กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 994.1 ในภูเขาช่างงดงาม
เฉินผิงอันยิ้มพลางเก็บหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาปัดฝุ่ นที่ เปื้อนออก
พอดีกับที่เฉินยวนจีเดินนิ่งลงจากภูเขามา และยังมีจูเหลี่ยนกับเว่ ยป้ อที่พาหน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยมาปรากฏตัวตรงซุ้มประตูภูเขา เฉิน หลิงจวินก็ยิ่งมีน้าตาร ้อนๆ เอ่อคลอดวงตาตะเบ็งเสียงเรียกพี่ต้าเฟิงดัง ลั่น
เฉินผิงอันรีบโยนหนังสือไปให้เจิ้งต้าเฟิงทันที เจิ้งต้าเฟิงใช ้สอง มือผลักออก ปัดหนังสือไปที่นักพรตเซียนเว่ย เซียนเว่ยเองก็ทา เหมือนรับเผือกร ้อนลวกมือ รีบโยนไปให้พ่อครัวเฒ่าเหมือนก าลัง เล่นตีกลองส่งดอกไม้
ทีแรกจูเหลี่ยนก็ยังมึนงง แต่พอเห็นชื่อหนังสือตรงหน้าปก ก็เป็ น หนังสือปกตินี่นาเพียงแต่ไม่ต้องให้พ่อครัวเฒ่าเปิดอ่านเนื้อหา ไม่ จ าเป็ นต้องผ่านตา แค่ดูจากระดับความเก่าใหม่ของหนังสือ โดยเฉพาะหน้าหนังสือที่ถูกพับมุมไว้เยอะ พ่อครัวเฒ่าก็รู ้แล้วว่า ผิดปกติ ยื่นมือไปผลักศีรษะของเฉินหลิงจวินที่ขยับมาใกล้ออกด้วย สีห น้า เ ป็ น ธ ร ร ม ช า ติ ส อ ด ห นั ง สือ ไ ว้ใ น อ้อ ม อ ก อ ย่ า ง ไ ม่ กระโตกกระตาก
คนทั้งกลุ่มนั่งล้อมโต๊ะกัน หน่วนซู่รับหน้าที่ยกน้าส่งชา หมี่ลี่ น้อยแจกจ่ายเมล็ดแตงจากนั้นยื่นปลาน้อยตากแห้งถุงหนึ่งให้เจิ้งต้า เฟิงเป็ นพิเศษ ถือเสียว่าเป็ นการเลี้ยงต้อนรับเจิ้งต้าเฟิง
แม้แต่เฉินยวนจีก็ยังยอมหยุดฝึกหมัดเป็ นกรณีพิเศษ นั่งเรียงอยู่ กับแม่นางน้อยสองคน ไม่ว่าจะอย่างไร เจิ้งต้าเฟิงก็เป็ นคนเฝ้ าประตู คนแรกของภูเขาลั่วพั่ว แม้จะบอกว่าสายตาล่อกแล่กไม่อยู่สุข แต่ กลับไม่เคยมือสั้นมือยาว บุรุษผู้นี้จากบ้านเกิดไปนานหลายปีเพิ่งได้ กลับมาอีกครั้ง ตามเหตุตามผลแล้วนางก็ควรจะหยุดฝึกหมัดมานั่งลง สักหน่อย
เฉินหลิงจวินนั่งบนม้านั่งยาวตัวเดียวกันกับเจิ้งต้าเฟิง จับมือข้าง หนึ่งของเจิ้งต้าเฟิ งขึ้นมา ตบหลังมืออีกฝ่ ายเบาๆ “ต้าเฟิ ง พี่น้อง คิดถึงเจ้ามากเลยนะ”
นี่ไม่ใช่คาพูดตามมารยาทจริงๆ ตอนที่เจิ้งต้าเฟิ งเป็ นคนเฝ้ า ประตู เฉินหลิงจวินฮึกเหิมสนุกสนานได้ทุกวัน มีชีวิตเหมือนเทพ เซียนอย่างแท้จริง ถึงอย่างไรนักพรตเซียนเว่ยก็พูดจาไม่ขบขันเท่าพี่ น้องต้าเฟิง
จูเหลี่ยนกับเว่ยป้ อเองก็ย่อมดีใจมากที่เจิ้งต้าเฟิงได้กลับบ้านเกิด เพียงแต่ว่าไม่มีใครโอภาปราศรัยกับเจิ้งต้าเฟิงสักเท่าไร เป็ นสหาย กันมานานหลายปี คนบนเส้นทางเดียวกันไม่มีความจ าเป็ นต้องท า เช่นนั้น
หากจะนับกันจริงๆ ภูเขาเล็กลูกแรกของภูเขาลั่วพั่วต้องเป็ นของ พวกเขาสามคนด้วยซ้า เพียงแต่ว่าภายหลังเพิ่มโจวอันดับหนึ่งที่ รสนิยมเข้ากันได้ดีมาอีกคนหนึ่ง
สายทาเนียบลับเรือนไม้ไผ่ของพวกเผยเฉียน อันที่จริงไม่มีส่วน ของเฉินหลิงจวินด้วยก็ไม่รู ้ว่าบรรพจารย์จิ่งชิงในใจของอวิ๋นจื่อ หลายปีมานี้ใช ้ชีวิตผ่านมาอย่างไรกันแน่
เจิ้งต้าเฟิ งเงยหน้ามองภูเขาลั่วพั่วแล้วชายฉกรรจ์ก็พยักหน้า เบาๆ รู ้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ภูเขาเขียวบุปผาบานสะพรั่งดุจแก้มสาว งามประทินชาด คล้ายต้องการแสดงความงามจับตาให้ข้าที่กลับคืน มาได้เห็น
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็หันไปยิ้มมองเฉินยวนจีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ของโต๊ะ
แค่มองก็รู ้ว่าน้องเฉินยังไม่ได้แต่งงานออกเรือน คงไม่ใช่ว่ามีใจ รักเดียวลุ่มหลง รอคอยให้พี่ต้าเฟิงกลับมาบ้านหรอกนะ?
เฉินยวนจีผงกศีรษะให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เจิ้งต้าเฟิ งยิ้มอย่างรู ้ทัน แม่นางเฉินยังสารวมตนดังเก่า มักจะ ชอบท าเป็ นไม่ใส่ใจกับตนอยู่เสมอ
หลายปี มานี้วิ่งไปมาระหว่างร ้านเหล้าของนครบินทะยานกับ คฤหาสน์หลบหนาว ทุกวันที่ต้องคอยดื่มเหล้าระงับความคิดถึงบ้าน
ก็มักจะคิดถึงเรือนกายยามฝึกหมัดขึ้นเขาลงเขาของแม่นางเฉินอยู่ เสมอ
ประทับจิตตราตรึงใจคนถึงเพียงใด ก็สามารถท าให้ชายฉกรรจ์ คนหนึ่งที่เดิมทีคิดจะรักษาพรหมจรรย์ไปทั้งชีวิต เพียงแค่หันไปมองก็ เปลี่ยนใจไปห้าหกตลบได้เลยทีเดียว
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู ้ “กลับมาได้อย่างไร?”
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หากคิดจะเอาอย่างผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบิน ทะยานที่เดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าแห่งอื่น ถึงอย่างไรก็มีแค่มือเปล่า เท้าเปล่า มิอาจบังคับวัตถุแห่งชะตาชีวิตมาช่วยเปิดทางให้ได้ นี่จึง เป็ นเหตุให้ต้องเป็ นขั้นเทพมาเยือนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคิดจะ “ลุยน้า” ในแม่น้าแห่งกาลเวลามา โดยไม่หลงทางสาหรับผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวแล้วก็เป็ นเรื่องยากลาบาก มากจริงๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีทางลัดอีกเส้นให้เดิน นั่นก็คือได้รับการอนุญาต เป็ นข้อยกเว้นจากทางศาลบุ๋น ยกตัวอย่างเช่นจ้าวเหยารองเจ้ากรม อาญาของต้าหลี แต่นี่ก็เพราะจ้าวเหยาอยู่ในสายของเหวินเซิ่ง นอกจากนี้ในบางความหมายแล้ว จ้าวเหยาก็ถือว่าเป็ นลูกศิษย์ที่ ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งของป๋ ายเหย่ด้วย พอดีกับที่ซิ่วไฉเฒ่า กับป๋ ายเหย่ต่างก็เคยไปปรากฏตัวที่ใต้หล้าสีตอนที่ “ใต้หล้ายังเป็ น
กลุ่มอากาศที่คลุกเคล้าขมุกขมัวก่อนการบุกเบิกฟ้ าดินทั้งสองฝ่ าย ต่างก็มีคุณูปการในการร่วมมือกัน “เปิดฟ้ าผ่าดิน
และเห็นได้ชัดว่าเจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ใช ้เส้นทางสองเส้นนี้
“คนบนภูเขาย่อมมีแผนการอันยอดเยี่ยมของตัวเอง”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มพลางหยิบของลักษณะประหลาดที่มีประกายแสง ไหลรินชิ้นหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ รูปร่างเหมือนเมล็ดลูกท้อ ยาวเท่านิ้วมือ แต่มองดูแล้วไม่เหมือนของเก่าแก่บนภูเขาที่มีอายุ ยาวนาน
เฉินผิงอันรับมาไว้ในมือ ชั่งน้าหนักอยู่สองสามทีก็ไม่รู ้สึกถึง ความหนัก จึงถามอย่างสงสัยว่า “คือกระสวยที่เอาไว้ใช ้ทอผ้าหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิ งแสร ้งทาเป็ นอมพะนา จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “แววตาอะไรของ เจ้าขุนเขากันน่ะ แค่มองออกว่าเจ้าสิ่งนี้เป็ นกระสวยทอผ้าเองหรือ? เจ้าลองกรอกปราณวิญญาณลงไปข้างในสักเล็กน้อยดูสิ”
รอกระทั่งเฉินผิงอันกรอกปราณวิญญาณเหมือนเทน้าลงไปใน กระสวย วัตถุรูปลักษณ์ธรรมดาไม่มีอะไรมหัศจรรย์ก็เกิดภาพ เหตุการณ์ผิดปกติ เห็นเพียงว่าในลายไม้เล็กละเอียดบนกระสวยมี ประกายสายรุ ้งเปล่งวูบวาบเหมือนลูกธนูแล่นออกจากสาย หากเพ่ง สมาธิจ้องมองนานๆ ก็ยังพอจะเห็นว่ามีม้าสีขาวหิมะตัวหนึ่งควบตะลึง เหยียบอยู่บนสายรุ ้งลาแสงนั้นประหนึ่งนกน้อยที่บินโผไปเกาะกิ่งไม้ ม้าขาวมองข้ามการพันธนาการของเส้นทางน้าบนลายไม้ที่เป็ นดั่ง
“ท้องน้า” ลอดทะลวงไปตามเส้นรุ ้งเส้นแวงอย่างกาเริบเสิบสาน ประหนึ่งคากล่าวที่ว่าตะวันจันทราดุจกระสวย กาลเวลาดุจลูกธนู ม้า ขาวควบผ่านช่องแคบ วัวและลาเดินสวนขวักไขว่บนสะพาน ถึงกับ เป็ นยันต์ตราประทับแทนตัวที่สามารถมองข้ามกฎเกณฑ์ของมหา มรรคา ลอดทะลุผ่านแม่น้าแห่งกาลเวลาได้ตามใจชอบเลยหรือ?
ในอดีตเจิ้งต้าเฟิ งออกไปจากบ้านเกิดเคยมีข้อตกลงกับหยาง เหล่าโถวว่า จะได้กลับมายังใต้หล้าไพศาลเมื่อไหร่ และกลับมา อย่างไร ทุกเรื่องล้วนมีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มทาตัวเป็ นยายหวังขายแตงขายเองชมเอง ใช ้ฝ่ ามือ ตบโต๊ะเบาๆ พูดเจื้อยแจ้วเหมือนตัวเองเป็ นนักเล่านิทานว่า “ในยุค บรรพกาล อวี๋โจวเก่าซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของฉู่โจว ตอนกลางวันมีฝน ตกฟ้ าร ้องเป็ นประจา นานวันเข้าก็กลายเป็ นหนองน้าขนาดใหญ่ ใน หนองน้ามีสัจธรรมแท้จริงของสายฟ้ าซุกซ่อนอยู่ ภายหลังมีเขียน อิสระบรรลุมรรคาไม่ทราบนามคนหนึ่งล่องเรือมาเยือนหนองน้า สายฟ้ า สร ้างตาข่ายจับปลา บังเอิญงมเจอกระสวยชิ้นหนึ่ง มันติดอยู่ บนแหตกปลา ตอนที่กระสวยชิ้นนี้ผุดจากผิวน้าเผยกายขึ้นมาบน โลกก็มีฟ้ าผ่าลงมาทั้งที่ฟ้ าสว่างโล่ง สายฝนพลันเทกระหน่าตกลงมา กระสวยเหมือนกลายร่างเป็ นมังกรที่จากไป จาแลงกายกลายเป็ น สายรุ ้งหลบหนีไปอย่างไม่เห็นร่องรอย เล่าลือกันว่าของชิ้นนี้มีประวัติ ความเป็ นมาอย่างมาก เคยเป็ นของที่หน่วยห้าอสนีในสองหน่วยสาม กองของกรมสายฟ้ ายุคบรรพกาล มีไว้เพื่อใช ้ขับเคลื่อนภูเขาเคลื่อน
ทะเลสาบ เป่ ามหาสมุทรพลิกคลื่นลม เพิ่มลดหยินหยางโดยเฉพาะ อีกทั้งของชิ้นนี้ยังเป็ นหนึ่งในของแทนตัวสาคัญที่ใช ้สังหารผีพราย แล้งบนพื้นดินและเจียวหลงที่ล้าเส้นละเมิดกฏอีกด้วย”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็พยักหน้า ท้องฟ้ ายามราตรีกาลของสู่ โบราณมากไปด้วยน้าฝนสายน้าเชื่อมโยงกับกลิ่นอายมหาสมุทร ดังนั้นเหล้าที่อยู่ในกระบวยน้าเต้าห้อยเอวของนักพรตฉุนหยางจึงใช ้ น้าในแม่น้าชงต้นที่กระแสน้ารุนแรงมาหมักเป็ นสุรา นอกจากนี้ใน อาณาเขตของอวี๋โจวก็มักจะมีฟ้ าผ่าตอนกลางวัน สยบพันหมื่นเจียว หลงอยู่เป็ นประจ า
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยยุแยงว่า “น้องจิ่งชิง ของหายากที่มีมูลค่าควรเมือง ประเภทนี้ ไม่ลองลูบคล าดูสักหน่อยหรือ?”
เพราะตอนนี้ของชิ้นนี้ถูกเฉินผิงอันจงใจกักสายฟ้ าไว้ในฝ่ ามือ มันจึงไม่ไหลออกไปข้างนอก ไม่อย่างนั้นเผ่าพันธ ์เจียวหลงที่มหา มรรคาใกล้ชิดกับสายน้าอย่างพวกเฉินหลิงจวิน หงเซี่ย เพียงแค่มอง ทีเดียวก็จะเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่เงยหน้ามองแสงแดดเจิดจ้า จะรู ้สึก แสบร ้อนดวงตา น้าตาไหลอาบหน้า
เฉินหลิงจวินทาท่าหมายมั่นปั้นมือ แต่ระมัดระวังขับเรือได้นาน หมื่นปี จึงหัวเราะร่าเอ่ยว่า “คิดว่าข้าโง่หรือไร? มีประวัติความเป็ นมา เช่นนี้ แล้วเจ้ายังพูดเสียลี้ลับขนาดนี้ ต้องร ้อนลวกมือแน่นอนเลย”
หมี่ลี่น้อยกล่าว “เด็กน้อยที่อยู่ในเมืองเล็กชอบเล่นขว้างกระสวย กันบ่อยๆ นะ”
เมื่อก่อนตอนที่เผยเขียนไปเรียนที่โรงเรียน นางที่เป็ นผู้พิทักษ์ ขวาของตรอกฉีหลงก็มักจะพาผู้พิทักษ์ซ ้ายไปรออยู่ที่หน้าประตู โรงเรียนด้วยกันบ่อยๆ เป็ นเทพทวารบาลหนึ่งซ ้าย หนึ่งขวา รอให้ เผยเฉียนเลิกเรียน
ระหว่างที่กลับมายังตรอกฉีหลงก็มักจะได้เห็นเด็กๆ มารวมตัวกัน บนถนน ในมือถือไม้กระบองยาวฟาดด้านหนึ่งของกระสวยสั้นที่อยู่ บนพื้น กระสวยจะลอยทะยานขึ้นกลางอากาศ จากนั้นใช ้กระบอง ฟาดไปอีกที ดูว่ากระสวยของใครบินไปได้ไกลที่สุดคนนั้นก็จะชนะ มักจะมีเด็กที่สายตาดี เรี่ยวแรงเยอะสามารถชนะจนได้กระสวยที่เป็ น ของเดิมพันไปสิบกว่าชิ้น เพราะถึงอย่างไรหากเป็ นลูกขนไก่ก็ยังต้อง ใช ้เงินเหรียญทองแดงหลายเหรียญ แต่กระสวยสั้นกลับทามาจากไม้ ธรรมดาทั่วไป ไม่มีค่า ดังนั้นเด็กๆ ทุกบ้านล้วนมี ปีนั้นเผยเฉียนก็มี กระสวยอยู่กองใหญ่ เป็ นเถ้าแก่สือโหรวที่เหลาไม้ทาให้ ตอนนั้น เพื่อนเล่นของนางก็มีแค่หมี่ลี่น้อยคนเดียว ดังนั้นพวกนางเล่นกัน ทุก ครั้งที่กระสวยบินไปไกลก็จะให้ผู้พิทักษ์ซ ้ายตรอกฉีหลงไปคาบ กลับมา บางครั้งเผยเฉียนยังชั่วร ้าย เล็งตาแหน่งเหมาะๆ ตวาดเบาๆ ว่า“เจ้าไปได้” แล้วตีกระสวยไม้ชิ้นนั้นเข้าไปในห้องส้วมข้างทาง ผู้ พิทักษ์ซ ้ายตรอกฉีหลงที่อันที่จริงสติปัญญาเปิดออก สามารถหลอม
เรือนกายได้นานแล้ว อารมณ์และสีหน้าในเวลานั้นจะเป็ นเช่นไร แค่ คิดก็พอจะรู ้ได้
ดังนั้นขอแค่มีเผยเฉียนอยู่ด้วย มันก็ไม่กล้าหลอมร่างให้สาเร็จ จริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงยกนิ้วโป้ งให้หมี่ลี่น้อย “พูดถูกเผงในคาเดียวเลย นี่ก็ คือประวัติความเป็ นมาชั้นที่สองของกระสวยชิ้นนี้และสาเหตุที่ว่า ท าไมมันถึงตกมาอยู่ในมือข้าได้ ยังคงเป็ นผู้พิทักษ์ขวาที่สายตาดี ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปีก็ต้องหันมองเจ้าเสียใหม่แล้ว!”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นกดลงบนความว่างเปล่าสองที “ความรู ้ทั่วไป อย่าได้ประหลาดใจ”
มีเพียงอยู่กับเจิ้งต้าเฟิงและหลิวสัปหงกเท่านั้นที่หมี่ลี่น้อยมักจะ รู ้สึกว่าตัวเองเฉลียวฉลาดมากเป็ นพิเศษ
เฉินผิงอันคืนกระสวยให้กับเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง รวมเสียงให้ เป็ นเส้น พูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างลับๆ ว่า “เป็ นของเล่นของเจ้าลูก กระต่ายน้อยหลี่ไหวตอนเด็ก ในอดีตเจ้าตะพาบน้อยมักจะมาเล่นที่ เรือนด้านหลังของร ้านยาเป็ นประจ า ตาเฒ่ากลัวว่าหลี่ไหวจะรู ้สึกเบื่อ ก็เลยทาของแปลกๆ ขึ้นมากับมือตัวเอง หนึ่งในนั้นก็มีกระสวยชิ้นนี้ อีกทั้งหลี่ไหวยังไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ตอนนั้นเขาสวมกางเกงเปิดกัน เล่นตีกระสวยอยู่ในเรือนด้านหลังทุกวันเขาเล่นอย่างเมามัน แต่เรือน
ด้านหลังกลับต้องเจอหายนะ ทั้งประตู หน้าต่างล้วนถูกกระสวย กระแทกจนเป็ นรอย ตอนนี้รอยพวกนั้นก็ยังอยู่ ปีนั้นข้าต้องคอยช่วย อาจารย์ปะซ่อมกระดาษหน้าต่างพวกนั้นบ่อยๆ นี่ยังไม่นับเป็ นอะไร ภายหลังมีครั้งหนึ่งหลี่ไหวเอากลับไปเล่นที่บ้านแล้วดันทาหายหาไม่ เจอ พอมาเยือนด้วยสองมือที่ว่างเปล่าก็บอกให้อาจารย์ทากระสวยให้ เขาเล่นอีกอัน แน่นอนว่าตาเฒ่าไม่ได้ตาหนิอะไรหลี่ไหว ไปเป็ นช่าง ไม้ชั่วคราวในห้องเก็บของจุกจิก ผ่าฝืนเหลาไม้แกะไม้ ท ากระสวยอัน ใหม่ให้เจ้าลูกกระต่ายน้อยทันทีเพียงแค่กาชับข้าที่เป็ นลูกศิษย์ว่าให้ ไปหาชิ้นเก่ากลับมา หาไม่เจอก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
เพราะถึงอย่างไรก็เกี่ยวพันกับอาจารย์และหลี่ไหว ต่อให้คนที่อยู่ ที่นี่ล้วนเป็ นคนครอบครัวเดียวกันอย่างคนของภูเขาลั่วพั่ว แต่เจิ้งต้า เฟิงก็ไม่สะดวกจะแพร่งพรายความลับแม้เขาจะไม่ยี่หระกับสิ่งใด แต่ก็ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็ นคนไร ้สมอง
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากไม่พูดถึงคุณสมบัติด้านวิชาหมัด พูดถึงแค่ฐานะสูงศักดิ์ต่าต้อยระหว่างอาจารย์และศิษย์ หลี่เอ้อจะ นับเป็ นผายลมอะไรได้ จะเทียบกับเขาเจิ้งต้าเฟิงได้หรือ? แต่งภรรยา มาคนหนึ่ง นางก็มักจะมายืนขวางทางด่าอยู่หน้าประตู ทาเอาอาจารย์ ท่านผู้อาวุโสถูกด่าจนโมโหควันแทบผุดออกจากทหารทั้งเจ็ด สตรีที่ เจิ้งต้าเฟิงต้องเรียกว่าอาซ ้อผู้นี้ก็ช่างกล้าด่าจริงๆ ปีนั้นศิษย์พี่หลี่เอ้อ ไม่ได้ทางานหาเงินอยู่ที่ร ้านยาแล้ว นางก็ไม่สบอารมณ์ทันใด นั่งอยู่ ในร ้านยาแล้วกลิ้งตัวไปมากับพื้น ด่าผู้เฒ่าที่เป็ นอาจารย์ของผู้ชาย
ตัวเองว่า แก่แล้วยังทาตัวไม่น่าเคารพ ไม่ใช่คน ตาเฒ่าขึ้นคาน ใน ท้องมีแต่แผนการชั่วร ้ายวันๆ เอาแต่คิดเรื่องชั่ว ขนาดภรรยาของลูก ศิษย์ตัวเองก็ยังคิดไม่ชื่อด้วย ทุกคืนชอบไปนั่งยองอยู่ตรงมุมก าแพง บ้านนางนักไม่ใช่หรือ เป็ นเพราะอยากจะมอมเหล้าหลี่เอ้อให้เมา จากนั้นก็ดึงนางที่เป็ นภรรยาของผู้อื่นไปดื่มเหล้าด้วย…
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “ผลคือเดือดร ้อนให้ข้าเกือบต้องลูก ตาหลุดจากเบ้า ตามหาไปทั่วตรอกเล็กถนนใหญ่ของเมืองเล็ก กว่า จะหากระสวยชิ้นนั้นกลับมาได้ เจ้าไม่มีทางคิดออกเลยว่าข้าไปเจอ มันจากที่ไหน ก็คือในห้องส้วมข้างทาง อยู่ในกองชากข้าวโพดนั่น เจ้าตะพาบหลี่ไหวผู้นี้ทาของหายได้เก่งกว่าซ่อนของจริงๆ”
พูดมาถึงตรงนี้เจิ้งต้าเฟิงที่ในท้องเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่าใจ ก็เกือบจะหลั่งน้าตาออกมา ตนที่เคารพครูบาอาจารย์ที่สุดเกือบจะ ถูกบีบให้สะบั้นความเป็ นอาจารย์และศิษย์กันเพราะเจ้าของเล่นชิ้นนี้ แล้ว
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เล่าสถานการณ์ล่าสุดของภูเขาลั่วพั่วให้ ฟัง
เว่ยป้ อลุกขึ้นขอตัวลา บอกว่านัดหมายกับเจ้าประมุขเกาไว้แล้ว ว่าจะพานางไปเดินเที่ยวภูเขาพีอวิ๋น
เจิ้งต้าเฟิงใช ้หางตาเหลือบมองเด็กชายชุดเขียว เฉินหลิงจวินรู ้ ใจทันใด ประหนึ่งได้รับสัญญาณลับในยุทธภพ แอบยกฝ่ ามือข้าง
หนึ่งให้กับเจิ้งต้าเฟิ ง ระหว่างที่บิดหมุนข้อมือก็ทาเหมือนเล่นทาย หมัดในวงเหล้า ทามือเป็ นเลขแปด เจ็ดและแปด สามครั้ง นี่คือกาลัง รายงานข่าวให้พี่น้องต้าเฟิ งทราบ บอกให้รู ้ว่าเจ้าประมุขเกาแห่ง พรรคหูซานผู้นั้นไม่ว่ามองหน้าตรง มองด้านข้างหรือมองด้านหลัง รูปลักษณ์ความงามในสามด้านนี้เป็ นอย่างไรบ้าง
ทุกอย่างไม่จาเป็ นต้องเอื้อนเอ่ย เจิ้งต้าเฟิ งพยักหน้ารับเบาๆ ค่อนข้างจะประหลาดใจเพียงแต่ชายฉกรรจ์อดจะเสียดายนิดๆ ไม่ได้ ต่อให้คะแนนทั้งสามด้านรวมกันแล้วไม่เปลี่ยนแต่หากเป็ นห้า เก้า เก้ากลับจะดียิ่งกว่า