กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 995.3 นกบินสู่ฝ่ามือกลายเป็ นอดีต
เก็บชามและตะเกียบแล้ว เฉินผิงอันก็พาพวกเขาไปที่ตรอกฉี หลงด้วยกัน
ทางฝั่งของฉู่โจว คิดดูแล้ววันนี้กิจการของร ้านตัดผมน่าจะดี ที่สุด เด็กๆ มักจะถูกผู้ใหญ่พาไปตัดผม แล้วก็มีค าเรียกขานการโกน ผมว่า “ซี่โถว” (หัวมงคล)
แต่ขนบธรรมเนียมที่ด้านนอกมีกันอยู่ทุกที่นี้ อันที่จริงเมืองเล็ก ไม่มีคากล่าวนี้มานานมากแล้ว เหมือนอย่างเมืองหงจู่ซึ่งเป็ นสถานที่ ที่แม่น้าสามสายไหลมาบรรจบกันก็มีขนบธรรมเนียมที่เช ้าตรู่จะต้อง ออกเรือมังกรและตอนกลางคืนจะปล่อยโคมมังกร อย่างแรกคือการ เชิญให้มังกรเชิดหัวโผล่พ้นน้า ปกป้ องให้พ่อค้านักเดินทางที่ต้อง เดินทางทางน้าเดินทางปลอดภัย ไม่เจอกับคลื่นลมมรสุมใดๆ ตลอด ทั้งปี ส่วนอย่างหลังคือธรรมเนียมที่ชาวเรือซึ่งมีสัญชาติทาสนาพามา พวกเขาคือชาวบ้านลี้ภัยของแคว้นเสินสุ่ยเก่า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมี โทษติดตัวซึ่งยังไม่ถูกทางราชส านักประกาศอภัยโทษ คนทุกยุคทุก สมัยมารวมตัวกันอยู่ในอ่าวแห่งหนึ่ง มิอาจได้ขึ้นฝั่ง ดังนั้นคืนนี้พวก เขาจึงจะใช ้ต้นกกต้นอ้อและต้นเกาเหลียงมามัดเป็ นเรือมังกร วาง ถ้วยน้ามันไว้ใบหนึ่ง จุดเทียนหนึ่งเล่มแล้วปล่อยลงไปในอ่าว ปล่อย ให้มันลอยไปตามกระแสน้าตอน ล่างมีความหมายว่าใช ้ส่องสว่าง
เส้นทางน้ายามค่าคืนให้กับมังกร ทุกวันนี้ทางฝั่งที่ว่าการเขตและที่ว่า การจังหวัดซึ่งตั้งอยู่ที่เดียวกันในตัวจังหวัดฉู่โจวก็ได้รับเอาประเพณี มัดมังกรและปล่อยโคมนี้มาด้วยเหมือนกัน
เฉินหลิงจวินเบ้ปาก เอ่ยว่า “ทุกวันนี้พี่ใหญ่เจี่ยเป็ นคนมีงานยุ่ง แล้ว เป็ นผู้ดูแลรองเชียวนะ ตลอดทั้งปี ไม่เคยได้อยู่ติดบ้าน ต้อง ร่อนเร่พเนจรอยู่บนฟ้ า หากยังเป็ นแบบนี้ต่อไปพบเจอกับสหายใหม่ หลายคน เกรงว่าคงจาพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากอย่างข้าไม่ได้แล้ว”
“นักพรตผู้เฒ่าเจี่ยเป็ นคนเห็นแก่ความสัมพันธ ์เก่าก่อน”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ซุยตงซานคิดจะดึงตัวนักพรตผู้เฒ่าเจี่ยไป อยู่ที่สานักกระบี่ชิงผิง ให้เข้าอยู่ในท าเนียบสายผู้คุมกฏ รับผิดชอบ ถ่ายทอดความรู ้เรื่องข้อพิถีพันในยุทธภพและเรื่องราวทางโลกให้กับ ลูกศิษย์ที่ออกไปหาประสบการณ์ด้านนอก”
เฉินหลิงจวินได้ยินก็ร ้อนใจทันใด รู ้สึกว่าจาเป็ นต้องเสี่ยงตาย เอ่ยทัดทานนายท่านตัวเองสักครั้ง “นายท่าน จะปล่อยให้ห่าน ขาวใหญ่ขุดมุมกาแพงเอาตัวพี่เจี่ยไปไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ! ห่าน ขาวใหญ่ไม่รู ้จักจบจักสิ้นเสียที ไร ้ชื่อไร ้แปเกินไปแล้ว! ต้องควบคุม เขาหน่อยแล้ว ต้องจัดการให้ดีๆ! อีกอย่างนะ หากว่าพี่เจี่ยไปอยู่ที่นั่น เปลี่ยนทาเนียบใหม่ จ้าวเติงเกากับจิ่วเอ๋อร ์ก็ต้องตามไปด้วยน่ะสิ จะดี จะชั่วภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็เป็ นสานักเบื้องบน ทุกวันนี้จานวน สมาชิกในท าเนียบก็ด้อยกว่าสานักเบื้องล่างไประดับใหญ่แล้ว นาย ท่าน บอกไว้ก่อนนะว่า ไม่ใช่ว่าข้าเอาความคิดตัวเองไปวัดความคิด
ของคนอื่น ข้าแค่รู ้สึกว่านิสัยเช่นนั้นของห่านขาวใหญ่ วันหน้าพา สานักเบื้องล่างมาเข้าร่วมการประชุมที่สานักเบื้องบนของพวกเรา จะต้องจงใจพาคนมาด้วยเยอะๆ ยกขบวนเดินขึ้นมาบนยอดเขาจี้เซ่อ ประชันขันแข่งเรื่อง
ขบวนที่เอิกเกริกกับพวกเราแน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เป็ นเรื่องที่ชุยตงชานทาได้จริงๆ”
เฉินหลิงจวินกล่าว “หากว่ามีวันนั้นจริงๆ ข้าต้องโมโหมากแน่”
เฉินผิงอันหันไปมองหน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อย ยิ้มถามว่า “พวกเจ้า คิดว่าอย่างไร?”
หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้ว วันนี้ลงจากภูเขามาไม่ได้พกไม้เท้าเดินป่ า และคานหาบสีทองมาด้วย นางขยับเชือกร้อยกระเป๋ าสะพายข้าง พยักหน้าก่อนจะส่ายหน้า “คงไม่ได้โกรธเท่าจิ่งชิงหรอกกระมัง?”
โกรธน่ะต้องโกรธแน่อยู่แล้ว
หน่วนซู่เอ่ยเสียงอ่อนโยน “นายท่าน ทุกวันนี้บนภูเขาของพวก เราเงียบเหงามากแล้วนะ”
ฟังดูสิ พวกเรา
เฉินหลิงจวินยกนิ้วโป้ งให้ นังหนูโง่รู ้จักพูดจาฉลาดบ้างแล้ว
นี่ก็เหมือนการประชุมศาลบรรพจารย์บนภูเขาเล็กเป็ นการ ภายใน เฉินผิงอันเห็นว่าพวกเขาทั้งสามเห็นพ้องต้องกันก็พยักหน้า เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้ารู ้ว่าต้องท าอย่างไร”
มาที่ตรอกฉีหลง เดินลงบันไดมา ไปที่ร ้านฉ่าวโถวก่อน เด็กสาว ชุยฮวาเชิงได้ขึ้นเรือเฟิ งยวนไปจากที่นี่แล้ว อีกไม่นานก็จะได้ กลายเป็ นสมาชิกทาเนียบของสานักกระบี่ชิงผิง
เหลือเพียงจ้าวเติงเกากับเถียนจิ่วเอ๋อร ์ที่เป็ นลูกจ้างร ้าน เห็นว่า เจ้าขุนเขาให้เกียรติมาเยือน สองคนที่เป็ นคนร่วมสานักแต่เหมือน พี่ชายน้องสาวแท้ๆ กันมากกว่าก็รีบคารวะเฉินผิงอัน เฉินผิงอันมองสี หน้าของจิ่วเอ๋อร ์แล้วก็ค่อยรู ้สึกสบายใจ พยักหน้าคุยเล่นกับพวกเขา สองสามประโยค เปิ ดสมุดบัญชีให้พอเป็ นพิธี จากนั้นก็ไปที่ร ้าน ยาสุ้ยซึ่งอยู่ติดกัน เด็กชายผมขาวย้ายไปอยู่หอบูชากระบี่แล้ว นอกจากจะต้องถ่ายทอดวิชาความรู ้ให้กับลูกศิษย์อย่างเหยาเสี่ยวเห ยียน ตอนนี้ยังมีสถานะเป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงตาราด้วย ทุกวันจะต้อง ไปเฝ้ าตอรอกระต่ายอยู่ที่หน้าประตูภูเขาลั่วพั่ว รอให้แขกมาเยี่ยม เยือนเพื่อที่จะได้จดบันทึก
ในเรื่องของการรักษาขนบธรรมเนียมเก่าแก่ของเมืองเล็ก ไม่ให้ สูญหาย รวมไปถึงชักน าผู้คนเข้าสู่ขนบธรรมเนียมอย่างใหม่ เทพ เซียนผู้เฒ่าเจี่ยแห่งตรอกฉีหลงได้สร ้างคุณความชอบไว้ไม่น้อย อุทิศคุณูปการไว้มาก
เมื่อหลายปีก่อนเวลาที่เมืองเล็กมีงานมงคลและงานฌาปนกิจ ไม่ ว่าจะยากจนหรือร่ารวย ขอแค่เพื่อนบ้านใกล้เคียงมีการเชิญ เทพ เซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็จะต้องไปช่วยงานแทบทุกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบทาทุก อย่างอย่างมีระเบียบมีขั้นตอน นานวันเข้าชื่อเสียงของนักพรตเจีย เซียนซือผู้เฒ่าแห่งตรอกฉีหลงก็ยิ่งโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ทาง ฝั่งของตัวจังหวัดก็ยังชอบที่จะเชื้อเชิญให้เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยไป ร่วมงาน ช่วยด าเนินงานมงคลและงานฌาปนกิจไปๆ มาๆ มีเทพเซียน ผู้เฒ่าเจี่ยไปร่วมงานหรือไม่ก็กลายเป็ นธงอย่างหนึ่งที่ใช ้เปรียบเทียบ ความมีชื่อเสียงของตระกูลในตัวจังหวัด แล้วนับประสาอะไรกับที่เทพ เซียนผู้เฒ่าเจี่ยไม่เคยเรียกร ้องเงินทอง ตระกูลร่ารวยที่พอมีฐานะให้ ของแดงของใหญ่เท่าไรก็รับมาเท่านั้น ตระกูลยากจนข้นแค้น เทพ เซียนผู้เฒ่าก็แค่กินข้าวมื้อหนึ่ง ดื่มเหล้าเล็กน้อย ไม่เคยพูดบ่นให้ได้ ยินคราวหน้าเชิญมาอีก เทพเซียนผู้เฒ่าก็ยังคงยินดีมาเยือน
คนแก่ในเมืองเล็กจากไปเยอะมากแล้ว ดังนั้นหลายปีมานี้ทุกๆ วันที่หนึ่งของเดือนหนึ่ง ควรจะจุดประทัดเวลาใดจึงเป็ นคาถามที่เทพ เซียนผู้เฒ่าเจี่ยถูกถามมากที่สุดยามที่เขาแวะเวียนไปถามมื้อข้ามปี ตามบ้านหลังต่างๆ ในวันที่สามสิบวันสิ้นปี ถึงขั้นที่ว่าทางฝั่งของตัว จังหวัดยังมีคนที่เดินทางมายังตรอกฉีหลงของเมืองเล็กในช่วงสิ้นปี เพื่อสอบถามเรื่องนี้กับเทพเซียนผู้เฒ่าโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงไม่ให้ พลาดฤกษ์งามยามดีในการต้อนรับวันปีใหม่
แล้วก็เพราะการอธิบายต้นสายปลายเหตุและการน าพาให้ลงมือ จากเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย เป็ นเหตุให้อาเภอไหวหวงและตัวเมืองของ จังหวัดฉู่โจวเริ่มค่อยๆ มีขนบธรรมเนียมอย่างใหม่เพิ่มขึ้นมา เพราะ เพิ่งจะรู ้ว่าที่แท้วันที่สองเดือนสองยังเป็ นวันถือก าเนิดของเทพแห่งผืน ดินด้วย ตามค ากล่าวของเทพเซียนผู้เฒ่า ได้ยินว่าชาวบ้านของที่อื่น มีประเพณีเซ่นไหว้กันมานานแล้ว ส าหรับในใจของชาวบ้านแล้ว แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าและท่านเทพอภิบาลเมืองใน สถานที่ต่างๆ จะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ คอยปกป้ องดูแลพื้นที่แห่ง หนึ่ง แต่นิสัยก็มีดีมีร ้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งส่วนใหญ่แล้วราช สานักของพวกเขายังลึกล้าเทวรูปร่างทองที่ตั้งบูชาไว้ในตาหนักใหญ่ สูงใหญ่มีบารมีน่าเกรงขาม ง่ายที่จะทาให้คนเกิดความกริ่งเกรง ถ้า อย่างนั้นเทพแห่งผืนดินที่มีอีกชื่อว่าฝูเต๋อเจิ้งเสิน (หรือตี่จู๋เอี้ยะ) ซึ่งมี ระดับขุนนางต่าที่สุด ก็คือขุนนางผู้ใกล้ชิดกับชาวบ้านที่ทาให้ ชาวบ้านชอบเห็นชอบได้ยินมากที่สุดแล้ว เพราะศาลเทพแห่งผืนดิน ส่วนใหญ่จะอยู่ในที่ที่มีผู้คนอาศัยเยอะ ถึงขั้นที่ว่ายังมี “ศาลเทพแห่ง ผืนดิน บางแห่งที่เจาะเป็ นรูปปั้นหินไว้ข้างทาง ดังนั้นภายใต้การ น าพาของเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย ทุกครัวเรือนที่เชื่อในเรื่องพวกนี้จึงมี ความเคยชินที่จะ “ฉลองวันเกิดให้กับเทพแห่งผืนดินในวันนี้ จะสั่งทา เสื้อผ้า รถม้าและบ้านกระดาษจากร ้านขายกระดาษเงินกระดาษทอง ยกไปเผาบูชาที่ศาลเทพแห่งผืนดิน ตีกลองตีฆ้อง จุดประทัด ครึกครื้น อย่างมาก
มาถึงร ้านยาสู้ยก็เห็นว่าสือโหรวกับโจวจวิ้นเฉินกาลังกินบะหมี่ หนวดมังกร อีกทั้งยังเป็ นเจ้าใบ้น้อยที่เข้าครัวด้วยตัวเอง สือโหรว เชิญให้นั่ง เฉินผิงอันก็ไม่เกรงใจ กินบะหมี่เพิ่มไปอีกชาม
กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ต่างคนต่างง่วนท างานของตัวเอง หน่วนชู ต้องไปปัดกวาดเรือนหมี่ลี่น้อยจะต้องไปลาดตระเวนภูเขากับจิ่งชิง เฉินผิงอันเห็นแค่เซียนเว่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตู บอกว่า พี่ต้าเฟิงยังไม่ลุกจากเตียง เฉินผิงอันจึงไปเคาะประตูห้องของเขาชาย ฉกรรจ์ที่ยังตาปรืองัวเงียลุกมาเปิดประตู ค้อมเอวดึงรองเท้าหุ้มข้อ ขึ้นมาสวม บ่นกับเจ้าขุนเขาไม่หยุด บอกว่าอุตส่าห์ฝันดีทั้งที คืนนี้จะ ได้ฝันต่อหรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว
เฉินผิงอันพาเจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นไปบนภูเขาด้วยกัน มาถึงยอดเขา เนื่องจากยอดเขาจี๋หลิงสูงกว่ายอดเขาเทียนตู ยืนพิงราวรั้วมองไปยัง ทิศไกลจึงสามารถมองเห็นเมืองเล็กที่มีควันจากการปรุงอาหารผุด ลอยมาจากทางทิศตะวันออกได้
เฉินผิงอันมองไปทางเมืองเล็กกับเจิ้งต้าเฟิง
เพียงแต่ว่าคนหนึ่งมองโรงเรียนเก่าในเมืองเล็ก อีกคนหนึ่งมอง ไปยังเรือนหลังของร ้านยาตระกูลหยาง
เจิ้งต้าเฟิงขยับคอเสื้อ ถอนหายใจเบาๆ
สถานที่แห่งความเสียใจในใต้หล้า ก็คือศาลาที่ต้องส่งคนให้จาก ลา
ทุกวันนี้ในเมืองเล็กเหลือคนที่รู ้จักคุ้นเคยแค่ไม่กี่คนแล้ว แม้แต่ ร ้านเหล้าของหวงเอ้อเหนียงก็ยังย้ายไปอยู่ตัวเมือง เกินครึ่งก็เพื่อการ เรียนของลูกชายนาง วันหน้าจะได้เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ได้มีชื่อติด กระดานทองค า
เจิ้งต้าเฟิงถาม “ได้ยินว่าเจ้าคิดจะเป็ นอาจารย์เปิดโรงเรียนสอน เด็กเล็กหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “หาสถานที่ไว้ได้แล้ว ตอนนี้แม้แต่ที่ พึ่งก็มีแล้วด้วย”
เจิ้งต้าเฟิงถามอย่างประหลาดใจ “ที่พึ่ง? คือเทพเซียนจากที่ใด?”
เฉินผิงอันกล่าว “เทพวารีเกาเนี่ยงในอาณาเขตของอวิ๋นโจวที่อ ยู่ทางใต้ของหงโจวเพิ่งจะย้ายไปจากศาลจีเซียงที่เป็ นตอนบนของ แม่น้าป๋ ายกู่”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของท่าน เทพลาคลองผู้นี้มาก่อน ประหนึ่งฟ้ าผ่าที่ดังข้างหู หยิ่งทระนงใน ศักดิ์ศรีมีศีลธรรมจรรยา สหายตายผินเต้าไม่ตายโดยแท้
แต่เจิ้งต้าเฟิงก็ลูบคลาปลายคาง ได้ยินมาว่าเหนียงเนียงเทพวารี ของแม่น้าป้ ายกู่ที่อยู่ตอนล่างของลาคลองเถี่ยเชวี่ยนมีฉายาบนภูเขา ว่า “สาวงามพุทธรักษา” เขาเลื่อมใสนางมานานมากแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงเอนกายพิงราวรั้ว เอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “บอกตาม ตรง หากว่าข้าเป็ นพวกผู้รอบรู ้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแคว้น ต้องมา
สอนวิชาพื้นฐาน สอนให้เด็กกลุ่มหนึ่งหัดเขียนตัวอักษร ก็คงรู ้สึกอัด อั้นเหมือนกัน แล้วก็เพราะสกุลเฉินลาธารหลงเหว่ยจ่ายเงินสูงมาก พอ นอกจากจะได้รับเงินเดือนก้อนใหญ่ทุกเดือนแล้ว ยังมอบต ารา ฉบับสมบูรณ์ที่สกุลเฉินเก็บสะสมไว้ให้ทุกปีด้วย ไม่อย่างนั้นใครเล่า จะยินดีมาอยู่ที่นี่ เป็ นการเอาคนมีความสามารถมาใช ้ในงานที่ เล็กน้อยจริงๆ ประเด็นส าคัญคือถ่ายทอดวิชาความรู ้ตลอดหลายปี มา นี้ สอนไปสอนมา ก็ยังสอนจนมีนายท่านจิ้นซื่อไม่ได้สักคน”
คาดว่าการที่สกุลเฉินลาธารหลงเหว่ยทุ่มเทตั้งใจขนาดนี้ ปีนั้น นอกจากจะเพราะเห็นดีในราชส านักต้าหลี จ าเป็ นต้องแสดงความ เป็ นมิตรกับสกุลซึ่งต้าหลีแล้ว ก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวส่วนหนึ่ง คิด หวังว่าตัวเองจะโชคดี หวังว่าเมื่อโรงเรียนของบ้านตนมาเปิดที่นี่จะมี บุคคลอย่างพวกเฉินผิงอัน หม่าขู่เสวียนและจ้าวเหยาปรากฏตัว ขึ้นมา ต่อให้มีไม่ถึงสองคนขอแค่มีบุคคลที่ประสบผลสาเร็จใกล้เคียง กันนี้ สกุลเฉินลาธารหลงเหว่ยก็ถือว่าได้กาไรแล้ว
ต้องรู ้ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งในโรงเรียนแห่งใหม่คือผู้นาใน วงการวรรณคดีในหลายแคว้นซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในภาคกลาง ของแจกันสมบัติทวีป อาจารย์ผู้เฒ่าที่ผมขาวแล้วแต่ก็ยังศึกษาเล่า เรียนผู้นี้ใช ้เวลานานถึงเจ็ดปี ในที่สุดก็เรียบเรียงตาราอรรถาธิบาย คัมภีร ์ที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งขึ้นมาได้ ทุกปีจะมีการจัดพิมพ์ใหม่หนึ่ง ครั้ง เดือนหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิคือวันที่ดาวลุ้ยเต๋อปรากฏบนท้องฟ้ า ยามราตรี ส่องแสงสว่างพร่างพราวมากกว่าในอดีต เป็ นเหตุให้ตอน
กลางวันก็สามารถมองเห็นดาวดวงนี้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าลือที่พูดกัน ไปปากต่อปากอะไร แต่เป็ นเรื่องจริงที่กองโหราศาสตร ์ของแต่ละ แคว้นมองเห็นร่วมกัน
ตามค ากล่าวของชาวบ้าน จักรพรรดิเหวินชางเป็ นผู้ควบคุม รากฐานการสอบเคอจวี่ของฝ่ ายบู๊นและฝ่ ายบู๊ในโลกมนุษย์ อ าเภอ และเขตในท้องถิ่นบางแห่งที่รากฐานวิชาความรู ้ไม่มากพอ อย่าว่าแต่ จะสอบติดจิ้นซื่อเลย หากมีบัณฑิตสอบติดเป็ นจวี่เหรินก็จะถูกมองว่า เป็ นดาวเหวินชางกลับชาติมาเกิดแล้ว
และพรุ่งนี้ หรือก็คือวันที่สามของเดือนสอง เล่าลือกันว่าเป็ นวัน ถือก าเนิดของจักรพรรดิเหวินชาง เป็ นเหตุให้ไม่เพียงแต่ล่างภูเขา ของเก้าทวีปในไพศาลเท่านั้น โรงเรียนเก่าในเมืองเล็กของถ้าสวรรค์ หลีจูในอดีต และยังมีโรงเรียนใหม่ที่สกุลเฉินลาธารหลงเหว่ยออกเงิน ออกกาลังคนสร ้างขึ้น ตามประเพณีดั้งเดิมแล้วจะมีการรับเด็ก นักเรียนในวันนี้ เพื่อให้มีความหมายที่ดีงาม หวังว่าเหล่าเมล็ดพันธ ์ บัณฑิตจะช่วงชิงต าแหน่งจ้วงหยวนมาได้
เพียงแต่ทุกวันนี้พวกอาจารย์ในโรงเรียนได้มีกฎระเบียบอย่าง ใหม่ที่พิธีการค่อนข้างยิบย่อยเพิ่มมาอีก พวกอาจารย์ที่สอนหนังสือ จะสวมกวาน สวมชุดสีแดงเข้ม น าพาพวกนักเรียนที่เพิ่งเข้าเรียนเดิน เท้าไปที่ศาลบุ๋นซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองเล็กด้วยกัน ไปกราบไหว้ภาพ แขวนของปรมาจารย์มหาปราชญ์ก่อน จากนั้นก็ถูกคนเฝ้ าศาลพา ไปที่ห้องแห่งหนึ่ง ในห้องเตรียมพู่กันและหมึกไว้เรียบร ้อยแล้ว แต่
ไม่ใช่หมึกสีดา แต่เป็ นหมึกสีชาดที่ทางที่ว่าการมอบให้ พวกเด็กๆ จะ ยืนเรียงแถวกัน ให้พวกอาจารย์แต้มจุดสีชาดลงไปบนหว่างคิ้วของ พวกเขา
และพอกลับมาที่โรงเรียน ตัวอักษรแรกที่พวกอาจารย์ใน โรงเรียนสอนให้กับพวกเด็กๆดั่งคาว่าเริ่มเรียนใช ้พู่กันเขียนลงบน แบบฝึกคัดตัวอักษรสีแดง ตัวอักษรแรกที่เขียนหลังจากที่ได้เข้าเรียน ก็คืออักษรค าว่า ‘คน’
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว ทางโรงเรียนได้มีพิธีอย่าง ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเยอะมาก แต่กลับขาดเรื่องเก่าไปเพียงเรื่องเดียว
เด็กเล็กในอดีต หลังจากเขียนอักษรค าว่า “คน” แล้ว อาจารย์ฉี ท่านนั้นก็จะนาพวกเขาออกไปจากโรงเรียน ไปที่ต้นไหวโบราณ ด้วยกัน วางพาดบันได เอาผ้าแดงที่เขียนเต็มไปด้วยคาปรารถนาซึ่ง แตกต่างกันผูกไว้ ต่อให้จะเป็ นเนื้อหาที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญอย่าง เงินทองไหลมาเทมา หรือไม่ก็ห้าธัญพืชครบครันสัตว์เลี้ยงทั้งหก (หมายถึงหมู วัว แพะ แกะ ม้า ไก่ สุนัข) อุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็ น คาพูดที่พวกผู้ใหญ่ของเด็กๆ ทั้งหลายสอนมา อาจารย์ฉีก็จะจรด พู่กันเขียนอย่างไม่เคยเกี่ยงงอน ช่วยเขียนความปรารถนาลงบนผ้า แดงผืนยาวนั้น แล้วใช ้เชือกแดงรัดผูกไว้กับบนกิ่งก้านของต้นไหว โบราณ
ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่าน ผ้าแดงโบกไสว ก็จะมีเสียงเสียดสีแผ่วเบา ความปรารถนาอันงดงามแต่ละข้อที่มาจากเด็กเล็กคล้ายได้รับการ ขานรับ
บางทีปีนั้นอาจจะสาเร็จดังใจปรารถนา หรือบางทีอาจต้องรอปี หน้า
ก่อนหน้าอาจารย์ฉี หลังอาจารย์ฉี ล้วนไม่มีขนบธรรมเนียมนี้
คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ต่อให้ขอบเขตผู้ฝึกตนของเจ้าจะสูงแค่ ไหน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดว่าสี่ ก าเนิดหกภพภูมิ สามภพสิบทิศ หากมีการขอย่อมให้การอภิบาล ไม่ มีคาอธิษฐานใดที่ไม่ตอบสนอง
เจิ้งต้าเฟิงมองไปยังถนนหลักของเมืองเล็ก พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ต้นไหวโบราณต้นนั้นไม่ควรตัดออก ไม่อย่างนั้นในอาณาเขตฉู่โจว นี้ของพวกเราก็จะกลายเป็ นอ่างรวมสมบัติธรรมชาติที่ดารงอยู่ได้ อย่างยาวนาน ต่อให้ปีนั้นหล่นลงพื้นหยั่งราก ลดระดับขั้นจากถ้า สวรรค์เป็ นพื้นที่มงคล ขอแค่ต้นไหวยังอยู่ เขตการปกครองอู่หลิง ของใต้หล้ามืดสลัว ไม่ว่าจะทุกวันนี้หรือในอนาคตก็ล้วนไม่อาจเทียบ กับ “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ให้กาเนิดเหล่าวีรบุรุษอย่างที่นี่ได้ อาจารย์ฉี ไม่ขัดขวาง อาจารย์ท่านผู้อาวุโสเองก็ไม่ขัดขวาง ข้าล่ะประหลาดใจ นัก คิดอะไรกันอยู่นะ ปล่อยให้ชุยฉานทาเรื่องอย่างการวิดน้าให้แห้ง เพื่อจับปลา เผาป่าเพื่อล่าสัตว์ทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “บางทีอาจเป็ นการ “เซ่นไหว้” ยุคบรรพกาลที่ ถอยมาเลือกในระดับรองอย่างหนึ่งกระมัง”
เจิ้งต้าเฟิ งเอ่ย “ดังนั้นข้าถึงจะแนะนาเจ้าว่าอย่าได้เป็ นราชครู อะไรเลย เดินลงเรือเข้าไปในสถานการณ์นั้นง่าย แต่ถอนตัวออกมา กลับยากแล้ว”