กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 987.1 ผู้ฝึกยุทธพบเรือนไม้ไผ่ข้า
ต้นไม้ฤดูใบไม้ผลิออกดอกเหมือนปุยฝ้ าย นกขมิ้นในภูเขาจับ กลุ่มกันโบยบินเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
หลวี่เหยียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในฐานะสานักแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกตนบน ท าเนียบของภูเขาลั่วพั่วน้อยไปสักหน่อย”
ทั้งๆ ที่ได้ครอบครองภูเขาใต้อาณัติถึงสิบกว่าลูก ภูเขาเยอะคน น้อย นี่ก็เป็ นเรื่องประหลาดเหมือนกัน
ในความทรงจา ทางฝั่งของอุตรกุรุทวีป ยอดเขาพาตี้ของฮว่อ หลงเจินเหริน ในบรรดาส านักของใต้หล้าไพศาลก็ถือว่าเป็ นระบบสืบ ทอดตระกูลเซียนที่มีคนน้อยแล้ว แต่กระนั้นก็ยังมีถึงสี่สาย สายของห ลี่อวี๋แห่งไท่เสีย แต่ไหนแต่ไรมาก็เชี่ยวชาญเรื่องการกาจัดปีศาจสยบ ผี เกี่ยวพันกับเรื่องทางโลกอย่างลึกซึ้ง ผู้ฝึ กตนสายของเถาซาน เชี่ยวชาญวิชาอสนี ผู้ฝึกลมปราณสายป๋ ายอวิ๋นเชี่ยวชาญค่ายกล และยันต์ นอกจากนี้สายจื่อเสวียนของหยวนหลิงเตี้ยนก็ถือว่าเป็ น สายเซียนกระบี่แห่งลัทธิเต๋า สี่สายรวมกัน ผู้ฝึกตนบนทาเนียบร ้อย กว่าคนต้องมีแน่อยู่แล้ว ย้อนกลับมามองภูเขาลั่วพั่วกลับไม่มีการ แตกกิ่งก้านสาขาในระดับใหญ่อย่างจวนเซียนทั่วไปเสียที บางทีอาจ เป็ นเพราะในเรื่องของการรับลูกศิษย์ การกลายเป็ นสมาชิกในศาล บรรพจารย์ แต่ละฝ่ายล้วนมีธรณีประตูที่ไม่สูงนัก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ทางฝั่งสานักกระบี่ชิงผิงของชุยตงซาน บางที ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีจานวนคนก็จะเพิ่มขึ้นได้หลายเท่าตัว บนต้นมี พุทราหรือไม่มีพุทราก็ล้วนใช ้ไม้ตีสามที (เปรียบเปรยว่าไม่ถามถึง สถานการณ์ ไม่สนใจความต่าง ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม) เจ้า ส านักชุยของพวกเรามีปณิธานยิ่งใหญ่ยาวไกล ป่ าวประกาศว่าวัน หน้าเมื่อสานักเบื้องล่างมาเข้าร่วมงานพิธีของสานักเบื้องบนจะต้อง ข้ามทวีปมากราบไหว้บรรพบุรุษด้วยขบวนที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริก ใน เรื่องจานวนคนต้องเหนือกว่าภูเขาลั่วพั่ว จะไม่แพ้ให้ในด้านพลัง อ านาจเด็ดขาด”
ภายหลังหลวี่เหยียนก็บอกว่าต้องการไปจุดธูปคารวะที่ศาลบรรพ จารย์ยอดเขาจี้เซ่อแม้ว่าเฉินผิงอันจะประหลาดใจ แต่ถึงอย่างไรก็ รู ้สึกตกตะลึงระคนยินดีมากกว่า แน่นอนว่าไม่ปฏิเสธเรื่องดีๆ เช่นนี้ หลวี่เหยียนยิ้มเอ่ยว่า ตอนที่ท่องพเนจรอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวเคยโชค ดีได้เข้าร่วมฟังการโต้วาทีของสามลัทธิอยู่หลายครั้ง ส่วนใหญ่ฟัง แล้วอยากงีบหลับ แต่การโต้วาทีครั้งที่เหวินเซิ่งเข้าร่วมกลับตระการ ตาน่าสนใจ ชวนให้คนกระปรี้กระเปร่าครึกครื้นได้ที่สุด
เพียงแต่พวกเขาเพิ่งจะขยับเท้าก็มีเด็กชายผมขาวที่มือหนึ่งถือ ตาราอีกมือหนึ่งถือพู่กันจีจวี้ ตรงเอวห้อยยันต์กระบี่ที่สานักกระบี่หลง เฉวียนเป็ นผู้แจกจ่ายทะยานลมมาถึงอย่างเร่งร ้อน
ก่อนหน้านี้บรรพบุรุษอิ่นกวานอนุญาตให้ลูกศิษย์นักการอย่าง นางเป็ นคนเรียบเรียงต าราชีวประวัติตามล าดับปีปฏิทิน จดบันทึกว่า
มีแขกผู้สูงศักดิ์คนใดมาเยือนบ้างก็คือหน้าที่ของขุนนางผู้เรียบเรียง ตาราเช่นกัน ส่วนขุนนางผู้เรียบเรียงตารา ตาแหน่งนี้ย่อมต้องเป็ น ตาแหน่งขุนนางที่เด็กชายผมขาวแต่งตั้งให้ตัวเอง นี่ก็เหมือนกับ ต าแหน่งทูตลาดตระเวนภูเขาของภูตน้าน้อยในค าเรียกขานสอง พิฆาตขาวดา เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ตรอกฉีหลง เทวบุตรมารนอกโลกตน นี้ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบนยอดเขารองของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ แล้ว ถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง
เด็กชายผมขาววิ่งขึ้นไปบนบันไดของตรอกฉีหลงอย่างรีบร ้อน เบิกตากว้างมองมา ทางภูเขาลั่วพั่ว
ประหนึ่งพระอาทิตย์ที่ตกสู่ดิน
ร่ายเวทมองลมปราณซึ่งเป็ นเวทลับบทหนึ่งของตาหนักสู้ยฉู เห็น เพียงริ้วกระเพื่อมจากวงแสงสีชาดชั้นแล้วชั้นเล่า ต่อให้เด็กชายผม ขาวจะอยู่ไกลถึงตรอกฉีหลง แต่เพียงแค่มองดูไกลๆ ก็รู ้สึกเหมือนตัว ไปอยู่ในเตาหลอมแห่งหนึ่งที่มีมังกรไฟขดตัวอยู่หลายตัว หลังจากที่ ความคิดในหัวตีกันอยู่พักใหญ่ เด็กชายผมขาวก็ยังแข็งใจบากหน้า มาที่ภูเขาลั่วพั่วเพื่อให้เป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงตาราที่ดีได้ เขาก็ทุ่ม สุดชีวิตแล้วจริงๆ สมกับคากล่าวที่ว่าขุนนางใหม่ไฟแรงสามกอง!
หลวี่เหยียนมองเด็กชายผมขาวแล้วก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย ในอ าเภอไหวหวงถึงกับมีเทวบุตรมารขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งซ่อน ตัวอยู่เชียวหรือ?
นี่ไม่ถือว่าละเมิดกฎของฝั่งศาลบุ๋นหรืออย่างไร? แต่เพียงไม่นาน หลวี่เหยียนก็โล่งใจศาลบุ๋นน่าจะรู ้เรื่องนี้แต่แรกแล้ว ก็แค่ว่าเลือกที่จะ หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันก็มีศิษย์พี่อย่างชุยฉานช่วย ปกป้ องมรรคาให้ แล้วยังมีอาจารย์ที่ได้ตาแหน่งเทพคืนมาในศาลบุ๋ นอย่างซิ่วไฉเฒ่า ต่อให้มีใครจับเรื่องนี้ไม่ยอมวาง คิดดูแล้วก็คงมิ อาจสร ้างคลื่นลมอะไรได้
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจกล่าว “ยากจะอธิบายได้หมดในค าเดียว”
หลวี่เหยียนพยักหน้า ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร ์ที่อ่านยาก ตนที่เป็ น คนนอกคงไม่ถามให้มากความแล้ว
การที่ทางฝั่งของศาลบุ๋นยินดียอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย หลักๆ แล้วก็เป็ นเพราะเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้มาจากกาแพงเมืองปราณ กระบี่
เจ้าลัทธิหลักรองสามท่าน ผู้อ านวยการสถานศึกษาและอริยะ ปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นอีกหลายคนของลัทธิขงจื๊อ บางที อาจจะไม่ไว้หน้าอิ่นกวานหนุ่มได้ แต่จ าเป็ นต้องเห็นแก่หน้าของ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
เด็กชายผมขาวได้พบนักพรตฉุนหยางแล้วก็ยิ่งมีสีหน้าตระหนก ลน เหมือนตัวเองกระโดดลงมาเดินอยู่ในเตาหลอมโอสถ เสียใจจน ไส้เขียวแล้ว ไม่ควรมาเลย ไม่ควรมาเลยจริงๆ
นักพรตผู้นี้ไม่รู ้ว่าฝึกฝนวิชาอภินิหารอะไร ถึงกับสามารถสยบ ก าราบเทวบุตรมารนอกโลกได้โดยธรรมชาติ
หลวี่เหยียนได้แต่เก็บมรรคกถาบนร่างกลับมารวมเป็ นเจินหยาง (หยางที่บริสุทธิ์หยางที่แท้จริง) ที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดเม็ดหนึ่ง ปล่อย ให้พักพิงอยู่ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตช่องหนึ่ง ชุดคลุม เต๋าบนร่างเกิดริ้วกระเพื่อมที่ยากจะจับสังเกตระลอกหนึ่ง
เด็กชายผมขาวโล่งอกในทันที ฝืนนิสัยตัวเองเอ่ยขอบคุณเจินเห รินผู้นี้
เฉินผิงอันยิ้มอธิบาย “หลวี่เจินเหรินผู้นี้มีฉายาว่าฉุนหยาง คือผู้ ฝึกตนในท้องถิ่นของแจกันสมบัติทวีปพวกเรา ผู้อาวุโสหลวี่ นางชื่อ ว่าคงโหว ตอนนี้ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในทาเนียบของยอดเขาจี้เซ่อ คอย ช่วยงานอยู่ที่ตรอกฉีหลง ทุกวันนี้รับหน้าที่เป็ นผู้เรียบเรียงเรื่องราว ตามล าดับปีปฏิทินของบนภูเขา”
ยอดเขาหลักของของภูเขาลั่วพั่วคือยอดเขาจี๋หลิง ศาลบรรพ จารย์สร ้างไว้บนยอดเขาจี้เซ่อซึ่งเป็ นยอดเขารอง เฉินผิงอันพาหลวี่ เหยียนไปที่ยอดเขาจี้เซ่อ ทั้งสองฝ่ ายจุดธูปคารวะในศาลบรรพจารย์ เดินออกจากประตูใหญ่มาแล้ว เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นว่านอกจาก เสี่ยวโม่ที่กาลังยื่นมือข้างหนึ่งออกมาขวางเด็กสาวสวมหมวกขน เตียวแล้ว ยังมีเด็กชายผมขาวกับเซียนเว่ยที่พากันมาร่วมวงความ ครึกครื้นที่นี่ด้วย เฉินผิงอันปิดประตูลงแล้วก็เก็บกุญแจใส่ไว้ในชาย แขนเสื้อ เด็กชายผมขาวหัวเราะร่าพลางอธิบายว่าทุกคนมารวมตัว
กันพอดี ควรจะเก็บภาพไว้เป็ นที่ระลึก หนังสือลาดับเหตุการณ์ที่นาง เรียบเรียงขึ้นนี้ต้องมีความแตกต่างจากบทประพันธ ์ชีวประวัติรายปี ของสานักทั่วไป เฉินผิงอันฟังด้วยความมึนงง จึงไม่ได้รีบร ้อนตอบว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ในใจพึมพาว่า ที่ระลึก? เรียบเรียงหนังสือ รายปี เป็ นเรื่องที่จริงจังมาก เจ้าหมอนี่คิดจะก่อกวนหรืออย่างไร? เด็กชายผมขาวจึงบอกว่าอันที่จริงตัวเองคือจิตรกรมือเอกที่อาพราง ฝีมืออย่างลึกล้า ทุกคนได้มารวมตัวกันอยู่บนยอดเขาจี้เซ่ออย่างที่หา ได้ยากเช่นนี้ ไม่สู้เอาศาลบรรพจารย์เป็ นฉากหลัง ทุกคนยืนเรียงกัน ให้ดีหรือจะนั่งก็ได้ ก็คือยกเก้าอี้ออกมา เอาเป็ นว่าควรจะทิ้งภาพมี ชื่อเสียงที่สืบทอดต่อๆ กันซึ่งคล้ายคลึงกับผลงานรวมเล่มเอาไว้ เมื่อ เป็ นเช่นนี้หนังสือรายปีนี้ก็จะมีชีวิตชีวา ปีใดเดือนใดวันใด เจ้าขุนเขา กับฉุนหยางเจินเหรินแขกผู้สูงศักดิ์อยู่ที่นอกศาลบรรพจารย์ยอดเขา จี้เซ่อ บวกกับผู้ถวายงานเสี่ยวโม่ คนเฝ้ าประตูเซียนเว่ย ฯลฯ รวมตัว กันอยู่ในภาพวาดแห่งขุนเขา สายน้าภาพหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ตารารายปีมีภาพวาด นอกจากบันทึกเป็ น ตัวอักษรแล้วยังสอดแทรกภาพวาดไว้ด้วย อีกทั้งยังเป็ นภาพสี ใช่ ไหม? นี่ก็คือคาว่าแตกต่างของเจ้าใช่ไหม?”
เขาเริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่ให้เจ้าหมอนี่ทาหน้าที่เรียบเรียง ต าราประวัติรายปี อืมคราวหน้าก่อนที่จะมีการประชุมในศาลบรรพ จารย์อย่างเป็ นทางการต้องคุยกับจูเหลี่ยนและพวกหน่วนขู่ หมี่ลี่น้อย ไว้ล่วงหน้าเสียก่อนแล้ว
เสนอแนะให้เจ้ารับหน้าที่ด้วยตัวเอง ผลคือขอแค่เจ้าขุนเขาพยัก หน้าตอบตกลง ไม่มีใครเห็นด้วย ล้วนคัดค้านกันหมดก็ไม่ได้ผลอยู่ดี
เชี่ยโก่วหยุดพัวพันเสี่ยวโม่ สองมือจับประคองหมวกขนเตียว ตบใบหน้าตัวเองเบาๆพูดคล้อยตามเสียงดังว่า “ดี ความคิดนี้ดี ข้า ต้องการยืนอยู่ข้างเสี่ยวโม่”
คิดไม่ถึงว่าหลวี่เหยียนจะลูบหนวดยิ้ม “วาดภาพเป็ นที่ระลึกหน้า ศาลบรรพจารย์ แล้วยังจะถูกใส่ไว้ในตาราประวัติรายปี เป็ นเรื่อง แปลกใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยินเป็ นครั้งแรก ผินเต้ากลับรู ้สึกว่าไม่เลว”
เด็กชายผมขาวชาบซึ้งใจยิ่งนัก สูดจมูก ในที่สุดก็ได้เจอคนรู ้ใจ แล้ว!
นักพรตฉุนหยางช่างเป็ นคนดีจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้มีตบะสูงขนาด นี้ เอาขอบเขตสิบสี่ไปก่อนแล้วค่อยมาเป็ นรองเจ้าขุนเขาที่แขวนชื่อ อยู่ในยอดเขาจี้เซ่อของพวกเราก็แล้วกัน
เฉินผิงอันได้แต่ทาตามความเห็นของคงโหว แต่เจ้าที่เป็ นตัวการ ก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปไหนได้เลย
เด็กชายผมขาวให้คนห้าคนยืนเรียงแถวกันก่อน ตัวเองเดินไป ฝั่งตรงข้าม ทามุทราก้าวเท้าท่าเหยียบพายุ กระโดดขึ้นลงพลางส่ง เสียงฮือๆ ฮ่าๆ ทาเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่หน้าตึง เจ้าท าพิธีอยู่หรือไร? เห็นว่าสีหน้าของบรรพบุรุษอิ่นกวานไม่สบอารมณ์ เด็กชายผมขาวก็ รีบหยุดยืนนิ่ง สองมือทาท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน จากนั้นบิด
หมุนข้อมือหนึ่งทีก็มีเรือนกายของสตรีที่ร่างล่องลอยมองไม่เห็นโฉม หน้าที่แท้จริงปรากฏตัวออกมา มือซ ้ายปาดไปหนึ่งครั้ง คลี่กลางม้วน ภาพสีขาวหิมะภาพหนึ่ง จากนั้นยกชายแขนเสื้อฝั่งขวาขึ้น มือขวา ถือพู่กันที่มีแสงแก้วใสห้าสีล้อมวนเวียน เริ่มทาการวาดภาพแล้ว เฉิน ผิงอันสีหน้าไร ้อารมณ์ ดูท่าเหมือนจะเป็ นงานอยู่บ้าง
เจ้าขุนเขาเฉินผิงอันกับหลวี่เหยียนผู้เป็ นแขกยืนอยู่ตรงกลาง ด้วยกัน สองฝั่งซ ้ายขวาเรียงจากเสี่ยวโม่กับเซี่ยโก่ว และเซียนเว่ยกับ คงโหว
สตรีที่ถือพู่กัน ก่อนจะตวัดพู่กันได้มองทุกคนอย่างละเอียด เงย หน้าขึ้นยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยน้าเสียงใสเย็น “ใต้เท้าเจ้าขุนเขาอย่าทา หน้าเคร่งสิ ยิ้มหน่อย อืม ยังไม่จริงใจมากพอต้องออกมาจากใจจริง ใช่แล้ว สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อดูจะเกียจคร ้านไปสักหน่อยสอง มือไพล่หลังก็ออกจะเย่อหยิ่งไปหน่อย ไม่สู้วางสองมือทับซ ้อนกัน ช่างเถอะๆ ปล่อยแขนสองข้างลงมาน่าจะดูธรรมชาติมากกว่า บรรพ บุรุษอิ่นกวานท่านอย่าร ้อนใจสิ…”
“ท่านมองไปด้านข้าง นักพรตฉุนหยางท าได้ดีมากเลยนะ สีหน้า สงบนิ่ง ถือแส้สะพายกระบี่ มีมาดแห่งเซียนจริงๆ เสียด้วย”
“นักพรตเซียนเว่ย เจ้าตื่นเต้นเกินไปหน่อยหรือไม่ เร็วเข้า รีบ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากซะไม่ได้จะเอาไปแปะไว้ตามตรอกเล็กถนนใหญ่ ของอ าเภอไหวหวงเสียหน่อย ไม่ต้องส ารวมตนเกินไป สูดลมหายใจ เข้าลึกๆ อืม ตอนนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย”
“คงโหวคนดีของข้า อย่ายิ้มอย่างไม่กุลสตรีเช่นนั้นสิ หุบปากลง มาอีกนิด เจ้าจะกินคนหรือ?”
“เซี่ยโก่ว! ห้ามเขย่งปลายเท้า! ตั้งหัวตรงๆ อย่าเอาแต่มุดเข้าไป ในอ้อมอกของเสี่ยวโม่! ยืนสองมือกอดอกก็พอแล้ว แต่ก้มหน้าลงมา หน่อย อย่าเอารูจมูกเชิดขึ้นฟ้ า”
“เสี่ยวโม่ ไม่ต้องให้ไหล่อยู่ติดกับเซี่ยโก่ว แต่เจ้าก็อย่าผลักนาง สิ”
วันนี้คือรัชศกฉุนผิงปีที่หกของต้าหลี วันที่ยี่สิบสองในเดือนหนึ่ง
ลานกว้างหน้าศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่ว
เจ้าขุนเขาเฉินผิงอันปักปิ่นหยกขาวไว้บนมวยผม สวมชุดกว้า ตัวยาวรองเท้าผ้า
คนเฝ้ าประตูภูเขาลั่วพั่ว นักพรตเหนียนจึงสวมชุดคลุมเต๋ที่ทามา จากผ้าฝ้ าย สวมรองเท้าลายเมฆ มีฉายาว่า ‘เซียนเว่ย
หลวี่เหยียนเขียนอิสระ ฉายาฉุนหยาง
เสี่ยวโม่ผู้ถวายงาน สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ถือไม้เท้าไผ่ เขียว ใช ้นามแฝงว่าโม่ เชิง ฉายาสี่จู๋
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียว ทุกวันนี้ใช ้นามแฝงว่าเชี่ยโก่ว เคยมี ฉายามากมายเป็ นพรวน ป๋ ายจิ่ง เฉาอวิ๋น ไหว้จิ่ง เหย้าหลิง เป็ นต้น
เด็กชายผมขาว เทวบุตรมารนอกโลก นามแฝงคงโหว ชื่อจริง เทียนหราน
คนทั้งหมดหกคน มีผู้ฝึ กยุทธขอบเขตปลายทางหนึ่งคน บิน ทะยานสี่คน และยังมีนักพรตตัวปลอมห้าขอบเขตล่างอีกหนึ่งคน
รอกระทั่งเด็กชายผมขาวกับ “สตรี” ที่เก็บพู่กันแต้มสีสันกลับมา รวมตัวเป็ นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง เฉินผิงอันก็ลงจากภูเขามาพร ้อมกับ หลวี่เหยียน เสี่ยวโม่ตามมาด้านหลังพวกเขาเงียบๆ
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวมาอยู่ข้างกายเด็กชายผมขาว ขยิบ ตาให้
เด็กชายผมขาวทาหน้าบูดบึ้ง “อะไรล่ะ”
เซี่ยโก๋วยื่นมือออกมา “อย่ามาแกล้งโง่กับข้า ให้ไวเลย รีบตัด ออกมา บนภาพนั้นแค่มีข้ากับเสี่ยวโม่ก็พอแล้ว มอบให้ข้าภาพหนึ่ง เก็บไว้เป็ นที่ระลึก”
เด็กชายผมขาวยกสองแขนกอดอก แค่นเสียงเย็นชา “ภาพวาด แห่งขุนเขาสายน้าประเภทนี้ ด้วยขอบเขตของเจ้า ต้องการจะวาด อย่างไรก็วาดออกมาอย่างนั้นได้ไม่ใช่หรือจะมาขอจากข้าท าไม”
สายตาของเซี่ยโก่วเยียบเย็นในทันที จ้องเจ้าฟักแคระผมขาวนี่ อยู่พักใหญ่ คงโหวเอียงศีรษะ ยึดคอยาวออกไป บอกเป็ นนัยกับอีก ฝ่ายว่าแน่จริงก็ฟันมาตรงนี้เลยสิ
มีบรรพบุรุษอิ่นกวานอยู่ ยังจะกลัวเจ้าหรือ? ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต บินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบ ร ้ายกาจนักหรือ โอ้โห ท าให้คนตกใจ แทบตายอยู่แล้ว ฮ่าๆ แต่ข้าไม่ใช่คนสักหน่อย
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวพลันคลี่ยิ้มกว้าง เผยสีหน้าประจบ เอาใจอย่างที่ไม่เคยเป็ นมาก่อน ก้มหน้าถูมือ เอ่ยเสียงเบาว่า “จะ เหมือนกันได้อย่างไร พวกเราคือพี่น้องที่รักใคร่กันมีอะไรไม่สามารถ พูดคุยกันได้เล่า? ต้องการเงินใช่ไหม? ว่ามาเถอะ เปิดราคามาเลย กี่ เหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”
เด็กชายผมขาวยื่นมือไปตบตรงหัวใจ แสร ้งทาท่าตกตะลึงขวัญ หาย แต่ปากกลับได้คืบแล้วจะเอาศอก “ก็ไม่รู ้ว่าเมื่อครู่ใครกันที่ใช ้ สายตาจะฆ่าคน”
เชี่ยโก่วมุมปากกระตุก หัวเราะร่วนเอ่ยว่า “ใต้เท้าเป็ นผู้ใหญ่ใจ กว้าง ในท้องของอัครเสนาบดีสามารถถ่อเรือได้ จะมาถือสาเด็กสาว อายุน้อยไม่รู้ความอย่างข้าไปไย”
เด็กชายผมขาวยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก
เซี่ยโก่วจงใจหันหน้าไปมองอีกทาง พูดพึมพ าว่า “พวกเขาสาม คน เดินห่างไปค่อนข้างไกลแล้วนะ”
เด็กชายผมขาวรีบเผยรอยยิ้มเอาใจทันที ดวงหน้าทั้งดวงคลี่ยิ้ม ดุจบุปผาผลิบานหยิบผลงานชิ้นเล็กที่ตัดออกมาจากภาพใหญ่ ออกมาจากชายแขนเสื้อ ทั้งลายพู่กันและอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมา
สอดคล้องเข้ากัน วาดได้อย่างประณีตและสวยวิจิตรมีประสบการณ์ ศิลปะและลีลามีกลิ่นอายของภาพวาดในวังอย่างมาก ในภาพมี แค่เชี่ยโก่วกับเสี่ยวโม่ที่ยืนเคียงไหล่กันจริงๆ เพียงแต่ไม่รู ้ว่าตั้งแต่ เมื่อไหร่ที่บนภาพยังมีนามคนวาดลงไว้ด้วย เด็กชายผมขาวยื่นส่ง ภาพไปให้แล้วก็เงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงใจ “พี่หญิงเซี่ยเรื่อง เข้ากรอบ ต้องการให้ข้าท าให้ด้วยไหม?”
เซี่ยโก่วถือแกนภาพ มือหนึ่งตบลงบนไหล่ของเด็กชายผมขาว หนักๆ พูดด้วยสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา “คงโหว ถือว่าข้าติดค้างน้าใจ เจ้าครั้งหนึ่ง วันหน้าจะช่วยเจ้าฟันคน!”
ระหว่างที่ลงจากภูเขา เฉินผิงอันถามว่า “ผู้อาวุโสหลวี่ คน อัศจรรย์ของใต้หล้ามืดสลัวจานวนเมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลของ พวกเราแล้ว มีมากกว่าหรือน้อยกว่า?”
หลวี่เหยียนยิ้มกล่าว “คนมหัศจรรย์? จะให้ค าจ ากัดความแบบ ใด? เรื่องนี้บอกได้ยากแล้ว แต่หากพูดถึงแค่ขอบเขต จ านวนผู้ฝึก ตนบนยอดเขาในสองใต้หล้าตอนนี้ความต่างยังไม่มาก แต่ก็แค่ ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนการเปลี่ยนฟ้ า หลังจากที่ฝนเวทคาถาหล่นร่วง ลงสู่พื้นดิน ภายในเวลาร ้อยปีข้างหน้าต้องเกิดความวุ่นวายอย่างมาก แน่นอน ขอบเขตบินทะยานบางส่วนที่มีโอกาสได้รับโชควาสนาเลื่อน เป็ นขอบเขตสิบสี่ ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ทั้งคนเก่าคนใหม่ปลดปล่อย ฝี มือสังหารคนที่มีโอกาสเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ ส่วนคนที่ฉวย โอกาสตอนที่สถานการณ์ยังไม่มั่นคงคว้าโอกาสเอาไว้ ความแค้น
เก่าที่มีต่อขอบเขตบินทะยาน ด้วยกันเอง หรือความแค้นใหม่ที่เจ้า แย่งข้าชิง เชื่อว่ามีแต่จะยิ่งมากขึ้น”