กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 994.6 ในภูเขาช่างงดงาม
เจิ้งต้าเฟิงมองขวดไหพวกนั้นแล้วพลันจนคาพูด ในอดีตตนก็แค่ พูดล้อเล่นเท่านั้นผลกลับกลายเป็ นว่าแต่ละคนล้วนคิดเป็ นจริงเป็ นจัง
เพียงแต่ว่าเจิ้งต้าเฟิงก็รู ้สึกลาบากใจอยู่บ้าง ตนจะรักษาน้าพุใส สะอาดที่เปลี่ยนเป็ นขุ่นมัวได้อย่างง่ายดายพวกนี้ได้อย่างไร?
เฉินผิงอันทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า เจ้าไปขอให้เว่ยซานจวินช่วย เถอะ
เดินขึ้นบันไดไปช ้าๆ สวนทางกับเฉินยวนจีที่ฝึกหมัดเดินนิ่งลง มาจากบันได เรือนกายของนางเล็กราวกับเมล็ดงา คนหนึ่งเดินขึ้นสู่ ที่สูง คนหนึ่งเดินลงจากภูเขา ทั้งสองฝ่ ายเดินสวนไหล่ผ่านกันไป เฉินผิงอันเดินตรงจนไปถึงยอดเขา นั่งลงบนขั้นบันได เหม่อลอยไป เล็กน้อย เพราะการปรากฏตัวของกระสวยชิ้นนั้น เฉินผิงอันจึงเริ่ม สงสัยแล้วว่าถ้าคว่อชางซึ่งในอดีตได้ควบรวมถ้าสวรรค์ฉานทุ่ยไว้ ภายใน ได้ถูกหยางเหล่าโถวแอบเก็บไว้อย่างลับๆ มานานแล้ว หรือไม่? หลังจากนั้นก็จงใจเปิดเผยแค่ร่องรอยของถ้าสวรรค์ฉานทุ่ย ภายหลังก็มีเฉินชิงหลิวที่เดินทางไกลข้ามทวีปมาฝึกตนอยู่ด้านใน
มังกรแท้จริงในใต้หล้าตัวแรกสุดที่รับผิดชอบควบคุมการ ไหลเวียนของโชคชะตาน้าเคยเป็ นพันธมิตรกับผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ อย่างลับๆ สุดท้ายก็ทรยศออกจากสรวงสวรรค์
และเฉินชิงหลิวคนพิฆาตมังกรก็เคยหลอมกระบี่อยู่ในถ้าคว่ อชางนานหลายปี อีกทั้งยังได้พิสูจน์มรรคาอยู่ในนี้
นี่ถือเป็ นการคิดบัญชีอย่างชัดเจนที่หยางเหล่าโถวมีต่อคน ทรยศหรือไม่?
หากเป็ นเช่นนี้จริง แผนการก็ช่างลึกล้าและยาวไกลจนน่ากลัว อย่างแท้จริง
ตามคากล่าวของหลวี่เหยียน ในฐานะแท่นสังหารมังกรหนึ่งใน สองแท่นลงทัณฑ์ของสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล ระหว่างศึกเดินขึ้น ฟ้ าได้ถูกผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งทาลายจนแหลกเละกระจัดกระจายร่วงลง ไปในโลกมนุษย์ “หน้าผา” สองแห่งที่ใหญ่ที่สุด หนึ่งคือภูเขาหลงจี๋ที่ มีชื่อในยุคโบราณมากมายทั้ง “เทียนอิ่น เทียนปี้ เฟิงเชอ เหลียวเติง” นับแต่นั้นมาอาณาเขตสู่โบราณก็มีเซียนกระบี่และเจียวหลงอยู่ มากมาย หน้าผาหินแท่นสังหารมังกรอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่กาแพงเมือง ปราณกระบี่ สืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าจนกระทั่งมาอยู่ในมือของห นิงเหยา
หลายปีที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันเก็บรักษาแท่นสังหารมังกรชิ้นหนึ่ง ไว้เป็ นอย่างดีมาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะหลงใหลในทรัพย์สินเงินทอง มากแค่ไหน กินดีหมีหัวใจเสือไปมากเท่าไรก็ไม่กล้าที่จะไปแตะต้อง มันแม้แต่น้อย เก็บมันไว้ในวัตถุฟางขุ่น พกติดตัวไปตลอด เฉินผิง อันไม่กล้าและยิ่งตัดใจเอามาใช ้ลับคมกระบี่ไม่ลง
เพราะครั้งแรกที่เฉินผิงอันเดินทางไปถึงกาแพงเมืองปราณกระบี่ และจากไปอีกครั้งในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยของภูเขาห้อยหัวแห่งนั้น หนิงเหยาได้บอกให้จางลู่น ามาส่งมอบต่อให้เฉินผิงอันเพื่อเป็ น ของขวัญจากลา
แท่นสังหารมังกรที่ใช ้ผ้าฝ้ ายห่อไว้ชิ้นนั้นมีขนาดเท่าฝ่ ามือ หน้า ตรงและหน้าหลังแกะสลักเป็ นสองค าว่า เทียนเจิน หนิงเหยา
เป็ นของแทนใจของพวกเขา!
เจินอิ่น เทียนปี้ เทียนปี้ เจินอิ่น
หากเอาตัวอักษรของแต่ละคานี้มาประกอบรวมกันก็จะเป็ นคาว่า “เทียนเจิน
จี้กวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่หายตัวไปอย่างไร ้ ร่องรอย สะบัดร่างเปลี่ยนสถานะกลายไปเป็ นเซี่ยซินเอินแห่งถ้า สวรรค์หลีจู หลินเจียงเซียนแห่งใต้หล้ามืดสลัว
หลังจากนั้นก็เป็ นเหนิงเหยาที่เดินทางออกจากบ้านเกิด นางท่อง ไปทั่วหลายทวีปในใต้หล้าไพศาลเพียงลาพัง สุดท้ายก็มาถึงถ้า สวรรค์หลีจู
จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจรากฐาน ของเมืองเล็กอย่างชัดเจนแล้ว
มนุษย์เราหวนราลึกความทรงจามักจะคิดถึงเรื่องในอดีต ทั้ง ความเสียใจและความเสียดายประหนึ่งบ่อโบราณสระลึก เมื่อปล่อย ตัวให้จมลึกอยู่ด้านใน ก็ยากจะถอนตัวขึ้นมาได้อีก
ความคิดถึงของคนรักกันแผ่ลามไปตลอดทาง ประหนึ่งสายฟ้ า แลบ บ้านเกิดที่ห่างไกลคนไกลห่างที่คิดถึง ราวกับว่าเขาและนางจะ ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในเสี้ยววินาที
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ นวดคลึงข้างแก้ม เก็บความคิดจิตใจ มา กาลังจะลุกขึ้นยืนก็พลันสังเกตเห็นเรื่องประหลาด เฉินยวนจียืน อยู่ตรงตีนเขา ไม่ได้ฝึกหมัดเดินขึ้นเขามาต่อ
แต่วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เฉินผิงอันเดินลงไปจากภูเขา เลี้ยวเข้า ไปบนทางก้อนหินเขียว เหลือบตามองเรือนพักของพ่อครัวเฒ่าก่อน จะย้อนกลับไปที่เรือนไม้ไผ่ ตัดสินใจไว้แล้วว่าการถามหมัดท่ามกลาง หิมะใหญ่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในปีนี้ พ่อครัวเฒ่าเจ้ารอ ข้าก่อนเถอะ
เฉินยวนจีได้แต่รอให้เงาร่างของคนชุดเขียวหายไปแล้วถึงได้ เดินนิ่งหกก้าวขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง
ถึงอย่างไรนางก็เป็ นผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตห้า สายตาจึงไม่ ธรรมดา ก่อนหน้านี้นางสังเกตเห็นว่าเจ้าขุนเขาอยู่บนยอดเขาคล้าย เฝ้ าตอรอกระต่าย จ้องเขม็งมาทางตีนเขาแห่งนี้ ทาเอาเฉินยวนจีที่ ถูกมองรู ้สึกขนลุก
เดิมทีเฉินยวนจียังไม่แน่ ใจเท่าไร เพราะถึงอย่างไรความ ประทับใจที่มีต่อเจ้าขุนเขาคนนี้ก็เปลี่ยนจากตอนแรกที่ย่าแย่สุดขีด เริ่มมาเป็ นค่อยๆ ดีขึ้น แต่นางที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขากลับสังเกตเห็น ว่าสายตาของเฉินผิงอันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ในอดีตเวลานางฝึกหมัดไปกลับ สายตาของเจิ้งต้าเฟิ งคนเฝ้ า ประตูจะสอดส่ายล่อกแล่ก แต่ก็ยังท าท่าลับๆ ล่อๆ ทว่าเฉินผิงอันกลับ ดีนัก จ้องเขม็งอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คนเป็ นเจ้าขุนเขาก็สามารถท าตัว กาเริบเสิบสานไร ้ยาเกรงขนาดนี้ได้เลยหรือ?!
ในห้องตรงตีนเขา พอเจ้าขุนเขาจากไป เฉินหลิงจวินกับเจิ้งต้า เฟิงก็เริ่ม “จัดขบวนรบกันทันที เพราะรังเกียจว่าห้องด้านข้างของ เซียนเว่ยเล็กเกินไป โต๊ะก็เล็กเกินไป จึงไปที่ห้องโถงใหญ่ของห้อง หลัก เซียนเว่ยรู ้สึกได้ว่าสายตาของตัวเองแทบไม่พอใช ้แล้ว ที่แท้บน โต๊ะแปดเซียนตัวหนึ่งก็ถูกเฉินหลิงจวินเอาของวิเศษบนภูเขาที่ใช ้ ส าหรับชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ามากองไว้ดารดาษ ละลานตาเต็มไปหมด เด็กชายชุดเขียวยืนอยู่บนม้านั่งยาว สองมือ เท้าเอว ท่าทางลาพองใจ เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับถี่ๆ รากฐานสมบัติ หนาลึกล้าน่าดูชม จึงยกนิ้วโป้ งให้กับเฉินหลิงจวิน เอ่ยชมไปประโยค หนึ่งว่าไม่เสียแรงที่เป็ นผู้ยิ่งใหญ่ด้านบุปผาในคันฉ่องจันทราใน สายน้า เพียงแต่เจิ้งต้าเฟิงก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่า เจ้าคนยากจน เฉินหลิงจวินผู้นี้คงไม่ได้ไปรวยทางลัดมาจากที่ไหนหรอกนะ หาไม่ แล้ววิถีแห่งบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าก็เหมือนกับการใช ้เรือ
ยันต์ส่วนตัวนั่นแหละ ได้มาอยู่ในมือเป็ นแค่ก้าวแรกเท่านั้น หลังจาก นั้นจึงจะกินเงินเทพเซียนมากที่สุด เฉินหลิงจวินแค่นเสียงเย็นชาบอก ว่าที่เขามีของมากขนาดนี้ได้ล้วนเป็ นเพราะคุณความชอบของโจว อันดับหนึ่ง ช่วยให้ทุนเป็ นเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่แก่เขา เอามาใช ้ สาหรับซื้อสมบัติหนักบนภูเขาประเภทนี้โดยเฉพาะ
ปีนั้นที่เจิ้งต้าเฟิงยังอยู่บนภูเขาลั่วทั่วก็มักจะไปหาจูเหลี่ยนบ่อยๆ แล้วก็ตามมาด้วยเฉินหลิงจวิน ปิดประตูลงแล้วร่วมชมบุปผาในคัน ฉ่องจันทราในสายน้าด้วยกัน แต่ว่าคนบนเส้นทางเดียวกันทั้งสามคน อันที่จริงกลับมีความชื่นชอบที่แตกต่างกัน บุปผาในคันฉ่องจันทรา ในสายน้าบนภูเขามีสารพัดรูปแบบ วิถีแห่งการหาเงินก็ต้องใช ้วิชา อภินิหารที่ต่างกันไป วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ต้องเป็ นประเภท ที่อาศัยเทพธิดาผู้ฝึ กตนหญิงให้มาแบกเสาหลัก ค้าประคอง สถานการณ์ ก็เหมือนซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงหรือเฮ้อเสี่ยวเหลียง แห่งส านักโองการเทพในอดีต แต่ว่าพวกนางต่างก็วางมาดกันมาก มี แค่บางครั้งเท่านั้นที่จะเผยตัว เฉินหลิงจวินจะชอบดูพวกภาพแห่ง ขุนเขาสายน้าที่ภาพฉากเรียบง่ายแต่สง่างาม มีนัยชวนให้ขบคิด เจิ้งต้าเฟิงกลับไม่มีความชอบที่คลุมเครือเช่นนี้ เขาชอบบุปผาในคัน ฉ่องจันทราในสายน้าของพรรคเล็กๆ ที่มักจะมีผู้ฝึ กตนหญิงเรือน กายอรชรสวมเสื้อผ้าบางเบาร่ายร าแช่มช ้อยแสดงเป็ นฉากปิดท้าย ใครทุ่มเงินก็จะเรียกคนนั้นว่าพี่ชาย ในอดีตเงินเดือนของเจิ้งต้าเฟิงก็ มักจะลอยหายไปกับเสียงเรียกขานว่าพี่ต้าเฟิงพวกนี้ บางครั้งเพื่อให้
ได้พูดจาสัปดนกับพวกผู้ฝึ กตนหญิงทั้งหลายสักสองสามประโยค เขายังเคยเขียนใบยืมหนี้จากพ่อครัวเฒ่าด้วย ส่วนรสนิยมของจูเห ลี่ยนนั้นค่อนข้างจะประหลาดแล้ว เขาชอบพวกที่ใช ้วิธีแปลกๆ ยกตัวอย่างเช่นเร่เอาต าราหมัดและวิชาลับของแต่ละฝ่ ายออกมาขาย สุดท้ายเอ่ยประโยคว่าใครที่สนใจมาพูดคุยกันเป็ นการส่วนตัวได้ จะ ให้สิทธิพิเศษเรื่องราคา เหมาซื้อหลายเล่มยังจะได้ส่วนลด…หรือไม่ก็ เป็ นจวนเซียนที่ใช ้วิธีเดินไปบนคมกระบี่ (เปรียบเปรยถึงวิธีการเสี่ยง อันตราย) ไม่ใช ้วิธีธรรมดาทั่วไป แต่จงใจจัดฉากให้บัณฑิตมาเจอ กับผีสาวงามโดยบังเอิญ ฝ่ ายหลังจะล่อลวงคนก่อนแล้วค่อยหลอก คน มองผ่านม่านโปร่งบางไปเห็นน้าพุอบอุ่น มีสตรีเล่นสนุกสนานอยู่ ภายใน แผ่นหลังที่อ้อนแอ้นของแต่ละคนเห็นเป็ นเพียงเงาสลัวราง ทว่ารอกระทั่งพวกนางหันหน้ามาก็มักจะทาให้เฉินหลิงจวินที่ขยับเข้า ไปดูใกล้ๆตกใจแทบตาย หรือไม่ก็เป็ นในเรือนที่มืดมิดอืมครีม บัณฑิตเดินถือตะเกียงผ่านระเบียงแล้วจู่ๆ ก็มีผีสาวห้อยหัวลงมาจาก ชื่อคาน หรือไม่ก็เป็ นมือที่ขาวซีดแต่เล็บมือเป็ นสีแดงสดที่วางทาบ บนไหล่ของบัณฑิตเบาๆ….พ่อครัวเฒ่ามักจะนั่งนิ่งไม่ขยับดุจหินผา คืบถั่วลิสงโรยเกลือในจานขึ้นมาเคี้ยวช ้าๆ ดูด้วยความเพลิดเพลิน
ในพื้นที่ของทวีปหนึ่ง สานักอักษรจงอย่างพวกสานักโองการ เทพ ศาลลมหิมะ และจวนเซียนขนาดใหญ่อย่างภูเขาเมฆาเรื่อง ต าหนักฉางชุน การเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าจะมีเวลาที่ กาหนดไว้แน่นอน อีกทั้งยังค่อนข้างถี่ พรรคทั่วไปบนภูเขา เนื่องจาก
ทุกครั้งที่เปิ ดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าจะต้องเผาผลาญ ปราณวิญญาณพื้นที่ จึงกลัวว่าจะขาดทุนเป็ นที่สุด ดังนั้นจะทิ้ง ระยะห่างค่อนข้างนาน อีกทั้งยังทุ่มเทความคิดจิตใจมากกว่าด้วย
เพียงแต่เพราะของวิเศษที่ใช ้เชื่อมโยงกับบุปผาในคันฉ่องจันทรา ในสายน้าบนโต๊ะมีจานวนมากเกินพอ เซียนเว่ยจึงมองเห็นภาพที่ ประกายแสงของวิเศษเปล่งวาบอยู่บนโต๊ะสองครั้งแล้ว
เจิ้งต้าเฟิ งย้ายเหล้าที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินออกมาหลายไห ริน เหล้าสามชาม เฉินหลิงจวินไม่รีบร ้อนดื่มเหล้า ยกสองแขนกอดอก “นักพรตเซียนเว่ย อยากจะดูแบบรสจืดหน่อยหรือแบบรสคาวหน่อย ล่ะ?”
เห็นเพียงว่านักพรตเซียนเว่ยนั่งตัวตรง จิบเหล้าหนึ่งคา ตั้งใจคิด อยู่พักใหญ่ก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “การฝึกตนของสายผินเต้า ไม่มีข้อ เรียกร ้องให้ต้องกินอาหารเจรสจืด แต่การแต่งงานต้องกินอาหาร คาว!”
แล้วก็เพราะเฉินผิงอันไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเฉินหลิงจวินต้อง ได้กินมะเหงกจริงๆ
หน้าผาสูงแห่งหนึ่งบนยอดเขาหย่วนมู่ จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น สอง มือไพล่หลัง บนหน้าผามีรอยตัวอักษรกรีดลึก แต่ให้ความรู ้สึกสุภาพ สง่างามไม่เหมือนใคร ตัวอักษรสิงซูแต่มีกลิ่นอายของตัวอักษรฉ่าวซู ไม่ถือว่ามีความสามารถสักเท่าไร ตัวอักษรข่ายถี่มีกลิ่นอายความ
เก่าแก่ของอักษรบนศิลาจารึก ก็ไม่ถือว่าเป็ นเรื่องที่หายากนัก แต่ สามารถเขียนตัวอักษรเจิ้งถี่ตัวใหญ่ที่บรรจงเป็ นระเบียบออกมาให้มี ความบ้าคลั่งปะทะใบหน้าได้ ก็ทาให้จูเหลี่ยนถอนหายใจที่ตัวเองสู้ ไม่ได้จริงๆ ชั่งน้าหนักอยู่พักหนึ่ง จูเหลี่ยนก็จาต้องยอมรับว่าตัวเอง เลียนแบบไม่ได้
ก่อนหน้านี้นักพรตฉุนหยางได้ออกทะเลไปแล้วหวนกลับมายัง ยอดเขาหย่วนมู่อีกครั้งแกะสลักบทกลอนบทหนึ่งไว้บนหน้าผาแห่งนี้ บทนายาวมาก เนื้อหาก็ยิ่งมากเกินกว่าจะเป็ นบทกวี
บวกกับตัวอักษรของบทนาที่มีขนาดไม่เล็ก อาจตกเป็ นที่ต้อง สงสัยว่าต้องการเปลี่ยนจากแขกมาเป็ นเจ้าบ้าน
ป๋ ายเหย่เจ๋อเซียนแห่งบรรพกาลมาจากเอ๋อเหมย รับรูปโฉมจาก ท้องฟ้ า รับรูปโฉมจากมรรคา ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้ใดเปรียบ พันหมื่นปี มีเพียงผู้เดียว หลวี่เหยียนคนยุคปัจจุบันผู้รักเสรีผ่านยอดเขานี้ ขี่ กระบี่ทะยานผ่าน ดินกว้างแผ่นฟ้ าสูง เมฆลึกต้นสนแก่ ทุกท่าน อย่าได้ถามถึงวิธีฝึกตน ควบฉุนหยาง ช าระล้างวิญญาณด้วยหิมะ ตามหาไฟกลางน้า ละทิ้งจิตใจที่ตายด้านฟื้นคืนจิตวิญญาณที่แท้จริง หมู่เราฝึกฝนจนสาเร็จศาสตร ์นี้ ฝ่ าทะลุด่านฟ้ าและแกนดิน คนร่วม ทางเดินไปบนทางสายนี้ เป็ นตายพลิกกลับคืออมตะ…นับแต่โบราณ มาเล่าเรียนวิชาไยต้องใช ้เงิน ในกระบวยมีเพียงตะวันและจันทรา เคย มีโองการม่วงติดตามนกหลวนเขียว พลิ้วถลาลงมายังเมืองหยก…
โลกมนุษย์ไยต้องแบ่งเจ้าบ้านและแขก ผินเต้าขอท้าสวรรค์ ต้องการ ยืมหมื่นวสันต์จากโลกีย์
ข้างกายจูเหลี่ยนมีเพ่ยเชียงยืนอยู่ด้วย นางไม่รีบร ้อนกลับแคว้น หู เพราะจะติดตามเกาจวินกลับไปยังพื้นที่มงคลรากบัวด้วยกัน
เนื่องจากตอนนี้เพ่ยเซียงยังไม่รู ้ถึงสถานะของ “หลวี่เหยียน” จึง รู ้สึกแค่ว่าคนที่กล้าแกะสลักหน้าผาโดยเอาตัวเองมาวางไว้คู่กับป๋ าย เหย่ผู้นี้ ในเมื่อฝาก “ถ้อยคา” แก่คนบนโลกไว้ในภูเขาอย่างชัดเจน เ ช่น นี้ ห า ก ไ ม่ เ ป็ น นั ก ป รัช ญ า ผู้ศึก ษ า ลัท ธิเ ต๋ า ที่ใ ช ้ก า ร วิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มที่เพื่อล่าชื่อเสียงมาให้ตัวเอง ก็ต้องมี เป้ าหมายบางอย่าง คือยอดฝีมือลัทธิเต๋าที่ลึกล้าเกินจะหยั่ง แต่หาก จะบอกว่าเป็ นอย่างหลัง บทความที่แกะสลักอยู่บนหน้าผาตรงนี้กลับ ไม่มีกลิ่นอายแห่งลัทธิเต๋าเลยแม้แต่น้อย โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนใหญ่ แกะสลักหน้าผากับมือตัวเองก็ควรต้องทิ้งกลิ่นอายเซียนไว้บน ตัวอักษรบ้างไม่มากก็น้อย ทว่าบทกวีที่คล้ายกับค าเขียวของลัทธิเต๋า นี้ ทั้งบทหลักและบทนาล้วนไม่มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ แววตา น้อยนิดแค่นี้ เพ่ยเซียงที่เป็ นผู้ฝึกตนก่อกาเนิดพอจะมีอยู่บ้าง
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “มองความดีร ้ายและตื้นลึกไม่ออกใช่ไหม?”
เพ่ยเซียงคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย พยักหน้ารับ “ช่วยไขข้อข้องใจ ให้หน่อยได้ไหมล่ะ?”
จูเหลี่ยนเอ่ย “เป็ นทั้งคาถาเต๋า เป็ นทั้งค่ายกลกระบี่ รอคอยคน รุ่นหลังที่มีโชควาสนาหากเจ้าไม่เชื่อก็สามารถเรียกสมบัติโจมตี ทั้งหมดออกมา ดูสิว่าจะสามารถสั่นคลอนตัวอักษรพวกนี้ได้แม้สักกะ ฝึกหรือไม่”
บนเส้นทาง เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวเดินเคียงคู่ไปกับคนหนุ่ม สวมหมวกเหลือง แต่กลับมีนางที่พูดจ้ออยู่แค่คนเดียว เนื่องจาก จดจ าค าสอนของคุณชายตัวเองได้อย่างขึ้นใจเสี่ยวโม่จึงมีความ อดทนต่อนางมากขึ้น
“เสี่ยวโม่ จะพูดเรื่องหนึ่งกับเจ้า ระหว่างที่นอนหลับไปนาน ข้า ฝันเรื่องเดิมเรื่องหนึ่งซ้าไปซ้ามา มันน่ากลัวมากเลยล่ะ หากใช ้คา กล่าวของในต าราก็คือออกจากบ้านยามใด ทุกที่ที่พบเห็นมีเพียง โครงกระดูกกองทับขาวโพลน”
“เสี่ยวโม่ ทาไมภาษาท้องถิ่นของอาเภอไหวหวงแห่งนี้ถึงเรียกน้า ที่ไหลทวนกระแสว่า “เข่อ” โดยเฉพาะที่เขตการปกครองเป่ าซีที่น้า ไหลหลายสายมีชื่อว่าอะไรอะไรเช่อ ข้ารู ้สึกว่าวิธีการตั้งชื่อเช่นนี้ ทั้ง ฉลาดหลักแหลมทั้งงดงาม เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ เจ้าพูดกับข้าสักคาสิ”
“เสี่ยวโม่ ข้ารู ้สึกว่าเจ้าชอบข้า ใช่ไหม ข้าจะนับถึงสิบ หากเจ้า ยังไม่พูดอยู่เหมือนเดิมข้าก็จะถือว่าเจ้ายอมรับแล้วนะ สิบ เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง!”
“โอ๊ย วันนี้ช่างเป็ นวันที่งดงามจริงๆ!”