กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 990.2 เมามายจนไม่รวู้า่ บนโลกมนุษยค์อืวนัที่เท่าไร
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 990.2 เมามายจนไม่รวู้า่ บนโลกมนุษยค์อืวนัที่เท่าไร
ในห้องบนชั้นสองมียันต์ยี่สิบสี่แผ่นลอยขึ้นมา สอดคล้องกับช่วง
ฤดูกาลในหนึ่งปีพอดีนับตั้งแต่วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิมีน้ําฝนและ แมลงตื่นจากการจําศีลจนถึงหน้าหนาวถึงหนาวน้อยและหนาวมาก
เมื่อเฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ในห้องก็เหลือแค่ยันต์สอง แผ่นของสองช่วงฤดูกาลอย่างร้อนน้อยและร้อนใหญ่ ปณิธานหมัด พลันแผ่อบอวลอยู่ในชั้นสองประหนึ่งอากาศร้อนแผดเผาที่ทําให้จ้าว
ซู่เซี่ยเหงื่อแตกท่วมสันหลัง รอกระทั่งเฉินผิงอันหยิบยันต์สองแผ่น อย่างหนาวใหญ่และเริ่มหนาวออกมา ในห้องก็เปลี่ยนมาเป็นปณิธาน หมัดที่อากาศเยียบเย็นหนาวเยือกสู่กระดูก เฉินผิงอันบอกให้จ้าว ซู่เซี่ยตั้งท่าหมัด ปล่อย หมัดเต็มแรงมาใส่ตน จ้าวซู่เซี่ยทําตาม เฉิน ผิงอันยกมือปัดเบาๆ สลายปณิธานหมัดนั้นไปจากนั้นคีบยันต์ฝน ธัญพืชและน้ําค้างแข็งตกออกมาอีก จ้าวซู่เซี่ยออกหมัดอีกครั้ง ผล
แต่
คือกลับพบว่าดูเหมือนตัวเองออกหมัดไปอย่างเต็มแรงแล้ว อาจารย์ไม่จําเป็นต้องหลบเลี่ยงปณิธานหมัดก็สลายหายไปเอง
ระหว่างคนทั้งสอง อยู่ห่างจากตําแหน่งที่อาจารย์ยืนอยู่ก็คล้ายกับมี พันภูเขาหมื่นสายน้ํากั้นขวาง
เฉินผิงอันไม่ได้ถอน “ค่ายกลเล็ก” ที่ถูกสร้างจากยันต์สองแผ่น นั้นออกไป เพียงแต่ให้จ้าวซู่เซี่ยไปยืนติดผนังก่อน จากนั้นเฉินผิงอัน ค่อยตั้งท่าหมัด พริบตานั้นปณิธานหมัดในห้องก็ไหลบ่าราวน้ําท่วม
กระจายออกไปสี่ด้าน ปณิธานหมัดกระแทกชนชัดกระเพื่อมอย่าง
รุนแรง เรือนไม้ไผ่ทั้งหลังสั่นสะเทือนตามไปด้วย จากนั้นก็ตามมา ด้วยกลิ่นอายภูเขาและทะเลเมฆของภูเขาลั่วคั่วที่กระเทือนแล้วสลาย
หายไป
ภายหลังจ้าวซู่เซี่ยก็ถูกจูเหลี่ยนที่มารออยู่ในระเบียงนอกห้อง
นานแล้วแบกลงไปจากชั้นบน
จูเหลี่ยนแบกจ้าวซู่เซี่ยที่ตัวเต็มไปด้วยเลือด “คุณชาย ช่วย ไม่ได้จริงๆ นะ การถามหมัดครั้งนั้นไม่เปลี่ยนสถานที่ แต่ถ่วงเวลา ออกไปอีกหน่อยดีไหม? ถ้าหากปีนี้หิมะของเมืองหลวงแคว้นหนัน
เยวี่ยนไม่ตกลงมาล่ะ? ไม่หน้าดีไหม? ปีถัดไปก็ได้!”
เฉินผิงอันหัวเราะร่วน “บังเอิญยิ่งนัก ข้าคือผู้ฝึกลมปราณ ยิ่ง บังเอิญก็คือมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุครบถ้วน เรื่องหิมะตก ไม่เป็น ปัญหาเลย อยากจะให้หิมะตกหนักแค่ไหนก็ได้” จูเหลี่ยนกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้ายอมแพ้?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้าตื่นเถอะ เลิกมาแสร้งทําเป็นอ่อนแอให้ ศัตรูเห็นกับข้าเลย”
ป้อนหมัดให้คนอื่นด้วยความมาดมั่น ผลคือถูกอีกฝ่ายต่อยเข้า จังๆ บนใบหน้า เรื่องน่าอายประเภทนี้ เฉินผิงอันไม่คิดจะทําผิดซ้ํา เป็นแน่
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “คุณชายไม่ควรให้ข้ายืมตําราหมัดเล่มนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลอกให้ข้าประมาทไม่ได้ ก็เลยเริ่มข่มขู่ข้า แทนแล้ว? ใช้วิชาพิชัยยุทธแล้วหรือ?”
หลังจากนั้นก็สอนหมัดให้จ้าวซู่เซี่ยอีกครั้ง เฉินผิงอันที่เป็น อาจารย์ ในที่สุดก็น่าจะปรับสภาพจิตใจได้แล้ว ดังนั้นจ้าวซู่เซี่ยจึง
เริ่มต้องเจอกับเรื่องยากลําบากแล้ว
แม้จะไม่ได้พูด “ถ้อยคํารุนแรง” อย่างผู้อาวุโสซุย แต่สําหรับผู้ ฝึกยุทธขอบเขตสี่คนหนึ่งแล้ว หมัดเท้าของเฉินผิงอันไม่ถือว่าเบา
เลย
ความชํานาญมาจากการปฏิบัติ การสอนหมัดต่อจากนั้น เนื่องจากพอจะมั่นใจใรขีดจํากัดของร่างกายจ้าวซู่เซี่ยคร่าวๆ แล้ว
นว่าจะสอนหมัดได้เกือบหนึ่งชั่วยาม
เฉินประกัน
วันนี้จ้าวซู่เซี่ยที่หมดสติไปถูกจูเหลี่ยนแบกมาแช่ในถังยา
สมุนไพรอีกครั้ง
ทางฝั่งของระเบียงชั้นหนึ่ง หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยมองหน้ากันเอง
แม่นางน้อยสองคนต่างก็ถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรแล้ว
อันที่จริงเมื่อเทียบกับเผยเฉียนตอนเด็ก จ้าวซู่เซี่ยนับว่าดีกว่า
หลายส่วน เพราะถึงอย่างไรเผยเฉียนยังต้องใช้ท่อนไม้และแผ่นไม้ไผ่
มาดามยันแขนและนิ้วเพื่อฝึกคัดตัวหนังสือด้วย
เฉินผิงอันยืนเงียบอยู่ตรงหน้าประตูพักหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไป นั่งที่ระเบียง หน่วนซู่กําลังเย็บรองเท้าผ้า ด้านข้างวางตะกร้าเข็มกับ
ด้ายเอาไว้ บนนิ้วมือสวมปลอกนิ้วเย็บผ้าการเย็บพื้นรองเท้าเป็นงาน ที่ทั้งต้องใช้แรง แล้วก็ต้องมือเบาจิตใจละเอียดอ่อน ร้อยด้ายสนเข็ม แต่ละฝีเย็บจะคลาดเคลื่อนไม่ได้ หน่วนซู่ใจเย็นมือเบา สีหน้ามุ่งมั่น ตั้งใจ มือหนึ่งกําพื้นรองเท้า อีกมือหนึ่งดึงเข็มกับด้าย เรี่ยวแรงต้อง สม่ําเสมอกัน รองเท้าผ้าถึงจะเบาและกระชับเท้า รองเท้าส้นหนาที่ เป็นรองเท้าผ้าดีๆ คู่หนึ่งไม่ได้เย็บได้ง่ายขนาดนั้น หมี่ลี่น้อยเองก็สั่ง จองรองเท้าผ้าสองคู่ไว้กับพี่หญิงหน่วนซู่ เดิมที่ผู้พิทักษ์ขวาอยากสั่ง
จองไว้สักยี่สิบคู่ ผลคือโดนพี่หญิงหน่วนซู่เขกมะเหงกใส่เบาๆ ช่าง เถอะๆ ดูท่ากลยุทธเปิดราคาสูงเทียมฟ้ากับนั่งลงต่อรองราคาคงจะใช้ ไม่ได้แล้ว
เฉินผิงอันนัดหมายกับพวกนางไว้แล้วว่าในช่วงเวลานี้ของทุกวัน
ล้วนสามารถมาเล่นที่นี่ได้
หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยต้องมาอยู่แล้ว เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าเด็กน้อย สองคนไม่มีอะไรให้คุยด้วย ส่วนใหญ่จะมานั่งพักเดียวแล้วก็จากไป
I
คุยเรื่องความในใจกับผู้พิทักษ์ซ้ายของ
ตรอกฉีหลงอยู่ตลอดสาขาแยกตรอกฉีหลง ตําแหน่งหัวหน้าผู้พิทักษ์
ตรอกฉีหลงที่ก่อตั้งใหม่ เด็กชายชุดสีชาดที่ขยันขันแข็งมาขานชื่อ ได้เลื่อนขั้น เลื่อนตําแหน่งขุนนางแล้ว
ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งเผยเฉียนจะต้องส่งจดหมายมาที่ยอดเขาจี้ เซ่อ ทําตามกฎเดิมคือจะเขียนประโยคหนึ่งไว้บนจดหมายว่า “ผู้
พิทักษ์ขวาเปิดด้วยตัวเอง พี่หญิงหน่วนซู่อ่านจดหมายและเก็บรักษา
ไว้
ดังนั้นเรื่องที่เด็กชายชุดสีชาดเลื่อนจากผู้พิทักษ์ขวาของตรอกฉี
หลงเป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์จึงถือว่าแน่นอนแล้ว ตอนที่หมี่ลี่น้อยป่าว ประกาศข่าวดีนี้ที่หน้าประตูภูเขา คนจิ๋วควันธูปก็ใช้สองมือทําท่ารับ
ราชโองการก่อน จากนั้นขยับจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบด้วยสีหน้า เคร่งขรึม หันไปค้อมเอวคารวะอย่างนอบน้อมทางทิศใต้สามครั้ง ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงยังจะทําอย่างไรได้อีก ก็นอน
ต่อไม่ขยับไปไหนน่ะสิ
เฉินหลิงจวินขุ่นเคืองที่เจ้าหมอนี่ไม่เอาการเอางานมาโดยตลอด
แล้วก็เป็นตัวขี้เกียจที่ประคับประคองไม่ขึ้น ตัวเขาเองยังไม่อยาก
เลื่อนขั้นขุนนาง จะให้นายท่านใหญ่จางชิงอย่างเขาบ่มเพาะปลูกฝัง อุ้มชูอย่างไร?
บนภูเขาล้วนมีแต่เรื่องเล็กน้อยยิบย่อย ไม่ทําให้เหนื่อย แต่กลับ สามารถเผาผลาญเวลาไปได้มากที่สุด ดังนั้นช่วงนี้ขอแค่หน่วนซูมี เวลาว่างก็มักจะมาเย็บรองเท้าที่นี่ ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัว
มา
สะพายหีบไม้ไผ่ ถือไม้เท้าเดินป่า เป็นประเพณีที่นายท่านนําพา
ทุกวันนี้สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว สวมรองผ้าส้นหนาคู่เก่า ก็
เช่นเดียวกัน
ดังนั้นหมี่ลี่น้อย เฉินหลิงจวินและนักพรตเซียนเว่ยต่างก็มี
ความคิดบางอย่างกันแล้ว
อันที่จริงอาจารย์จูชอบสวมรองเท้าผ้ามานานแล้ว แต่กลับไม่มี
ใครสนใจ
เพราะถึงอย่างไรครั้งแรกที่เผยเฉียนรู้ว่าพ่อครัวเฒ่าเคยมีฉายา
ว่า “คุณชายผู้สูงศักดิ์ก็หัวเราะจนเกือบน้ําตาไหล หมี่ลี่น้อยดีกว่า
หน่อย
ถึงอย่างไรก็เป็นเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้นที่นางวิ่งวนอยู่รอบกาย
พ่อครัวเฒ่า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เพ่งมองอย่างจริงจังก็เท่านั้น หน่วนซู่น่าจะถือว่าเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นดีที่สุดแล้ว พอได้ยินคํา เรียกขานทํานองว่า “คุณชายผู้สูงศักดิ์” “เจ๋อเซียนเหริน” จากเผย เฉียนที่กุมท้องหัวเราะก๊ากอยู่ในห้อง หมี่ลี่น้อยนอนหัวเราะกลิ้งไป กลิ้งมาอยู่บนเตียง หน่วนซู่แค่กะพริบตาปริบๆ เม้มปาก ไม่ได้หลุด เสียงหัวเราะออกมา
ตอนที่หมี่ลี่น้อยเดินอาดๆ ไปถามพ่อครัวเฒ่าว่าต้องการรองเท้า
ผ้าคู่หนึ่งหรือไม่ เพิ่งจะเข้าประตูมาก็ตะโกนเสียงดัง จูเหลี่ยนที่ผูกผ้า กันเปื้อนถือมีดหั่นผักเดินออกมาจากห้องครัว ผลคือหมี่ลี่น้อยก้ม หน้าลงมองก็เห็นว่าเป็นรองเท้าผ้า พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มีมีดหั่นผัก
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็ก ตาใหญ่มองตาเล็ก เอาเป็นว่าตอนนั้นบรรยากาศ กระอักกระอ่วนอยู่มาก
หน่วนซู่น้อยก้มหน้ากัดด้ายให้ขาดเบาๆ ถามอย่างสงสัยว่า
“นายท่าน
นกนางแอ่นที่พับจากกระดาษตัวนั้นเอาไปมอบให้คนอื่น
แล้วหรือ?”
ห้ามหาบรรพตแผ่นดินกลาง ซานจวินหญิงของภูเขาแยนจือเคย
มอบนกนางแอ่นสีดําพับจากกระดาษตัวหนึ่งให้ที่สวนกงเต๋อ สามารถ
มองเป็นคนจิ๋วควันธูปคนหนึ่งได้ เพียงแค่ต้องวางไว้บนกรอบป้าย หรือเสาคานของบ้านบรรพบุรุษ อีกทั้งยิ่งอยู่ใกล้มหาบรรพตมาก เท่าไรก็จะยิ่งมีปราณวิญญาณมากเท่านั้น
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตัดใจไม่ลง มอบให้ไปแล้วก็ เสียดาย เพียงแต่ว่าให้แล้วก็จะสบายใจ”
|
เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงาย สองมือสอดรองไว้ใต้ศีรษะต่างหมอน ยกเท้าขึ้นไขว่ห้างยิ้มถาม “หน่วนซู่ หมี่ลี่น้อย พวกเจ้าว่าเฉินยวนจี ตรากตรําาฝึกหมัดเช่นนี้ นางต้องการสิ่งใดกันแน่?”
ตรากตรําฝึกหมัดเช่นนี้ น
หากจะบอกว่าเฉินยวนจีฝึกตนอยู่ในภูเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ด เหนื่อยเช่นนี้ คล้ายจะพอมีเหตุผลให้เข้าใจอยู่บ้าง นับแต่นี้เซียนและ คนธรรมดามีความแตกต่าง แสวงหาการพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ ต่อ
ให้ฝึกตนประสบความสําเร็จเพียงเล็กน้อยก็สามารถทําให้อายุขัยยืน
ยาวได้
ทว่านางฝึกหมัดอยู่แบบนี้ทุกวัน ฤดูร้อนจากไปฤดูใบไม้ร่วงมา เยือน หนาวจากไปใบไม้ผลิมาถึง ปีแล้วปีเล่า ลมฝนก็มิอาจขัดขวาง
นางได้ ตามหลักแล้วก็น่าจะต้องมีความคิดหรือความหวังอยู่บ้าง แต่
ดูเหมือนว่าเฉินยวนจีจะไม่เคยพูดว่าต้องเป็นอย่างไร
ดูเหมือนว่าฝึก
หมัดก็แค่เพื่อฝึกหมัดเท่านั้น ขนาดเฉินผิงอันที่เป็นคนมีความอดทน
ดีเยี่ยมก็ยังถึงขั้นเบื่อหน่ายจนอยากจะช่วยเฉินยวนจีคํานวณคร่าวๆ ด้วยซ้ําว่า ขึ้นภูเขาลงภูเขาและขึ้นภูเขาอีกครั้ง หลายปีมานี้สรุปแล้ว
นางฝึกหมัดไปกี่มากน้อยกันแน่
หน่วนซู่ครุ่นคิด เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์จูบอกว่านางคือในหมัดมี
ตัวข้า เผยเฉียนบอกว่านางต้องการพิสูจน์ว่าสตรีฝึกหมัดก็ประสบ ความสําเร็จได้ เฉินหลิงจวินก็บอกไปอีกอย่างต่างคนต่างพูดกันคน ละแบบ ข้ารู้สึกว่าพี่หญิงเฉินอาจจะแค่ทําเรื่องที่ตัวเองชอบจริงๆ กระมัง ผลลัพธ์ในสายตาของคนอื่นเป็นอย่างไร ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ สําคัญขนาดนั้นแล้วหรือบางทีขั้นตอนก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด” เฉินผิงอันพยักหน้า “พอจะเข้าใจแล้ว”
เดิมทีหมี่ลี่น้อยนอนคว่ําอยู่ในระเบียงไม้ไผ่ สองมือเท้าคางนับ ก้อนเมฆที่ลอยผ่านหน้าผาไปหนึ่งสองสาม รอกระทั่งเจ้าขุนเขาคนดี
นอนลง นางก็รีบพลิกตัวหันข้าง แล้วพลิกกลับไปอีกครึ่งรอบ นอน หงาย ยกเท้าไขว่ห้างแล้วแกว่งเท้าเอาอย่างเจ้าขุนเขาคนดี
เฉินผิงอันหลับตาลง
คราวก่อนในการประชุมศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เช่อ เนื่องจาก ตอนนั้นยังไม่คิดจะสร้างสํานักเบื้องล่างที่ใบถงทวีป
ความคิดแรกเริ่มสุดของเฉินผิงอันก็คือให้ซุยเหวยที่เป็น
ขอบเขตก่อกําเนิดนั่งพิทักษ์หอบูชากระบี่ หลอมกระบี่ฝึกตนอยู่กับ ตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่นั่น
ดังนั้นตอนนั้นระหว่างการประชุมของศาลบรรพจารย์ สุยโย่ วเปียนเสนอขึ้นมากะทันหันว่าต้องการให้หอบูชากระบี่เป็นพื้นที่
ประกอบพิธีกรรม
เฉินผิงอันจึงใช้ข้ออ้างง่ายๆ ปฏิเสธไป บอกว่าสํานักอื่น โอสถ ทองได้เปิดยอดเขา แต่ภูเขาลั่วตั่วต้องเป็นขอบเขตก่อกําเนิด
ผลคือเด็กทั้งเก้าคน อวี้ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงกราบอวี่เยว่เป็น
อาจารย์ ออกไปจากแจกันสมบัติทวีป
เฉิงเฉาลู่ เหอกู อวี่เสียหุย ต่างคนต่างกราบอาจารย์ เนื่องจาก
อาจารย์ของพวกเขาล้วนเป็นสมาชิกศาลบรรพจารย์ของสํานักกระบี่
ชิงผิง
อยู่ใบลงทวีปอย่างสมเหตุสมผล
ป้ายเสวียนและซุนชุนหวัง แม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนทําเนียบ แต่กลับ
อยู่หลอมกระบี่อยู่ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของถ้ําสวรรค์บนยอดเขา
มีเซวีย
สุดท้ายคนที่อยู่ต่อบนภูเขาลั่วตั่วอย่างแท้จริงก็มีแค่แม่นางน้อย
สองคนอย่างน่าหลันอวี้เตี่ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนเท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่น่าหลันอวี้เตี้ยเจ้าลูกคิดน้อยที่โลภใน
เงินทองผู้นี้ยังชอบติดตามอาจารย์ที่เป็นผู้คุมกฏของภูเขาลั่วมั่วนั่ง
โดยสารเรือเฟิงยวน ขึ้นเหนือล่องใต้ ข้ามดินแดนของสามทวีปไป บ่อยๆ ว่ากันว่านางมักจะพกสมุดเล่มหนึ่งติดตัว พอไปจอดเทียบท่าที่ ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งต่างๆ แล้วคิดถึงวิธีดีๆ ในการหาเงินได้ก็จะจด บันทึกลงไปทันที
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น นั่งขัดสมาธิ ทอดถอนใจเอ่ยว่า “มีสํานัก กระบี่ชิงผิง ทางฝั่งของภูเขาลั่วตั่วนี้ วันหน้าจํานวนผู้ฝึกกระบี่ก็คง ยากที่จะเพิ่มขึ้นได้แล้ว”
ล่ะ?”
หมี่ลี่น้อยลุกขึ้นตาม พยักหน้าอย่างแรง “นี่จะทําอย่างไรกันดี
เฉินผิงอันยื่นมือมาลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง “หัวกบาลที่เฉลียว ฉลาดนี้ช่วยคิดหาวิธีหน่อยได้ไหม?”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้า สองแขนกอดอก หลับตาลง ขมวดคิ้วสี เหลืองอ่อนจางสองข้าง
เฉินผิงอันเองก็ไม่รบกวนนาง หันหน้ามายิ้มถาม “หน่วนซู นอกเหนือจากยอดเขาหย่วนมู่แล้ว บนภูเขาใต้อาณัติที่ว่างอยู่มี สถานที่แห่งใดที่ชอบมากเป็นพิเศษบ้างไหม? หากว่ามีก็บอกข้าสัก คํา ข้าจะช่วยเก็บไว้ให้เจ้าเอง”
ทุกวันนี้ภูเขาใต้อาณัติสิบลูกที่ว่างอยู่มีภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาจูซา ยอดเขาเว่ยเสีย หอบูชากระบี่ ภูเขาเซียงฮว่อ ยอดเขาหย่วนมู่ เนิน
จ้าวตู่
ภูเขาสามลูกที่เคยให้เช่า แต่กลับเช่ากลับคืนมา ภูเขาเป่าลู่ ยอด เขาไฉ่อวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าว ทุกวันนี้แน่นอนว่าก็สามารถเป็นพื้นที่ ที่ถูกเปิดยอดเขาได้เช่นกัน
ทางฝั่งของภูเขาหวงหูมีเจียวน้ําหงเซี่ยบุกเบิกจวนน้ํา ข้องมัง ราชามังกรสองใบของหน่วนซู่และเฉินหลิงจวินก็ถูกหลอมเป็นค่าย
กลใหญ่ภูเขาสายน้ําของที่นั่น
ยอดเขาหย่วนมู่ เฉินผิงอันได้ยกให้หลี่เป่าผิงไปนานแล้ว ดังนั้นก่อนหน้านี้ฉุนหยางเจินเหรินถึงได้ไปแกะสลักกลอนบท
หนึ่งไว้ที่นั่น
หากเจี่ยงชวีไม่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เปลี่ยนทําเนียบไป อยู่ที่สํานักกระบี่ชิงผิงถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นผู้ฝึกตนสายยันต์คนแรกใน ความหมายที่เข้มงวดของภูเขาลั่วคั่วแล้วรอกระทั่งเจี่ยงซวี่หลอม
โอสถทองได้สําเร็จ ภูเขาเป่าลู่ก็จะถูกเก็บไว้ให้เจียงซวี่
ทางฝั่งของเนินจ้าวตู่ หลินโส่วอี อวี่ลู่และเซี่ยเซี่ย แต่ละคนต่างก็ เลือกจวนที่ถูกใจกันไว้แล้ว
เพียงแต่ว่าหากกลายเป็นวิญญูชนนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อ ก็
จะไม่สามารถเป็นผู้ฝึกตนบนทําเนียบ เป็นผู้ถวายงานของพรรค ตระกูลเซียนแห่งใดได้อีก
ภูเขาใหญ่ทิศตะวันตก ทุกวันนี้ยังเหลือกองกําลังตระกูลเซียน ต่างถิ่นอีกสิบกว่าแห่ง ก็เหมือนอย่างยอดเขาอีไต้ที่เป็นภูเขาเบื้องล่าง
ของพรรคหวงเหลียง
คราวก่อนเจียงซ่างเจินได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า จวนเซียนที่ ยังไม่สนิทกันพวกนั้นขอแค่ทั้งสองฝ่ายที่ทําการค้ากันยินยอมพร้อม
ใจ ก็จะมีความสัมพันธ์ควันธูปกันแล้ว
ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่เงินฝนธัญพืชกองหนึ่งคลี่คลายไม่ได้
หากว่ามี ก็แค่ต้องเพิ่มเงินอีกหน่อย!
หากว่ามีแค่ประโยคนี้ก็ไม่ใช่นิสัยการกระทําของผู้ถวายงานโจ วแห่งภูเขาลั่วคั่วแล้วประโยคหลังที่เจียงซ่างเจินเอ่ยเสริมมานั่น
ต่างจะถือว่าเป็น ออกจากยอดเขาจี้เซ่อไปก็จะ
ไปเคาะประตู วันพรุ่งนี้หากมีเซียนซือสักคนที่ไม่ได้ย้ายออกไปจาก ภูเขาด้วยสีหน้าชื่นมื่นก็ถือว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งคนใหม่อย่างข้า
ทํางานไม่ละเอียดไม่พิถีพิถันมากพอ!”
อันที่จริงในการประชุมของศาลบรรพจารย์ครั้งก่อน เหวยเหวินห ลงแห่งจวนเฉวียนฝู่ก็ได้บอกกล่าวอย่างชัดแจ้งมานานแล้วว่า ภู เขาลั่วทั่วบ้านตนใช้หนี้หมดมานานแล้ว บนบัญชีของเฉวียนฝู่ คําว่า “พอจะเหลือกําไรอยู่บ้าง” ก็คือเงินสดที่ยังนอนอยู่บนบัญชีอีกสาม พันหกร้อยเหรียญฝนธัญพืช
นี่ยังไม่นับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอีกหกร้อยเหรียญในคลัง
สมบัตินะ!
หน่วนซู่ส่ายหน้า “นายท่าน ข้ายังเป็นขอบเขตประตูมังกรอยู่เลย นะ โอสถทองก็ยังไม่ใช่ ห่างจากก่อกําเนิดอีกไกล ไม่ต้องเก็บไว้ หรอก”
อีกทั้งเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ไม่ยินดีจะไปจากที่นี่ ต่อให้อยู่
ใกล้กับภูเขาลั่วมั่วมากแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ภูเขาลั่วตั่วอยู่ดีนี่
นา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่าพูดบ่อยที่สุด
ดูเหมือนว่าอยู่กับพวกนาง ประโยคเดิมที่เจ้าขุนเขาพูดบ่อยที่สุด
ก็คือไม่ต้องรีบร้อน
โดยไม่ทันรู้ตัวก็พูดซ้ําหลายครั้งแล้ว