กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 994.3 ในภูเขาช่างงดงาม
เฉินผิงอันยิ่งงงเข้าไปใหญ่ อดไม่ไหวเอ่ยเร่งเร ้า “มีอะไรก็พูดมา สิ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงข้าสามารถกลับไปได้ทันทีเลย”
พาเสี่ยวโม่ไปด้วย หากไม่ได้จริงๆ ก็พาเซี่ยโก่วไปด้วยอีกคน ถึง อย่างไรข้อตกลงระหว่างเซี่ยโก่ว ป๋ ายเจ๋อและศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ ไม่ได้รวมถึงใต้หล้าห้าสีอยู่แล้ว
เจิ้งต้าเฟิงถึงได้เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่นครบินทะยานเลย ทุกวันนี้ทั่วทั้งใต้หล้าห้าสี เวลานี้ต่างก็เป็ นเหมือนข้าเมื่อครู่นี้ ก็คือ ความเงียบงัน เก็บกลั้น ไม่มีใครพูดอะไร”
ทุกอย่างนี้เพราะประโยคเดียวของคนคนเดียว
พกกระบี่เดินทางไกลจากใต้หล้าไพศาล หวนกลับไปยังใต้หล้า ห้าสีอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานเท่าไร หนิงเหยาก็เปิ ดการประชุมศาล บรรพจารย์ขึ้น สุดท้ายนางกล่าวอย่างกระชับเรียบง่าย บอกว่าตัวเอง คิดจะปิดด่านเล็กๆ ครั้งหนึ่ง สั้นหน่อยก็ปีครึ่งปี นานหน่อยก็สองสาม ปี
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มกว้างเท่านั้น
ผู้ฝึ กตนห้าขอบเขตบนของใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้ มีจานวน พอจะนับได้ ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินอย่างมากสุดก็มีหนึ่งมือนับ บินทะยานกลับมีหนิงเหยาแค่คนเดียว
อีกทั้งการฝึ กกระบี่ของหนิงเหยา ไปอยู่ที่ใต้หล้าห้าสี ก่อนจะ เลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบ จานวนครั้งในการปิดด่านของนาง หาก เฉินผิงอันจาไม่ผิดก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ตอนนั้นเขาก็อยู่ที่จวนหนิง ครั้งนั้นอันที่จริงหนิงเหยาไม่ได้ใช ้ เวลานานนัก ค าว่าปิดด่านของนางเหมือนการสงบใจฝึกตนมากกว่า ดังนั้นการปิดด่านของหนิงเหยาจึงแตกต่างไปจากการปิดด่านของผู้ ฝึกตนทุกคนในใต้หล้าที่ต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีกอย่างสิ้นเชิง นี่จึงเป็ นเหตุให้การที่อยู่ดีๆ หนิงเหยาก็บอกว่าจะปิดด่าน อีกทั้งยัง เป็ นการปิดด่านที่ใช ้ค าว่า “นานสุด” ก็เป็ นเวลาสองสามปี ผู้ฝึกกระบี่ ของนครบินทะยานอึ้งตะลึงกันไปทันทีก็เป็ นเรื่องที่ปกติอย่างมาก ส่วนใต้หล้าห้าสีที่นอกเหนือจากนครบินทะยาน ได้ยินเรื่องนี้แล้วยัง จะพูดอะไรได้อีก?
หากใครกล้าท้าทายผู้ฝึ กกระบี่ของนครบินทะยานตอนที่หนิง เหยาปิดด่าน รอให้นางออกจากด่านแล้ว จุดจบจะเป็ นอย่างไรแค่คิด ก็พอจะรู ้ได้
คนที่ไม่เชื่อก็คือนักพรตซานชิง ผลคือการถามกระบี่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ปิ ดส านักของมรรคาจารย์เต๋าผู้นี้ก็ต้องไปปิ ดด่านรักษา บาดแผลแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยอย่างเปรี้ยวฝาดในใจ “ก่อนจะปิดด่านหลอมกระบี่ รู ้ว่าข้าต้องจากมาหนิงเหยายังตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะ ก าชับข้าว่า ห้ามเล่าเรื่องในใต้หล้าห้าสี หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าต้องเสียสมาธิ”
อันที่จริงเมื่อผ่านการขัดเกลาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นครบิน ทะยานก็โคจรได้มีระเบียบมากแล้ว แต่ละฝ่ ายทาหน้าที่ของตัวเอง ผู้ ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กับผู้ฝึกยุทธในคฤหาสน์หลบหนาวต่างก็ทยอยกัน เติบโต
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าภูเขาลั่วพั่วจะมีส านัก เบื้องล่างเร็วขนาดนี้”
“สานักเบื้องล่างเลือกที่ตั้งเป็ นใบถงทวีปก็ถูกต้องแล้ว ในช่วง เวลาที่สงบสุข อาณาเขตชายแดนของแคว้นแห่งหนึ่งเลี้ยงอ๋องเจ้า เมืองคนหนึ่งไว้เป็ นเรื่องยากถึงเพียงใด แค่อ่านต าราประวัติศาสตร ์มา บ้างก็จะรู ้ได้เอง ถ้าอย่างนั้นก็หลักการเดียวกัน ในทวีปแห่งหนึ่งเลี้ยง ดูผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนไว้หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสานัก ก็เป็ น เรื่องที่ไม่ง่ายเหมือนกัน”
“ทางฝั่งของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ทางภาค กลางและภาคเหนือที่ไม่ถูกไฟสงครามลุกลามไปโดน ปราณ วิญญาณฟ้ าดินและเขตอิทธิพลที่เหมาะกับการเปิ ดยอดเขาของ เซียนดินก็มีอยู่แค่นั้น ไม่เพียงแค่เป็ นช่วงเวลาที่พระมากโจ๊กน้อย แต่ เป็ นสภาพการณ์ที่ว่าใครที่มีเยอะ คนอื่นก็ต้องมีน้อยลง บางทีนอน หลับส่งเสียงกรนก็อาจดังไปรบกวนภูเขาด้านข้าง บรรดาเพื่อนบ้าน
ยากที่จะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองได้ หากว่าช่างหร่วนไม่ย้ายส านัก กระบี่หลงเฉวียนออกไป ข้าก็มั่นใจได้เลยว่าไม่ถึงหนึ่งร ้อยปี จะต้องมี ปัญหากับภูเขาลั่วพั่วแน่ ข้าวแบบเดียวกันเลี้ยงคนได้ร ้อยแบบ ระหว่างลูกศิษย์ในอนาคตจะต้องมีข้อขัดแย้งไม่แบบนั้นก็แบบนี้อยู่ เสมอ แต่ใบถงทวีปนั้นตรงกันข้ามพอดี พระน้อยโจ๊กมาก พื้นที่ไร ้ เจ้าของมีมากมายดารดาษ แล้วก็เพราะใบถงทวีปอยู่ห่างจากทวีปอื่น ค่อนข้างไกล ทั้งยังมีแจกันสมบัติทวีปและทักษินาตยทวีปที่ต้องการ ให้ศาลบุ๋นสร ้างใหม่ช่วยคลี่คลายแรงปะทะหาไม่แล้วหากเปลี่ยนมา เป็ นหลิวเสียทวีปหรือธวัลทวีป ต่อให้สานักกระบี่ชิงผิงถูกสร ้างขึ้น อย่างราบรื่น ก็คงไม่มีพลังอานาจได้อย่างทุกวันนี้ ประเด็นสาคัญคือ ยังสามารถใช ้สถานะของมังกรข้ามแม่น้าดึงแต่ละฝ่ ายมาเป็ น พันธมิตร สามารถควบคุมและเป็ นผู้ด าเนินการหลักในเรื่องการขุด เจาะลาน้าใหญ่ใหม่เอี่ยมเส้นหนึ่งได้ด้วย”
เฉินหลิงจวินพูดหน้าทะเล้น “พี่ต้าเฟิง หากเจ้ายังพูดคุยอย่าง จริงจังเช่นนี้อีก ข้าก็เกือบจะจ าเจ้าไม่ได้แล้วนะ”
เจิ้งต้าเฟิงหยิบเหล็กเขี่ยถ่านมาขยับฟืน ถามว่า “หรือว่าทุกวันนี้ สตรีของที่นี่ต่างก็ไม่ชอบบุรุษมีเสน่ห์ที่พูดจาตลกขบขัน มากด้วย พรสวรรค์ความสามารถ หันไปชอบคนซื่อที่เงียบขรึมพูดน้อย เอา จริงเอาจังกันแล้ว?”
เฉินหลิงจวินกล่าว “คนขี้เหร่ไม่เป็ นที่ชื่นชอบ ผ่านไปอีกหมื่นปี ก็ยังเป็ นหลักการนี้”
ไม่สนใจสองคนที่หยอกกันไปมา เฉินผิงอันยื่นมือไปพลิกบ๊ะจ่าง ที่ใบด้านนอกเริ่มเป็ นสีเหลืองเกรียมส่งกลิ่นหอม แล้วถูปลายนิ้วเข้า ด้วยกัน ถามว่า “เจ้าตัดสินใจจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่สานักกระบี่ชิง ผิงจริงๆ หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “คนเสเพลไม่เป็ นโล้ไม่เป็ นพายนี่นา ไม่เคยอยู่ในโอวาทสงบส ารวมอยู่แล้ว ชะตาต้องร่อนเร่พเนจรไป เท่านั้น”
เฉินผิงอันหมดค าจะเอ่ย
เซียนเว่ยเปิดปากเอ่ยว่า “พี่ต้าเฟิง หากต้องไปอยู่สานักเบื้องล่าง เพราะข้าก็ไม่จ าเป็ นเลย ข้าย้ายขึ้นไปบนภูเขาก็ได้ หรือจะย้ายไปที่ ตรอกฉีหลงก็ได้ หากท่านไม่รังเกียจ ไม่รู้สึกว่าขวางหูขวางตา ถ้า อย่างนั้นข้าก็จะทาหน้าหนาขออยู่ที่นี่ต่อ…”
เจิ้งต้าเฟิ งโบกมือยิ้มพูดตัดบทนักพรตเซียนเว่ย หยิบบ๊ะจ่างที่ ย่างจนกลายเป็ นสีเหลืองทองขึ้นมา “หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับน้อง เซียนเว่ยเสียเลย นั่นก็เป็ นคาพูดหลอกผีแล้ว แต่ก็บอกตรงๆ ว่าแม้จะ เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องมากนัก หนึ่งเพราะข้าอยู่ที่นี่มิอาจช่วย อะไรได้ ผู้ฝึกยุทธของภูเขาลั่วพั่ว หากไม่ได้เป็ นคนอย่างเจ้าขุนเขา หรือพ่อครัวเฒ่าก็เป็ นคนอย่างเว่ยคอแข็งกับหลูป๋ ายเซี่ยงที่เหมือน แยกบ้านออกไปอยู่ส่วนตัวแล้ว ยังต้องให้ข้าคอยช่วยสอนหมัดหรือ? ข้าก็อยากสอนอยู่หรอก แต่พวกเขาไม่เต็มใจจะเรียนนี่นา สอนหมัด อยู่ที่คฤหาสน์หลบหนาวนครบินทะยานมานานหลายปี พอจะมีข้อคิด
ที่ได้จากประสบการณ์อยู่บ้าง ตามค ากล่าวของชุยตงซาน ส านัก เบื้องล่างตั้งใจจะให้ภูเขาอวิ๋นเจิง เป็ นสถานที่ที่ผู้ฝึกยุทธเรียนหมัด ข้าไปอยู่ที่นั่นก็มีพื้นที่ให้แสดงฝีมือแล้ว อีกอย่างที่เมืองเล็ก สตรีที่ เมื่อก่อนชื่นชมในความสามารถของข้า ละโมบอยากกินเรือนกายข้า ตอนนั้นยังพูดได้ว่าพวกนางเป็ นสตรีโตเต็มวัยที่มีเสน่ห์ มีความเย้า ยวน แต่ตอนนี้พวกนางส่วนใหญ่ล้วนอายุมากกันแล้ว หากไม่ผิดไป จากที่คาดก็น่าจะมีหลานกันแล้วกระมัง เจอหน้ากันยังจะพูดคุยอะไร กันได้อีก มีแต่จะเพิ่มความเสียใจให้กันเท่านั้น”
เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน “จะกินบ๊ะจ่างสักชิ้นก็ยังต้อง สะอิดสะเอียนแบบนี้
จากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็หันไปสบตากับเจิ้งต้าเฟิง ทั้งสองฝ่ าย ต่างก็หัวเราะหึหึ
ถึงอย่างไรนักพรตเซียนเว่ยก็เข้าใจแค่หลักการเหตุผลในต ารา ความรู ้ไม่ลึกซึ้งนัก จึงยังไม่อาจเข้าใจความลี้ลับในเรื่องนี้ได้ทันที
เฉินผิงอันกล่าว “นักพรตที่มีฉายาว่าซานชิงผู้นั้นจะเข้าร่วมการ โต้วาทีของสามลัทธิครั้งนี้ด้วย”
เจิ้งต้าเฟิงกระตุกมุมปาก “ก็แค่ถูกเกณฑ์ไปให้ครบจ านวนคน เท่านั้น ความสามารถในการโต้เถียงของนักพรตหนุ่มผู้นี้ คาดว่ายังสู้ ความสามารถในการต่อยตีของเขาไม่ได้ด้วยซ้า”
เฉินผิงอันร ้องเอ๊ะ แล้วก็เริ่มทวงความเป็ นธรรมแทนลูกศิษย์ปิด ส านักของมรรคาจารย์เต๋า “แค่แพ้ให้กับหนิงเหยาเท่านั้นเอง ไม่ได้ น่าอายเสียหน่อย”
เจิ้งต้าเฟิ งหัวเราะร่วน “ก็เหมือนที่เจ้าถามหมัดแล้วแพ้ให้กับ เฉาสือน่ะหรือ? สามครั้งที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ครั้งหนึ่งที่สวนกง เต๋อ ต่อจากนี้คิดว่าจะแพ้อีกกี่ครั้งดีล่ะ?”
เฉินหลิงจวินรีบกระแอมติดๆ กัน พูดบ่นว่า “พี่ต้าเฟิง พูดจาแบบ นี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่พี่น้องครอบครัวเดียวกัน เจ้าจะโดนตบปาก แล้วนะ”
เจิ้งต้าเฟิงยกฝ่ ามือขึ้นทามือต่างมีดสับเข้าไปที่หัวของเฉินหลิง จวิน เฉินหลิงจวินรีบยกข้อศอกมาต้านมือมีดทันที
คนหนึ่งบอกว่าจอมยุทธหนุ่มอายุน้อย กาลังภายในแข็งแกร่ง สามารถบุกเดี่ยวออกไปในยุทธภพได้แล้ว อีกคนหนึ่งบอกว่าคนแก่ก็ ไม่เลว แก่แล้วยังแข็งแรงเปี่ยมกาลังวังชา ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้ซึ่งเดิน ออกมาจากหมู่มวลบุปผา
เคยชินกับการกระทาเช่นนี้ของพวกเขามานานแล้ว เฉินผิงอัน จึงเพียงแค่พึมพ ากับตัวเองว่า “คาดว่าน่าจะยังต้องแพ้ให้กับเฉาสื ออีกสองครั้ง หรือไม่ก็สามครั้ง”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “หากยังแพ้อีกสองสามครั้ง ชั่ว ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องงัดข้อกับเฉาสือแล้วสินะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยประโยคที่เป็ นความจริงสักหน่ อย อย่างมากสุดแพ้ให้ เฉาสือสามครั้ง หากยังแพ้ในครั้งที่สาม อันที่จริงก็ไม่ต้องถามหมัด ช่วงชิงชัยชนะสูงต่าอะไรกับเฉาสืออีกแล้ว เพราะถึงเวลานั้นเมื่อถามหมัดอีกครั้ง อันที่จริงก็มีแต่จะถูก เฉาสือสอนหมัดแล้ว
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นว่า “กระสวยที่สามารถช่วยให้ผู้ฝึก ยุทธข้ามผ่านใต้หล้าสองแห่งเช่นนี้ สามารถทาเลียนแบบได้ใช่ ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า “วัสดุที่ใช ้ทากระสวยหาได้ยากเกินไป คน ทั่วไปก็อย่าได้หวังเลยต่อให้เป็ นปรมาจารย์ด้านยันต์อย่างอวี๋เสวียนก็ เป็ นได้แค่สตรีที่มีฝี มือแต่ไร ้วัตถุดิบให้ปรุงอาหาร แต่วิธีการและ รากฐานกาลังทรัพย์ของอาจารย์ข้าย่อมต้องทาได้ ถามเรื่องนี้ ท าไม?”
เฉินผิงอันกล่าว “ซูเตี้ยนของที่ร ้านยา ช่วงก่อนหน้านี้นางออก จากบ้านเกิดไปเพียงลาพัง แม้แต่สือหลิงซานก็ยังไม่รู ้ว่านางไปที่ ไหน”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มเอ่ย “ศิษย์น้องหหญิงคนนี้ของข้าคงไม่ได้หนีตาม บุรุษคนใดไปหรอกกระมัง หากสือหลิงซานรู้ความจริงจะไม่ร้องไห้ ตายหรอกหรือ แยนจือไม่บอกเขาก็ถูกต้องแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ซูเตี้ยนน่าจะไปที่ใต้หล้ามืดสลัว” เจิ้งต้าเฟิงถาม “มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “เป็ นแค่การคาดเดาเท่านั้น เพราะ ข้าสงสัยว่าจี้กวานคนสุดท้ายของก าแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตได้ เคยมาเยือนถ้าสวรรค์หลีจู จากนั้นก็ปิดบังชื่อแซ่พักอาศัยอยู่ที่นี่ ทุก วันนี้คนผู้นี้อาจอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ไม่แน่ว่าอาจเป็ นหลินเจียงเซียนผู้ ฝึกยุทธที่เป็ นบรรพจารย์เปิดภูเขาของยาซานแห่งราชวงศ์ชื่อจินผู้ นั้น”
เฉินผิงอันเคยถามหลวี่เหยียนเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความสูงต่าของ วิชาหมัดหลินเจียงเซียน หลวี่เหยียนกลับไม่ได้พูดอย่างละเอียดว่า “หลินซือ” ท่านนี้มีวิชาหมัดสูงเท่าใดกันแน่ไม่ได้มีการยกตัวอย่างให้ ฟัง เช่นว่าเอามาเปรียบเทียบกับผู้ฝึ กยุทธที่อยู่ในขั้นเทพมาเยือน อย่างเผยเปยหรือจางเถียวเสียแห่งไพศาล นักพรตฉุนหยางที่เคย เดินทางท่องไปในใต้หล้ามืดสลัวผู้นั้นกลับเอ่ยว่า “เวทกระบี่สูงยิ่ง กว่า”
ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีกแล้ว
นี่ก็ได้เป็ นการยืนยันคาตอบที่มีอยู่ในใจของเฉินผิงอันทางอ้อม แล้ว
เจิ้งต้าเฟิงหันมาขยิบตาให้
เฉินผิงอันเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาสกัดกั้นฟ้ าดิน ในทันที
เห็นได้ชัดว่าเจิ้งต้าเฟิงคิดว่าคนหนึ่งเป็ นผู้ฝึกตนที่ใช ้เสียงในใจ พูดคุย กับคนหนึ่งเป็ นผู้ฝึกยุทธที่รวมเสียงให้เป็ นเส้นก็ยังไม่มั่นคง มากพอ เพื่อป้ องกันไม่ให้กาแพงมีหู กังวลว่าที่เมืองเล็กจะมีผู้ฝึกตน ใหญ่ที่ซ่อนตัวอย่างลึกล้ามาลอบแอบฟัง
เจิ้งต้าเฟิ งถึงได้เอ่ยต่อว่า “หลินเจียงเซียนจะใช่จี้กวานคน สุดท้ายของก าแพงเมืองปราณกระบี่พวกเจ้าหรือไม่ สมมติว่าใช่ แล้ว ทาไมเขาถึงได้ปล่อยตาแหน่งจี้กวานไว้ไม่ยอมเป็ น แอบมาที่ถ้า สวรรค์หลีจู อีกทั้งสุดท้ายกลายเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้อย่างไร ข้าไม่ กล้าวิเคราะห์ส่งเดช ส่วนเรื่องที่ว่าหลินเจียงเซียนได้ออกจากถ้า สวรรค์หลีจูไปยังใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่ก็ยิ่งไม่ต้องเดา ตอนนี้ข้า สามารถบอกกับเจ้าอย่างชัดเจนได้เลยว่า ต้องใช่แน่นอนเพราะคนผู้ นี้มีสถานะที่แน่แท้อย่างหนึ่ง เขาคือหนึ่งใน “ศิษย์พี่” ของข้า หลี่เอ้อ และพวกแยนจือ”
“จาได้ว่ามีครั้งหนึ่งข้าดื่มเหล้ากับศิษย์พี่หลี่เอ้อ หลี่เอ้อเองก็ เพราะว่าดื่มไปไม่น้อยจึงหลุดปากพูดออกมา บอกว่าในบรรดาลูก ศิษย์เข้าห้องและลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนที่ทาให้ท่าน อาจารย์รู ้สึกว่ามีคุณสมบัติในการเรียนวรยุทธดีได้อย่างแท้จริงก็มีแค่ คนเดียวเท่านั้น เป็ นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว คนผู้นี้แซ่เซี่ย นามซินเอิน เจ้าเองก็อ่านต ารามาไม่น้อย น่าจะรู ้ชัดเจนดีว่า เซี่ยชิน
เอินคือชื่อช่วงทานองของโคลงประกอบดนตรี และหลินเจียงเซียน (林江仙) กับ ‘หลินเจียงเซียน” (临江仙) ก็ออกเสียงแบบเดียวกัน เป็ นชื่อช่วงทานองของโคลงประกอบดนตรีเช่นเดียวกัน และไม่ว่าจะ เป็ นหลินเจียงเซียน เซี่ยซินเอิน หรือเยี่ยนโฮ่วกุย ชื่อช่วงทานองของ โคลงประกอบดนตรีที่มีความหมายเหมือนกันแต่คนละชื่อพวกนี้ ส่วน ใหญ่ก็มักจะเป็ นผลงานของภรรยาผู้อาลัย ของผู้ที่คิดถึงคานึงหา หรือไม่ก็ผลงานที่บรรยายถึงเทพเซียนหญิงไว้อาลัยริมน้า มีความ เกี่ยวข้องกับพิธีเช่นไหว้ยุคบรรพกาลอยู่บ้าง จาได้ว่าปีนั้นตอนที่ตา เฒ่าอยู่ว่างๆ ในร้านยาก็มักจะเปิดอ่านบันทึกภูเขาสายน้าของเซียน กระบี่ต่างถิ่นเล่มหนึ่งเป็ นประจา ดังนั้นที่เจ้าเดาว่าหลินเจียงเซียนคือ จี้กวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถือว่ามีร่องรอยให้ ตามหา มีหลักฐานให้อ้างอิงแล้ว”
“นังหนูแยนจือผู้นี้ ในเมื่อนางออกจากบ้านแล้วก็แสดงว่านาง ต้องแอบถือกระสวยที่เป็ นของเลียนแบบไว้ในมือ ไปหาศิษย์พี่ผู้นี้ที่ใต้ หล้ามืดสลัวเพื่อขอเรียนวิชาหมัดแน่นอนนางเป็ นคนหยิ่งทระนง อยากจะถามหมัดกับเจ้ามาโดยตลอด นางเรียนวิชาหมัดกับศิษย์พี่ หลินถึงจะถือว่ามีโอกาส “หนึ่งในหมื่น” หาไม่แล้วแม้แต่หนึ่งในหมื่น ก็จะไม่มี อาจารย์นับว่ายังดูแลนางดีมาก ไม่ว่าจะรู้สึกว่านิสัยของแม่ นางน้อยถูกใจ หรือสงสารท่านอาที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับนาง รัก เขาแล้วยังรักอีกาในบ้านเขาด้วย ถึงอย่างไรข้าก็สามารถสัมผัสได้ อย่างชัดเจนว่าอาจารย์มองนางแตกต่างไปจากสือหลิงซานอย่าง
สิ้นเชิง ส่วนตัวซูเตี้ยน เองจะมีความเป็ นมาอะไรหรือไม่ จะเหมือน ท่านอาของนางที่เป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางองค์กลับชาติมาเกิดใหม่ หรือไม่ ข้าก็ไม่อาจรู ้ได้ แล้วก็ไม่อยากรู ้ด้วย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ไร ้ความแค้นใดๆ ต่อกัน ซูเตี้ยนจะ มาประชันขันแข่งอะไรกับข้า?”