กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 995.1 นกบินสู่ฝ่ามือกลายเป็ นอดีต
วันที่สองเดือนสอง มังกรเชิดหัว
ด้ามดาวเป่ ยโต้วชี้ไปทางทิศตะวันออก ดาวเจียวซู่ปรากฏครั้ง แรก สรรพสิ่งพลัดเปลี่ยนใบไม้ผลิกลับคืน หมื่นสรรพสิ่งกระตุ้น กาเนิดใหม่ นกและสัตว์เติบโต พืชหญ้าทิ้ง เปลือกท านาในฤดูใบไม้ ผลิเริ่มต้นขึ้น
ราชสานักของแต่ละแคว้นจะมีเจ้ากรมพิธีการและกรมกลาโหมที่ เป็ นผู้น าของร ้อยขุนนางยื่นตาราเกี่ยวกับการเกษตรให้กับผู้ครอง แคว้นในการประชุมท้องพระโรงวันนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เป็ น รากฐานซึ่งจาเป็ นต้องทา มีความหมายว่า “เรื่องใหญ่แห่งแคว้น อยู่ที่ การเซ่นไหว้และการสงคราม” แต่ว่า ‘รากฐานของแคว้น อยู่ที่ การเกษตรอยู่ที่ผืนนา
ฮ่องเต้จะจัดงานเลี้ยงเชื้อเชิญเหล่าขุนนางให้ร่วมกันดื่มเหล้าอี้ ชุนที่หมักด้วยกรรมวิธีโบราณ ประทานของจ าพวกมีด ไม้บรรทัด ให้กับสานักการผลิต สิ่งของเหล่านี้ล้วนทามาจากหยกขาว มี ความหมายว่าขุนนางชั้นสูงทุกท่านล้วนเป็ นวิญญูชน จาต้อง คาดคะเนลงความเห็นชั่งน้าหนักเรื่องของบ้านเมืองอย่างระมัดระวัง ฮ่องเฮารับหน้าที่ประทาน “ถุงผ้าสีเขียว” ให้กับเหล่าฮูหยินเก้ามิ่ง (เก้ามิ่งคือบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้จะแต่งตั้งให้กับภรรยาของขุนนางที่มี
ความชอบเป็ นพิเศษ) จานวนมากที่เข้าวังมาในจานวนที่ไม่เท่ากัน ในนามถือเป็ นถุงที่ฮองเฮาตัดเย็บด้วยตัวเอง ไม่ได้พึ่งฝีมือของเหล่า สนมนางก านัล ในถุงสีเขียวบรรจุธัญพืชและเมล็ดพันธ ์ผลไม้ หลากหลายสีสันเอาไว้ ให้พวกนางน าไปมอบต่อให้กับญาติมิตรและ เด็กเล็กในตระกูล เพื่อขอพรให้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ ปีใหม่มีห้า ธัญพืชครบครันขณะเดียวกันก็มีความหมายว่าตระกูลชนชั้นสูงและ ตระกูลปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงมีข้าวเต็มยุ้งฉางรู ้มารยาทประเพณี
ในอดีตที่อาเภอไหวหวงแห่งนี้ นับแต่โบราณมาทุกวันที่สอง เดือนสองก็จะมีประเพณีที่ทุกครัวเรือนต้องตื่นเช ้ามากินบะหมี่หนวด มังกรหนึ่งถ้วย และแผ่นแป้ งที่ย่างในวันนี้ก็ถูกตั้งชื่อว่า “เกล็ดมังกร” ในวันนี้สตรีออกเรือนแล้วและหญิงสาวที่รอการออกเรือนของเมือง เล็กล้วนจ าเป็ นต้องหยุดท างานเย็บปักถักร ้อย ตามค ากล่าวของคน รุ่นก่อน เนื่องจากวันที่มังกรเชิดหัวเป็ นครั้งแรกนี้ หากมีการร ้อยด้าย สนเข็ม กลัวจะไปท าร ้ายดวงตาของมังกรน าพาความไม่สบอารมณ์ มาให้
ชายฉกรรจ์แข็งแรงในเมืองเล็กจะนาพาพวกเด็กๆ มือหนึ่งถือ ท่อนไม้ไผ่หรือไม่ก็ไม้กระบองเคาะไปตามเสาคาน เตียงนอน ห้องครัว ฯลฯ ภาษาพื้นบ้านเรียกว่ามังกรปลุกวสันต์ และยังต้องเอ่ยถ้อยค า มงคลกับถ้อยคาโบราณที่สืบทอดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างเช่นว่า ยุ้งฉางใหญ่เต็มแน่นราวขุนเขา สูงเกินภูเขาฝั่งตะวันตก ยุ้งฉางเล็ก เหมือนน้าไหล ไหลอยู่ในผืนนาบ้านตัวเอง ทางฝั่งของถนนฝูลู่และ
ตรอกเถาเย่จะพูดจาสุภาพไพเราะกว่าหน่ อย เอ่ยถ้อยคาที่มี ความหมายยิ่งใหญ่กว่า ทานองว่าลมฝนตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองสงบสุข งูตะขาบห้าพิษหลีกหนี อย่าได้สร ้างความเสียหาย
เมื่อสามสิบสี่สิบปี ก่อน เนื่องจากตรอกหนีผิงมีตัวชวย คาว่า ‘สงบสุขปลอดภัย” ที่เดิมทีเป็ นถ้อยคามงคล กลับกลายเป็ นข้อห้ามที่ ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างหนึ่ง ต่างก็ไม่มีใครยินดีจะพูดถึง กระทั่งวันนี้คา ว่าคุ้มครองให้ทุกคนสงบสุขปลอดภัยกลับค่อยๆ กลายมาเป็ นค า กล่าวที่มีน้าหนักมากและมีความหมายลึกล้าแล้ว ถึงขั้นที่ว่ายังมี ตระกูลคนรวยที่ย้ายจากเมืองเล็กไปอยู่ตัวจังหวัดจงใจให้เด็กในบ้าน ทุ่มเครื่องกระเบื้องชิ้นหนึ่งให้แตกในวันนี้ จากนั้นท่องสามรอบว่า แตกเพื่อความสงบซึ่งอ่านออกเสียงเดียวกันกับค าว่าสงบสุข ปลอดภัยทุกปี เพื่อให้เป็ นนิมิตหมายที่ดี
และสตรีออกเรือนแล้วกับเด็กสาวในตระกูลจะตื่นแต่เช ้าตรู่เพื่อ ไปตักน้าที่บ่อโซ่เหล็กดังนั้นวันนี้ก็คือวันที่ชาวบ้านของถนนฝูลู่ ตรอกเถาเย่และถนนแห่งอื่นของเมืองเล็กมารวมตัวกันมากที่สุดครั้ง หนึ่ง ฝ่ ายแรกส่วนใหญ่จะเป็ นเด็กหนุ่มร่ารวย เด็กสาวแต่งกาย หรูหราที่จับกลุ่มกันมา ฟ้ าเพิ่งจะเริ่มสว่างก็เดินถือโคมไฟออกมา จากบ้าน อีกมือหนึ่งหิ้วไหและกากระเบื้องลายครามงามประณีติ คน สองกลุ่มเดินมาเจอกันบนถนนของบ้านตัวเอง เด็กหนุ่มสองกลุ่มนั้น จะเดินเหมือนงูเลื้อย มาตักน้าที่นี่แล้วย้อนกลับไปทางเดิม เรียกว่า เป็ นการชักน าเงินมังกรเข้าประตู กวักเรียกความโชคดีกลับบ้าน
เช ้าตรู่ของวันนี้ ฟ้ าเพิ่งเริ่มสว่าง เฉินผิงอันก็พาเด็กชายชุดเขียว และเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู และยังมีหมี่ลี่น้อย ลงจากภูเขามา ด้วยกัน มาที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง
แต่ละคนแบ่งงานกันทา เฉินผิงอันใช ้ท่อนไม้ไผ่เคาะไปตามชื่อ คานและเตียงนอนก่อนจะพาเฉินหลิงจวินออกไป ต่างคนต่างหิ้วถัง น้าคนละใบ ออกไปตักน้าที่บ่อโซ่เหล็ก ส่วนหน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยอยู่ ที่บ้านเริ่มก่อไฟต้มบะหมี่ย่างแผ่นแป้ ง
เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่นานที่ว่าการเจ้าเมืองฉู่โจวได้ออกคาสั่ง ที่ว่าการอาเภอไหวหวงจึงเอาประกาศไปแปะ อนุญาตให้ชาวบ้านใน พื้นที่มาตักน้าจากบ่อโซ่เหล็กที่ถูกปิดมานานกลับไปใช ้ที่บ้านได้ใน วันนี้
ช่วงนี้กวอจู๋จิ่วต้องนอนชดเชย ทุกวันนางจะนอนจนฟ้ ามืด เฉิน ผิงอันจึงไม่ได้เรียกนางไม่ใช่หลอมกระบี่ แล้วก็ไม่ได้ฝึกตน นางแค่ นอนหลับอย่างเดียวจริงๆ
เดินออกมาจากตรอกหนีผิง เฉินหลิงจวินแกว่งถังน้าในมือ ถาม เสียงเบาว่า “บ่อน้าคลายคาสั่งห้ามแล้ว เป็ นความต้องการของนาย ท่านใช่หรือไม่ เป็ นนายท่านที่ไปพูดคุยกับที่ว่าการอ าเภอ ทางราช ส านักก็เลยยอมอนุญาต?”
ราชสานักต้าหลีได้ตั้งกฎเอาไว้นานแล้ว อย่าว่าแต่ฉู่โจวเลย ต่อ ให้เป็ นตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปก็มีน้าหนักอย่างมาก เซียนซือบน
ภูเขาล้วนไม่มีใครกล้าละเมิดคาสั่ง ยิ่งไม่ต้อง พูดถึงเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เดิมทีคิดว่าวันนี้จะหา โอกาสไปพูดคุยกับทางราชสานักสักหน่ อย ปี หน้าค่อยเริ่ม ดาเนินการยกเลิกข้อห้าม เกินครึ่งนี่น่าจะเป็ นข้อเสนอแนะของจ้าว เหยาแล้วล่ะ หลายปี มานี้เขาพยายามที่จะฟื้นคืนขนบธรรมเนียม เก่าแก่ของแต่ละพื้นที่มาโดยตลอด หากสกุลซ่งต้าหลี่ไม่ได้มอบ แผ่นดินที่อยู่ทางใต้ของลาน้าใหญ่กลับคืนไป รองเจ้ากรมอาญา อย่างจ้าวเหยาก็ต้องยุ่งกว่าเดิมแล้ว แต่ทางฝ่ ายกรมครัวเรือนต้องด่า ว่าเขาเป็ นลูกล้างผลาญที่ดีแต่วางมาดเท่านั้น ส่วนทางฝั่งของที่ว่า การกรมพิธีการก็ต้องด่าว่าเขายืดมือออกมายาวเกินไป”
เฉินหลิงจวินพูดเหมือนคนแก่ว่า “นี่ไม่ใช่ทฤษฎีอย่างหนึ่งหรอก หรือ ขุนนางต้าหลีให้การสนับสนุนเรื่องคุณความชอบและลาภยศ ขนาดนั้น แต่ละคนเน้นในเรื่องการปฏิบัติจ้าวเหยาท าตัวเหลวไหล เช่นนี้ไม่เป็ นที่ชื่นชอบก็เป็ นเรื่องปกติมาก”
จาได้ว่าได้ยินคนจิ๋วควันธูปที่มาขานชื่อตามเวลาเล่าเรื่องหนึ่งให้ ฟัง หลายปีมานี้ทางที่ว่าการอาเภอ เขตและจังหวัดของต้าหลีต่างก็ เรียบเรียงอักขรานุกรมในท้องถิ่นกันขึ้นมาใหม่ และงานนี้ก็ถูกรวมให้ อยู่ในการประเมินท้องถิ่นของราชสานัก ว่ากันว่าก็เป็ นเพราะข้อเสนอ จากรองเจ้ากรมอาญาจ้าวเหยา ประเด็นส าคัญคือยังต้องรวบรวม ภาษาถิ่นและคาพังเพยของแต่ละสถานที่มาด้วย นี่ต้องได้รับความ
ร่วมมือจากผู้ฝึกลมปราณของแต่ละจังหวัด อักขรานุกรมของแต่ละ ท้องถิ่นล้วนแบ่งออกเป็ นสองส่วน ส่วนที่เก็บไว้ในเมืองหลวงมีแต่กลิ่น อายเซียน ดังนั้นในท้องถิ่นจึงมีแต่เสียงบ่นดังระงม ต่างก็รู ้สึกว่าการ กระทานี้สิ้นเปลืองกาลังคนและเงินทอง เป็ นการกระทาที่ปกปิดความ สงบสุขรุ่งเรือง
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “จะเห็นผลในระยะยาว เปลี่ยนจาก ทฤษฎีมาเป็ นปฏิบัติในเรื่องนี้มีความรู ้ที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ก็เหมือนการ แลกเงินทองกับเงินเหรียญทองแดง มีทั้งราคาที่จะเพิ่มขึ้นมา แล้วก็มี ทั้งความเสียหาย หากว่าทั้งสองฝ่ ายไม่มีช่องทาง “ถ่ายเทที่ราบรื่นก็ จะกลายเป็ นปัญหาใหญ่ ราชวงศ์ต้าหลีก็จะเหมือนแคว้นแข็งแกร่งที่มี กองทัพม้าเหล็ก มีกองทัพที่ทรงพลังตามความหมายทั่วไป ยิ่งนานวัน ก็จะยิ่งเหมือนพวกเขา จากคนมีความสามารถโดดเด่นกลายมาเป็ น คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ใช่ต้าหลีที่พิเศษที่สุดไม่เหมือนใคร” ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป หรือกระทั่งของทั่วทั้งใต้หล้าไพศาล หาก ว่าศิษย์พี่ชุยยังดารงตาแหน่ง สิ่งที่จ้าวเหยาทาในวันนี้อันที่จริงก็คือ สิ่งที่ราชครูของแคว้นหนึ่งจะท า”
เฉินหลิงจวินเอ่ยตามตรงว่า “นายท่าน ข้าไม่เข้าใจหรอก แต่เอา เป็ นว่ารู ้สึกว่ามีความรู ้อย่างมากก็แล้วกัน นี่แสดงให้เห็นว่าจ้าวเหยาก็ เป็ นคนที่พอจะมีความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “มีความสามารถที่แท้จริง”
ไม่อย่างนั้นก็มิอาจกลายเป็ นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ ของป๋ ายเหย่ ตอนเป็ นเด็กหนุ่มจ้าวเหยาออกจากบ้านเกิด ท่อง มหาสมุทรเดินทางไกล บังเอิญพลัดหลงไปยังเกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ อย่างโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ซึ่งก็คือสถานที่ฝึกตนของป๋ ายเหย่
ภายหลังป้ ายเหย่ที่เดินทางไปเยือนฝูเหยาทวีปเพียงลาพังได้แบ่ง กระบี่เซียน ไท่ป๋ าย ที่ปริแตกให้กับคนสี่คน จ้าวเหยาก็คือคนหนึ่งใน นั้น
เฉินหลิงจวินหัวเราะชั่วร ้าย “อิงตามลาดับอาวุโสในสายบุ๋น รอง เจ้ากรมจ้าวต้องเรียกนายท่านว่าอาจารย์อากระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
อู๋ยวนเจ้าเมืองฉู่โจวในทุกวันนี้ เนื่องจากเขาเคยเป็ นลูกศิษย์เข้า ห้องของศิษย์พี่ชุยฉาน เมื่อเจอกับเฉินผิงอันก็ยังต้องเรียกเขาว่า อาจารย์อาเช่นกัน
ผู้เยาว์ที่มีลาดับศักดิ์เป็ นศิษย์หลานเช่นนี้ อันที่จริงในเมืองหลวง ยังมีอยู่อีกหลายคนทุกคนต่างก็อยู่ในต าแหน่งสูงเหมือนกันหมดโดย ไม่มีข้อยกเว้น ต่างก็เป็ นขุนนางคนส าคัญในราชส านักต้าหลีอย่าง สมชื่อ
ในหมู่ชาวบ้านของเมืองเล็ก อันที่จริงยังมีเส้นทางที่คับแคบยิ่ง กว่าตรอกหนีผิง ก็เหมือนตรอกเล็กที่เลี้ยวไปยังบ่อตรวนมังกรสายนี้ หากว่าบุรุษร่างสูงสักหน่อยเดินเข้ามาในนี้ ชายคาเรือนจะอยู่ต่ากว่า
คิ้ว ได้แต่ก้มหัวเดิน หากเงยหน้าขึ้นหน้าผากก็จะแตะกับชายคา ตรอกเล็กไม่ยาว กาแพงสองด้านที่ตั้งตรงข้ามกันแทบจะเบียดร่าง ไม่ สามารถกางแขนเดินได้ เมื่อก่อนตอนที่เฉินผิงอันไปตักน้าที่บ่อ ตรวนมังกรก็จะต้องผ่านสถานที่แห่งนี้ สามารถประหยัดฝีเท้าได้ไม่ น้อย เพียงแต่ว่าในตรอกค่อนข้างมืดจึงน่ากลัวอยู่บ้าง คนวัยเดียวกัน ในตรอกเล็กต่างก็ไม่กล้าเดินผ่านถนนเส้นนี้ แต่เฉินผิงอันกลับไม่ กลัวเรื่องพวกนี้ อันที่จริงทุกครั้งที่มีหิมะตกลงมา ทางดินในตรอกเล็ก จะจับตัวเป็ นน้าแข็งแน่นหนา กลายเป็ นพื้นน้าแข็งเฉินผิงอันจะอยู่ ตรงหน้าตรอก วางถังน้าไว้บนพื้นก่อน ผลักมันไปข้างหน้าเบาๆ จากนั้นถอยหลังไปสองสามก้าวแล้ววิ่งตะบึงไปข้างหน้า ก่อนจะงอ เข่าไถลตัวออกไป พุ่งตามถังน้าไปติดๆ สุดท้ายไปรวมตัวกันที่อีก ด้านหนึ่งของตรอกเล็ก คือการละเล่นจานวนไม่มากตอนที่เฉินผิงอัน ยังเป็ นเด็กและเด็กหนุ่ม การเล่นสนุกเพียงลาพังเช่นนี้ต้องระวังไม่ให้ ไปกระแทกโดนแท่งน้าแข็งที่ห้อยย้อยมาจากชายคาบ้านสองฝากฝั่ง
พาเฉินหลิงจวินเดินผ่านตรอกเล็กมืดสลัวที่ไม่มีชื่อเส้นนี้ หน้า ตรอกก็มีบ่อน้าเล็กอยู่บ่อหนึ่ง เพียงแต่ว่าปากบ่อเล็กอีกทั้งน้ายังตื้น ในอดีตบริเวณใกล้เคียงนี้มีบ้านอยู่สามสี่ครัวเรือน ไม่ต้องเดินไปไกล สามารถมาตักน้าที่นี่ได้ตั้งแต่เช ้าตรู่ สีท้องฟ้ าเพิ่งจะมีแสงรุ่งอรุณน้า ในบ่อก็แห้งขอดแล้ว เฉินผิงอันที่มาจากตรอกหนีผิงไม่มีทางมาชิง ความได้เปรียบจากที่นี่ได้ เคยมีครั้งหนึ่งที่ตักน้ามาจากบ่อโซ่เหล็ก กลับโดนคนด่า ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็ นโจรขโมยน้า ดังนั้นภายหลัง
พอเฉินผิงอันเปิดเจอค าว่า “อยู่ในสวนแตงอย่าก้มตัวจับรองเท้า อยู่ ในสวนลูกหลือย่าเอื้อมมือขยับหมวก’ อันที่จริงหลักการเหตุผลนั้น เขาเข้าใจมานานแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจกระจ่างได้อย่างหลักการ เหตุผลที่อธิบายในตารา
ข้างบ่อน้าเคยมีแปลงผักอยู่แปลงหนึ่ง เพียงแต่ว่าดินแห้งแล้งไม่ อุดมสมบูรณ์ ผักที่ปลูกออกมาส่วนใหญ่จึงมักจะเล็กบางและสั้น อีก ทั้งยังมีรสขมฝาด ทุกวันนี้แปลงผักถูกทิ้งร ้างไปนานแล้ว กลายเป็ น เศษก้อนอิฐเศษกระเบื้องแตกที่ถูกรวบรวมมาจากสารทิศ พืชหญ้า ขึ้นรกเรื้อ มีสองสีตัดสลับกันระหว่างสีเทาและสีเขียว
เฉินหลิงจวินไม่เคยสนใจทัศนียภาพในหมู่ชาวบ้านพวกนี้ ไม่มี ความคิดที่จะมอง จึงก้าวเดินยาวๆ จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่านายท่านที่อยู่ ด้านหลังหยุดเดิน ไม่ได้ตามมาด้วย เฉินหลิงจวินหันหน้าไปมอง เฉิน ผิงอันถึงได้ก้าวเร็วๆ ตามมา ยิ้มชวนคุยว่า “หากว่าข้าเป็ นคนดูแล แปลงผักแปลงนี้ ดินของที่นี่จะดีกว่าเดิมเยอะมาก ผักที่ปลูกออกมาก็ จะไม่มีรสขมฝาดแบบนั้นอีก รสชาติจะดีกว่าเดิมเยอะเลย”
เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว นายท่านมือเท้า คล่องแคล่ว เป็ นลูกศิษย์เตาเผาก็รู ้จักดินเป็ นอย่างดี ปรุงดินให้ได้ปุ๋ ย อุดมสมบูรณ์ ผักในแปลงจะไม่สูงเท่าตัวคนเลยหรือ?”
เพียงแต่ว่าเดินไปได้สิบกว่าก้าว เฉินหลิงจวินก็พลันอึ้งตะลึง เขา ถึงกับขบคิดความนัยที่ซ่อนอยู่ออกมาได้ จึงหันไปมองนายท่านที่อยู่ ข้างกายอย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันหัวเราะ ลูบหัวของเด็กชายชุดเขียว “เจ้ารู ้ก็ดีแล้ว อย่า ไปพูดให้หมี่ลี่น้อยฟังล่ะ เดี๋ยวจะรู ้กันทั้งภูเขา”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง เปลี่ยนเรื่องชวนคุย “เจ้าคนที่ ไปตกปลาที่ภูเขาหวงหูบอกว่าตัวเองชื่อฟู่ หู เป็ นคนของเมืองหลวง ตอนนี้เป็ นนายอาเภอของอาเภอผิงหนัน ยังบอกด้วยว่านายท่านเชื้อ เชิญให้เขาไปตกปลาที่ภูเขาหวงหู เจ้าคนแซ่ฟู่ ผู้นี้รู ้จักนายท่านจริงๆ หรือ?
ขุนนางชั้นเจ็ดตาแหน่งเล็กเท่าเมล็ดงา แต่กลับใจกล้าไม่น้อย ถึงกับกล้าไปตกปลาที่ภูเขาหวงหู จึงถูกเฉินหลิงจวินจับได้คาหนังคา เขา ภูเขาหวงหูเคยเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเจียวน้าหงเซี่ย แน่นอนว่าเป็ นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลแห่งหนึ่ง เป็ นสถานที่ที่ปลาและมังกร ซ่อนตัว หมอกเมฆบดบังล้าลึก น้าและเมฆล่องลอย เป็ นสถานที่ที่ดี ในการตกปลาจริงๆเพียงแต่เวลาปกติคนนอกไม่กล้ามาตกปลาที่นี่
เฉินผิงอันอิ่มรับหนึ่งที “รู ้จัก ก่อนหน้านี้เคยตกปลาที่อาเภอ ผิงหนันด้วยกัน นายอ าเภอพู่ยังมอบปลาให้ข้าสองสามตัว เป็ นคนที่ พูดคุยด้วยง่ายมาก บนร่างไม่มีกลิ่นอายขุนนางอะไร”
ตัวฟู่ หูเองยังไม่รู ้เลยว่าท าไมถึงได้ถูกโยกย้ายให้ไปอยู่ส านัก รายงานข่าวนอกเมืองหลวงรับตาแหน่งที่เท่ากับตาแหน่งเดิม ได้มา รับหน้าที่เป็ นขุนนางหลักของอาเภอแห่งหนึ่งได้อย่างไร แล้ว นับประสาอะไรกับที่อาเภอผิงหนันยังเป็ นอาเภอเบื้องบนของฉู่โจว เห็นได้ชัดว่ามีเค้าลางที่ราชสานักจะใช ้งานเขาในเรื่องสาคัญ
มิน่าเล่าฟู่ หูที่ที่ทางานอยู่ในที่ว่าการน้าใสมาจนชินแล้วถึงได้มึนงง แต่เฉินผิงอันกลับรู ้ชัดเจนดีว่าต้องเป็ นเพราะตอนที่ทางานอยู่ในที่ว่า การเดียวกันกับหลินเจิ้งเฉิง ทั้งสองฝ่ ายเข้ากันได้ไม่เลว ก่อนที่หลิน เจิ้งเฉิงจะถูกโยกย้ายให้ไปรับหน้าที่ในศูนย์ตัดต้นไม้หงโจวนอกเมือง หลวง ก็ได้ช่วยพูดจาดีๆ ถึงฟู่ หู และการที่เฉินผิงอันจงใจไป “ดัก” ฟู่ หูที่ริมลาคลองก็เพราะมีความคิดที่จะอาศัยหินของภูเขาลูกอื่นมา กลึงเป็ นหยก ไปดูให้รู ้นิสัยใจคอของฟู่หูเสียก่อน
เฉินหลิงจวินกล่าว “นายอ าเภอฟู่ พูดจาสุภาพเรียบร ้อย ข้ารับไม่ ค่อยได้ จึงคุยกันไม่ค่อยรู ้เรื่องนัก”
ก่อนหน้านี้เฉินหลิงจวินคุยเล่นกับขุนนางหนุ่มที่มาจากเมือง หลวงผู้นี้แล้วไม่รู ้สึกถูกคอแม้แต่น้อย ฟู่ หูบอกว่าท าอย่างไรถึงจะรู ้ว่า คนผู้นั้นมีความรู ้ มีคุณธรรม มีฐานะ ก็ต้องดูว่าเขาท าให้คนรู ้สึกสด ชื่น เผชิญหน้ากับเรื่องราวแล้วสุขุมไม่สะทกสะท้านหรือไม่ จะรู ้ได้ อย่างไรว่าคนผู้นั้นมีตาแหน่งขุนนางต่าหรือไม่ คิดดูแล้วก็คงเพราะ ความรู ้ความสามารถตื้นเขิน จิตใจคับแคบ น่าเสียดายที่ตอนนั้นพี่ น้องต้าเฟิ งไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเฉินหลิงจวินจะต้องให้เจิ้งต้าเฟิง แสดงฝีมือพิฆาตกลิ่นอายความรู ้ของฟู่หูสักหน่อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฟู่หูเป็ นขุนนางน้าใสได้มากพอเหลือแหล่”
ลูกหลานคนจนมากมาย ตอนเช ้าท านาตอนเย็นอ่านต ารา กลายเป็ นขุนนางแห่งราชส านัก เข้าร่วมการสอบมีอนาคตบน
เส้นทางขุนนาง ยากที่คาว่าเงินทอง เงินทองสมบัติกองกันเป็ นด่าน ประตูผีด่านหนึ่ง
ลูกหลานชนชั้นสูงเป็ นขุนนาง ยากตรงที่คนอิ่มไม่รู ้ถึงความหิว โหย กลัวก็แต่ว่าตาจะ สูงกว่าฝี มือ ปณิ ธานยิ่งใหญ่แต่ไร ้ ความสามารถ ทั้งไม่เข้าใจแล้วก็ไม่สนใจความทุกข์ยากของ ประชาชน
เดินผ่านตรอกเก่าโทรมเส้นนี้ ถนนก็กว้างขึ้นแล้ว ต้นไหว โบราณในอดีตยังคงอยู่ ด้านล่างมีท่อนไม้ยาวตั้งไว้ต่างม้านั่ง และยัง วางก้อนหินไว้หลายก้อน มีไว้ให้คนมานั่งพักผ่อนรับลมในหน้าร ้อน อาบแดดอบอุ่นในหน้าหนาว ในฤดูใบไม้ผลิ นกขนเขียวมักจะมา เกาะกลุ่มกันอยู่บนต้นไม้ ขนของนกใกล้เคียงกับสีของใบไม้ ยากที่ จะมองเห็นได้ รอกระทั่งพวกมันส่งเสียงจิ๊บๆ คนใต้ต้นไม้ถึงเงยหน้า ขึ้นเหลือบมอง เด็กน้อยที่ซุกซนหน่อยจะหยิบหนังกะติ๊กออกมา กู้ช่านเป็ นยอดฝีมือในด้านนี้ อีกทั้งยังมีความอดทนดีเยี่ยม มักจะหิ้ว นกเป็ นพวงยาวกลับไปที่ตรอกหนีผิงเป็ นประจา บ้านของคนอื่นคือ ลูกขนไก่ ไม้ขนไก่ แต่บ้านของกู้ช่านกลับไม่เหมือนคนอื่น
แม้ว่าบนกระดานของที่ว่าการจะมีประกาศมาติดไว้แล้ว แต่วันนี้ คนที่มาตักน้าที่บ่อโซ่เหล็กก็ยังมีแค่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นคนแก่ เห็นเฉินผิงอันกับเด็กชายชุดเขียวแล้วต่างก็มีสีหน้าระมัดระวัง บวก กับที่ในอดีตก็ไม่ได้สนิทสนมกัน จึงไม่มีคาพูดให้พูดคุยด้วยมากนัก ยิ่งไม่กล้ามาชวนคุยง่ายๆ เวลานี้ข้างบ่อมีคนแก่ในพื้นที่ที่ไม่ได้ย้าย
ออกจากเมืองเล็กอยู่สองคนที่จงใจขยับหลีกทางให้ ให้เจ้าขุนเขา เฉินที่ร่ารวยรุ่งเรืองผู้นั้นได้ตักน้าไปก่อน เฉินผิงอันยิ้มพูดด้วยภาษา ถิ่นของเมืองเล็ก บอกให้พวกเขาตักน้าก่อนได้เลย ตามประเพณีของ บ้านเกิด หากไม่ใช่ญาติที่มีแซ่เดียวกันแล้วต้องเรียกกันตามล าดับ รุ่นชื่อ ก็มักจะเรียกกันตามอายุเสมอ ยกตัวอย่างเช่นพวกผู้เฒ่าที่ อายุประมาณหกสิบปี อาวุโสกว่าเฉินผิงอันหนึ่งรุ่น ก็เรียกท่านลุง ท่านอาได้ตามสบาย ส่วนเฉินหลิงจวินก็ต้องใช ้ภาษาถิ่นเรียกว่าท่าน ปู่ และหากเฉินหลิงจวินเรียกท่านปู่ เด็กชายชุดเขียวก็ต้องเรียกอีก ฝ่ ายว่า “ไท่ไท่” ค าว่าไท่ไท่ในเมืองเล็กนี้ไม่มีการแบ่งชายหญิง สามารถใช ้เรียกได้ทั้งคู่ ความหมายก็คือท่านปู่ท่านย่านั่นเอง