กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 985.1 ยันต์อัคคี
พบคนรู ้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย คุยกันไม่ถูกคอ ครึ่งคาก็ มากเกิน กับเซี่ยโก่วก็ดีหรือกับป๋ ายจิ่งก็ช่าง อันที่จริงล้วนไม่มีอะไร ให้ต้องพูดคุยกัน ดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งกา เฉินผิงอันก็เกิดความคิด กะทันหันจึงเอ่ยขอตัว บอกว่าจะไปที่จวนซานจวินของขุนเขาเหนือ รอบหนึ่ง เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวจึงชักถามว่านางสามารถ กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วได้หรือไม่เอาแต่ถูกเนรเทศอยู่ข้างนอกอย่างนี้ก็ ไม่เข้าท่าเลย นี่จะไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนของเสี่ยวโม่หรอกหรือ เดิมที คุณสมบัติในการหลอมกระบี่ของเขาก็ไม่ดีเท่าตนอยู่แล้ว หากยัง ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าอย่างนี้ นางจะกินดื่มขับถ่ายก็ล้วนสามารถ หลอมกระบี่ได้ตลอดเวลาขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดมีแต่จะอยู่ห่าง ความสมบูรณ์มากขึ้นทุกขณะ เสี่ยวโม่ก็จะยิ่งไม่เหลือศักดิ์ศรีหน้าตา อับอายขายหน้า และเสี่ยวโม่ก็จะยิ่งไม่อยากเห็นหน้านาง เฮ้อ จะตาย ก็ยังรักศักดิ์ศรี มีชีวิตอยู่ก็ต้องลาบากแบบนี้แหละ ผู้ชายนี่นะ
เฉินผิงอันได้ยินมาถึงตรงนี้ อันที่จริงก็ไม่เหลือความอดทนจะฟัง นางพร่าบ่นแล้วเพียงแต่ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าเซี่ยโก่วจะ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า หากวันนี้ไม่มีค าอธิบายให้นาง นางก็ จะตามเขาไปถึงภูเขาพีอวิ๋น เฉินผิงอันจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างศาลา บอก ให้นางใช ้เหตุผลที่โน้มน้าวตนได้ เซี่ยโก่วจึงบอกว่าเมื่อนางกลับไปที่ ภูเขาจะต้องระมัดระวังการกระทาและคาพูดมากกว่าเมื่อก่อน ทุกวัน
จะเก็บหางท าตัวส ารวมเอาอย่างผู้พิทักษ์ซ ้ายของตรอกฉีหลง หากว่า เจ้าขุนเขาไม่เชื่อ นางก็สาบานได้ ใช ้นามของนายท่านป๋ ายเจ๋อมา สาบาน จะไม่เป็ นจริงเป็ นจังได้หรือ? เฉินผิงอันจึงถามว่าแล้วกิจการ ที่ร ้านยาจุ้ยในตรอกฉีหลงจะทาอย่างไร ร่วมมือทาการค้ากับโจวจวิ้น เฉิน เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ก็จะสะบัดมือไม่สนใจแล้วหรือ? เซี่ยโก่วจึง บอกว่าไม่มีทางไม่สนใจหรอกนะ ทุกๆ สามวันห้าวันนางจะไปที่ร ้าน สักที เพียงแต่ว่ากิจการก็ช่างทาได้ยากจริงๆ พูดถึงแค่ที่ถนนฝูลู่และ ตรอกเถาเย่ ทุกวันนี้ก็ได้ส่งคนมาดักทางนางโดยเฉพาะ รอที่จะ ประลองปัญญาประลองความกล้ากับนางแล้ว…
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า มีใครเขาท าการค้าไร ้ มารยาทอย่างเจ้าบ้างเล่าในเดือนหนึ่งก็เอาประกาศไปแปะบนประตู ใหญ่หน้าบ้านคนอื่นเขา ก็โชคดีที่เจ้ายังพอรู ้ความอยู่บ้าง ไม่ได้แปะ ไปบนใบหน้าของเทพทวารบาล คิดว่าเป็ นการแปะทองหรือ อย่างไรเซี่ยโก่วได้ยินแล้วก็รู ้สึกอยุติธรรมยิ่งนัก บอกว่าข้าปรึกษากับ เทพทวารบาลพวกนั้นแล้วบอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่ได้ใช ้วิธีการ อัญเชิญเทพหรือกักดวงวิญญาณอะไรของบนภูเขา ล้วนปรึกษากับ ท่านเทพทวารบาลเหล่านั้นดีๆ พวกเขาแต่ละคนต่างก็บอกว่าไม่ เป็ นไร ปรองดอง กันมากเลยล่ะ
เฉินผิงอันจนค าพูด เงียบไปพักใหญ่ มองเด็กสาวสวมหมวกขน เตียวที่ใบหน้าเต็มไป ด้วยความน้อยใจก็ได้แต่เอ่ยว่ากลับมาเถอะ กลับมาเถอะ ไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็จ าไว้ว่าพูดให้น้อยหน่ อย
ไม่อย่างนั้นหากถูกไล่ลงจากภูเขาไปอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้ แล้ว
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็หดย่อพื้นที่ อาพรางเรือนกายไปยังจุดที่ เงียบสงัด จากนั้นก็เดินไปถึงตีนเขาของภูเขาพีอวิ๋น ในฐานะที่ตั้ง ศาลของขุนเขาเหนือ จ านวนชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูป คารวะที่ภูเขาพีอวิ๋นจึงมีมากมาย เพียงแต่ไม่ว่าใครก็รู ้ว่าภูเขาพือวิ๋ นคือพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเว่ยป้ อ แต่กลับมีน้อยคนนักที่จะได้ เห็นซานจวินมหาบรรพตอุดรที่เล่าลือกันว่าหล่อเหลาสง่างามผู้นี้กับ ตาตัวเอง
เซี่ยโก่วที่ได้รับโองการจากเจ้าขุนเขาสมใจก็เหมือนได้รับอภัย โทษ อารมณ์ไม่เลว เด็กสาวที่แก้มสองข้างแดงเป็ นปั้นจึงเดิน เตร็ดเตร่ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ เฉินผิงอันผายลมก็ ยังหอม บนภูเขามีพวกขี้ประจบที่ต่างคนต่างแสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่ อยู่กลุ่มใหญ่ ก็ไม่แปลกที่นางไม่เข้าพวก
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวลืมไปอย่างสิ้นเชิงแล้วว่าเมื่อครู่นี้ ตอนที่อีกฝ่ายจะจากไปตนเองกุมหมัดเขย่าพูดเสียงดังว่าเจ้าขุนเขามี ปรีชาฌาน
หน้าประตูภูเขานับว่าครึกครื้นไม่น้อย เซียนเว่ยและโจวหมี่ลี่นั่ง อยู่ข้างโต๊ะกาลังดื่มชากันอยู่ ด้านข้างคือผู้พิทักษ์ฝ่ ายซ ้ายของ ตรอกฉีหลงที่นอนหมอบอยู่บนพื้น
นอกจากนี้ก็คือเฉินยวนจีที่มานั่งพักอยู่ที่นี่ระหว่างหยุดฝึ กท่า หมัดเดินนิ่งอย่างที่หาได้ ยากและยังมีเด็กชายชุดสีชาดที่เร่งรุดมา จากศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าจังหวัด ไม่ได้มาเพื่อขานชื่อ ก็แค่ อยากจะมาสัมผัสกับกลิ่นอายเซียนของเจ้าขุนเขาเฉินที่นี่เท่านั้น ไม่ คาดหวังว่าจะได้พูดคุยกัน แค่ได้เห็นเขาไกลๆ ก็ถือว่ากลับไปพร ้อม ผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือแล้ว
ส่วนงูป๋ ายฮวาของภูเขาฉีตุน ในฐานะพาหนะที่เด็กชายชุดสีชาด ใช ้ในการเดินทางเวลานี้ก็ขดตัวอยู่ใต้โต๊ะ เห็นได้ชัดว่าว่าง่ายอย่าง ยิ่ง
ล้วนมารวมตัวกันฟังนักพรตเซียนเว่ยคุยโม้ไม่มีที่สิ้นสุด
เซียนเว่ยเหลือบมองหมาพันธ ์พื้นบ้านตัวนั้น แรกเริ่มเซียนเว่ยยัง รู ้สึกว่ามันน่าสงสารมาก เห็นมันเป็ นหมาเร่ร่อนที่หาของกินไปทั่ว แล้วยังเคยไปขอเศษไก่เศษปลาและกระดูกมาจากพ่อครัวเฒ่าให้มัน โดยเฉพาะ ตอนนั้นหมาตัวนี้เงยหน้าขึ้น เซียนเว่ยถึงกับมองเห็นสี หน้าที่ซับซ ้อนอย่างถึงที่สุดจากสายตาของมัน ทั้งโกรธเคือง รังเกียจ อัดอั้น เวทนา…
ตอนนั้นเซียนเว่ยอึ้งตะลึงไปทันที หรือว่าผินเต้าถูกหมาพันธ ์ พื้นบ้านตัวหนึ่งดูแคลนเสียแล้ว?
ภายหลังถึงได้รู ้ว่า ที่แท้มันก็คือผู้พิทักษ์ฝ่ ายซ ้ายของตรอกฉี หลงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
เข้าใจผิด ล้วนเป็ นความเข้าใจผิด หวังดี แล้วก็เป็ นความหวังดี
นอกจากนี้ยังมีแขกคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่ คือนักพรตวัย กลางคนถือแส้สะพายกระบี่ ใบหน้าขาวนวลราวกับหยก ในมือถือไม้ เท้าไม้ไผ่สีม่วง ตรงเอวห้อยกระบวยน้าเต้า
โจวหมี่ลี่และเซียนเว่ยต่างก็รู ้ว่าอีกฝ่ ายคือใคร เพราะก่อนหน้านี้ ต่างคนต่างก็เคยเจออีกฝ่ ายมาแล้ว โจวหมี่ลี่เจอกับอีกฝ่ ายที่ท่าเรือ ชิงชานของภูเขาเซียนตู พูดคุยกับนักพรตหลวี่ที่บอกว่าตัวเองมี ฉายาว่าฉุนหยางอย่างถูกคอ
เซียนเว่ยนั้นเป็ นเพราะก่อนหน้านี้หลวี่เหยียนเคยมาเยี่ยมเยือน ภูเขาลั่วพั่วครั้งหนึ่งแล้ว แล้วก็มาหยุดเท้าอยู่ที่หน้าประตูภูเขา ตอน นั้นก็ดื่มชาร ้อนๆ ที่โต๊ะไปชามหนึ่ง ถูกชะตากันมาก เซียนเว่ยคุยโว ว่าความสูงของมรรคกถาตนไม่ได้ต่าไปกว่าภูเขาลูกนี้เลย ถามสหาย ฉุนหยางว่ากลัวหรือไม่ หลวี่เหยียนยิ้มไม่เอ่ยอะไร เซียนเว่ยอารมณ์ดี ยิ่งนัก บอกว่าตนก็คุยโม้ไปอย่างนั้นเองแหละ แล้วยังเคยเชื้อเชิญให้ อีกฝ่ ายมาเป็ นเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่ว ตนยินดีจะแนะน าให้ ด้วย
ความสัมพันธ ์ระหว่างเขากับเจ้าขุนเขาเฉิน เรื่องแบบนี้ไม่กล้าพูดว่า ต้องส าเร็จแน่นอน แต่ต้องไม่มีทางไม่ส าเร็จแน่นอน
แต่เซียนเว่ยก็ไม่ได้บอกว่าเป็ นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อ หรือไม่ได้รับการบันทึกชื่อพูดจาอะไรก็ควรเว้นพื้นที่ว่างไว้บ้าง ไม่ อาจเอาอย่างเฉินหลิงจวินที่พูดจาหนักแน่นเหมือนก้อนข้าวเหนียว ปั้นอย่างนั้น อร่อยก็อร่อยอยู่หรอก แต่ง่ายที่จะทาให้อิ่ม ไม่สู้เป็ น เหมือนโจ๊กข้าวหนึ่งถ้วยที่บารุงกระเพาะได้
ครั้งนี้หลวี่เหยียนไม่รีบเร่งเดินทาง จึงเดินเที่ยวไปทั่วอาณาเขต ของแคว้นสู่โบราณที่ดินแดนกว้างขวางไปรอบหนึ่ง ซากปรักวังมังกร บางส่วนที่ทุกวันนี้ยังไม่ถูกราชสานักต้าหลีค้นพบร่องรอย นักพรตก็ แวะไปดูมาเหมือนกัน ผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตเหมือนนักพรตผู้นี้ แน่นอนว่าได้แค่เข้าภูเขาไปผจญภัยเท่านั้น ล้วนเป็ นทัศนียภาพที่คน จากไปหอเรือนว่างเปล่า มองไปทางใดก็มีแต่ความเปลี่ยวร ้าง โลก มนุษย์แปรเปลี่ยน ทะเลกลายผืนนาก็หนีไม่พันเช่นนี้เอง
สุดท้ายไปเยือนแคว้นหวงถึงมารอบหนึ่ง เดินทางเลียบแม่น้า หันสือไป ไปดูต าราฉบับสมบูรณ์แบบหลายเล่มที่สืบทอดต่อกันมา อย่างมีระบบระเบียบในหอจือหลัน พลิกเปิ ดต าราเล่มเก่าเหมือน สหายเก่าได้กลับมาพบเจอกันใหม่อีกครั้ง ตาราโบราณในใต้หล้านี้ มักจะมีการแยกจากและกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเช่นนี้เสมอ จากนั้น ก็เดินทางผ่านแม่น้าป๋ ายกู่จวนจื่อหยาง เดินเลียบเส้นทางภูเขามา จากเมืองหงจู๋ ผ่านภูเขาฉีตุน เดินเนิบช ้ามาตลอดทางกระทั่งมาถึง
ภูเขาลั่วพั่ว ก่อนหน้านี้นักพรตมองมาที่หน้าประตูภูเขาที่ครึกครื้น แล้วลูบหนวดยิ้ม จวนเซียนทั่วไปไม่มีทางมีภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ปรากฏได้แน่นอน
เส้นทางของการฝึกตน มีการแบ่งแยกขอบเขตมากมายขนาด นั้น ใจคนก็ย่อมขึ้นลงไม่แน่นอนตามไปด้วย
พรรคบนภูเขาแห่งหนึ่ง ผู้ฝึ กตนหลายคนที่ต่างก็ถือว่าฝึ กฝน จิตใจประสบความส าเร็จยาก แต่กลับไม่ถือว่าพบเห็นได้ยากมากนัก แต่หากอยากให้ใจคนเป็ นหนึ่งเดียว ก็เรียกได้ว่าเป็ นปาฏิหาริย์อย่าง หนึ่งเลยทีเดียว
เดินทางขึ้นเขามาครั้งนี้ หลวี่เหยียนมีเรื่องอยากจะขอร ้อง จะหา ประสบการณ์ในโลกโลกีย์จึงจ าต้องขอให้เจ้าขุนเขาเฉินช่วยปกป้ อง มรรคาให้
ผู้ปกป้ องมรรคาคนนี้ไม่จาเป็ นต้องมีขอบเขตสูงมากนัก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็ นเฉินผิงอันที่ปรมาจารย์มหา ปราชญ์แนะน าด้วยตัวเองด้วย
ได้ยินแม่นางน้อยบอกว่าเจ้าขุนเขาลงภูเขาไปที่เมืองเล็กแล้ว
อันที่จริงคือไปตรวจสอบบัญชีที่ตรอกฉีหลง
หมี่ลี่น้อยถามอย่างจริงจัง “ท่านเซียนฉุนหยางต้องการพบเจ้า ขุนเขาอย่างเร่งด่วนหรือ?”
หากว่ามีธุระเร่งด่วน นางก็จ าเป็ นต้องเรียกเว่ยซานจวินอยู่ในใจ สามรอบ ก็เหมือนกับการเคาะประตู เว่ยซานจวินที่อยู่บนภูเขาพือวิ๋น ก็จะได้ยินทันที ถ้าอย่างนั้นขอแค่อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ นางก็จะสามารถพูดคุยกับเจ้าขุนเขาคนดีได้ทันที
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่รีบร ้อน ผินเต้ารอให้เจ้าขุนเขา เฉินกลับมาที่นี่แล้วค่อยขึ้นเขาไปพร ้อมกันก็แล้วกัน”
บนโต๊ะนอกจากน้าชาและเมล็ดแตงแล้ว ยังมีปลาลาธารตากแห้ง อีกสองถุงที่หมี่ลี่น้อยเอาออกมาจากในกระเป๋ าผ้าฝ้ าย
คราวก่อนที่อยู่ท่าเรือชิงซาน หมี่ลี่น้อยตัดใจเอาปลาแห้งที่เหลือ แค่ถุงเดียวมารับรองแขกไม่ลง ครั้งนี้ในที่สุดผู้พิทักษ์ขวาก็มีโอกาส ได้ชดเชยแล้ว
อันที่จริงหลังจากนั้นมา โจวหมี่ลี่ก็ได้บ่มเพาะความเคยชินอย่าง หนึ่ง ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ในกระเป๋ าผ้าฝ้ ายสะพายบ่าที่หมี่ลี่น้อย เรียกชื่อเล่นว่า “ศาลบรรพจารย์” จาเป็ นจะต้องใส่ปลาล าธารตาก แห้งไว้สองถุงขึ้นไป เตรียมพร ้อมเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน
ทุกวันนี้เซี่ยโก่วปล่อยใจให้กว้างได้มากแล้ว
เจอกับนักพรตหนุ่มที่ปักปิ่ นไม้บนศีรษะ ทุกวันนี้มีชื่อจริงว่า เหนียนจึง ฉายาว่าเซียนเว่ย เซี่ยโก่วก็วางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว เหตุผลของนางเรียบง่ายยิ่ง บนถนนเส้นหนึ่งไม่มีทางทยอยเก็บเศษ เงินได้สองก้อนนี่นะ ในซากปรักถ้าสวรรค์หลีจูเก่าแห่งนี้ ข้ายังจะเจอ
ใครได้อีก? “นักพรต” คนแรกในโลกมนุษย์หนึ่งในสิบผู้กล้าของใต้ หล้าในอดีต ข้าก็ได้เจอแล้ว นางก็คงไม่มีทาง โชคดี” แบบนี้อีกแล้ว กระมัง?
อุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือ ทวีปที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้นก็มี แค่ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้คนเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือที่ พอจะเข้าตานางได้?
ส่วนใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ เหวยยิ๋งผู้ฝึกกระบี่แห่งสานักกุย หยก? หรือว่าจะเป็ นต้นอู๋ถงแห่งหอสยบปี ศาจต้นนั้น? หรือจะเป็ น สานักว่านเหยาของพื้นที่มงคลสามภูเขา?
ผลคือรอกระทั่งเซี่ยโก่วขยับเข้าใกล้ประตูภูเขานางก็มองเห็น นักพรตวัยกลางคนที่แปลกหน้าคนนั้นได้ทันที ดวงตาหงส์ หนวด ยาวสามกลุ่ม…นักพรตผู้นี้มองดูแล้วราวกับไม่มีขอบเขตอย่างไร อย่างนั้น!
แต่ถึงกับให้ความรู ้สึกกดดันบีบคั้นราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัว ฉกาจแก่เซี่ยโก่วได้ในทันทีทันใด เมื่อหมื่นปีก่อน อยู่กับเสี่ยวโม่มา นานขนาดนั้นก็ยังไม่เคยมีความรู ้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน บางทีอาจมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือปีนั้นที่เสี่ยวโม่เกือบจะเรียกกระบี่ บินแห่งชะตาชีวิตทั้งหมดออกมา อีกครั้งหนึ่งก็คือพอนางไล่ตามไป ถึงชายหาดลั่วเป่ าเจ้าแห่งถ้าปี้เซียวผู้นั้นปรากฏตัว เตือนนางว่า อย่าได้ข้ามเขตมา ข้ามเขตมาแล้วก็อย่าจากไปอีกเลย อยู่ต่อเถอะ
คนข้ามเขตทิ้งตัวคนเอาไว้ ขาข้ามเขตทิ้งขาเอาไว้ กระบี่บินข้ามเขต ก็ทิ้งกระบี่บิน
มารดามันเถอะ จนถึงทุกวันนี้พอเซี่ยโก่วนึกถึงนักพรตจมูกโคผู้ นั้นก็ยังรู ้สึกอัดอั้นไม่หาย
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
แจกันสมบัติทวีปที่ใหญ่เพียงเท่านี้ เหตุใดถึงมีมังกรซ่อนพยัคฆ์ หมอบมากมายขนาดนี้ได้นะ
เซี่ยโก่วหรี่ตาลง ชะลอฝีเท้า โต๊ะที่ไม่สะดุดตาตัวนั้นให้ความรู ้สึก เหมือนเป็ นบ่อมังกรถ้าพยัคฆ์จริงๆ
เห็นเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวที่เรือนกายผอมบาง เด็กชายชุด สีชาดก็ยืนบนโต๊ะสองมือเท้าเอว ยิ้มเอ่ยทักทายว่า “เสี่ยวเชี่ยกลับมา แล้วหรือ ข้าได้ยินเซียนเว่ยเล่าว่าช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าไปหาเงินเก็บ ส่วนตัวที่ตรอกฉีหลงไม่ใช่หรือ”
เซี่ยโก่วพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่กลับคลี่ยิ้มกว้างพูด กับเฉินยวนจีว่า “พี่หญิงเฉิน หยุดพักหรือ”
คนโง่หลอกง่าย ดังนั้นความประทับใจที่เซี่ยโก่วมีต่อเฉินยวนจี จึงดีมาก ไม่เหมือนคนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองประจา จังหวัดผู้นั้นที่อย่าเห็นว่าทั่วร่างมีกลิ่นอายโง่เขลาผุดออกมา แต่อันที่ จริงกลับเป็ นคนเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง
เห็นแม่นางน้อยชุดดาที่ลุกขึ้นยืน อืม ก็คงจะเป็ นผู้ถวายงาน พิทักษ์ภูเขาแห่งภูเขาลั่วพั่วที่เด็กน้อยผมขาวผู้นั้นโหวกเหวกว่า อยากจับคู่เป็ นขาวด าคู่พิฆาต แต่นางกลับไม่ยอมตอบตกลง ภูตน้า น้อยขอบเขตถ้าสถิตผู้นั้นสินะ
หากเป็ นเมื่อก่อน เซี่ยโก่วคงจะยื่นมือไปกดศีรษะของแม่นางน้อย แล้วโยกสองสามทีเพียงแต่ว่าเคยมีบทเรียนมาก่อนแล้ว เวลานี้จึงยิ้ม ตาหยีเอ่ยว่า “โอ้ นี่มันใต้เท้าผู้พิทักษ์ขวาที่เล่าลือกันไม่ใช่หรือ โชค ดีที่ได้พบ โชคดีที่ได้พบ ข้าชื่อเซี่ยโก่ว คือภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าบ้าน ของเสี่ยวโม่”
เซียนเว่ยพ่นน้าชาพรวดออกจากปาก สาลักไอไม่หยุด ต้องรีบ ใช ้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ
โจวหมี่ลี่ก็ยิ่งเบิกตากว้าง อะไรนะ อาจารย์เสี่ยวโม่มีคู่บาเพ็ญ เพียรแล้วหรือ?!
สุดท้ายเซี่ยโก่วมองไปที่นักพรตผู้นั้น “ผู้เฒ่าท่านนี้คือผู้สูงศักดิ์ จากที่ใดหรือ?”
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ “มีสี่มหาสมุทรเป็ นบ้าน ใช ้ชีวิตอยู่กับก้อน เมฆสายน้า”
เซี่ยโก่วเอ่ย “ข้ารู ้สึกว่าด้วยความสามารถของท่านนักพรต ต่อ ให้เอาอย่างฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ได้ ครอบครองสามส านักห้าส านักในเวลาเดียวก็ยังมากพอเหลือแหล่”
หลวี่เหยียนยิ้มเอ่ย “แม่นางน้อยชมเกินไปแล้ว ไม่กล้าเอาตัวเอง ไปเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสอวี๋เสวียนหรอก”
เซียนเว่ยเริ่มทนฟังไม่ค่อยได้ นี่ก็เหมือนชมบัณฑิตคนหนึ่ง เจ้า สามารถพูดอย่างผิดมโนธรรมในใจว่าความรู ้ของคนเขาสูงส่งเทียม ฟ้ า ปราดเปรื่องไม่เป็ นสองรองใคร แต่เจ้ากลับบอกว่าความรู ้ของอีก ฝ่ ายสามารถทัดเทียมกับหย่าเซิ่ง เหวินเซิ่งได้ นี่ไม่ใช่ด่าคนต่อหน้า แล้วจะเป็ นอะไร? ดูท่าแม่นางเซี่ยไปปิดประตูทบทวนความผิดอยู่ที่ ตรอกฉีหลงน่าจะเสียเวลาเปล่าซะแล้ว และนี่ก็น่าจะเป็ นเพราะว่าเทพ เซียนผู้เฒ่าเจี่ยไม่ได้นั่งบัญชาการณ์อยู่ที่ร ้านฉ่าวโถวด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นขอแค่เรียนวิชาความรู ้มาจากเทพเขียนผู้เฒ่าเจี่ยได้ สาเร็จสักส่วนหนึ่ง เซี่ยโก่วก็คงไม่ถึงขั้นพูดจาไม่ได้เรื่องเช่นนี้
เซี่ยโก่วนั่งขัดสมาธิลงบนม้านั่งยาว “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าคุยกันไป ถึงไหนแล้ว คุยต่อเถอะ ถือเสียว่าข้าไม่อยู่”
โจวหมี่ลี่ใช ้สองมือถือประคองถ้วยชา จิบชาหนึ่งอีก วางลงบน โต๊ะเบาๆ ยิ้มเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “เมื่อครู่นี้นักพรตฉุนหยางช่วยเอา ใบอ้าย (ใบโกศจุฬาลัมพา) สองสามแผ่นใส่ลงไปในถ้วยชาของพวก เราทุกคน บอกว่าผู้ฝึกลมปราณดื่มชาประเภทนี้นานวันเข้า พร ้อม กับเสริมด้วยเวทชี้นาบทหนึ่ง ก็จะสามารถขับไล่ไอหนาว เพิ่มพลังห ยางให้แข็งแกร่ง รักษาจิตวิญญาณที่แท้จริงเอาไว้ได้”
เซี่ยโก่วยื่นคอยาวเหลือบมองใบอ้ายสามใบในถ้วยของแม่นาง น้อย โอ้โห ถึงกับเป็ นใบอ้ายที่สกัดดึงมาจากไฟที่แท้จริงของดวง
อาทิตย์เชียวหรือนี่ “ท่านนักพรตเชี่ยวชาญคาถาโบราณหรือ? ดูท่า จะมีการสืบทอดจากส านักมาอย่างยาวนานเลยนะ”
การฝึกตนหมื่นปีของโลกยุคหลังเป็ นอย่างไร เซี่ยโก่วไปเยือน อุตรกุรุทวีปมารอบหนึ่งก็พอจะรู ้ได้คร่าวๆ แล้ว วิชาการกราบไหว้ดวง จันทร ์ ชักน าดวงดาว ถือว่าพบเห็นได้บ่อย มีเพียงสายของการหลอม ดวงตะวันเท่านั้นที่จานวนมีค่อนข้างน้อย เพราะธรณีประตูสูงยิ่งกว่า อีกทั้งเมื่อครู่นี้ลองเพ่งสายตามอง เซี่ยโก่วก็เห็นเส้นใยที่เล็กละเอียด บนใบอ้ายพวกนั้นเมื่อปรากฏในสายตาของนางก็ชัดเจนแจ่มแจ้งดุจ เทือกเขาที่คดเคี้ยว แน่นอนว่าเซี่ยโก่วย่อมมองเห็นเส้นสนกลใน ได้มากยิ่งกว่าพวกคนที่ไม่เชี่ยวชาญซึ่งตัวอยู่ท่ามกลางความโชคดี แต่ดันไม่รู ้ตัวอย่างพวกเฉินยวนจีมากนัก มีความเป็ นไปได้อย่างยิ่งว่า นักพรตที่อยู่ตรงหน้าก็คือยอดฝีมือที่สามารถไปเดินเที่ยวเล่นใน “ตา หนักฮว่อหยาง” ได้
หากเป็ นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็ นคนบนเส้นทางเดียวกันกับตนครึ่งตัว หรอกหรือ?
หลวี่เหยียนยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เซี่ยโก่วถามอีกว่า “ท่านนักพรตเป็ นผู้ฝึกกระบี่ด้วยหรือ?”
หลวี่เหยียนกล่าว “พอจะเข้าใจเวทกระบี่บ้างเล็กน้อย น่าจะถือว่า เป็ นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างถูไถกระมัง”
เซี่ยโก่วซักถาม “ไม่ทราบว่ามองการฝึกตนอย่างไร?”
เดิมทีก็แค่ถามชวนคุยไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ ายจะให้ ค าตอบจริงๆ เห็นเพียงนักพรตผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนโบราณ บัญญัติวิชา อาหารต้องใช ้ไฟ สรรพชีวิตหมื่นยุคสมัยจึงมีชีวิตอยู่ รอดมาได้ ที่พักตั้งอยู่ริมน้า อาณาประชาราษฎรจึงสามารถหยัดยืน”