กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 987.3 ผู้ฝึกยุทธพบเรือนไม้ไผ่ข้า
เซี่ยโก่วดื่มเหล้าพลางเอ่ยว่า “ไร ้อิสระอย่างสิ้นเชิง จะรู ้สึกว่าคือ อิสระอย่างหนึ่งหรือไม่”
เด็กชายผมขาวเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ก็ชูกาปั้นขึ้นตะโกนเสียงดัง ลั่น “ข้าเข้าใจแล้ว จะชนะหรือแพ้ก็อยู่ที่การกระทานี้แล้ว!”
เซี่ยโก่วกล่าว “อย่าโหวกเหวกเสียงดังสิ”
เด็กชายผมขาวกดเสียงลงต่าเอ่ยว่า “พี่หญิงเซี่ย หากคิด อยากจะเป็ นคนที่มาภายหลังน าแซงหน้า กดข่มสายของหัวหน้าศูนย์ บัญชาการณ์ใหญ่เผย และสายของฟักแคระ ก็จะต้องมีวิธีเอาชนะที่ เป็ นกุญแจส าคัญ!”
เซี่ยโก่วถาม “อาจารย์ผู้เฒ่าจูหรือ?”
เด็กชายผมขาวส่ายหน้า ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “กวอจู๋จิ่ว!”
ทางฝั่งนั้น เสี่ยวโม่สังเกตเห็นว่าคุณชายหยิบเอาน้าเต้าเลี้ยง กระบี่ลูกนั้นออกมาอีกครั้ง จิบเหล้าดื่มหนึ่งอีก ท่าทางไม่มีความสุข นัก
เฉินผิงอันกล่าว “เสี่ยวโม่ เจ้าว่าวันหน้า อย่างเช่นว่าหนึ่งร ้อยปี ให้หลัง สองร ้อยปีให้หลัง หรือนานยิ่งกว่านั้น ภูเขาลั่วพั่วมีคนเพิ่ม
มากหลายร ้อยหรือถึงขั้นพันกว่าคนแล้ว พวก เราย้อนกลับมามอง วันนี้อีกครั้งจะรู ้สึกแปลกหน้าหรือไม่?”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “อาจจะใช่ อาจจะไม่ใช่”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างข าๆ ปนฉุน “คนนอกยืนพูดต้องไม่ปวดเอว อยู่แล้ว”
หลังจากนั้นเสี่ยวโม่ก็กลับห้องไปหลอมกระบี่ เฉินผิงอันไปที่ เรือนไม้ไผ่ ใช ้ความคิดต่ออีกครั้งว่าควรจะจรดพู่กันเขียนบทนาของ ต าราหมัดบางเล่มอย่างไรดี
มีตาราหมัดเขย่าขุนเขาเป็ นผลงานที่โดดเด่นให้เห็นก่อนหน้า เฉินผิงอันจึงปวดหัวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด นั่งเหม่ออยู่ข้างโต๊ะเป็ น เวลานาน สุดท้ายก็ไปอ่านหนังสือเสียเลย
กลางดึกผู้คนพากันหลับสนิท
เฉินผิงอันเปิ ดประตูออก เดินเหยียบไปบนก้อนอิฐไม่กี่ก้อนที่ ช่วยกันกับชุยตงซานปูลงบนพื้น
กลับมาที่ห้องอีกครั้ง ถอดรองเท้าผ้า ไม่คิดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น ทิ้งหัวลงหมอนได้ก็หลับไปทันที
เฉินผิงอันจะไม่มีใจเห็นแก่ตัวเลยได้อย่างไร ส าหรับการสอน หมัดต่อเฉาอิน เฉายางเขายังตั้งใจจริงจังขนาดนี้ จ้าวซู่เซี่ยคือลูก
ศิษย์ผู้สืบทอดที่อยู่บนทาเนียบของศาลบรรพจารย์ เขาก็มีแต่จะใส่ใจ มากยิ่งกว่า
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงบอกให้จ้าวซู่เซี่ยย้ายจากตรอกฉีหลงมาอยู่ บนภูเขาลั่วพั่ว
สุดท้ายเลือกสถานที่สอนหมัดเป็ นชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
นับตั้งแต่ดื่มน้าชาคารวะอาจารย์ รับจ้าวซู่เซี่ยเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดอย่างเป็ นทางการอันที่จริงเฉินผิงอันก็ครุ่นคิดเรื่องที่จะสอนหมัด ให้เขาอย่างไรอย่างจริงจังมาโดยตลอด
คิดอยากจะเรียบเรียงตาราหมัดเล่มหนึ่งขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็ น เพียงแค่ขั้นตอนหนึ่งในนั้นเท่านั้น
สอนหมัดอะไร จะสืบทอดหมัดเขย่าขุนเขาต่อ รวมไปถึงวิชา “ปรับแก้มังกรใหญ่” ซึ่งเป็ นท่าที่เรียนรู ้มาจากจ้งชิว หรือวิชาหมัด ของจูเหลี่ยน เวทวานรขาวสะพายกระบี่ของหวงถิง ท่าหมัดใหม่ที่ จ าแลงมาจากภาพเซียนเหรินหกภาพของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน บวก กับวิชาหมัดเล่มที่คงโหวมอบให้ ช่วยให้จ้าวซู่เซี่ยเดินจากจุดต่าไป ยังจุดสูง ดึงเอาข้อดีของแต่ละฝ่ ายมาผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างทะลุ ปรุโปร่ง ในอนาคตรอให้จ้าวซู่เซี่ยเลื่อนเป็ นขอบเขตห้าเมื่อไหร่ค่อย ท าการขัดเกลาเรือนกายของขอบเขตหกต่ออีกครั้ง…หรือควรจะสอน วิชาหมัดทั้งหมดซึ่งมีท่าเทพตีกลองสายฟ้ า ท่า “บุปผาผลิบาน” และ “เศษจันทร ์” ที่ไม่มีการแยกฝ่ ายระหว่างวิชาหมัดกับวิชากระบี่ที่เฉิน
ผิงอันคิดขึ้นมาไปพร ้อมกันรวดเดียว? แล้วนับประสาอะไรกับที่ควรจะ สอนอย่างไร เฉินผิงอันควรจะกดขอบเขต กดกี่ขอบเขต? หรือว่าไม่ กดขอบเขต ก็เหมือนอย่างตอนที่ป้ อนหมัดให้กับหลิวจงคนลับมีด ตอนที่อยู่บนเรือลู่เสียนจือลานั้น? ควรจะเลือกภูเขาใต้อาณัติอย่าง ภูเขาหวงหู ภูเขาฮุยเหมิงมา เอาอย่างภูเขาอวิ๋นเจิงของสานักกระบี่ ชิงผิง มีจ้าวซู่เซี่ยเป็ นจุดเริ่มต้น เอาไว้ใช ้เป็ นสถานที่ที่อบรมปลูกฝัง ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวโดยเฉพาะ จากนั้นก็สืบทอดกลายไปเป็ นประเพณี ประจ าในการเรียนหมัดของผู้ฝึ กยุทธบนภูเขาลั่วพั่ว? หรือควรจะ เลือกชั้นสองของเรือนไม้ไผ่? หากสุดท้ายแล้วเลือกสถานที่เป็ นเรือน ไม้ไผ่ ควรจะสืบทอดระบบบางอย่างที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร ใช ้ วิธีการสอนหมัดของผู้อาวุโสขุยมาสอนหมัด หรือควรจะท าตาม วิธีการของเฉินผิงอันเองมาเป็ นการทดลอง? หากว่าทาได้ทั้งสอง อย่าง ถ้าอย่างนั้นอัตราสัดส่วนของแต่ละอย่างแบบไหนควรมากแบบ ไหนควรน้อยถึงจะเหมาะกับจ้าวซู่เซี่ยที่สุด…สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ นปัญหา ที่แท้จริงซึ่งวางอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน เขาที่เป็ นอาจารย์จะต้องมั่นใจ เสียก่อน ต้องมีโครงสร ้างวิธีการเสียก่อนถึงจะสอนหมัดให้กับลูกศิษย์ อย่างเป็ นทางการได้ หลายวันมานี้เฉินผิงอันทบทวนอยู่หลายครั้ง พลิกโค่นความคิดสมมติอย่างแล้วอย่างเล่า แต่ขณะเดียวกันก็ สามารถอาศัยโอกาสนี้มาทบทวนชีวิตการเรียนวรยุทธของตัวเฉินผิง อันเองได้พอดี
เช ้าตรู่ของวันนี้ ฟ้ าเพิ่งเริ่มสว่างได้เล็กน้อย เฉินผิงอันไปนั่งอยู่ที่ โต๊ะหินริมหน้าผาเพียงล าพัง ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไร หน่วนซู่กับหมี่ ลี่น้อยก็พากันเดินมาที่นี่ แม่นางน้อยสองคนต่างก็สะพายห่อผ้าไว้ เอียงๆ คนละใบ แล้วยังช่วยกันแบก…ราวแขวนเสื้อที่ทาจากไม้มา อันหนึ่งด้วย?
เฉินผิงอันเห็นแล้วอารมณ์ดีทันที ลุกขึ้นยืน ยิ้มถามว่า “พวกเจ้า จะท าอะไรหรือ?”
โจวหมี่ลี่หัวเราะฮ่าๆ “พี่หญิงหน่วนซู่บอกแล้วว่า ครั้งนี้กลับมา บ้าน เจ้าขุนเขาคนดีจะอยู่ในภูเขานานมากๆ เมื่อคืนพวกเราสองคน จึงช่วยกันคิด แล้วก็ตัดสินใจว่าควรจะจัดการให้เรียบร ้อยสักหน่อย”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แม้แต่ราวแขวนเสื้อก็จัดการมาเรียบร ้อย แล้วด้วยหรือ? ดูแล้วเหมือนจะเป็ นฝีมือของพ่อครัวเฒ่า คงไม่ใช่ว่า พวกเจ้าไปเร่งให้เขาทาทั้งคืนหรอกกระมัง?”
หมี่ลี่น้อยรีบเม้มปากทันใด
หน่วนซู่พยักหน้ายิ้มเอ่ย “เป็ นข้าที่ให้อาจารย์จูช่วย”
หมี่ลี่น้อยรีบเอ่ยทันใดว่า “ด้วยกัน ด้วยกัน”
อันที่จริงเมื่อคืนวานนางเป็ นคนออกความคิด เดิมทีพี่หญิงหน่ว นช่อยากจะรอให้เช ้าก่อนแล้วค่อยพูด เพียงแต่มิอาจทนการรบเร ้า ของนางก็เลยไปเคาะประตูกลางดึกด้วยกัน
เฮ้อ ตนยังคงกล้าหาญไม่มากพอ มิน่าเล่าเผยเขียนถึงได้เป็ น หัวหน้าใหญ่
หน่วนซู่อธิบาย “อาจารย์จูบอกแล้วว่าด้วยสถานะของนายท่าน ในทุกวันนี้ จาเป็ นต้องต้อนรับแขกบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าพวกเรามองคนแต่ ภายนอก ก็แค่ว่ามีเซียนซือบางคนที่ไม่สนิทกันแม้แต่น้อยทั้งยัง สามารถขึ้นเขามาได้ พวกเขาเลื่อมใสนายท่านจากใจจริง ทั้งๆ ที่ นายท่านรูปโฉมหล่อเหลาองอาจถึงเพียงนี้ มีมาดของเทพเซียนเป็ น อันดับหนึ่ง เอาแต่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวออกจะดูจืดชืดน่าเบื่อไป สักหน่อย บางครั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนชุดคลุมอาคมให้แตกต่างไป บ้าง ไม่พูดถึงว่าคนนอกจะตกตะลึงกันอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ท าให้ พวกเราที่เป็ นคนกันเองเห็นแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ข้ากับหมี่ลี่ น้อยต่างก็รู ้สึกว่าอาจารย์จูพูดมี เหตุผล…”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่แล้วๆ คาพูดของพ่อครัวเฒ่า ได้เอ่ยเสียงในใจของข้าออกมาหมดเลย”
สายตาของหน่วนซู่เป็ นประกายระยิบระยับ วางราวแขวนเสื้อไว้ เรียบร ้อยแล้วโจวหมี่ลี่ก็นั่งยองลงบนพื้น มองซ ้ายมองขวา บอกว่าไม่ คลาดเคลื่อนสักเสี้ยวเดียว! เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงง่วนเปิดห่อ สัมภาระสองใบ หยิบเอาเสื้อผ้าครบชุดออกมาชุดหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามี การเตรียมการคร่าวๆ ไว้ก่อนแล้ว จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยขอชุดคลุม เต๋าผ้าเขียวโปร่งบางตัวนั้นจากนายท่าน
เดิมทีเฉินผิงอันอยากพูดว่าอย่าเลย แต่พอเห็นหน่วนซู่กับหมี่ลี่ น้อยต่างก็มีท่าทีเช่นนี้จึงได้แต่ฝื นใจตัวเองไม่แสดงความคิดเห็น ออกมา หยิบชุดคลุมอาคมผ้าโปร่งสีเขียวตัวนั้นออกมาจากในวัตถุจื่ อชื่อ มอบให้กับหน่วนซู่
หน่วนซู่ง่วนทางานอยู่ด้านหนึ่ง หยิบของจากในห่อผ้าที่หมี่ลี่ น้อยยื่นส่งให้ด้วยสองมือคัดเลือกเสื้อผ้าที่วางทับซ ้อนกันอย่างเป็ น ระเบียบออกมาอย่างตั้งใจ พลางยิ้มพูดไปด้วยว่าจะต้องจับคู่ให้ดี เมื่อ คืนวานอาจารย์จูก็บอกแล้วว่า รอดูไปเถอะ นายท่านที่แต่งกายเช่นนี้ วันหน้าเขาจูเหลี่ยนจะทากวานสีทองที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งมาให้อีก ชิ้นหนึ่ง ถึงเวลานั้นไม่ต้องสนว่าในมือนายท่านจะถือหลิงจือหยกขาว หรือถือแส้ปัดฝุ่ น จากนั้นสวมรองเท้าปักลายเมฆที่เสี่ยวโม่ถักขึ้นเอง เหอะ เซียนกระบี่หมี่เห็นแล้วก็ยังต้องละอายใจที่สู้ไม่ได้ มีแต่จะเจ็บใจ ที่ตัวเองไม่ใช่สตรี…
เฉินผิงอันเงียบงันไร ้ค าพูด
หากว่าพ่อครัวเฒ่าแวะมาดูความครึกครื้นที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้น ไปประลองหมัดกันบนชั้นสองโดยตรงเลยเถอะ
นอกจากราวแขวนเสื้อแล้ว หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยยังเอาของอย่าง อื่นมาด้วยอย่างเอาใจใส่
ยกตัวอย่างเช่นเอากระดิ่งเงินพวงหนึ่งไปห้อยไว้ใต้ชายคาของ เรือนไม้ไผ่ เอาแจกันดอกไม้เครื่องกระเบื้องลายครามมาชิ้นหนึ่ง เสียบดอกเหมยที่เพิ่งเด็ดมาลงไป
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “หน่วนซู่ เปลี่ยนจากประหยัดไปเป็ น ฟุ่มเฟือยง่าย แต่เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยไปเป็ นประหยัดยากนะ”
หน่วนซู่ยิ้มเอ่ย “นายท่านไม่จาเป็ นต้องกังวลกับเรื่องนี้” หมี่ลี่น้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างพยักหน้าราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรีด นั่งอยู่ในระเบียงนอกประตูที่ทาจาก ไม้ไผ่ อยู่ว่างไม่มีอะไรทาก็เลยให้หมี่ลี่น้อยช่วยไปยกกระบุงใบเล็กที่ สานจากไม้ไผ่มาให้ ด้านในบรรจุเทียบเชิญเอาไว้จนเต็ม มี หลากหลายสีสัน
ส่วนใหญ่ล้วนมาจากแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีป ยกตัวอย่างเช่นของฮ่องเต้จากแคว้นสือหาวที่ต้องการมาพูดคุยราลึก ความหลังกับตน แล้วก็มีจดหมายหลายฉบับที่ไม่ได้มาจากสองทวีป นี้ ที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจก็คือมีจดหมายฉบับหนึ่งในนั้นเป็ นเทียบ เชิญที่มาจากสตรีเจ้าของเรือซึ่งอยู่นอกทะเลของฝูเหยาทวีป
ทางฝั่งของชุยตงซานได้ขยับขยายอิทธิพลไปอย่างรวดเร็ว เพราะการลงมือแตกต่างจากภูเขาลั่วพั่วไปอย่างสิ้นเชิง ชุยตงซาน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าสานักกระบี่ชิงผิงจะเปิดประตูใหญ่ รับลูก ศิษย์มาเป็ นจ านวนมาก กับราชวงศ์ทั้งหลายซึ่งมีสกุลเหยาต้าเฉวียน
เป็ นหนึ่งในนั้นก็เริ่มสานสะพานความสัมพันธ ์กันแล้ว ในอาณาเขต ของแคว้นแต่ละแห่ง ขอแค่มีตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ มีกี่คนก็รับมาเท่านั้น พวกเจ้าออกคนแล้วค่อยออกเงิน ภูเขาเซียนตูของพวกเรารับหน้าที่ อบรมปลูกฝังให้เอง ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งมา จากยอดเขาอู๋เฉาของภูเขาอวิ๋นเจิง บอกว่าราชวงศ์ต้าหยวนที่แบ่ง ออกเป็ นสามส่วนก าลังจะกลับมารวมกันเป็ นปึ กแผ่นอีกครั้งแล้ว หยวนลี่และหยวนมี่ที่ตั้งตัวเป็ นฮ่องเต้ต่างก็ยินดียกธงขาวลดตัวเอง เป็ นแค่อ๋องผู้ครองเมือง ยกย่องหยวนยิ่งให้เป็ นฮ่องเต้ นอกจากนี้วัง ม่านเมิ่งกับเฉียนโหวเอ๋อร ์ต่างก็เลื่อมใสศิโรราบให้กับอาจารย์ทั้งกาย และใจ ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมไปร่าร ้องว่าจะขอเข้ามาเป็ นส่วนร่วมใน สานักกระบี่ชิงผิงของพวกเราให้ได้…ส่วนหงโฉวผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็ไม่ แย่เหมือนกัน เดิมพันเล็กน้อยให้พอสนุกไม่อาจได้ก าไร ก็เลยเดิม พันใหญ่ไปเลย สวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้หยวนอิ๋ง วีรบุรุษผู้กล้าเดิมพัน ด้วยชีวิตตอบแทนโอรสสวรรค์นี่นะ
เพียงแต่ว่าในจดหมายฉบับหนึ่ง เจ้าสานักซุยของพวกเราก็ได้ เริ่มถามถึงอย่างอ้อมๆว่าเรื่องการฝึกตนของจ้าวหลวนเป็ นอย่างไร บ้างแล้ว
เฉินผิงอันไล่อ่านเทียบเชิญไปทีละฉบับ
หมี่ลี่น้อยนอนคว่าอยู่ในระเบียง ยกสองมือเท้าคาง ตั้งใจนับเมฆ ขาวที่ผ่านทางมานอกหน้าผา วันนี้หมอกเยอะก้อนเมฆจึงอ้วน ก้อน ใหญ่เบ้อเร่อเลยนะ อืม ต้องเรียกว่าทะเลเมฆสินะ
หน่วนซู่กระตุกชายแขนเสื้อของหมี่ลี่น้อย หมี่ลี่น้อยเข้าใจได้ ทันใด กลิ้งตัวไปหนึ่งตลบก่อนจะดีดตัวขึ้นจากท่านอนหงาย เมื่อ กระโดดยืนนิ่งแล้ว ก็เอ่ยว่า เจ้าขุนเขาคนดี ข้าต้องไปลาดตระเวน ภูเขาก่อนนะ!
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไปเถอะ
เอาจดหมายและเทียบเชิญใส่กลับลงไปในกระบุงใบเล็กอีกครั้ง เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนเดินไปที่หน้าผาอีกครั้ง มองดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้น ทะเลเมฆออกมา แล้วก็ลุกขึ้น ไปที่เรือนพักบนภูเขาของจ้าวซู่เซี่ย เคาะประตู จ้าวซู่เซี่ยที่กาลังฝึ กท่าเดินอยู่ยังคงเรียกเฉินผิงอันว่า อาจารย์เฉินด้วยความเคยชิน เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสา
ได้ยินว่าจะพาตนไปที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ จ้าวซู่เซี่ยก็มีสีหน้า ซับซ ้อน พยักหน้ารับหนักๆ เดินตามไปเงียบๆ
ทุกวันนี้ขอบเขตวรยุทธของจ้าวซู่เซี่ยคือคอขวดขอบเขตสี่ ซึ่งก็ คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่
เพราะปีนั้นเฉินผิงอันเคยมอบ “คัมภีร ์เวทกระบี่” มาให้ ดังนั้น หลายปีมานี้นอกจากฝึกหมัดแล้ว จ้าวซู่เซี่ยก็ยังศึกษาเรื่องเวทกระบี่ ด้วย
เฉินผิงอันกล่าว “ชุยตงซานอยากจะรับจ้าวหลวนเป็ นลูกศิษย์ผู้ สืบทอด เจ้าคิดว่าเป็ น อย่างไร?”
ชุยตงซาน “ละโมบอยากครอบครอง” คุณสมบัติด้านการฝึกตน ของจ้าวหลวนมานานมากแล้ว อยากรับนางเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอด จริงๆ
ชุยตงซานให้ค าประเมินนางไว้สูงมาก บอกว่าต่อให้เทียบกับ “วัตถุดิบแห่งฟ้ า” ที่สมกับค าเรียกขานอย่างไฉอู๋ไม่ได้ แต่หลวนหล วนบ้านข้าก็ถือว่าเป็ น “วัตถุดิบแห่งดิน” ได้อย่างสมเกียรติ
ไม่ว่าจะเอาไปไว้ในส านักแห่งใดก็ตามในใต้หล้าไพศาลก็ถือเป็ น เนื้อชิ้นหอมที่คู่ควรแก่การอบรมบ่มเพาะอย่างตั้งใจ
เฉินผิงอันยังอยากจะถามความเห็นของจ้าวหลวนเองก่อน นาง ต้องการจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางถ่วงรั้งการฝึกตน เพียงแต่ว่าเส้นทางการฝึกตนที่ชุยตงซานมอบให้ท าให้นางเดินได้เร็ว ยิ่งกว่าจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่ทางลัดที่ช่วยดึงหญ้าให้เติบโตด้วยดังนั้น จะไม่มีภัยแฝงอะไรทิ้งไว้ บอกตามตรง หากให้สอนหมัดนั้นยังดี แต่ ให้ชี้แนะเรื่องการฝึกตนให้กับคนอื่น เฉินผิงอันไม่มีความมั่นใจมาก พอจริงๆ เพื่อสามารถโน้มน้าวให้อาจารย์ตอบตกลงกับเรื่องนี้ ชุยตง ซานรับรองอย่างน่าเชื่อถือว่าเรื่องของการสร ้างโอสถทองของจ้าวหล วน เขาได้เตรียมพร ้อมทุกด้านไว้นานแล้ว แค่รอให้จ้าวหลวนไปถึง ยอดเขาอู๋เฉาของภูเขาอวิ๋นเจิงเท่านั้น เชื่อว่าแค่ปี สองปี นางก็จะ สามารถปิ ดด่านฝึ กตนได้อย่างเป็ นทางการแล้ว ก็ให้เขาที่เป็ น อาจารย์เป็ นคนช่วยเฝ้ าด่านให้นางเองก็แล้วกัน ขณะเดียวกันชุยตง ซานยังบอกกับอาจารย์ของตัวเองอย่างเป็ นนัยด้วยว่า ต าแหน่งเจ้า
ยอดเขาอู๋เฉาคนถัดไป แน่นอนว่าต้องไม่ปล่อยให้น้าดีไหลเข้านาคน นอก หรือจะพัฒนาไปอีกขั้น ถึงปีนั้นได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นเป็ นเจ้า ขุนเขาของภูเขาโฉวโหมว ก็สามารถลองคิดดูได้
สามภูเขาของสานักกระบี่ชิงผิง ภูเขาเซียนตูคือพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมของผู้ฝึกกระบี่ภูเขาอวิ๋นเจิงมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเป็ นเจ้าบ้าน นี่คือ “กฎบรรพบุรุษ” แห่งสานักที่ชุยตงซานตั้งไว้เอง ส่วนผู้ฝึ ก ลมปราณนอกเหนือจากผู้ฝึ กกระบี่ล้วนถูกจัดให้อยู่บนภูเขาโฉว โหมว ยอดเขาหลักคือยอดเขาจิ่งซิง เจ้ายอดเขาคนแรกคือเฉาฉิง หล่างซึ่งเป็ นศิษย์น้องของชุยตงซาน เพียงแต่เพราะมีการเลือกเจ้า สานักคนถัดไปเป็ นการภายในไว้แล้ว ดังนั้นเฉาฉิงหล่างจึงไม่ใช่เจ้า ยอดเขาโฉวโหมว เพราะไม่มีความหมายมากนักจริงๆ ยังไม่สู้ยก ตาแหน่งนี้ไปให้คนอื่น
ชุยตงซานตบอกรับรองว่าโอสถทองที่จ้าวหลวนจะสร ้างได้ใน อนาคต หากไม่มีภาพบรรยากาศของระดับรองสอง อาจารย์เชิญมา ซักไซ ้กล่าวโทษที่สานักกระบี่ชิงผิงได้เลย มาเอาผิดกับข้านี่
เฉินผิงอันคร ้านจะพูดจาไร ้สาระกับเขา ในเมื่อเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดของเจ้าไปแล้วจ้าวหลวนสร ้างโอสถไม่ได้ระดับสอง ข้ายังจะพูด อะไรได้อีก
หากจะพูดถึงความไร ้ยางอาย ยังคงเป็ นลูกศิษย์อย่างชุยตงซาน ที่มีพรสวรรค์มากกว่าหมาเปิดผ้าม่านได้ล้วนอาศัยปากนี่นะ
จ้าวซู่เซี่ยกล่าว “ข้าเดาว่าไม่แน่เสมอไปที่หลวนหลวนจะยินดีไป ฝึ กตนอยู่ที่สานักกระบี่ชิงผิง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางก็เชื่อฟัง อาจารย์เฉินมาโดยตลอด หากอาจารย์เฉินแนะนาให้นางไปที่นั่น ข้า รู ้สึกว่าเกินครึ่งหลวนหลวนน่าจะตอบตกลง แล้วนับประสาอะไรกับที่ ได้รับความส าคัญจากเจ้าส านักชุย กลายเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ เขา ข้าเองก็ดีใจแทนนาง”
ทุกวันนี้จ้าวหลวนคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกร อีกทั้ง การฝึกตนยังราบรื่นแทบจะไม่มีด่านใดๆ ฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างเป็ น ธรรมชาติ ย้อนกลับมามองจ้าวซู่เซี่ยที่อายุมากกว่า ฝึกหมัดมาสอง ล้านกว่าหมัด กลับเจออุปสรรคมาตลอดทาง ทุกวันนี้เพิ่งจะเป็ นผู้ฝึก ยุทธขอบเขตสี่ อีกทั้งยังยากจะฝ่าคอขวดตอนนี้ไปได้ด้วย
เฉินผิงอันกล่าว “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ซูเซี่ย ผ่านปีใหม่มา อายุ ลวงของเจ้า ปีนี้ก็อายุสามสิบหกแล้วกระมัง?”
จาได้ว่าตอนนั้นที่เจอกันครั้งแรกคือในเขตการปกครองแยนจือ ของแคว้นไฉ่อี จ้าวซู่เซี่ยยังเป็ นเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่ถือมีดผ่าฟืน ไว้ในมือ
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อาจารย์เฉินจาไม่ผิด ปี นี้ข้าอายุ สามสิบหกแล้ว”