กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 995.4 นกบินสู่ฝ่ามือกลายเป็ นอดีต
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็แนะนาเจ้าว่าอยู่ที่ภูเขาลั่ว พั่วนี่แหละ ไปถึงภูเขาเซียนตู ชุยตงซานต้องใช ้งานเจ้าแน่นอน อย่าได้เห็นว่าก่อนหน้านี้เขาพูดเสียสวยหรู ขอแค่เจ้าไปถึงที่นั่น เขา ก็มีวิธีให้เจ้าช่วยโน่นช่วยนี่”
เจิ้งต้าเฟิ งหัวเราะเสียงเย็น “สามีภรรยาแบ่งแยกบุญคุณกัน ชัดเจน โดยเฉพาะพี่น้องแท้ๆ ที่ต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน บอกแล้ว ว่าจะแค่ไปเฝ้ าประตูอยู่ที่นั่นเท่านั้น ชุยตงซานก็อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ออกแรงให้เลย”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้มีคาพูดไม่น้อยที่ถูกจูเหลี่ยนและเฉินหลิงจวินยืม ไปใช ้ ยกตัวอย่างเช่น ใครหลอกเอาใจของข้า ข้าก็จะหลอกเอากาย ของคนผู้นั้น ใครหลอกเอาเงินของข้า ข้าก็จะฟันหัวคนผู้นั้น
มิน่าเล่าเว่ยป้ อถึงได้เลื่อมใสเจิ้งต้าเฟิงยิ่งนัก นอกจากรูปโฉมที่ ไม่ค่อยเข้าทีเท่าไร ที่เหลือก็ไม่มีข้อบกพร่องอะไรแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “พูดจริงนะ เจ้าไม่จาเป็ นต้องไปที่ใบถงทวีป”
“พอเถอะ ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว หากว่าเจ้าเป็ นเจ้าเกาะหลิว ของภูเขาหลังอ๋าวแล้วรั้งข้าไว้อย่างนี้ ข้าก็คงจะอยากอยู่ต่อหรอก แต่ เจ้าเป็ นบุรุษคนหนึ่ง ไม่ราคาญบ้างหรือไร ต่อให้เจ้าไม่ร าคาญ ข้าก็ ขนลุกนะ”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยสัพยอกไปแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าพูด ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากว่านักพรตเซียนเว่ยไม่ใช่คนเฝ้ าประตู ต่อ ให้เขากลายเป็ นผู้ฝึ กตนท าเนียบของภูเขาลั่วพั่ว แรงไฟก็ยังไม่ ถูกต้องอยู่ดี”
เฉินผิงอันสามารถอดทนไม่รับเซียนเว่ยเข้ามาอยู่ในบ้าน วาง เซียนเว่ยไว้ที่ “ตีนเขา” อยู่ตลอด ไม่ใช่บนภูเขา ก็เท่ากับว่าปฏิบัติ ต่อกันอย่างคนที่เป็ นสหายบนเส้นทางการฝึกตนกันเท่านั้น
บทนาที่เขียนด้วยลายมือก่อนหน้านี้ เริ่มต้นด้วยสี่คาว่า “นักพรตเซียนเว่ย” ในสายตาของเจิ้งต้าเฟิงแล้ว อันที่จริงน่าอกสั่น ขวัญผวายิ่งกว่าเนื้อหาหลังจากนั้นเสียอีก
เจิ้งต้าเฟิงที่เป็ นคนไม่กลัวฟ้ าไม่เกรงดินขนาดนี้ เอ่ยประโยคที่ ไม่น่าฟังสักหน่อย ตอนนั้นที่เขาเห็นตัวอักษรเริ่มต้นบทความสี่คานี้ก็ รู ้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะทันที แล้วก็เพราะว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ หาไม่แล้วจิตแห่งมรรคาต้องไม่มั่นคงเป็ นแน่
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกกับซุยตงชานไว้ก่อนว่า ให้เจ้าแค่ไปเป็ นแขกที่นั่น”
เจิ้งต้าเฟิงหันขวับกลับมาจ้องมองเฉินผิงอัน ถามเสียงทุ้มหนัก “เฉินผิงอัน เจ้าเป็ นอะไรของเจ้า?”
เฉินผิงอันยิ้มเงื่อน “ยากจะอธิบายได้หมดในคาเดียว”
เพราะเมื่อครู่นี้เจิ้งต้าเฟิงสังเกตเห็นอาการประหลาดที่เล็กน้อย อย่างหนึ่ง ตอนที่เฉินผิงอันมองไปยังโรงเรียนเก่าในเมืองเล็ก เขา คอยขมวดคิ้วอยู่ตลอด อารมณ์ซับซ ้อน แต่ขาดอารมณ์เพียงอย่าง เดียวที่เฉินผิงอันไม่ควรขาดมากที่สุด นั่นก็คือความเสียใจ เจิ้งต้าเฟิง ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ถึงขั้นที่ว่าในบางเรื่องเขายังสามารถเข้า ใจความจริงได้ดียิ่งกว่าผู้ฝึ กตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานด้วยซ้า ดังนั้นจึงได้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในเสี้ยววินาที
เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมนุษย์ สามารถถูกผู้ฝึกตนในยุค หลังแบ่งเฉือนออกไปได้คล้ายกับ “ระบบจิ่งเถียน” (คือระบบการแบ่ง ที่ดินหนึ่งแปลงเป็ นเก้าแปลงย่อยตามระบบ สังคมทาสในสมัยจีน โบราณ) ที่คนยุคโบราณนิยมใช ้กัน อาศัยเส้นทางและช่องทางตัด แบ่งผืนนาในหัวใจของผู้ฝึกลมปราณออกเป็ นแปลงๆ ในความเป็ น จริงแล้วจวนเซียนบนภูเขายุคหลัง บ้านเรือนล่างภูเขา ตลาดในเมือง ภูเขาและน้าในทางภูมิศาสตร ์บนบกและมหาสมุทรสี่ฤดูกาลในหนึ่งปี ซึ่งเป็ นเงื่อนไขทางดินฟ้ าอากาศ จากนั้นแบ่งย่อยออกเป็ นอีกยี่สิบสี่ ช่วงฤดูกาล ความหมายโดยกว้างแล้วไยจะไม่ใช่การกระท า เช่นเดียวกันนี้?
ผู้ฝึกลมปราณทาเช่นนี้เท่ากับว่าเอาอารมณ์ที่เป็ นดั่งหญ้ารกชัฏ มารวมกันแล้วแยกประเภทแบ่งเขตโดยตรง นี่ถึงได้มีคาว่า “หัวใจคือ นายแห่งร ้อยโครงกระดูก” ตามความหมายที่แท้จริง จากนั้นก็มีการ สร ้างเรื่องจริงที่ว่า “จิตวิญญาณของมนุษย์อยู่เหนือหมื่นสรรพสิ่ง
หัวใจเหนือโครงกระดูก” เมื่อมีความเห็นพ้องต้องกันนี้ในโลกมนุษย์ ผู้ฝึกลมปราณดึงอารมณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการฝึกจิตใจออกมาที ละอย่าง เพราะเปลี่ยนพื้นที่รกร ้างให้กลายเป็ นผืนนา ผู้ฝึกลมปราณ ก็จะสามารถตั้งใจหว่านไถอยู่แค่เฉพาะใน “ถ้าสถิต” ที่สาคัญได้ จากนั้นเมื่อต้องแบ่งข้าวเปลือกกับหญ้าในนาข้าวอีกครั้งก็จะง่ายขึ้น เยอะแล้ว สุดท้ายใช ้การกระทานี้มาเป็ นทางลัดในการข้ามผ่านด่าน ทางใจที่สาคัญ ใช ้มันพิสูจน์มรรคาเป็ นอมตะ และในยุคบรรพกาลอัน ห่างไกล เซียนดินในโลกมนุษย์อยากจะรักษาจิตใจดั้งเดิมเอาไว้ให้ได้ ก็สามารถสาวดึงอารมณ์แต่ละชนิดออกมาแล้วค่อยรวบรวมไว้ ด้วยกันอีกที ท าเหมือนกวาดพื้นก่อน จากนั้นค่อยเอาฝุ่ นเอาใบไม้ ร่วงไปเทใส่ไว้ในห้อง ไม่ได้กวาดทิ้งออกไปนอกบ้าน เพราะทุกอย่าง ล้วนสามารถกลายเป็ นหินถ่วงท้องเรือยามที่เดินท่องอยู่ในแม่น้าแห่ง กาลเวลาได้
ปัญหาหลายอย่างเป็ นข้อสงสัยที่เจิ้งต้าเฟิงมีมาตั้งแต่ตอนอายุยัง น้อย ตอนเป็ นหนุ่มก็พยายามใช ้สารพัดวิธีไขว่คว้าหาความจริง ตอน อยู่ในวัยฉกรรจ์ยังคงเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่เมื่อเทียบกับคนใน ท้องถิ่นของเมืองเล็กทุกคนแล้ว ต่อให้รวมพวกผู้ฝึกลมปราณของ ถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่เข้าไป เจิ้งต้าเฟิ งก็คู่ควรกับคากล่าวที่ว่า “ปฏิภาณเฉียบไวเฉลียวฉลาดโดยไม่ได้แสดงออก’ แล้ว พูดถึงแค่ เรื่องของการเล่นหมากล้อม ฝี มือในการเล่นของเจิ้งต้าเฟิ งถึงกับ เหนือกว่าจูเหลี่ยนและเว่ยป้ อด้วยซ้า แม้จะบอกว่านี่เกี่ยวข้องกับการ
ที่จูเหลี่ยนมองการประลองนี้เป็ นแค่เรื่องสนุก ไม่เคยตั้งใจทุ่มเท ความคิดจิตใจอย่างจริงจัง แต่หากเปลี่ยนมาเป็ นฉีไต้จ้าวนักเล่น ระดับแคว้นคนใดก็ตามที่ลองไปเล่นกับพ่อครัวเฒ่าดูสิ?
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “ชอบหาเรื่องลาบากใส่ตัวขนาดนี้ เชียวหรือ สันดอนเปลี่ยนง่ายสันดานเปลี่ยนยากจริงๆ ข้าล่ะยอมเจ้า เลย หากเปลี่ยนเป็ นคนอื่น ข้าคงเอ่ยว่าสุนัขแก้นิสัยชอบกินอาจม ไม่ได้แล้ว สมควรแล้วที่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจอยู่ตลอด ถึงอย่างไร ก็หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ จะโทษคนอื่นไม่ได้”
เฉินผิงอันน่าจะดึงอารมณ์หลายชนิดออกมา ส่วนจะมีชนิด ใดบ้าง และมีความตั้งใจเช่นไร เจิ้งต้าเฟิงก็ไม่ถามให้มากความแล้ว
ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร ์ที่อ่านยาก เมื่อคนคนหนึ่งปิดประตูหัวใจก็ เหมือนปิดแคว้นตัดขาดกับฟ้ าดิน
มิน่าเล่าตอนนี้เฉินผิงอันถึงยังติดขัดอยู่ที่ขอบเขตก่อกาเนิด
เฉินผิงอันใช ้ฝ่ ามือสองข้างถูกันเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เส้นทางการฝึก ตนสายนี้ของข้า วิธีการอาจจะป่ าเถื่อนไปสักหน่อย แต่รสชาติ ระหว่างนี้กลับยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่คนเขลาเบาปัญญาได้แต่เป็ นทุกข์ที่ หาเรื่องยากลาบากใส่ตัวเท่านั้น ส่วนรสหวานที่ซ่านลิ้นนั้นเป็ นเช่นไร ก็ไม่ใช่รสชาติที่จะบอกกับคนอื่นได้”
กาลเวลาเหมือนนกโบยบิน หวนกลับสู่ฝ่ ามือกลายเป็ นเรื่องใน อดีต
เจิ้งต้าเฟิ งหัวเราะอย่างชั่วร ้าย “ได้ยินเว่ยป้ อเล่าว่าเกาจวินไป เยือนกองงานต่างๆ ในจวนซานจวินภูเขาพีอวิ๋นแล้ว จู่ๆ ก็เปลี่ยน ความคิด คิดว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน”
เฉินผิงอันกล่าว “ตากผ้าห่มแล้วจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร นางเป็ นสตรีจะยอมพักอยู่กับเจ้าและเขียนเว่ยหรือ คิดอะไรของเจ้า”
เกาจวินไม่ยอมจากไป ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องจับตาดูฟ้ าดิน กว้างใหญ่นอกพื้นที่มงคลแห่งนี้ให้นานอีกหน่อย
นางก็เหมือนกับเผยเฉียนตอนที่ต้องไปโรงเรียน สามารถถ่วง เวลาได้นานเท่าไรก็นานเท่านั้น
ได้ยินพ่อครัวเฒ่าเล่าว่าครั้งแรกที่เผยเฉียนลงจากภูเขาไป โรงเรียนในเมืองเล็ก อันที่จริงนางเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างนอก มาทั้งวัน จากนั้นก็แกล้งเดินขากะเผลกกลับภูเขาลั่วพั่ว บอกว่าข้า แพลง
หากไม่เป็ นเพราะจูเหลี่ยนใช ้ท่าไม้ตายบอกว่าจะส่งจดหมายไป แจ้งข่าวอาจารย์พ่อของนาง เกรงว่าเผยเขียนก็น่าจะท าอิดออดอยู่ อีกนานกว่าจะยอมไปโรงเรียน
ต่อให้เป็ นเช่นนี้ เผยเฉียนก็ยังไปโรงเรียนด้วยความไม่เต็มใจ ช่วงหลายวันแรก เพื่อป้ องกันไม่ให้เผยเฉียนโดดเรียน จูเหลี่ยนกับ เผยเฉียน หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กต้องประลองปัญญาประชันไหวพริบกัน ไปไม่น้อย
เทือกเขาทอดตัวยาว ดอกท้อแดงหลิวเขียว คนบนภูเขามองตีน เมฆ เด็กน้อยกวาดดอกไม้ร่วงในลานบ้าน
ทางฝั่งของเมืองเล็ก แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น นกนางแอ่น คาบโคลนไปท ารัง บินไปกลับระหว่างผืนนากับบ้าน
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ศิษย์พี่คนนั้นของเจ้า หากเป็ น คนคนเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นจากบันทึกของคฤหาสน์หลบร ้อน ชื่อจริง ของเขาก็คือเยี่ยนกั๋ว”
เจิ้งต้าเฟิ งหัวเราะ “ศิษย์พี่เซี่ยจะมีแซ่แบบนี้ ตั้งชื่อแบบนี้ได้ อย่างไร”
เยี่ยน นกนางแอ่นคือนกขนาดเล็ก แต่ดูจากการเขียนของภาษา โบราณ อักษรค าว่าเยี่ยนมาจากคาว่าเหนี่ยว (นก) และคาว่าอี่ (อันดับที่สองในแผนภูมิฟ้ า อีกความหมายคือเครื่องหมายแทนโน้ต ดนตรีชนเผ่าสมัยโบราณ) มีอีกความหมายว่าเป็ นยักษ์จวี้หลิงที่ตัว ใหญ่เทียมฟ้ าบังดิน
เจิ้งต้าเฟิงหมุนตัวกลับ เอนหลังพิงราวรั้ว มองไปยังตาหนักบน ยอดเขาที่เดิมทีเป็ นศาลของเทพภูเขา เอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าหลินโส่วอี ก าลังปิดด่าน?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก่อนจะปิดด่าน หลินโส่วอีส่งจดหมายลับ ฉบับหนึ่งมา อันที่จริงในจดหมายเอ่ยแค่ประโยคเดียว “เดือนหนึ่ง ของปีหน้าสามารถไปสวัสดีปีใหม่ที่ศูนย์ตัดต้นไม้”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็โล่งใจแล้วล่ะสิ สหายคนนี้ ของเจ้าไม่มีทางตัดขาดความสัมพันธ ์เพราะบุญคุณความแค้นในรุ่น พ่อแล้ว”
ฉินผิงอันหยิบเหล้าสองกาออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ เจิ้งต้าเฟิงหนึ่งกา “บอกว่าโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็ไม่เกิน จริงแม้แต่น้อย”
การที่ไม่ได้ไปสวัสดีปีใหม่ แน่นอนว่าไม่ได้กลัวว่าจะต้องกินน้า แกงประตูปิด เพียงแต่เฉินผิงอันมีความรู ้สึกว่าด้วยนิสัยของหลินโส่ว อี ในจดหมายใช ้ค าว่า “สามารถ” ก็คือการบอกเป็ นนัยว่า ไม่จ าเป็ น
เพราะถึงอย่างไรหลินโส่วอีก็มีจิตใจละเอียดอ่อนมาตั้งแต่เด็ก แต่ กลับไม่ใช่คนที่ชอบความวกวนอ้อมค้อม หากไม่พูดเลย ก็เป็ นว่าถ้า เปิดปากพูดก็มักจะพูดอย่างตรงไปตรงมาเสมอ
ดังนั้นด้วยนิสัยของหลินโส่วอีแล้ว หากอยากจะไปสวัสดีปีใหม่ บิดาของตัวเองจริงๆเกินครึ่งในจดหมายก็น่าจะต้องเขียนคาว่า “ต้อง ไป” ไว้มากกว่า
บวกกับที่นึกถึงคุณสมบัติในการฝึกตนของหลินโส่วอี มีความ เป็ นไปได้มากที่เขาจะออกจากด่านตอนเดือนหนึ่ง ถึงเวลานั้นเฉินผิง อันค่อยเขียนจดหมายกลับไปถามอีกที คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้หลิน โส่วอีก็ยังไม่ออกจากด่านเสียที
เจิ้งต้าเฟิงกลับไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่เขย่ากาเหล้า อยู่ๆ ก็เอ่ย ประโยคหนึ่งที่ทาให้เฉินผิงอันอึ้งงันเป็ นไก่ไม้
“เจ้ารู ้หรือไม่ว่า อันที่จริงหลินโส่วอีเคยเกือบจะได้เป็ นหนึ่งนั้น”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอีก
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะ “รู ้สึกว่าหลี่ไหวน่าจะเหมือนมากกว่าใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ากลับรู ้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าหลี่ไหวไม่ เหมือนที่สุด”
“นี่หมายความว่าเจ้าเข้าใจตาเฒ่าได้เร็วกว่าข้ามากนัก”
เจิ้งต้าเฟิ งพยักหน้า “อาจารย์หรือจะตัดใจยอมให้หลี่ไหวเป็ น หนึ่งอะไรนั่นได้ เขาแค่อยากจะให้เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้ไร ้ทุกข์ไร ้กังวล ไปตลอดชีวิต ขอแค่บางครั้งมีแรงบันดาลใจบ้าง มีชีวิตที่สงบสุข มั่นคงไปก็พอ”
“แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองแย่งอะไรมา สุดท้ายแล้วหลินโส่วอีไม่ อาจรักษาหนึ่งนี้ไว้ได้ สาหรับเขาแล้วนี่ต่างหากจึงจะเป็ นชะตาชีวิตที่ ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นคาดว่าทุกวันนี้เขาคงถูกบางคนที่เดินขึ้นฟ้ ากินไป แล้ว หากว่าเจ้าไม่เชื่อ ลองหาโอกาสถามหลินโส่วอีกับตัวเองดู คาตอบที่เขาให้มาต้องเอ่ยด้วยน้าเสียงนิ่งสงบและจิตแห่งมรรคาที่ มั่นคงแน่นอน ข้ากลับรู้สึกว่านับแต่เด็กหลินโส่วอีก็คือ “นักพรต” และ “บัณฑิต” ดังนั้นผลสาเร็จของเขาในอนาคตจะต้องสูงมากแน่ๆ”
“ถึงอย่างไรหากลองย้อนดูผลลัพธ ์ ปี นั้นซุยฉานจะต้องอาศัย เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตมาตรวจสอบจนเจอคนที่เป็ นเค้าลางผู้ นั้น ดังนั้นปีนั้นเขาถึงได้เดินทางมาที่ถ้าสวรรค์หลีจูทันที ตั้งชื่อว่า หลินโส่วอี (โส่วอีหมายถึงรักษาหนึ่ง) นี้ด้วยตัวเอง จากนั้นก็เชิญให้ หนึ่งในขุนนางผู้ช่วยผู้ตรวจการงานเตาเผาอย่างหลินเจิ้งเฉิงมารับ หน้าที่เป็ นหุนเจ่อแน่นอนว่าเรื่องทานองนี้ หลินโส่วอีเกิดมาก็ชิงข้อ ได้เปรียบแล้ว อาศัยพลังภายนอกและพละก าลังของคนย่อมไม่มีทาง ท าได้ส าเร็จ ได้แต่อาศัยการเพิ่มการลดครั้งแล้วครั้งเล่าในถ้าสวรรค์ หลีจูเท่านั้น หลินโส่วอีในชาตินี้เท่ากับว่าอาศัยความสามารถของ ตัวเองในชาติก่อนและการกลับชาติมาเกิดใหม่สะสมรวมกัน ถึงได้มา เกิดในครรภ์ที่ดีเช่นนี้ เป็ นเหตุให้เขากับเจ้าก็คือสองขั้วที่สุดโต่ง มอง แม่น้าแห่งกาลเวลาทั่วทั้งถ้าสวรรค์หลีจู เจ้าเฉินผิงอันและยังมีมนุษย์ ธรรมดาอีกมากมายที่ถือกาเนิดในเมืองเล็ก เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่มี ความมหัศจรรย์สักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องกระเบื้องของเจ้าที่ ผ่านการตรวจสอบมาแล้วว่ามี คุณสมบัติเป็ นเขียนดิน แล้วพอถูกทุบ แตกก็ยิ่งไม่ใช่เจ้าอีกแล้ว ในเรื่องนี้อาจารย์มั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พูดให้ถูกต้องก็คืออาจารย์น่าจะเห็นเจ้าเป็ น “คนคนหนึ่ง” มาตั้งนาน แล้ว”
“แต่ชุยฉานมีความคิดประหลาด จงใจใช ้ชื่อ “หลินโส่วอี” นี้มา สร ้างความวุ่นวายให้กับลิขิตฟ้ า ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น แม้แต่อาจารย์ ท่านผู้อาวุโสก็ยังไม่เข้าใจความตั้งใจของซุยฉาน ก่อนข้าจะไปเยือน
ใต้หล้าห้าสีได้พูดคุยกับอาจารย์ในเรื่องนี้เป็ นการส่วนตัว อาจารย์ก็ ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู ้ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่รู ้เลยว่าชุยฉานมี “หนึ่ง” นั้น มานานแล้ว หลินโส่วอีที่เป็ นเค้าโครงรูปร่าง ในอนาคตจะกลายเป็ น หนึ่งนั้น หรือไม่หวังให้เขาได้รับโชควาสนานี้ไปกันแน่ เฉินผิงอัน เจ้า น่าจะเคยได้ยินคาพูดโบร่าโบราณประโยคหนึ่งกระมัง บอกว่าคนคน หนึ่งหากค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามีชะตาชีวิตที่ดีก็อย่าได้ให้คนอื่น ท านายดวงให้ส่งเดช เพราะยิ่งทานายดวงก็ยิ่งบางลง แต่หากจะบอก ว่าแค่อาศัยเรื่องของการตั้งชื่อ “หลินโส่วอี” มาตัดสินว่าความตั้งใจ เดิมของชุยฉานคือกระตุ้นให้ส าเร็จ หรือจะขัดขวางไม่ให้ส าเร็จกัน แน่ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีค าตอบ มักจะรู ้สึกว่าไม่ว่าจะเดาอย่างไร ผลลัพธ ์ก็ล้วนเป็ นในทางตรงกันข้าม แต่หากเดาก่อนแล้วค่อยคิดว่า คาตอบคือตรงกันข้ามก็รู ้สึกว่าผิดอีกนั่นแหละ บางทีนี่ก็น่าจะเป็ นจุด ที่ร ้ายกาจอย่างแท้จริงของชุยฉานแล้ว”
“ในอดีตทุกคนของถ้าสวรรค์หลีจูล้วนเป็ นหนึ่ง การไหลรินของ โชคชะตา ไม่เกี่ยวกับว่าดีหรือเลว กับใช่หรือไม่ใช่ผู้ฝึกตนก็ยิ่งไม่มี ความเกี่ยวข้องกัน มันอยู่แค่ที่การยอมรับและการปฏิเสธระหว่างคน กับคน ใครยอมรับใคร คนที่ถูกปฏิเสธก็จะเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน ถูก ใครปฏิเสธ ก็จะลดลงไปหลายส่วน เมื่อเป็ นเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองจาก ภายนอกหรือใช้สายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขามองใจคน ตัวชวยแห่ง ตรอกหนีผิงอย่างเจ้าก็ไม่ควรกลายเป็ นหนึ่งมากที่สุดถึงจะถูกไม่ใช่ หรือ? เฉินผิงอัน ผิดแล้ว ผิดมหันต์เลย เพราะเจ้ายังไม่รู ้ถึง
สภาวการณ์ที่แท้จริงของส่วนลึกในใจคน ความชอบความรังเกียจที่ แท้จริงไม่เคยปรากฏแค่บนใบหน้าเท่านั้น ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้อยู่ ในใจ” ของพวกเรา แต่สรุปแล้วอยู่ตรงไหน ปัญหานี้ลึกล้ามากแล้ว เทียบ กับปัญหาที่ว่าเสียงในใจมาจากไหน ใครเอ่ยเสียงในใจ และความทรง จ าของมนุษย์สรุปแล้วใครเป็ นคนชักน าให้เกิดความคิด จิตวิญญาณ ของสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดมาจากต้นกาเนิดน้าผืนเดียวกันหรือไม่ ก็ถือว่าซับซ ้อนกว่ามากนัก”
เจิ้งต้าเฟิงพูดจนปากคอแห้งผาก เปิดกาเหล้ากระดกเหล้าดื่ม เช็ดปากแล้วก็อดด่าอย่างข าๆ ปนฉุนไม่ได้ “เอาเหล้าหมักข้าวเหนียว ของต่งสุ่ยจึงมาไล่ข้าอย่างนั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเจ้าอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ต้องแย่ง ชิงมา ข้าก็จะต้องแย่งเอาเหล้าหมักร้อยบุปผากลับมาให้เจ้าหลายๆ ไหให้จงได้”
เจิ้งต้าเฟิ งดวงตาเป็ นประกาย จุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ “เหล้าร้อยบุปผาของบรรณการยุคบรรพกาลจากพื้นที่มงคลร ้อยบุป ผาน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “รู ้จักของนี่นา!”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “ไหนบอกว่าไม่ได้หมักมาตั้งนานแล้วไงล่ะ? ดู เหมือนว่าความยากจะไม่ธรรมดาเลยนะ”
เฉินผิงอันที่ยึดหลักความจริงใจเป็ นหนึ่งพูดอย่างหนักแน่นว่า “หาไม่แล้วจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของข้าได้อย่างไร?!”