กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 980.2 สอนหมัดและเติมสุรา
ตามคากล่าวของจูเหลี่ยน ความต่างที่ใหญ่ที่สุดของการฝึกวร ยุทธและฝึกเซียน ก็คือเป็ นผู้มีพรสวรรค์เหมือนกัน ผู้ฝึกลมปราณ สามารถเสวยสุขไปได้ตลอดทาง ฝ่ าทะลุขอบเขตอย่างราบรื่น ประกายแสงเปล่งวาบไม่กี่ทีก็สามารถขี่เมฆทะยานหมอกโผผิน ขอบเขตพุ่ง สวบๆๆ ขึ้นสู่เบื้องบน แต่ผู้ฝึกยุทธกลับไม่เหมือนกัน ไม่ มีชะตาชีวิตที่ดีเช่นนี้ ถึงขั้นที่ว่ายิ่งเป็ นผู้มีพรสวรรค์ก็ยิ่งต้องเจอกับ ความยากลาบาก หาไม่แล้วฝ่ าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป วิ่งตึงๆ ขึ้นไป บนภูเขา หยุดอยู่บนบันไดแต่ละขั้นไม่นาน ก็จะทาให้รากฐานไม่แน่น หนาขอบเขตเป็ นของจริง แต่เป็ นหมอนปักลายบุปผาก็เป็ นของจริง เหมือนกัน
เฉายางเห็นเงาร่างสองสายตรงหน้าประตู นางก็เก็บดาบลงไป ทันที
เด็กสาวมีสีหน้าตื่นตระหนก มือไม้ไม่รู ้จะวางไว้ตรงไหน
อาจารย์ผู้เฒ่าจูคือแขกประจาของเรือนหลังนี้แล้ว ทั้งยังเมตตา ปราณี เป็ นเหตุให้เกิดใจใกล้ชิดสนิทสนมไม่รู ้สึกห่างเหิน
แต่คนชุดเขียวผู้นั้นกลับทาให้เฉายางตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด พอ มาถึงภูเขาลั่วพั่ว นางเคยเจอหน้าเฉินผิงอันแค่ครั้งเดียว อีกอย่างผู้ ฝึกกระบี่ในใต้หล้านี้ โอสถทองบนภูเขาก็สามารถเรียกขานว่าเป็ น
เซียนกระบี่ได้แล้ว แต่ผู้ฝึ กยุทธขอบเขตปลายทางบนโลกกลับมี นอยจนนับนิ้วได้ อย่างธวัลทวีปที่ชะตาบู๊บางเบาแห่งนั้น ขุนเขา สายน้าของหนึ่งทวีปก็ยังมีแค่เพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงคนเดียว เท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าขุนเขาหนุ่มที่มองดูเหมือนสีหน้าเป็ น มิตร คิ้วตาอ่อนโยนตรงหน้าผู้นี้ ยังเคยสอนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ที่เป็ นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางเช่นเดียวกันออกมาเองกับ มือด้วย
เขายังเคยไปเยือนกาแพงเมืองปราณกระบี่ เคยเป็ นอิ่นกวานคน สุดท้ายในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ เฝ้ าหัวกาแพง เมืองเพียงล าพังนานหลายปีกว่าจะได้กลับคืนสู่บ้านเกิด…
แต่ละเรื่องแต่ละราว สาหรับเฉายางแล้วล้วนเป็ นเรื่องไกลสุดขอบ ฟ้ าของคนที่อยู่ห่าง ไกลสุดขอบฟ้ า
ดังนั้นหากจะพูดถึงจิตใจที่เคารพยาเกรง เผชิญหน้ากับเฉินผิง อันที่มีสถานะมากมาย นับไม่ถ้วนแล้ว เฉายางย่อมต้องมีมากกว่า เจ้านายอย่างเฉาอินไม่น้อย
สภาพจิตใจของเด็กสาวในเวลานี้เหมือนเด็กนักเรียนประถมที่ ท่องหนังสือเสียงดังแล้วพลันสังเกตเห็นว่าตรงหน้าประตูมีอริยะ ปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อที่มีความรู ้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้ าคนหนึ่งมายืนอยู่
คนที่ฝึ กวรยุทธซึ่งยังไม่ได้ก้าวเข้าห้องอย่างแท้จริง เจอกับ ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางที่อยู่บนยอดเขาและยิ่งเคยไป เยือนบนฟ้ ามาก่อนแล้ว แน่นอนว่าต้องเห็นอีกฝ่ายเป็ นดั่งเทพเจ้า
จูเหลี่ยนกลับไม่รู ้สึกแปลกใจกับความตื่นเต้นและระมัดระวังตัว ของเด็กสาว นี่เป็ นเรื่องปกติอย่างมาก
เฉินผิงอันเองก็เคยมองคนอื่นด้วยความรู ้สึกเช่นนี้
ทุกวันนี้คนอื่นก็มองเขาด้วยความรู ้สึกเช่นนี้
คล้ายกับขุนเขาสายน้าซ้าเดิมบนเส้นทางในชีวิตคน ข้ากับคนที่ ไม่ใช่ข้าต่างก็เป็ นทัศนียภาพให้แก่กันและกัน
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูมา ยิ้มเอ่ยเตือนว่า “เฉายาง เมื่อครู่ เจ้าเก็บดาบ การรวบปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างกายคล้ายว่าจะมี ช่องโหว่ค่อนข้างมาก เริ่มด้วยจุดเหอกู่ ไปที่จุดเพียนลี่ ไปจนถึงช วีฉือ (ชื่อจุดชีพจรลมปราณในร่างกาย) ความเร็วช ้าเกินไป นอกจากนี้ตอนที่ลมปราณไปถึงจุดเทียนฝูกลับหยุดชะงักไปเล็กน้อย กว่าจะบารุงหล่อเลี้ยงเนื้อหนัง เลือดลมและเส้นเอ็นกระดูกได้มาก กว่าเดิม จาเป็ นต้องมีสภาพการณ์เหมือนกระแสน้าไหลวนอ้อมผ่าน ภูเขา นอกจากนี้จากจุดหลิงฝูถึงหลิงชวี ไปจนถึงฝูทู่ เหลียงชิวและ เซี่ยจวี้ชวี ต้องทาให้เสร็จในรวดเดียว แปรเปลี่ยนให้กลายเป็ นน้าตก ที่ไหลดิ่งลงมา ลมปราณไหลรินทาได้เร็วเท่าไรก็ควรให้เร็วเท่านั้น สร ้างภาพบรรยากาศที่เจียวหลงตัวหนึ่งพุ่งกระแทกสระน้าจนคลื่นน้า
พันชั้นกระจายตัวขึ้นมา เมื่อหล่นลงบนตาแหน่งต้าจงสามารถทาให้ เกิดเสียงฟ้ าคารามดังลั่น พุ่งทะลุจุดหย่งเฉวียน นี่จึงเป็ นเหตุให้เมื่อ ครู่นี้เจ้าเอาแต่แสวงหาว่าจะยืนอย่างมั่นคงได้อย่างไร จงใจรวบ ลมปราณมาเป็ นเส้นเล็กบาง จนสละสัจธรรมที่แท้จริงของวิชาหมัดนี้ ทิ้งไป แน่นอนว่านี่เป็ นเรื่องที่ผิด มองดูเหมือนท่าหมัดมั่นคง แต่ ความหมายกลับหายไปแล้ว ถือเป็ นการแสวงหาความมั่นคงในความ มั่นคง คร่าครีตายตัวเกินไป หากสามารถทาตามที่ข้าแนะนาได้ ลมปราณที่แท้จริงรวมกันอยู่ในจุดหย่งเฉวียน เหมือนใช ้หมัดตีกลอง ต่อยให้เลือดลมในจุดหย่งเฉวียนเดือดพล่าน ประหนึ่งมีก้อนหินหล่น ลงในทะเลสาบหัวใจ กระแสน้าโหมเชี่ยวกราก อย่าได้กลัว “สถานการณ์วุ่นวาย” ที่เป็ นเช่นนี้เด็ดขาด ต้องรู ้ว่านี่เป็ นทั้งที่ตั้งของ ความหมายในการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึ ก ยุทธทั้งยังสอดคล้องกับคาถาในการเรียนวรยุทธของตระกูลเฉาพวก เจ้าด้วย หากเจ้าอาศัยสถานการณ์ที่มองดูเหมือนลมปราณวิญญาณ วุ่นวาย ลูกคลื่นชัดให้เกิดเมฆลอยกรุ่นประกายแสงเรื่อเรื่องเช่นนี้มา เก็บรวบรวมความคิดจิตใจ ดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นขึ้นมา อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจากปล่อยมาเป็ นเก็บ คล้ายกับปลาหลีตัวหนึ่งที่ กระโดดข้ามประตูมังกรไต่ขึ้นสูงไปทีละชั้น พอไปถึงจุดกวานหยวน และพลิกไปถึงจุดชื่อตู้ที่อยู่ด้านหลังลมปราณแท้จริงหยุดชะงัก เล็กน้อยเหมือนมังกรขดตัว ผสานวิชาดาบเข้าไปในคาถาของสกุล เฉา บังคับปราณที่แท้จริงให้เหมือนมังกรที่เลื้อยอยู่บนกาแพง ประหนึ่งการบุกทะลวงไปบนสนามรบ รอคอยโอกาสที่จะจู่โจม
จากนั้นกองทัพม้าเหล็กก็พุ่งทะลุออกจากด่านมาเวลานี้ก็ต้องให้เจ้า ใช ้คาถาและตาราดาบ ลองคิดถึงการเปลี่ยนจากบนล่างมาเป็ นหน้า หลังนึกภาพที่คนผู้หนึ่งถือดาบเหมือนกองทัพม้านับหมื่นทะลวง ขบวนรบไปบนพื้นที่ราบ ทะยานไปที่จุดจื้อหยาง เลียบจุดเสินเต้า ผ่านเฟิ งฝูเหมือนเคาะประตู เดินขึ้นสู่ที่สูงเหมือนเดินบนพื้นที่ ราบเรียบ สุดท้ายลมปราณกลับไปที่จุดเสินถิง”
เฉายางฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุด ซึมออกมาเหมือนว่าเหนื่อยกว่าฝึกดาบเสียอีก
เฉินผิงอันยิ้มถาม “จาไม่ได้หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอีกรอบ”
เฉินผิงอันย้าทวนซ้าอีกครั้ง เฉายางรวบรวมสมาธิรับฟังอย่าง ไม่ให้ตกหล่นไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว จดจาเนื้อหาทั้งหมดเอาไว้
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มกล่าว “ข้าจะสาธิตให้ดูรอบหนึ่ง จะ ชะลอความเร็วในการปล่อยลมปราณแท้จริงให้ไหลริน ตอนนี้ ขอบเขตของเจ้ายังไม่สูงพอจึงไม่อาจมองเห็นการไหลรินของปราณ ที่แท้จริงในร่างข้าได้ แค่ดูให้พอเป็ นพิธีก็พอ ก็เหมือนคนนอกอย่าง พวกเราที่ดูผลงานจริงของเทียบอักษรที่ยากจะมองออกว่าอะไรเป็ น อะไร แต่ดีหรือไม่ดีก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง วันหน้าเจ้าลงจากภูเขาไป หาประสบการณ์ก็ต้องได้เห็นคนอื่นออกหมัด ซึ่งก็ควรต้องทาเช่นนี้ มองดูก่อนแล้วค่อยครุ่นคิด”
ขณะที่เฉินผิงอันพูดก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาทาท่ากาดาบ ขยับ ไปหนึ่งก้าว ทาเหมือนการเก็บดาบของเฉายางก่อนหน้านี้อย่างไม่มี ผิดเพี้ยน ไม่คลาดเคลื่อนไปสักเสี้ยวเดียว
เฉาอินก็เดินออกมาจากในห้องแล้ว ยืนอยู่ในระเบียงใต้ชายคา ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนเจ้าขุนเขาเฉินที่กาลัง ‘ถ่ายทอดวิชาความรู ้” ให้กับเฉายาง
จูเหลี่ยนขยับมาอยู่ข้างกายเฉาอินเงียบๆ นั่งยองอยู่ตรงขั้นบันได พูดกลั้วหัวเราะเบาๆว่า “เจ้าหนูเจ้าอย่าเรียนอะไรส่งเดชล่ะ นี่เป็ น เส้นทางที่เจ้าขุนเขาของพวกเราสร ้างไว้ให้เฉายางโดยเฉพาะ การ ไหลรินของลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธก็เหมือนการเดินของคน ทิศทางและฝีเท้าเร็วช ้าล้วนมีข้อพิถีพิถันมากมาย เฉายางสามารถ เอามาใช ้ได้ทันที เรียนรู ้แล้วใช ้งานได้เลย แต่หากเจ้าท าตามก็มีแต่ จะเจ็บจุกในทุกจุด ไม่ทันระวังท าร ้ายไปถึงอวัยวะภายใน กลับ กลายเป็ นว่าจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี”
เฉาอินยิ้มเขินอาย มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้ลองโคจรลมปราณตาม “การชี้นา” ของเจ้าขุนเขาเฉินถึงได้รู ้สึกจุกแน่นในหน้าอกทันที
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “หากเจ้าต้องการเรียนหมัดจริงๆ ก็สามารถ เปิดปากขอความรู ้จากเจ้าขุนเขาเองได้”
“แต่ต้องเรียนรู ้ให้ได้ถึงแก่นแท้มิอาจเอามาแต่ปลาย จริงเท็จยาก แยกแยะ เจ้าขุนเขาบ้านข้าสอนหมัดให้คนอื่น เป็ นโอกาสที่หาได้
ยาก ไม่ใช่แค่ทองพันชั่งก็ยากจะทุ่มซื้อได้เท่านั้น เฉาอิน เจ้าสามารถ ลองดูได้ หอเรือนใกล้น้าได้ยลแสงจันทร ์ก่อนนี่นะ”
เฉาอินส่ายหน้า “ละโมบมากย่อมเคี้ยวได้ไม่ละเอียด หลอม ลมปราณควบคู่ไปกับการฝึกวรยุทธ ข้ามิกล้าเอ่ยข้อเรียกร ้องที่ไร ้ เหตุผลเช่นนี้หรอก จะสิ้นเปลืองเวลาอันมีค่าของเจ้าขุนเขาเฉินไป เสียเปล่าๆ”
มองท่วงท่าสุขุมหนักแน่นของบุรุษชุดเขียว แล้วจึงมองใบหน้า ตกตะลึงระคนยินดีของคนที่เข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้งของเฉายาง สุดท้ายเห็นเจ้าขุนเขาเฉินพยักหน้ารับเบาๆ คล้ายยอมรับการฝึกฝน ของเฉายางแล้ว
ในใจของเด็กหนุ่มก็คิดว่านี่ก็คงจะเป็ นมาดปรมาจารย์ที่กล่าวถึง ในต านานกระมัง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลาพังแค่พูดและฟังไม่มีประโยชน์ เทียบกับ การฝึกท่าหมัดท่าเดินในพื้นที่สงบๆ แล้วขยันหมั่นเพียรกับการขัด เกลาเรือนกาย ฝึกฝนกระบวนท่าให้ช านาญ ก็เหมือนกับบัณฑิตแก่ ที่ศึกษาหาความรู ้อยู่ในห้องหนังสือเสียเปล่า ไม่เคยแสดงทักษะที่ แท้จริง ไม่มีการขัดเกลาฝีมือและการลงสนามรบที่แท้จริงบ่อยๆ ต่อ ให้เจ้าจะเรียนกระบวนท่าหมัดชั้นสูงเป็ นร ้อยเป็ นพันชนิด ก็ยังเป็ นแค่ หมัดที่มีลวดลายงดงามเปล่าประโยชน์เท่านั้นเจอกับผู้ฝึ กยุทธ ขอบเขตเดียวกันที่กระบวนท่าไม่มากแต่กลับสามารถผสานรวมสัจ
ธรรมแห่งวิชาหมัดสองสามท่าได้อย่างแท้จริง ก็ง่ายที่จะล้มคว่าใน ไม่กี่หมัด เฉายาง ไม่สู้เจ้ามาประลองฝีมือกับข้าหน่อยดีไหม?”
เฉายางใบหน้าแดงก า
นางไม่ค่อยกล้าเท่าไรจริงๆ
จูเหลี่ยนพูดสัพยอกเสียงเบา “ถึงอย่างไรก็เป็ นแม่นางน้อยหน้า บาง หากเปลี่ยนมาเป็ นป๋ ายเสวียน เวลานี้คงกระหืดกระหอบออก หมัดเข้าใส่เจ้าขุนเขาไปแล้ว”
เฉาอินใช้เสียงในใจเอ่ย “เฉายางเคารพนับถือเจ้าขุนเขาเฉิน ที่สุด เวลาปกติทุกครั้งที่พูดถึงเจ้าขุนเขากับข้า นางก็คล้ายกับ เปลี่ยนไปเป็ นคนละคนเลย”
จูเหลี่ยนรวมเสียงให้เป็ นเส้น พูดคุยกับเด็กหนุ่มอย่างลับๆ “วางใจเถอะ เขายางก็แค่เคารพนับถือเจ้าขุนเขาของพวกเรา ไม่ได้ เกี่ยวพันไปถึงความรักของชายหญิง คนที่นางชอบในปีนี้ก็ยังคงเป็ น ใบหน้าเดิมของเมื่อปีก่อนอยู่ดี”
เฉาอินไม่ได้คิดไปในทางนี้เลยแม้แต่น้อย ผลคือได้ยินพ่อครัว เฒ่าพูดเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็หน้าแดงก่าทันใด
เฉินผิงอันโยนห่อสัมภาระที่เหน็บไว้ใต้รักแร ้ให้จูเหลี่ยนเบาๆ จากนั้นยื่นมือออกมาบังคับหอกไม้ด้ามหนึ่งที่วางไว้บนชั้นวางอาวุธ ในลานฝึกวรยุทธมาไว้ในมือ
ปลายนิ้วทั้งห้าขยับเบาๆ หมุนหอกไม้อยู่กลางฝ่ ามือหลายรอบ ประหนึ่งเจียวหลงที่เลื้อยไปบนผนัง แล้วพลันกามือแน่น ปลายหอก ส่งเสียงหวึ่งๆ ดุจเสียงมังกรค าราม
คนผู้หนึ่งที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว เท้าทั้งสองสวมรองเท้าผ้า เฉินผิงอันถือหอกไม้ด้วยมือข้างเดียว ยืนอยู่ใจกลางลานบ้าน เอ่ยว่า “สามารถอาศัยโอกาสนี้มาทาให้ข้าได้เห็นรากฐานในการหยัดยืน ของผู้ฝึกยุทธสกุลเฉาของพวกเจ้าได้พอดี”
ความหมายในคาพูดประโยคนี้ของเฉินผิงอันชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว เฉายางแพ้หมัดไม่เป็ นไร ขอแค่อย่าให้ขายหน้าวิชาดาบสกุลเฉาก็ พอ
“ประลองฝีมือในขอบเขตเดียวกัน”
เฉินผิงอันกล่าว “การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธไม่มีการแบ่งสถานะ สูงต่า มีแค่หมัดสูงหรือต่าเท่านั้น ไม่มีอายุมากน้อย มีแค่ความหมาย มากน้อย เฉายาง หากเจ้ากังวลว่าจ ท าร ้ายข้า แน่นอนว่าสามารถ ออมมือได้ ในการประลองฝี มือครั้งนี้ ข้าย่อมมอบของขวัญแสดง ความขอบคุณกลับคืนเฉายางที่มีใจเมตตามีคุณธรรมแน่นอน”
เด็กสาวบื้อใบ้ไร ้ค าพูด
เฉาอินที่ยืนมองอยู่ใต้ชายคารู ้สึกว่าบุรุษชุดเขียวไม่เหมือนกับ เจ้าขุนเขาเฉินที่พูดคุยกับพวกเขาด้วยสีหน้าเป็ นมิตรตอนอยู่นอก
เรือนไม้ไผ่คราวก่อนเลย ราวกับเปลี่ยนไปเป็ นคนละคนอย่างไรอย่าง นั้น
จูเหลี่ยนยิ้มอย่างรู ้ทัน
ผู้ฝึกยุทธที่เดินออกมาจากชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ สอนหมัดป้ อน หมัดให้คนอื่น ล้วนพูดจาเช่นนี้ มีคาพูดแค่ไม่กี่คา แต่หมักจะมี เรี่ยวแรงหนักกว่าหมัดเสมอ
เฉินผิงอันหรี่ตาลง คล้ายกับจะยกหอกไม้เดินมุ่งหน้า
พริบตานั้นเฉายางถือดาบถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว นางก้มหน้า ค้อมเอว จ้องมองบุรุษที่ลมปราณแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คล้าย กลายมาเป็ นขุนเขาเขียวสูงตระหง่านผู้นั้นเขม็ง
ลางสังหรณ์บอกนางว่าขอแค่อีกฝ่ ายปล่อยกระบวนท่าหนึ่ง ออกมา ตนต้องตายแน่อีกทั้งยังเป็ นการตายที่น่าอัดอั้นซึ่งไม่รู ้ด้วยซ้า ว่าตัวเองตายได้อย่างไร
เฉินผิงอันกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม “ถอย? เจ้าจะถอยไปได้ถึงแค่ ไหน ท าไมไม่ไปยืนติดก าแพงเลยเล่า? หรือไม่ก็ทะลุก าแพงออกไป เลย เปลี่ยนจากถอยเป็ นหนี ระหว่างทางก็โบกดาบมั่วชั่วสักสองสาม ที ก็ถือว่าประมือกับข้าไปแล้ว แพร่ออกไป จะดีจะชั่วก็ยังถือว่ามี ชื่อเสียงอยู่บ้าง”
ปากเฉินผิงอันพูดแบบนี้ แต่อันที่จริงการที่เฉายางถอยไปก้าว นั้น ถูกต้องแล้ว นี่หมายความว่าพลังจิตของเฉายางเฉียบไวมาก นี่ก็
คือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ผู้ฝึกยุทธจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีปณิธานหมัด ติดตัว ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งสามารถฉกฉวยโอกาสและ หลีกเลี่ยงหายนะได้โดยไม่รู ้ตัว แต่แค่นี้ยังไม่พอ ในสายตาของเฉิน ผิงอัน ยังคงถือว่าเป็ นการสละแก่นแท้เลือกเอาแต่ปลายเศษไป เหมือนเดิม
คาพูดของเฉินผิงอัน อันที่จริงยังถือว่าค่อนข้างคลุมเครือแล้ว
ไม่อย่างนั้นหากพูดตามคากล่าวของผู้อาวุโสชุยแห่งเรือนไม้ไผ่ ก็คือเจอศัตรูแล้วถอยหนี ถึงกับกล้าร่างถอยปณิธานยิ่งถอย ในเมื่อ เรียนหมัดเช่นนี้ ชอบเก็บเมล็ดงาทิ้งแตงโม ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเรียนอีก เลย รอหิวตายไปซะให้จบเรื่อง จะเรียนหมัดทาไม ออกจากบ้านไป ขอทานเอาเถอะ ถือถ้วยบิ่นๆ สักใบเจอใครก็โขกหัว ก็หนีไม่พ้นว่าจะ ได้นับบรรพบุรุษต่างแซ่มาเพิ่มมากขึ้น ขายหน้าอะไรกัน กลับไปเช่น ไหว้บรรพบุรุษที่หลุมศพยังจะพูดเอาความดีความชอบเข้าตัวได้อีก บอกไปเลยว่าช่วยให้พวกท่านทั้งหลายได้รู ้จักญาติมากขึ้น กตัญญู จะตายไป…
เฉายางกัดฟัน เดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว ไม่ได้ถือดาบพุ่งไปเบื้อง หน้าเป็ นเส้นตรง แต่เรือนกายขยับไปด้านข้างอย่างแผ่วเบา ประหนึ่ง กบกระโดดแตะผิวน้า ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างโคจรว่องไว พริบตาเดียวก็ทะยานออกไปไวยิ่งกว่าเดิม และยิ่งมาหยุดยืนข้างกาย เฉินผิงอัน ท่ามือถือดาบของเด็กสาวคือท่าลากทวนกลางหิมะใหญ่ที่ มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุดในวิชาดาบสกุลเฉา วิชาดาบสกุลเฉาได้มา
จากสนามรบ รวบรวมข้อดีของร ้อยส านักผ่านการหล่อหลอมทดสอบ มานับร ้อยนับพันครั้ง ไม่ได้ยึดติดอยู่กับตัวของวิชาดาบ เห็นเพียงว่า เฉายางบิดหมุนข้อมือ แสงดาบก็เหมือนหิมะที่ฟันใส่คนผู้นั้นจาก ด้านข้าง
“แค่มีแรงเยอะจะมีประโยชน์อะไร สิ้นเปลืองกาลังเปล่าๆ ให้ใครดู กัน”