กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 995.2 นกบินสู่ฝ่ามือกลายเป็ นอดีต
หลังจากเฉินผิงอันตักน้าเสร็จแล้วเดินจากไป ผู้เฒ่าสองคนก็ชุบ ซิบกันว่า
“เฉินผิงอันผู้นี้น่าจะอายุสี่สิบแล้วกระมัง?”
“ถึงแล้วล่ะ แต่ดูเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ เท่านั้น”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งเจอเฉินเต๋อเฉวียนที่ตัวจังหวัด เขาบอก ว่าหากเรียงตามท าเนียบวงศ์สกุลของสกุลเฉินของพวกเขา เฉินผิง อันลาดับอาวุโสต่ากว่าเขาตั้งสามขั้นเชียวนะ เจอเขาก็ยังต้องเรียก เขาว่าไท่ไท่”
ผู้เฒ่าอีกคนหันไปถ่มน้าลายลงพื้นแรงๆ ใช ้คาโบราณด่าว่าไอ้ พวกโยนกลอง
เฉินหลิงจวินที่ห่างออกไปไกลได้ยินเข้าก็รู ้สึกว่าน่าขา ภาษา ท้องถิ่นของเมืองเล็กแห่งนี้ เฉินหลิงจวินไม่เพียงแต่ฟังเข้าใจ ยังพูด ได้ด้วยสาเนียงที่แทบไม่ต่างจากคนท้องถิ่น คาว่าโยนกลอง ความหมายก็คล้ายๆ กับค าว่าขายหน้า
ความพิเศษที่ใหญ่ที่สุดของภาษาถิ่นในเมืองเล็กก็คือคาศัพท์ แทบทุกค าล้วนเป็ นเสียงกลาง น้อยนักที่จะมีขึ้นมีลง แม้จะบอกว่า อย่างสถานที่อื่นๆ ด้านนอกอย่างแคว้นหวงถิงเอ งก็สิบลี้
ขนบธรรมเนียมแตกต่าง ร ้อยลี้สาเนียงไม่เหมือนเช่นเดียวกัน แต่ สาเนียงคนท้องถิ่นของเมืองเล็กก็มีให้เห็นไม่บ่อยจริงๆ
เฉินผิงอันไม่ถือสาค านินทาของพวกคนเฒ่าคนแก่
เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต เขามักจะสั่งให้ เผยเฉียนที่มาตีเนียนกินอยู่ด้วยกันออกไปตักน้านอกบ้าน คาดว่าทุก ครั้งที่ออกไปตักน้าถ่านดาน้อยที่กินเก่งแต่ขี้เกียจ อย่างมากสุดคง ตักน้ามาแค่ครึ่งถัง หรืออาจจะไม่ถึงด้วยซ้า จากนั้นก็เดินแกว่งถังน้า มาตลอดทาง กลับมาถึงบ้านของเฉาฉิงหล่าง น้าในถังก็เหลือแค่ ติดกันถังเท่านั้นแล้ว พอเข้ามาในบ้าน เผยเฉียนจะใช ้สองมือยกถัง น้า ทาลับๆ ล่อๆ มักจะเบี่ยงตัวหันข้างให้เสมอเพื่อที่เฉินผิงอันจะได้ มองไม่เห็นระดับน้าในถัง แล้วนางยังแสร ้งทาเป็ นเหมือนว่ามันหนัก มาก เดินโงนเงนไปที่ห้องครัว แอบใช ้ถังตักน้าในห้องครัวขึ้นมาก่อน แล้วเขย่งปลายเท้าพยายามยกถังน้าให้สูงแล้วค่อยเทน้าลงไปในถัง เพื่อให้เสียงน้าดังยิ่งกว่าเดิม นางก็คือนักแสดงตัวน้อยที่ไม่ต้องมี อาจารย์สั่งสอนก็เป็ นได้เอง
ระหว่างทางที่กลับไปเจอกับผู้เฒ่าอายุประมาณเจ็ดสิบปีคนหนึ่ง ของเมืองเล็กก าลังโปรยขี้เถ้าลงบนพื้น เมื่อเวลาผันผ่าน ยี่สิบปีก็ ผลัดเปลี่ยนคนไปรุ่นหนึ่ง นับตั้งแต่ที่ถ้าสวรรค์หลีจูหล่นลงพื้นแล้ว เปิ ดประตูติดต่อกับโลกภายนอก จนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบ สามสิบปีแล้ว เป็ นเหตุให้ภาพเหตุการณ์ประเภทนี้ยิ่งนานวันก็แทบไม่
มีให้เห็นแล้ว ทว่าตอนที่เฉินหลิงจวินเพิ่งมาอยู่เมืองเล็กกลับมักจะ เห็นชาวบ้านของเมืองเล็กง่วนทาเรื่องประเภทนี้อยู่เป็ นประจ า
เฉินหลิงจวินจึงเอ่ยถาม “นายท่าน ท าไมพวกเราถึงไม่เคยโปรย ขี้เถ้าชักนามังกรมาไว้ในบ้านบ้างล่ะ?”
นับตั้งแต่ที่เขามาอยู่ภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนนายท่านจะไม่เคยท า การชักน ามังกรอะไรมาก่อน วันที่สองเดือนสองนี้ก็แค่ใช ้ไม้ไผ่เคาะ ไปตามจุดต่างๆ แล้วก็กินแผ่นแป้ งย่างเท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนที่ข้ายังเด็กที่บ้านก็เคยทา ภายหลัง เป็ นเพราะข้าไม่รู ้รายละเอียดของกฎเกณฑ์ในเรื่องนี้ อีกทั้งยังต้องใช ้ ถ้อยค าโบราณมากมายถึงจะสามารถชักน ามังกรมาได้ ข้าไม่เข้าใจ อะไรทั้งนั้น กลัวว่าทาส่งเดชแล้วจะไปละเมิดกฎ ดังนั้นคิดดูแล้วก็เลย ไม่ท าดีกว่า”
ในอดีตทุกๆ วันที่สองเดือนสอง คนเฒ่าคนแก่ของแต่ละ ครอบครัวต่างก็ยุ่งกันมากแต่จะยุ่งอย่างส่งเดชไม่ได้ ล้วนมีข้อ พิถีพิถัน หลังจากฟ้ าสว่างในวันที่สองเดือนสอง รอกระทั่งพระอาทิตย์ ส่องแสงเจิดจ้าแล้ว เส้นแส้งเคลื่อนผ่านประตูรั้วไม้ทางทิศตะวันตกสุด ของเมืองเล็กเข้ามา คนในเมืองเล็กก็สามารถโปรยขี้เถ้าชักนามังกร ได้แล้ว แต่หากมีฝนตกก็ได้แต่อดทนรอคอยเท่านั้น หากเป็ นแค่ อากาศขมุกขมัวไม่มีฝนก็ต้องเลือกฤกษ์ยาม หากว่าฝนตกตลอดทั้ง วันก็ได้แต่เบิกตากว้างมองดู รู ้สึกเป็ นกังวลกับการเก็บเกี่ยวประจาปี ตลอดทั้งปี ที่จะเกิดขึ้น
และการชักนามังกรก็มีมากถึงห้าวิธี แต่ละครัวเรือนจะใช ้วิธีที่ แตกต่างกัน โดยภาพรวมแล้วหากข้ารับใช ้ในบ้านมีเยอะ วิธีที่ใช ้ก็จะ เยอะ หากเป็ นครอบครัวเล็กๆ ยากจนที่ควันธูปไม่โชติช่วง อย่างมาก สุดก็จะใช ้วิธีชักนามังกรแค่สองชนิดเท่านั้น
อย่างการตักน้าจากบ่อโซ่เหล็กกลับบ้านก็คือวิธีหนึ่งในนั้น ทุก ครัวเรือนในเมืองเล็กล้วนทาได้ แค่ตักน้าเทลงในถังน้าบ้านตนก็พอ เป็ นวิธีชักนามังกรที่ง่ายที่สุด ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการเขียนเค้า โครงของบทความบทหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีวิธีการชักนามังกรที่ พิถีพิถันในเรื่องพิธีการมากยิ่งกว่า ส่วนใหญ่จะเป็ นคนเฒ่าคนแก่ใน ครอบครัวที่คุ้นเคยกับประเพณี เป็ นคนลงมือท าด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนจะเลือกต้นไหวโบราณ หรือไม่ก็ก้อนหิน ใหญ่ข้างทางที่อยู่ใกล้บ้าน ใช ้ขี้เถ้าในเตาไฟโปรยไปรอบๆ พวกมัน เป็ นวงกลม จากนั้นให้เด็กที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน ไม่ต้องสนว่าเป็ น ชายหรือหญิงถือเงินเหรียญทองแดงที่ร ้อยด้วยเชือกแดงเหรียญหนึ่ง เอาไปวางไว้ในวงกลม หากทางบ้านมีฐานะหน่อยก็จะใช ้เชือกแดงรัด ก้อนเงินหรือไม่ก็ก้อนทอง เด็กน้อยจะถือเชือกแดงลากเงินกลับบ้าน ตอนที่ลากเงินเหรียญทองแดงหรือก้อนเงินก้อนทองจ าเป็ นต้องลาก เปิดรูไว้บนวงกลมเหมือนมังกรพ่นน้าและน้าก็คือทรัพย์สินเงินทอง เท่ากับว่าได้เปิดเส้นทางเงินทองชักนาเข้าไปในบ้าน จากนั้นค่อยเอา เหรียญทองแดงไปใส่ในกระปุกเก็บเงินที่ทาจากกระเบื้องลายคราม แล้วก็ให้ประมุขของตระกูลปิดปากกระปุกด้วยตัวเอง ก็จะเท่ากับว่า
ทรัพย์สินเงินทองเข้ามาในบ้านและถูกเก็บเอาไว้แล้ว มีโชคมีลาภ ปี ใหม่นี้ทั้งครอบครัวไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องกินอยู่
นอกจากนี้ก็มีผู้เฒ่าที่ปากจะท่องคาถา โปรยขี้เถ้าจากการเผา ต้นไม้ใบหญ้าเป็ นเส้นแนวนอนที่หน้าประตูบ้าน ขัดขวางหายนะไว้ นอกประตู หรือไม่ก็โปรยขี้เถ้าให้เป็ นรูปเจียวหลงอยู่ตรงมุมก าแพง สกัดกั้นเสนียดชั่วร ้าย หรือไม่ก็วางเศษธัญพืชกองกันคล้ายภูเขาลูก ย่อมไว้ในลานบ้านไม่ก็บนลานตากธัญพืช จากนั้นโรยขี้เถ้าไปรอบๆ เป็ นวงกลม เหมือนสายน้าที่ล้อมพันรอบภูเขาสูง เพื่อรับประกันว่าผล เก็บเกี่ยวของปีนี้จะอุดมสมบูรณ์ พืชพรรณธัญญาหารเต็มยุ้งฉาง และยังมีตระกูลร่ารวยที่นาที่จะมีข้อพิถีพิถันมากกว่านี้ มีคากล่าวที่ว่า ส่งเหลืองต้อนรับเขียว ต้องมีคนสองคน คนหนึ่งตรงเอวห้อยถุงที่ บรรจุขี้เถ้าไว้จนเต็ม เดินโปรยไปตลอดทางจนไปถึงริมล าคลอง หลงซวีที่อยู่นอกเมืองเล็ก ส่วนอีกคนหนึ่งจะใช ้แกลบหนึ่งถุงชักนา มังกรกลับบ้าน ทั้งมีความหมายว่าชักนามังกรแห่งผืนนา ขณะเดียวกันก็มีค ากล่าวว่าส่งเทพยากจนจากไปรับเทพแห่งความ ร่ารวยกลับมา
หากเป็ นในอดีต นายท่านให้ค าอธิบายเช่นนี้ เฉินหลิงจวินฟัง แล้วก็คงปล่อยผ่านไปแต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เขาสามารถเข้าใจเหตุผล ที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
นายท่านไม่ได้พูดโกหก ตอนที่เป็ นเด็กนายท่านไม่เคยเรียน หนังสือมาก่อน แล้วก็ไม่มีใครเต็มใจจะสอนเรื่องพวกนี้แก่เขา จึงไม่
เข้าใจกฎเกณฑ์และข้อต้องห้ามในการชักน ามังกรจริงๆ ทว่าสาเหตุ ที่แท้จริงนั้นเป็ นเพราะนายท่านในเวลานั้น เดิมทีตัวเขาก็เป็ นข้อห้าม อย่างหนึ่งของเมืองเล็กบ้านเกิดนี้อยู่แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าใคร่ครวญจนได้ความคิดอะไรบ้าง หรือไม่?”
เฉินหลิงจวินถามอย่างสงสัย “อะไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไฟเผาหญ้ากลายเป็ นเถ้าถ่าน สร ้างภูเขา ชัก นาน้า ลากไม้ ดึงเงิน นี่เกี่ยวพันไปถึงทอง ไม้ น้า ไฟและดินซึ่งเป็ น ห้าธาตุ การที่ทุกบ้านต่างก็มีวิธีชักนามังกรที่ไม่เหมือนกัน ล้วน จ าเป็ นต้องเอาหลักของห้าธาตุมาใช ้ คนในครอบครัวมีมากก็ สามารถรวบรวมทาพิธีโปรยขี้เถ้าชักนามังกรได้ครบห้าอย่าง คน น้อยก็ได้แต่เลือกแค่สองสามอย่างเท่านั้น”
เฉินหลิงจวินพยักหน้า กล่าว “ที่แท้นายท่านพูดถึงเรื่องนี้เองหรือ ข้าเข้าใจมาตั้งนานแล้ว ยังนึกว่านายท่านคิดจะพูดเรื่องที่ลี้ลับอะไร ซะอีก”
มะเหงกหนึ่งเขกลงมา เฉินหลิงจวินที่เตรียมพร ้อมไว้นานแล้วรีบ หันหัวหนีทันที
ดูเหมือนว่าในหมู่บ้านชนบททุกแห่งต่างก็ต้องมีคนโง่ที่ชื่อบื้อเส มอ ทว่าเฉินหลิงจวินกลับเหมือนไม่รู ้สึกว่ามีเรื่องแบบนี้ ฮ่าๆ มีหรือ ที่นี่ของพวกเราไม่มีกระมัง
เฉินผิงอันเดินกลับตรอกหนีผิง ระหว่างทางได้เดินผ่านบ้าน บรรพบุรุษสกุลเฉา ก่อนเข้าบ้านก็มองไปยังบ้านติดกันที่อยู่ฝั่ง ซ ้ายมือของบ้านตัวเอง แล้วจึงเดินเข้าในลานบ้านช่วยกันกับเฉินหลิง จวินเอาน้าไปเทลงในถังน้า
หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยเตรียมชามและตะเกียบไว้เรียบร ้อยแล้ว พวกเขานั่งล้อมโต๊ะกันกินบะหมี่หนวดมังกรที่เดิมที่ควรมีรสชาติจืด แต่หน่วนซู่ตั้งใจเอาผักป่าตากแห้งที่ตัวเองเก็บมาและยังตากแห้งด้วย ตัวเองติดมาด้วยหลายชนิด พวกเฉินผิงอันจึงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เฉินหลิงจวินที่นั่งอยู่หน้าประตูกินหมดไปแล้วหนึ่งชามก็กระแอมหนึ่ง ที เอาตะเกียบเคาะชามเบาๆ บอกเป็ นนัยให้นังหนูโง่บางคนตามีแวว สักหน่อย พอดีกับที่เฉินผิงอันผลักชามว่างเปล่าในมือเบาๆ เฉินหลิง จวินก็รีบลุกขึ้นยืนทันใด ถือถ้วยขาวมือละใบ บอกให้นายท่านรอ สักครู่ แล้วก็วิ่งตุปัดตุเป๋ ไปตักบะหมี่ในห้องครัวเอง
กลับมานั่งอีกครั้ง เฉินหลิงจวินม้วนบะหมี่ขึ้นมาคาใหญ่ เป่ าให้ หายร ้อน ถามว่า “นายท่าน เจิ้งต้าเฟิ งจะไปอยู่ภูเขาเซียนตูจริงๆ หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิ งเพิ่งจะกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็จะจากไปอีกแล้ว เฉิน หลิงจวินต้องเป็ นคนที่หงอยเหงาที่สุดแน่นอน หากว่าได้พูดคุยได้ ผายลมกับพี่น้องต้าเฟิงทุกวันก็คงจะดี
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะลองโน้มน้าวเขาอีกครั้งดู”
อย่าเห็นว่าก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงหาเหตุผลมาสารพัดอย่าง แต่ เหตุผลที่แท้จริงก็มีแค่ข้อเดียว หลีกทางให้กับเซียนเว่ย
การเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร ้นจากชุยตงซานก็เป็ นแค่ข้ออ้างที่ เจิ้งต้าเฟิงเอามาใช ้โน้มน้าวเฉินผิงอันกับเซียนเว่ยเท่านั้น
เฉินหลิงจวินโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก นายท่านยินดี ออกหน้ารั้งตัวคนเอาไว้ แล้วยังมีตนคอยให้การช่วยเหลืออยู่อีกแรง ช่วยกันตีกระหนาบ คิดดูแล้วรั้งตัวพี่น้องต้าเฟิ งไว้ก็น่าจะยังพอมี ความมั่นใจอยู่บ้าง
เฉินหลิงจวินพูดเสียงอู้อี้ “เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู ้เวลาแน่ชัดที่นาย ท่านจะกลับบ้านเกิดหลี่ไหวจึงพานักพรตเนิ่นออกจากเรือมังกรไป ระหว่างทาง ตรงกลับไปที่สานักศึกษาแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หลี่ไหวกับนักพรตเนิ่น ก่อนหน้านี้ได้ติดตามเฉินหลิงจวินกับก วอจู๋จิ่วเข้าร่วมพิธีเปิดยอดเขาที่พรรคหวงเหลียง แต่ไม่ได้กลับมาที่ ภูเขาหนิวเจี่ยวด้วย เพราะหลีไหวต้องรีบกลับไปที่สานักศึกษาชานห ยาก่อน มีสถานะของนักปราชญ์อยู่ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม ทุก วันนี้เรื่องบางอย่างในสานักศึกษาจาเป็ นต้องให้เขาอยู่ร่วมรับรู ้ด้วย
นอกจากนี้เฉินผิงอันได้ส่งจดหมายตอบกลับศิษย์พี่เหมาไปแล้ว และยังส่งจดหมายไปให้หลี่ไหวอีกหนึ่งฉบับ ในจดหมายพูดถึงเรื่อง เดียวกัน นั่นก็คือจะใช ้นามของสานักศึกษาซานหยาเชื้อเชิญให้
นักพรตเนิ่นเข้าร่วมกับเรื่องการขุดเจาะลาน้าใหญ่ของใบถงทวีป เพราะถึงอย่างไรนักพรตเนิ่นก็มีสถานะที่อาพรางไว้อย่างการเป็ น ผู้ติดตามของหลี่ไหว เรื่องนี้ทางส านักศึกษาซานหยาไม่มีทางป่ าว ประกาศออกไป ส านักศึกษาและศาลปุ่ นมีแต่จะเก็บไว้ในเอกสารลับ ก่อนที่เหมาเสี่ยวตงจะเลื่อนขั้นเป็ นรองผู้อานวยการสถานศึกษาหลี่จี้ เคยรับหน้าที่เป็ นรองเจ้าขุนเขาของสานักศึกษาชานหยาทาหน้าที่ ดูแลกิจธุระต่างๆ มานานหลายปี ให้เขาเป็ นคนปรึกษาส านักศึกษา เรื่องนี้ เทียบกับเฉินผิงอันเปิดปากพูดเองแล้วย่อมต้องเหมาะสมกว่า ในระบบสายบุ๋นเท่ากับว่าเหมาเสี่ยวตงได้กระโดดเลื่อนขั้นสูง รับ หน้าที่เป็ นบุคคลที่มีอานาจอันดับสองของสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็ นสถานศึกษาหลี่จี้ด้วย สานักศึกษาซานหยา และราชวงศ์สกุลเกาต้าสุยต่างก็รู ้สึกเป็ นเกียรติ ส่วนทาไมหลี่ไหวถึง ได้กลายเป็ นนักปราชญ์ที่ถูกศาลบุ๋นแต่งตั้งกะทันหัน คาดว่าจนถึง ทุกวันนี้สานักศึกษาและสกุลเกาก็คงยังมึนงงกันอยู่ ถือเป็ นเรื่อง น่ายินดีไม่คาดฝันที่ทาให้คนไม่รู ้ว่าจะเอาไปโอ้อวดกับภายนอก อย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจพูดจาผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเอง ได้ว่าหลี่ไหวแห่งสานักศึกษาของพวกเรามีความรู ้ลึกซึ้งในตาราและ บทกวี คือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตอันดับหนึ่งได้กระมัง?
พวกอาจารย์ที่สอนหนังสือของสานักศึกษาเหล่านั้น บางทีความ ทรงจาเดียวที่พวกเขามีต่อลูกศิษย์อย่างหลี่ไหวก็น่าจะเป็ น เล่าเรียน เขียนอ่านถือว่ามานะหมั่นเพียร แต่ผลสาเร็จกลับรั้งท้ายตลอด?
เฉินหลิงจวินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อุตส่าห์ได้เป็ นถึง นักปราชญ์ของส านักศึกษาแล้ว หลี่ไหวเองก็เป็ นคนโง่ที่มีโชคของ คนโง่เหมือนกันนะ แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็มองคนได้แม่นย ามาโดย ตลอด มีแต่กับหลี่ไหวนี่แหละที่มองพลาดไป”
เฉินหน่วนซู่เหลือบมองเฉินหลิงจวินเงียบๆ หมี่ลี่น้อยถอนหายใจ ส่ายหน้า
เฉินหลิงจวินได้แต่ท าเป็ นว่าไม่เห็นไม่ได้ยิน เด็กโง่สองคนเป็ น สตรีผมยาวความรู ้สั้นจะไปเข้าใจกะผีอะไร
หลางจวินน้อยแห่งแม่น้าอวี้เจียง ราชามังกรน้อยแห่งภูเขาลั่วพั่ว เช่นข้า ใช ้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคลื่นลม เป็ นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว นอกจากนายท่านบ้านตน ใครจะมาแข่งเรื่องประสบการณ์กับข้าได้ ใครจะไปรู ้ความอันตรายของยุทธภพได้ดียิ่งกว่าข้า?
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
ปีนั้นระหว่างที่เดินทางไปขอศึกษาต่อที่สานักศึกษาซานหยาต้า สุย หลี่ไหวเคยเล่าเรื่องน่าอายเรื่องหนึ่งให้เฉินผิงอันฟัง บอกว่าตอน เด็กตัวเองเกเร ไม่ว่าเขาจะก่อเรื่องอย่างไรมารดาที่ดีแต่ขู่เขาให้กลัว เหมือนฟ้ าร ้องดังแต่ไม่มีฝนตกก็เคยตีเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้ง ยังเป็ นการตีอย่างจริงจัง ตีจนกันเขาลายพร ้อย เจ็บจนแผดเสียง ร ้องไห้ดังลั่น
ที่แท้มีครั้งหนึ่งหลี่ไหวถูกหลี่หลิ่วผู้เป็ นพี่สาวพาไป “ดึงเงิน มังกร” เขาจงใจลากเงินเหรียญทองแดงที่ร ้อยด้ายแดงเดินวนเป็ น วงกลม ทาให้ขี้เถ้าที่หลี่หลิ่วโปรยไว้เป็ นวงกลมเละเทะไปหมด แล้วก็ เดินอาดๆ กลับบ้าน ยังไม่รู ้จักหนักเบาเอาไปโอ้อวดบิดามารดาราว กับตัวเองได้สร ้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ ทาเอาสตรีออกเรือนแล้วตกใจจน หน้าซีดเผือด บิดหูลูกสาวก่อนเป็ นอันดับแรก ตามด้วยหยิกแขนนาง อีกที สตรีร ้องไห้เสียงดังสนั่นฟ้ า ตาหนิหลี่หลิ่วอย่างไม่พอใจว่า ตัวเองเป็ นพี่สาวทาไมถึงไม่รู ้จักห้ามหลี่ไหว สตรีไม่ได้กังวลเรื่องโชค ลาภเงินทองอะไร เพราะถึงอย่างไรที่บ้านก็ยากจนอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ อัญเชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภมาตั้งบูชาไว้ไม่ไหวเลย เกรงว่า แม้กระทั่งเทพแห่งความยากจนก็ยังไม่อยากจะอยู่ในบ้านของพวก เขาด้วย นางแค่กังวลว่าหลี่ไหวทาแบบนี้จะไปละเมิดข้อห้าม หลี่ไหว อายุน้อยมิอาจทนรับเรื่องประหลาดทั้งหลายอย่างที่พวกคนเฒ่าคน แก่ชอบพูดกันเป็ นประจ าได้ ดังนั้นต่อให้สตรีจะรักและเอ็นดูบุตรชาย แค่ไหนก็ยังยกกฎบ้านมาปรนนิบัติเขาอย่างที่หาได้ยาก กดตัวหลี่ ไหวลงกับม้านั่งยาวแล้วใช ้ไม้ขนไก่หวด อันที่จริงก็แค่ทาให้ท่านเทพ เทวดาดูพอเป็ นพิธีเท่านั้นว่านางสั่งสอนลูกไปแล้ว ขออย่าได้โกรธ เขาอีกเลย เพียงแต่สตรีก็ยังเป็ นกังวล และนั่นก็เป็ นเพียงครั้งเดียวที่ นางพกของขวัญไปที่เรือนด้านหลังของร ้านยาตระกูลหยาง ยอมก้ม หัวอ่อนข้อ ขอให้อาจารย์ที่พึ่งพาไม่ได้ของบุรุษบ้านตนช่วยเหลือ ตา เฒ่าเข้าใจอะไรเยอะ ไม่แน่ว่าอาจมีวิธีแก้ไข อย่างน้อยที่สุดก็อย่า ให้หลี่ไหวต้องเดือดร ้อน ตอนนั้นหยางเหล่าโถวที่พ่นควันขโมงฟัง
แล้วก็ยังคงทาหน้าตายซึ่งเป็ นสีหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนตลอดหมื่นปี พูด แค่ว่าไม่เป็ นไร ไม่มีข้อห้ามอะไรทั้งนั้น
สตรีได้ฟังแล้วก็ร ้อนใจทันใด หลี่ไหวไม่ใช่หลานชายแท้ๆ ของ เจ้า ตาแก่หนังเหนียวอย่างเจ้าก็เลยไม่เห็นเป็ นส าคัญ ใช่ไหม?
เห็นสตรีทาท่าจะร ้องไห้อาละวาดอีกครั้ง ผู้เฒ่าที่หน้าดาทะมึนก็ ได้แต่เก็บกระบอกยาสูบ บอกนางว่าเลิกโวยวายได้แล้ว หากยัง โวยวายอีกจะเกิดเรื่องจริงๆ แล้ว
แม้ว่าสตรีจะกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่ก็ยอมหุบปากทันที สุดท้ายผู้เฒ่า ที่ตลอดทั้งปืนอกจากจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพียงล าพังแล้วก็แทบ ไม่เคยออกจากบ้าน ก็เหน็บกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว ยอมออกจาก บ้านไปครั้งหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก
หยางเหล่าโถวไปที่ห้องด้านข้างที่เก็บของจุกจิกไว้สารพัด หยิบ ถุงมาใบหนึ่ง ผู้เฒ่าทิ้งประโยคหนึ่งไว้ด้วยสีหน้าไร ้อารมณ์ บอกสตรี ว่าไม่ต้องตามมา
สตรีไม่กลัวตาแก่หนังเหนียวที่แล้งน้าใจผู้นี้ แต่กลับกลัว กฎเกณฑ์เก่าแก่ที่เป็ นมายาเลื่อนลอยที่สุด นางจึงยอมทาตามแต่ โดยดี ไม่ได้ตามเขาไป
รอกระทั่งหยางเหล่าโถวออกไปจากร ้านยา สุดท้ายสตรีก็บอก ให้หลี่หลิ่วบุตรสาวที่มาด้วยกันไปเอาของขวัญที่ก่อนหน้านี้ตนวางไว้ บนโต๊ะคิดเงินที่ร ้านยาด้านหน้ากลับมา แอบเอากลับบ้านไป
ตามอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของสตรี มาขอร ้องคนอื่นครั้งนี้จะไม่ให้ ตาเฒ่าเห็นก่อนว่าตัวเองพกของขวัญมาด้วย รอให้นางไปที่เรือน หลังของร ้านยาแล้ว หากท าส าเร็จก็จะยอมกัดฟันมอบไปให้ แต่หาก ไม่ได้ผล ตาเฒ่ายังจะมีหน้ามารับรองขวัญอีกหรือ? ตอนนี้ดูจาก ท่าทางตอนที่ตาแก่นั่นออกจากบ้านไปแล้ว น่าจะมั่นคงได้เก้าในสิบ ส่วนแล้ว ในเมื่อเป็ นคนครอบครัวเดียวกันครึ่งตัวแล้ว อีกทั้งวันนี้ก็ ไม่ใช่วันปีใหม่เสียหน่อย ก็ไม่ต้องมอบของขวัญอะไรให้กันหรอก