ๋วอี๋ถึงไม่ได้สูงลิบลิ่ว แน่นอนว่าต้นชางผูที่มี “อายุการฝึกตน สามพันปีสองสามกระถาง นั้นต้องคิดเป็ นอีกราคาหนึ่ง
เฉินผิงอันหยิบตาราหลายปีกออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ เขาแยก ประเภทเอาไว้นานแล้ว ช่วยกันกับหน่วนซู่วางไว้บนตาแหน่งที่ แตกต่างกันบนชั้นวางหนังสือ อันที่จริงในเรื่องนี้เฉินผิงอันก็ เหมือนกับองค์ชายของราชวงศ์ก่อนที่อยู่ในอารามหวงฮวาเมือง
หลวงต้าเฉวียนผู้นั้น ต่างก็มีโรคย้าคิดย้าทา แต่เฉินผิงอันแค่ไม่ได้ เป็ นหนักเหมือนฝ่ายหลัง
สุดท้ายเฉินผิงอันยื่นหนังสือปี กหนึ่งให้หน่วนซู่ เด็กหญิงชุด กระโปรงชมพูใช ้สองมือถือประคองตารา โค้งตัวต่าขอบคุณ
หน่วนซู่ก าลังจะขอตัวกลับไป ไม่รบกวนการพักผ่อนของนาย ท่านแล้ว
เฉินผิงอันยกเก้าอี้ไม้ไผ่มา ยิ้มเอ่ยว่า “นั่งอ่านหนังสือเป็ นเพื่อน ข้าสักครู่เถอะ”
นางจึงวางหนังสือไว้บนโต๊ะชั่วคราว แล้วหยิบหนังสือออกมาเล่ม หนึ่ง หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กน้อยอ่านหนังสือด้วยกัน
เฉินผิงอันพลันยิ้มเอ่ย “คนบนภูเขามีไม่มากก็ดีเหมือนกัน หน่ วนซู่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป”
พอคิดแบบนี้ เรื่องที่ถูกลูกศิษย์ของตัวเองมาขุดมุมกาแพง ความ โมโหของใต้เท้าเจ้าขุนเขาก็คลายลงได้เยอะแล้ว
หาไม่แล้วหากเจ้าส านักชุยรู ้สึกว่าเรื่องบางอย่างสามารถเลิกแล้ว ต่อกันได้เพียงเท่านี้เหอะ ถ้าอย่างนั้นก็ไร ้เดียงสาเกินไปหน่อย
เฉินหน่วนซู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่าน เจ้า ส านักชุยส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ข้า ในจดหมายบอกว่าอีกเดี๋ยว นายท่านก็จะกลับมาถึงบ้านแล้ว ให้ข้าบอกกับอาจารย์จูให้ดีว่า
ทากับข้าวให้ตั้งใจหน่อย แล้วยังเขียนรายการอาหารที่นายท่านชอบ ที่สุดมาไว้ให้ด้วย สุดท้ายตรงช่วงท้ายของจดหมายยังกาชับข้าว่า อย่าเล่าเรื่องนี้ให้นายท่านฟัง”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันหน้าค่อยไปคิดบัญชีกับเขา”
หน่วนซู่ท าท่าจะพูดแต่ไม่พูด เฉินผิงอันกล่าว “เขาเดาได้แล้วจะ อย่างไร กล้าพูดอะไรกล้าคิดอะไร ข้าก็จะคิดบัญชีเพิ่มเติมกับเขาเอง ช่างเถอะๆ อย่าท าให้เจ้าล าบากใจจะดีกว่า ข้าจะแสร ้งท าเป็ นไม่รู ้ อะไรก็แล้วกัน”
หน่วนซู่ยิ้มเขินอาย
เฉินผิงอันเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “อันที่จริงข้าเองก็ไม่รู ้ว่าควรจะเป็ น อาจารย์อย่างไรดีกลุ่ม กลุ่มยิ่งนัก”
หน่วนซูเงยหน้าขึ้น คิดแล้วก็คลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “นายท่าน ถึง อย่างไรเจ้าส านักชุยก็รู ้ว่าควรเป็ นลูกศิษย์ที่ดีอย่างไร อาจจะน่ากลุ้ม ก็จริง แต่ก็ไม่ต้องกลุ้มมากขนาดนั้นได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “ก็จริงนะ!”
ในห้องมีเพียงเสียงเปิดหนังสือดังฟั่บๆ เท่านั้น เฉินผิงอันพูดชวน คุยว่า “หน่วนซู่ บางครั้งก็ร ้อนใจเรื่องขอบเขตหรือไม่?”
หน่วนซู่เงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้องบอกให้ชัดเจนนะว่า ข้าไม่ได้เร่งรัดการ ฝึ กตนของเจ้า เพียงแต่กังวลว่าเจ้าจะมีความคิดบางอย่างแต่ไม่ สะดวกจะเปิ ดปากพูด อีกทั้งข้าที่เป็ นเจ้าขุนเขายังชอบออกไปข้าง นอกบ่อยๆ ตลอดทั้งปีแทบไม่ได้อยู่บ้าน ไม่เข้าท่าเท่าไรจริงๆ ดังนั้น จึงอยากถามความเห็นของเจ้าดู หากว่าไม่มีความคิดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ ปล่อยวางเอาไว้ก่อน แต่หากว่ามี ก็อย่าได้รู ้สึกลาบากใจ วันนี้ข้าคิด กลยุทธมาไว้เรียบร ้อยแล้ว พรุ่งนี้ก็สามารถลงมือเตรียมการได้แล้ว รับรองว่าจะมั่นคงแน่นอน”
หน่วนซูรีบส่ายหน้าโบกมือ “นายท่าน ไม่ต้องๆ”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร ้อน”
หน่วนซู่ยิ้มกว้างสดใส ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง อาจารย์จาง เฉินยวนจี…ทุกคนบนภูเขา ลั่วพั่ว
อันที่จริงนายท่านล้วนมองอยู่ในสายตา วางไว้ในใจ
แน่นอนว่ายังมีตัวขี้เกียจที่ทุกวันชอบตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็ น คนอ้วนผู้นั้นด้วย
ในห้องชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่แห่งนี้ แม้ว่าพื้นที่จะเล็กคับแคบ แต่สมบัติกลับมีมากมาย
นอกจาก “เทียบ ณ ขณะนั้น” ที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้ ตอนที่อยู่ ตลาดด่านไน่เหอ ภูตน้อยก็เคยมอบแท่นฝนหมึกที่เขียนคาว่า “เข้าใจหลักการแจ่มชัด ก้าวเดินอย่างมั่นคง” และยังมีตราประทับสุย สิงที่แกะสลักภาพขุนเขาสายน้านูนต่า เวลานี้ล้วนถูกเฉินผิงอันนามา วางไว้บนโต๊ะหนังสือ
ช่วงที่เข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋น จางจื๋อเปิดร ้านผ้าห่อบุญไว้บน เกาะนกแก้ว ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่มีเงินสดติดตัวจึงยืมเงินบางส่วน จากหลิวชื่อเฉิงและถัวเหยียนฮูหยิน แล้วก็ได้ซื้อของที่ถูกใจมาหลาย ชิ้น ส่วนสมบัติบนภูเขาประเภทต่างๆ ที่ไม่สะดวกจะเอามาวางไว้บน โต๊ะหนังสือก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่บนยอด เขาหย่างอวิ๋นของสานักสั่วอวิ๋นอุตรกุรุทวีป ก็ไม่ใช่ว่า “น้าใจยากจะ ปฏิเสธ” จึงได้รับเสื้อเกราะหลิงเป่าของศาลซานหลางมาหนึ่งชิ้นและ เสื้อเกราะจินอูของสานักการทหารมาหนึ่งชิ้นหรอกหรือ?
และยังมีหลิงจือหยกขาวที่เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวแห่งหอเซียนจิ่ว เจินมอบให้ ทั้งสองฝ่ ายไม่ตีกันก็ไม่ได้รู ้จักกัน ผลคือแค่เห็นหน้าก็ มอบของขวัญให้ ระดับขั้นเป็ นถึงอาวุธกึ่งเซียนอีกด้วย
นอกจากนี้ตอนอยู่ที่สานักมังกรน้า ซุนเจี๋ยเจ้าส านักแห่งส านัก เหนือได้มอบปลาวัวคารามมาให้หนึ่งคู่ ทางฝั่งของสานักใต้ เส้าจิ้งจื อก็มอบเมี่ยเหมิ่งที่บนภูเขามีอีกชื่อว่าเจียวหมึกน้อยมาให้อีกหนึ่งตัว เฉินผิงอันคิดว่าก่อนที่หงเซี่ยกับอวิ๋นจื่อจะออกเดินทางไกลไปยัง ใบถงทวีป จะน าไปมอบให้พวกเขา และยังมีแผ่นหยก “จวิ้นชิงอวี่
เซียง” ที่หลี่หยวนมอบให้น่าเสียดายที่มอบให้ฟ่ านจวิ้นเม่าไปแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหน้ามอบให้เป็ นของขวัญที่เฉินหลิงจวินรับต าแหน่งผู้ ถวายงานพิทักษ์ภูเขาและผู้พิทักษ์ฝ่ ายซ ้ายของภูเขาลั่วพั่ว หรือมอบ ให้กับฉิวตู๋หมัวมัวเฒ่าเป็ นของขวัญตอบแทนกลับคืนในการรับ หน้าที่เป็ นผู้ถวายงานสานักกระบี่ชิงผิงก็ล้วนถือเป็ นตัวเลือกที่ดีมาก
ไม่รู ้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เฉินหน่วนซู่อ่านต าราไปได้ประมาณ ครึ่งเล่มก็รีบลุกขึ้นยืนหอบหนังสือขอตัวกลับไป เฉินผิงอันบอกว่า ตัวเองจะไปเดินเล่นเหมือนกัน จึงไปส่งนางกลับเรือน ผลคือเห็นหมี่ลี่ น้อยยืนตัวตรงเป็ นเทพทวารบาลอยู่ เฉินหน่วนซูรีบเอ่ยขออภัยนาง หมี่ลื่น้อยยิ้มกว้าง แม่นางน้อยสองคนโบกมือลาเฉินผิงอันด้วยกัน แล้วก็ไปคุยเล่นกันสองคน
เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนไม้ไผ่ มานั่งที่โต๊ะหินริมหน้าผาอีกครั้ง แสร ้งทาเป็ นไม่รู ้เรื่องผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้หันกลับมามอง ใบหน้าเต็ม ไปด้วยความประหลาดใจ
ข้างโต๊ะมีคนจิ๋วดอกบัวมานั่งอยู่ เมื่อครู่นี้เพิ่งกระโดดออกมาจาก ดิน แล้วจึงกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะหิน สุดท้ายกระโดดมานั่งริมโต๊ะ ใช ้ มือข้างเดียวยันพื้นผิวโต๊ะ สองขาแกว่งเบาๆ
เฉินผิงอันยิ้มจับเจ้าตัวน้อยมาวางไว้บนไหล่ตัวเอง มองไปยังทิศ ไกลด้วยกัน กฎเดิมนั่นคือเล่าเรื่องประหลาดและคนที่น่าสนใจยาม ออกเดินทางไกลไปท่องเที่ยวครั้งนี้ให้เจ้าตัวน้อยฟัง
คนหนึ่งเล่าอย่างละเอียด อีกคนหนึ่งฟังอย่างตั้งใจ สุดท้ายเฉิน ผิงอันพึมพ าว่า “กลับมาบ้านแล้ว วันนี้ไร ้เรื่องใด”