กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 994.2 ในภูเขาช่างงดงาม
เดินไปที่เรือนด้วยกัน เจิ้งต้าเฟิงพลันเอ่ยว่า “ตอนอยู่ใต้หล้าห้าสี
ชุยตงซานไปหาข้าเชื้อเชิญให้ข้ากลับไปทาอาชีพเก่าที่ภูเขาเซียนตู
ท าหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูต่ออีกครั้ง เขาบอกว่าที่ภูเขาลั่วพั่วมี
นักพรตเซียน เว่ยแล้ว คุณความเหนื่อยยากสูงมาก มีความ
รับผิดชอบอย่างมาก ข้าจึงคิดว่าเรื่องนี้สามารถพิจารณาได้ หากว่า
เจ้าขุนเขายินดีปล่อยข้าไป รอให้เรือเฟิงยวนกลับมาจากอุตรกุรุทวีป
ข้าก็จะถือโอกาสติดเรือไปลงหลักปักฐานอยู่ที่สานักกระบี่ชิงผิงเลย”
ชุยตงซานตบอกรับรองกับเจิ้งต้าเฟิงว่าขอแค่ไปถึงที่ภูเขาเขียน
ตูจะทาให้เขาได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าภูเขาของข้ามีคนงามอยู่มากมาย
สาวงามรูปโฉมเหมือนหยกที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เจิ้งต้าเฟิงถามแค่ค าถามเดียว รอบภูเขาเซียนตูมีพรรคอย่าง
พวกเกาะจูไชภูเขาหลังอ๋าว จวนไช่เฉวียนแห่งอุตรกุรุทวีปอยู่บ้าง
หรือไม่?
ซุยตงชานพูดอย่างน่าเชื่อถือว่า ขอแค่รับปากว่าจะไปเป็นคน
เฝ้าประตูที่ภูเขาเซียนตูก็จะเสกมาให้เจิ้งต้าเฟิงให้ได้!
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่ขุดมุม
กาแพงไปถึงใต้หล้าห้าสีผู้นี้ หากว่าตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าตน เขา
จะต้องชัดให้ห่านขาวใหญ่กลายเป็นนกกระจอกด าเลยทีเดียว
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงได้แต่ปล่อยให้ความ
รักของแม่นางเฉินกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าทาร้ายชื่อเสียงของแม่
นางดีๆ คนหนึ่งสิ”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับบอกว่าใช่ จากนั้นก็ยกเท้าถีบไปบนก้น
เฉินหลิงจวินที่ชายแขนเสื้อสะบัดราวกับบิน “เป็นถุงข้าวไร้ประโยชน์
หรือไร ท าไมยังไม่ใช่ขอบเขตหยกดิบอีก”
เฉินหลิงจวินเซถลา เอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าคิดว่าขอบเขตหยก
ดิบคืออะไร นึกอยากจะได้ก็ได้ บอกว่าจะมีก็มีหรือ?!”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “ตอนอยู่กับหน่วนซู่ เจ้าโม้ไว้ว่า
อย่างไรล่ะ? ขอบเขตหยกดิบเล็กๆ แค่กวักมือเรียกก็ได้มา ง่าย
เหมือนพลิกฝ่ามือไม่ใช่หรือไง?”
เฉินหลิงจวินสะอึกอึ้ง ถามหยั่งเชิงว่า “เรื่องนี้หมี่ลี่น้อยก็เล่าให้
เจ้าฟังด้วยหรือ? เฮ้อ สมกับเป็นเทพรายงานข่าวจริงๆ”
เจิ้งต้าเฟิงยกเท้าขึ้นอีกครั้ง “ยังต้องให้หมี่ลี่น้อยเล่าหรือไร? พ่อ
ครัวเฒ่าใช้หัวเข่าก็ยังคิดได้”
เฉินหลิงจวินจะไปจับประคองเจิ้งต้าเฟิงตามจิตใต้สานึก เพียงแต่
เห็นว่าพี่น้องต้าเฟิงยกเท้าเก็บเท้า ระหว่างที่ก้าวเดินฝีเท้าแข็งแรงราว
กับบิน ทาทุกอย่างเสร็จในรวดเร็ว เด็กชายชุดเขียวก็พลันรู้สึกเขิน
อาย หัวเราะหึหึ
เจิ้งต้าเฟิงเองก็รู้สึกอบอุ่นใจ ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าคิดถึงบ้าน เขา
พูดความจริง ไม่ได้เสแสร้งเลยสักนิด เซียนเว่ยย้ายเข้ามาอยู่ในเรือน
ก็ไม่ได้ยึดห้องหลักของเจิ้งต้าเฟิง นักพรตตัวปลอมผู้นี้พักอาศัยอยู่
ในห้องด้านข้าง
ได้ยินว่าที่ห้องของเซียนเว่ยมีเหล้า เจิ้งต้าเฟิงก็เก็บกุญแจของ
ห้องหลัก บอกว่าไม่สู้ไปนั่งที่ห้องของนักพรตเซียนเว่ย ดื่มเหล้าพลาง
คุยกันไป
เซียนเว่ยรู้สึกล าบากใจเล็กน้อย บอกว่าในห้องค่อนข้างรกรุงรัง
ห้องด้านข้างห้องนี้เป็นทั้งที่พักของเซียนเว่ย แล้วก็ถือว่าเป็นห้อง
หนังสือด้วย คนเฝ้าประตูคืองานสบายที่ว่างงานมากที่สุดแล้ว อีกทั้ง
เซียนเว่ยยังเป็นคนขยันอ่านตาราหลากหลาย เรียกได้ว่ามือไม่เคย
ว่างจากตารา บวกกับที่ยังชอบเขียนอะไรลงไป เป็นเหตุให้ข้าวของ
เครื่องใช้ในห้องหนังสืออย่างพวกแท่นฝนหมึกที่อยู่บนโต๊ะวางตั้ง
ปะปนกับหนังสือ อีกทั้งเซียนเว่ยอ่านตาราก็มักจะทาเหมือนการไป
เยี่ยมญาติ เปลี่ยนหนังสือเล่มใหม่อ่านไปเรื่อย อ่านเสร็จแล้วก็จะวาง
ไว้ด้านข้างง่ายๆ เป็นเหตุให้บนโต๊ะมีหนังสือมากมายวางกอง
ระเกะระกะ รกมากจริงๆ
บวกกับที่เซียนเว่ยเคยชินกับชีวิตยากจนแล้ว และเป็นคนที่เห็น
แก่ความสัมพันธ์ในวันวานมากที่สุด พู่กันทั้งหลายที่เคยใช้ล้วนตัด
ใจทิ้งไม่ลง เขาจึงขอให้เฉินหลิงจวินช่วยเหลือให้ไปช่วยซื้อแจกัน
กระเบื้องลายครามที่ลักษณะเหมือนไหใบหนึ่งมาจากที่ร้านของเมือง
เล็กเอาไว้เก็บพู่กันที่ไม่ใช้แล้วโดยเฉพาะ สะสมนานวันเข้า พู่กันเก่า
ก็เริ่มสูงพ้นแจกัน มีกลิ่นอายเหมือนเป็นสุสานแจกันอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันที่เป็นเจ้าขุนเขา อันที่จริงก็เพิ่งเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้ง
แรก ดังนั้นพอเห็นแจกันกระเบื้องใบนั้น เขาจึงประหลาดใจอย่างมาก
เซียนเว่ยชอบอ่านหนังสือ ขอแค่ไม่ใช่คนตาบอดก็ล้วนรู้ชัดเจนดี
เพียงแต่เฉินผิงอันก็ยังคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเซียนเว่ยจะใช้พู่กันไปเยอะ
ขนาดนี้ แต่ว่าเขาเอาไปเขียนอะไรล่ะ? คงไม่ใช่เขียนนิยายรัก
ประโลมโลกหรอกกระมัง หรือว่ายังคิดอยากจะหาร้านหนังสือมาช่วย
จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม เอาไปขายเพื่อหาเงินมา? นี่จึงเป็นเหตุให้พอสอด
ส่ายสายตาไปรอบหนึ่ง นอกจากที่กระจาดถักจากไม้ไผ่สองสามใบที่
วางไว้ในมุมห้อง ใส่ “ตารา” จานวนไม่น้อยที่รวมเป็นรูปเล่มแล้ว บน
โต๊ะก็ยังมีกระดาษต้นฉบับแบบร่างที่วางระเกะระกะ คงจะเขียน
ประสบการณ์แง่คิดที่ได้จากตอนอ่านตารา หรือไม่ก็คัดลอกมาจาก
ตาราเล่มใดกระมัง? เฉินผิงอันดึงต้นฉบับเขียนมือที่วางอยู่ใต้สมุด
แผ่นหนึ่งออกมา ตัวอักษรธรรมดา ก็แค่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น
ส่วนเนื้อหา…ทาเอาเฉินผิงอันพูดไม่ออก ไม่กี่ประโยคบนกระดาษนั้น
คือ เรียนรู้ดั่งภูเขาลึกตัวข้าแก่ชรา ค ากล่าวนี้ชวนให้หงุดหงิดใจ
หากดึงเอาประโยค ปิ่นระย้าวางทอดบนหมอนผลึก” ออกมาจากใน
ต าราได้ก็จะยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เจิ้งต้าเฟิงยึดคอยาวไปมองเนื้อหาในกระดาษแล้วพยักหน้าเบาๆ
จากนั้นส่ายหน้าน้อยๆ ชายฉกรรจ์คล้ายอริยะปราชญ์แห่งลัทธิขงจื๊อ
ที่ได้พิทักษ์ฟ้าดินแห่งหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเฉยเมย เริ่มให้ค า
ชี้แนะเด็กรุ่นเยาว์ว่า “สมมติว่าเพิ่มประโยค ปิ่นเดี่ยวกับหมอนสอง
ใบ” จะทาให้คนอ่านเกิดจินตนาการบรรเจิดไปได้ไกลมากกว่า เวลา
นี้ทัศนียภาพนี้ก็จะมีกลิ่นอายของ ไร้เสียงเหนือกว่ามีเสียง’ ได้แล้ว”
เซียนเว่ยใช้หมัดทุบฝ่ามือ พูดด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวาว่า “พี่ต้าเฟิง
สมกับเป็นยอดฝีมือผู้อาวุโสจริงๆ ด้วย!”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่วน “ค าอธิบายเหนือค าอธิบาย เพิ่มไปอีก
ประโยคว่า เหนือหมอนสองใบล้วนมีชาดแต่งแต้ม”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึอย่างชั่วร้าย เซียนเว่ยครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย
ก็เข้าใจได้ทันทีดวงตาพลันเป็นประกาย หันไปสบตากับเจิ้งต้าเฟิง
ต่างคนต่างพยักหน้า
หากไม่เป็นเพราะท่องอยู่ในมหาสมุทรตาราของเรือนหลังนี้มา
นานมากแล้ว และเซียนเว่ยก็ได้เปิดโลกทัศน์ ความรู้กว้างขวางขึ้น
แล้ว หาไม่ก็คงฟังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจิ้งต้าเฟิงพูดเรื่องอะไรอยู่
เฉินผิงอันหยิบตาราที่ทาเป็น ‘ที่ทับกระดาษ’ บนโต๊ะขึ้นมา คิด
ว่าจะวางกระดาษแผ่นนั้นกลับไปตาแหน่งเดิม วางไว้ใต้หนังสืออีกครั้ง
เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “พวกเจ้าแค่พอสมควรก็พอแล้วนะ”
เริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังแล้วที่มีความคิดก่อนหน้านี้ ตอนนั้นใน
ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ หลังจากได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวของ
ศิษย์พี่เหมา เฉินผิงอันยังคิดว่าควรจะเชิญเซียนเว่ยไปเข้าร่วมฟังการ
โต้วาทีด้วยกันดีหรือไม่
เพียงแต่พอเฉินผิงอันกวาดตาไปเห็นกระดาษแผ่นที่สองบนโต๊ะ
ก็วางกระดาษและต าราในมือลงด้านข้างทันที หยิบกระดาษแผ่นที่
เขียนเต็มไปด้วยตัวอักษรบรรจงแบบเล็กนั้นขึ้นมา
เจิ้งต้าเฟิงร้องเอ๊ะ “ทาไมน้องเซียนเว่ยถึงได้ทาตัวไร้สาระแบบนี้
ล่ะ?”
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงแค่อ่านเนื้อหาบนกระดาษอย่าง
ตั้งใจ หัวเราะอย่างขาๆ ปนฉุนว่า “จะพูดจาเหลวไหลก็ให้มีขอบเขต
หน่อย จะเรียกว่าท าตัวไร้สาระได้อย่างไร”
เซียนเว่ยมีสีหน้าเขินอาย นึกอยากจะขุดรูมุดหนีลงไป พูดเสียง
เบาราวกับยุงว่า “ไม่ประมาณตน เป็นที่หัวเราะของทุกคนแล้ว”
อยู่กับพี่ต้าเฟิงที่เลื่อมใสมานาน นักพรตเซียนเว่ยเลื่อมใส
ศรัทธาอย่างสุดซึ้ง จึงวางตัวเป็นผู้เยาว์ตลอดมา
เจิ้งต้าเฟิงหยิบกระดาษที่เหลืออยู่บนโต๊ะมาอ่านเร็วๆ ใบหน้าไม่
เหลือรอยยิ้มทะเล้นอย่างก่อนหน้านี้อีก พยักหน้าเอ่ยว่า “น้องเซียน
เว่ยอ่านตารามามากมาย มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ คิดจะใช้แนวทางแห่ง
ภูเขาตาราเก่าน้อยใหญ่ของไหวหนันจื่อ เพราะรังเกียจว่าคนรุ่นก่อน
ยากจนขาดแคลนมากเกินไป จึงเตรียมจะทาการขยับขยายการเรียบ
เรียงอย่างจริงจังแล้ว? นี่เป็นงานใหญ่เลยนะ เดิมควรเป็นงานที่ราช
สานักสั่งให้สานักบัณฑิตฮั่นหลินแล้วก็พวกบัณฑิตเฒ่าหลายสิบคน
ร่วมกันตรวจสอบ เรียบเรียงและรวบรวมตาราขึ้นมาใหม่ น้องเซียนเว่
ยถึงกับคิดจะอาศัยก าลังของตัวเองคนเดียวแบกรับภาระหนักหนา
เช่นนี้ ใช้ได้ ใช้ได้เป็นคนเฝ้าประตูภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็พอดี
เลย”
ที่แท้นักพรตเซียนเว่ยผู้นี้คิดจะใช้วิธีการที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ใช้
ภูเขาใหญ่มาพูดถึงเค้าโครงเรื่องราว จากนั้นค่อยแบ่งแยกประเภท
จาแนกตามการตั้งชื่อของห้ามหาบรรพตส่วนที่เรียกว่าเป็นภูเขาเล็ก
ก็จะแบ่งประเภทออกเป็น เนินเขา สันเขา ยอดเขา ฯลฯ จากนั้นค่อย
เอารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหลายไปใส่ไว้เป็นเนื้อหาในอีกส่วน
หนึ่ง ตั้งชื่อให้เป็นภูเขาแฝง ต่อมาเอาพวกเกร็ดพงศาวดารเรื่อง
หยุมหยิมยิบย่อยมารวมเป็น “ภูเขาสายน ้า” ที่อยู่ใต้น ้าซ่อนอยู่ใต้ราก
ภูเขา แล้วค่อยเอาเรื่องราวมหัศจรรย์ทั้งหลายบนพื้นดิน ใต้
มหาสมุทรและบนภูเขาทั้งหลายแยกออกมาโดยเฉพาะ แยกประเภท
ให้คล้ายคลึงกับพวกปราณวิญญาณ ถ ้าสวรรค์หรือตาหนักมังกรใน
น ้าซึ่งถือเป็นการรวบรวมสมบัติ…
เซียนเว่ยเอ่ยอย่างละอายใจ “ข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากพี่ต้า
เฟิง ถึงได้กล้ามีการกระท าที่เป็นมดแดงเขย่าต้นไม้เช่นนี้ แรกเริ่ม
ไม่ได้คิดจะว่าต้องท าอย่างไรให้ได้ มีโอกาสสูงมากที่จะล้มเลิกไป
กลางคัน”
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งตะลึง “หมายความว่าอย่างไร?”
เซียนเว่ยบอกว่ารอสักครู่ แล้วก็วิ่งไปยังกระจาดที่วางอยู่ในมุม
ฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งที่คล้ายกับบทนามาจากตาราเล่มหนึ่ง ยื่นส่งให้
เจิ้งต้าเฟิงแล้วเซียนเว่ยก็ยิ้มอธิบายว่า “พี่ต้าเฟิงเชี่ยวชาญความรู้
เรื่องลัทธิพุทธไม่ใช่หรือ ในบรรดาคัมภีร์พุทธทั้งหลายมีหน้ากระดาษ
สอดแทรกไว้มากมาย เขียนคาอธิบายตามความเข้าใจของตัวเองไว้
เต็มไปหมด ข้าอ่านซ ้าไปหลายรอบ นานวันเข้า ข้าก็สรุปเอา
ข้อคิดเห็นพวกนั้นของพี่ต้าเฟิงมาไว้ด้วยกันท าการรวบรวมแบบ
คร่าวๆ หลังจากนั้นก็ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจพอ ถึงได้มีความคิดคร่าวๆ ว่า
อยากจะสร้าง “กลุ่มภูเขา” ขึ้นมา…”
แรกเริ่มเจิ้งต้าเฟิงไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง เพียงแต่รอกระทั่งเห็น
หน้ากระดาษแผ่นนั้นแล้วเขาก็ยื่นส่งให้เฉินผิงอันเงียบๆ เฉินผิงอัน
ยื่นมือไปรับมาอ่านเนื้อหาที่อยู่ในกระดาษ ผลคือแม้สีหน้าของเขาจะ
ยังเป็นปกติ แต่แท้จริงแล้วกลับรู้สึกชาไปทั้งหนังหัวในชั่วพริบตา
ลายมือบนกระดาษเป็นตัวอักษรบรรจงที่มีกลิ่นอายเหมือนการ
แกะสลักป้ายศิลาอันดับแรกก็เป็น “คาคุยโวโอ้อวด’ ที่พอเปิดฉากก็
อธิบายถึงสาระสาคัญ
นักพรตเซียนเว่ยเก็บตัวอยู่ในภูเขาลึกเป็นประจา ใกล้ชิดกับพืช
หญ้าสนิทสนมกับร้อนหนาว เดินขึ้นสู่ที่สูงเกิดแรงบันดาลใจ เดิมทีก็
เป็นคนนอกของพุทธศาสนา ย่อมไม่ใช้ความเห็นของคนนอกมา
วิจารณ์คัมภีร์พุทธ ข้าแค่น าหนึ่งปีสี่ฤดูกาลของโลกมนุษย์มา
กล่าวถึงพระสูตรท าให้หมื่นสรรพสิ่งมีชีวิต พลังชีวิตเปี่ยมล้น วัน
เริ่มต้นแห่งปีรากฐานแห่งมรรคานับแต่โบราณมาเรียกว่าวสันต์ พระ
วินัยนามาซึ่งความสว่างไสว พืชพรรณเป็นพุ่มเขียวชอุ่มคือคิมหันต์
พระอภิธรรมคือสายลมเยียบเย็น ทาให้บุปผาเบ่งบานพืชผลออกผล
คือสารทการพิศมองทาให้ความมืดมิดสว่างกระจ่าง ประหนึ่งหิมะปก
คลุมทั่วฟ้าดินกลายเป็นสีเดียวกัน นี่คือเหมันต์ ฉานคือการกลมกลืน
ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนการเคลื่อนโคจรของวันเวลาที่แม้จะไร้
คาพูดทว่าสี่ฤดูกาลก็ยังดาเนินไปตามระเบียบแบบแผน
เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ากับน้องเซียนเว่
ยต่างก็เป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว ผู้ที่มาไล่ตามคนที่นาหน้าไป
อย่างข้านี่ถือว่าเป็นคนที่ไล่ตามมาทีหลังหรือไม่?”
เฉินผิงอันอดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยเบาๆ ว่า “สายตาในการ
มองคนของข้าดีจริงๆยังคงดีเหมือนในอดีตที่ผ่านมา”
เฉินหลิงจวินมองกระดาษในมือของนายท่าน ดูแล้วก็เหมือน
ไม่ได้ดู เอาสองมือไพล่หลัง ไม่เข้าใจแต่แสร้งทาเป็นว่าเข้าใจ พยัก
หน้าเอ่ยชื่นชมว่า “นักพรตเซียนเว่ย ไม่เลว ไม่เลว ที่อ่านตารามาไม่
ถือว่าเสียเปล่า”
เซียนเว่ยคิดแค่ว่าเจ้าขุนเขากับพี่ต้าเฟิงล้อเล่น เดินไปเปิดถุงที่
ใส่ถ่านไม้ไว้จนเต็มเติมถ่านสีขาวลงไปในกระถางไฟเล็กน้อย ล้วน
เป็นถ่านที่พ่อครัวเฒ่าเผาขึ้นเอง หน้าหนาวปีก่อน หน่วนซู่นามาส่ง
ให้ที่เรือนล่างภูเขาแห่งนี้ตามเวลาที่กาหนด ภายหลังเซียนเว่ยรู้สึกว่า
ให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแบกถุงใหญ่ขนาดนั้น ไม่สมควรเลย
ผู้ดูแลน้อยแวะมารอบหนึ่ง เนื้อตัวก็เปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นเศษไม้ มีครั้ง
หนึ่งเซียนเว่ยจึงขึ้นภูเขาไปหาจูเหลี่ยนด้วยตัวเอง คิดว่าจะหิ้วถ่าน
สองถุงกลับมาที่เรือนตรงตีนเขา จูเหลี่ยนกลับยิ้มบอกว่าห้ามให้มี
คราวหน้าอีก เพราะหน่วนซู่ชอบทาเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ มีเรื่องเพิ่มมา
หนึ่งหรือสองเรื่อง ก็เหมือนหมี่ลี่น้อยเก็บเงินเหรียญทองแดงได้หนึ่ง
หรือสองเหรียญบนพื้น มีแต่จะดีใจ แต่หากเรื่องเล็กน้อยใน
ชีวิตประจาวันบางอย่างที่ทาจนชินแล้ว อยู่ๆ มีวันหนึ่งไม่ต้องทาอีก
แล้ว หน่วนซู่ก็จะผิดหวัง เหมือนกับหมี่ลี่น้อยทาเงินหายไป
นั่งล้อมกระถางไฟ จุดถ่านไม้ เซียนเว่ยวางตะแกรงเหล็กลงไป
บนกระถางอย่างคุ้นเคย บอกให้เฉินหลิงจวินไปหยิบบ๊ะจ่างพวงหนึ่ง
มาจากห้องครัว แล้วพวกเขาก็นั่งล้อมวงอุ่นสุรากัน
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของนครบินทะยาน?”
เจิ้งต้าเฟิงไม่เปิดปากพูด จ้องเฉินผิงอันเขม็งอยู่นานด้วยสีหน้า
ปั้นยาก
เฉินผิงอันสงสัย “มีอะไรหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเอาแต่เงียบงันอยู่นาน