กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 996.1 เวลามีจ ากัด จงเสพสุขกับช่วงเวลาอันงดงาม
ค าโบราณกล่าวไว้ว่าการอยู่ว่างคือความผ่อนคลาย มองเป็ น ความสุขอย่างหนึ่งได้
ในเมื่ออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทา การอยู่ว่างคือการเสพสุขอย่างหนึ่ง หลิวเสี้ยนหยางจึงพาแม่นางหน้ากลมที่ใช ้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ไป เที่ยวเยือนทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปด้วยกันมารอบหนึ่ง อย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ พวกเขาผ่านเส้นทางชายฝั่งทะเลที่ ยาวไกล ทุกวันหลิวเสี้ยนหยางจะต้องออกทะเล พกหม้อชามกะละมัง ไห เอาอาหารสดในทะเลมาตุ๋นรวมกัน กินจนหลิวเสี้ยนหยางลืมไป แล้วว่ารสชาติของอาหารในแม่น้าลาคลองเป็ นอย่างไร ทุกครั้งที่หลิว เสี้ยนหยางหยุดพักงีบหลับ แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ ายก็จะนั่ง เงียบๆ อยู่ด้านข้างเขา
รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางกลับมาที่สานักแล้วพบว่าช่างหร่วนยัง ปิดประตูหลอมกระบี่ศิษย์น้องเซี่ยหลิงก็ปิดด่านอย่างจริงจัง ได้ยินว่า สามารถหลอมสมบัติหนักที่มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ชิ้นนั้นได้อย่าง สมบูรณ์แล้ว
ของชิ้นนี้ก็คือสมบัติที่เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิงมอบให้เซี่ยหลิง ในปีนั้น คือเจดีย์แก้วใสเจ็ดสีหลังหนึ่ง ยาวครึ่งฉื่อ มีเก้าชั้น สี่ด้าน ของทุกชั้นแขวนกรอบป้ ายเอาไว้ จานวนรวมจึงมีถึงสามสิบหกป้ าย
หลิวเสี้ยนหยางอิจฉามาก อดไม่ไหวทอดถอนใจว่า “มีบรรพ บุรุษที่ดีก็ช่างดีจริงๆ”
เซอเยว่ไม่รับคา นางเอาแต่คิดถึงเป็ ดที่อยู่ริมลาคลองหลงซวี ไม่ รู ้ว่าพวกมันจะโตจนอยู่รวมกันเป็ นฝูงแล้วหรือยัง
หลิวเสี้ยนหยางยังพูดอย่างคับแค้นตัวเองไม่หาย บอกว่า ความสามารถในการมาเกิดใหม่สู้ศิษย์น้องเซี่ยไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้อย่าว่าแต่เป็ นขอบเขตเซียนเหรินเลย คว้า ขอบเขตบินทะยานมาก็ยังไม่ใช่ปัญหา
ต่งกู่ที่อยู่ข้างกันเคยชินกับนิสัยนี้ของเขามานานแล้ว ถึงอย่างไร ก็เป็ นค าพูดของคนกันเองที่ปิดประตูคุยกัน ขายหน้าก็ไม่ขายหน้าไป ถึงคนนอก
แล้วนับประสาอะไรกับที่แม้หลิวเสี้ยนหยางจะพูดด้วยน้าเสียง เปรี้ยวฝาด แต่ก็ถือว่าเป็ นเรื่องจริง บนเส้นทางการฝึ กตน ศิษย์ น้องเซี่ยมีวาสนาที่ดีเยี่ยมจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่หลิวเสี้ยนหยางพูด นี่ ต้องยกคุณความชอบให้บนทาเนียบของตระกูลเซี่ยตรอกเถาเย่ที่เคย มีบุคคลยิ่งใหญ่ปรากฏตัวมาก่อน ซึ่งก็คือเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุ รุทวีป คราวก่อนเซี่ยสือกลับบ้านเกิด เจ้าเด็กเซี่ยหลิงผู้นี้ก็เท่ากับว่า มีบรรพจารย์ที่มีชีวิตเดินออกมาจากทาเนียบวงศ์สกุลเพิ่มมาคนหนึ่ง ตามคากล่าวของลู่เฉินในเวลานั้น เจดีย์เล็กหลังนี้สามารถสยบ ก าราบภูตผีปีศาจ จิตหยินวิญญาณร ้ายที่มีระดับต่ากว่าห้าขอบเขต บนทั้งหมดบนโลกได้ ตอนนั้นลู่เฉินบอกว่าของชิ้นนี้ “พอจะ
กล้อมแกล้มถือว่าเป็ น” อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นเซี่ยหลิงเชื่อ หมดใจไม่กังขา บรรพจารย์เซี่ยสือท าท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ ยังไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์รอกระทั่งเด็กหนุ่มที่ปีนั้นถูกลู่เฉินตั้ง ฉายาให้ว่า “เจ้าคิ้วยาว” ค่อยๆ อายุมากขึ้น ขอบเขตในการฝึกตน สูงขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยหลิงก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าเจดีย์จิ๋วที่ ไม่อาจหลอมเป็ นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้เสียทีชิ้นนี้ เดิมทีก็คือสมบัติ ล้าค่าที่เป็ นอาวุธเซียนอย่างสมชื่อชิ้นหนึ่ง
ก า ร ที่เ ซี่ย ห ลิง ส า ม า ร ถ ค ว บ ฝึ ก วิช า ยัน ต์แ ล ะ ค่ า ย ก ล นอกเหนือจากการเป็ นผู้ฝึกกระบี่ได้ นี่ก็เพราะเขาตั้งใจศึกษาเจดีย์ จิ๋วหลังนี้
เคยมีคนปรายตามองครั้งหนึ่งแล้ววิจารณ์สมบัติหนักชิ้นนี้ด้วย ถ้อยคากระชับสั้นเรียบง่าย แค่ประโยคเดียวเท่านั้น ของชิ้นนี้ก็คือ เส้นสายมรรคาที่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่ง
ความนัยในคาพูดของนางก็คือศิษย์น้องเซี่ยหลิงอาศัยแค่ของ ชิ้นนี้ นอกจากจะค่อยๆเดินขึ้นสู่ที่สูงโดยไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนแล้ว ยิ่ง สามารถใช ้มันมาเปิดสานักก่อตั้งพรรคได้เลย
คุยเล่นกับต่งกู่อีกสองสามประโยค ในที่สุดหลิวเสี้ยนหยางก็ตัด ใจพ่นหญ้าหวานที่อยู่ในปากทิ้งไปได้ ลุกขึ้นยืน บอกให้ศิษย์พี่ต่ งไปบอกกับศิษย์พี่หญิงสวีสักคาว่าผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามให้ไปกิน ข้าวด้วยกันที่ภูเขาบรรพบุรุษ เขาที่เป็ นเจ้าสานักจะให้เกียรติแก่ นักปราชญ์ราชบัณฑิต เข้าครัวด้วยตัวเอง
ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสานักกระบี่หลงเฉวียน ต่งกู่ เป็ นขอบเขตก่อกาเนิด แต่เนื่องจากเขามีชาติกาเนิดมาจากภูตเผ่า ปีศาจ อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นการที่หลิวเสี้ยนหยางได้เป็ น เจ้าสานักรุ่นที่สอง ส่วนลึกในใจของเขาที่เป็ นศิษย์พี่ใหญ่กลับรู ้สึก โล่งใจ
ตอนนี้สวีเสี่ยวเฉียวยังเป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง เพียงแต่ ติดขัดที่คุณสมบัติในการฝึกตน หากไม่ผิดไปจากที่คาด ชั่วชีวิตนี้ นางน่าจะหยุดอยู่แค่ที่ขอบเขตก่อกาเนิดแล้ว
สวีเสี่ยวเฉียวเชื่อในคาวิจารณ์ที่คล้ายกับเป็ นข้อสรุปแบบตอก ปิดฝาโลงนี้อย่างไม่คลางแคลง แต่กลับไม่ถือว่าผิดหวังสักเท่าไร
ถึงอย่างไรในบรรดาคนร่วมสานักก็มีศิษย์น้องที่เป็ นผู้มี พรสวรรค์ซึ่งผลสาเร็จบนมหามรรคาจะต้องสูงมากอย่างหลิวเสี้ยนห ยางและเซี่ยหลิงสองคนแล้ว บวกกับที่หร่วนฉงผู้เป็ นอาจารย์ไม่เคย เรียกร ้องอะไรในด้านขอบเขตของลูกศิษย์ ชีวิตการฝึกตนในส านัก กระบี่หลงเฉวียนของสวีเสี่ยวเฉียวจึงทั้งผ่อนคลายทั้งเพียงพอแล้ว
เพียงแต่ว่าเจ้าหลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ วันๆ คิดแต่อยากจะให้ต่งกู่ กับสวีเสี่ยวเฉียวที่พบหน้าเรียกเขาว่าเจ้าสานัก แต่ต่งกู่กับสวีเสี่ยว เฉียวรู ้ใจกันดียิ่ง ต่อให้เจ้าจะบอกอย่างโจ่งแจ้งบอกเป็ นนัยแค่ไหนก็ ฝันไปเถอะ
ชายหญิงสองคนที่ตอนนี้ยังไม่ใช่คู่บาเพ็ญเพียรกัน ระหว่างที่จับ มือกันบินทะยานไปเซอเยว่ที่รู ้สึกตัวช ้าถามขึ้นว่า “เซี่ยหลิงผู้นั้น ก าลังหลอมอะไรอยู่นะ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เจดีย์จิ๋วที่มีระดับเป็ นอาวุธเซียนชิ้น หนึ่ง”
เขาเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “เป็ นเจ้าคนบางคนที่ถูกข้าคว่า แผงเป็ นผู้มอบให้กับศิษย์น้องเซี่ย”
เซอเยว่หันไปเหลือบมองภูเขาลูกหนึ่ง พยักหน้าเอ่ย “มีค่ามาก เลยล่ะ”
หลิวเสี้ยนหยางเริ่มพูดอย่างอิจฉาอีกครั้ง “ผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ ของนอกกายประเภทนี้จะนับเป็ นอะไรได้….มารดามันเถอะ แน่นอนว่า ต้องนับได้สิ! ขอแค่ศิษย์น้องเซี่ยยินดีตัดใจมอบของรักให้ผู้อื่น ข้าจะ โขกหัวให้เขาหลายๆ ทีเลย”
เซอเยว่ถามอย่างสงสัย “เจ้าต้องการอาวุธเชียนขนาดนี้เลย หรือ?”
ในสายตาของนาง หลิวเสี้ยนหยางคือผู้ฝึกกระบี่ประหลาดที่ไม่ ต้องการอาวุธเซียนอะไรที่สุดแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางอึ้งตะลึง “ทาไม? เจ้ามีหรือ?”
เซอเยว่พยักหน้า “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมีขนบธรรมเนียมอย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย ในเมื่อออกจากบ้านมาแล้ว แน่นอนว่าต้อง พกของติดตัวมาด้วย ในกระเป๋ าข้าก็มีอยู่สี่ห้าชิ้น ในเมื่อเจ้าอยากได้ ขนาดนี้ก็เลือกสักสองชิ้นที่ถูกใจเอาไปหลอมไหมล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกว้าง ยื่นมือมาตบข้างแก้มตัวเองเบาๆ “พูด อะไรน่ะ ข้าไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย หน้าตาเหมือนคนที่ชอบกินข้าว นิ่ม (เปรียบเปรยถึงผู้ชายที่ไม่ทาการทางานเกาะผู้หญิง ให้ผู้หญิง เลี้ยง) ขนาดนั้นเลยหรือ?!”
เซอเยว่กลอกตามองบน
ไปถึงภูเขาบรรพบุรุษ หลิวเสี้ยนหยางก็ผูกผ้ากันเปื้อนที่เอวแล้ว เข้าครัวจริงๆ เซอเยว่ก็คอยช่วยอยู่ด้านข้างอย่างคุ้นเคย
หลิวเสี้ยนหยางพลันหันมาเอ่ยว่า “เชี่ยนเยว่อ่า ก่อนหน้านี้อาจ เป็ นเพราะข้าเอ่ยประโยคนั้นได้ไม่ชัดเจนพอ เฉินผิงอันแค่หน้า เหมือนคนชอบกินข้าวนิ่ม ข้าไม่เหมือน แต่ข้าใช่เลย”
เซอเยว่ใช ้ฝ่ ามือผ่าฟืน จากนั้นโยนไปใต้เตาไฟ เอ่ยอย่างไม่สบ อารมณ์ว่า “เลยเวลาก็ไม่นับแล้ว”
พอนางได้ยินชื่อของอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเมื่อไหร่ก็มักจะรู ้สึกอัด อั้นในใจ อารมณ์ไม่ใคร่จะดีอยู่เสมอ
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “อย่าอารมณ์เสียเลยนะ คราวหน้าข้าจะ เอากระสอบครอบหัวแล้วซ้อมเขาให้เจ้าดูเอง”
เซอเยว่กระตุกมุมปาก “เขาไม่กล้าท าอะไรเจ้า แต่เจ้าคิดเจ้าแค้น ขนาดนั้น ข้าจะทาอย่างไร”
หลิวเสี้ยนหยางรู ้สึกว่าต้องหาโอกาสพูดจาอย่างเปิดเผยกับแม่ นางอวี๋ผู้นี้ให้ได้! แต่ตนต้องดื่มเหล้าปลุกความกล้าเสียก่อน
คงเป็ นเพราะคนที่ชอบใครจริงๆ มักจะเป็ นผีขี้ขลาดเสมอกระมัง
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “ก่อนหน้านี้เจ้าไปเดินเที่ยวในตัวจังหวัด มา ได้เจอเด็กหนุ่มคนนั้นไหม?”
เซอเยว่ส่ายหน้า
ที่แท้เมื่อครู่นี้หลิวเสี้ยนหยางรู ้เรื่องหนึ่งมาจากศิษย์พี่ต่ง ที่ตัว จังหวัดของฉู่โจวมีเด็กหนุ่มยากจนที่ครอบครัวตกอับคนหนึ่ง ชื่อว่าห ลี่เซินหยวน พกหินดีงูก้อนหนึ่งที่ระดับขั้นไม่ต่าเดินทางออกมาจากฉู่ โจวเพียงล าพัง เดินเท้ามาตลอดทางผ่านอวี๋โจว หงโจว ฯลฯ เดินเท้า จนขยับเข้าใกล้อาณาเขตขุนเขาเหนือเก่าที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงต้า หลี รอกระทั่งเด็กหนุ่มเดินมาถึงหน้าประตูของสานักกระบี่หลงเฉวียน ก็แทบไม่ต่างจากขอทานแล้ว เขาอยากจะนาหินดีงูก้อนนั้นมามอบ ให้ หมายจะอาศัยสิ่งนี้เป็ นอิฐเคาะประตู ได้กลายเป็ นลูกศิษย์คนหนึ่ง ของสานักกระบี่หลงเฉวียน
อีกทั้งเขายังบอกอย่างชัดเจนว่าอยากกราบสวีเสี่ยวเฉียวที่ทุก วันนี้พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ที่ยอดเขาจูไห่เป็ นอาจารย์เล่าเรียน วิชา ต่อให้มิอาจกลายเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่หญิงท่าน
นี้ได้ เป็ นลูกศิษย์ฝ่ ายนอกชั่วคราวก็ได้เหมือนกัน ยอดเขาจูไห่ไม่ได้ อยู่ในกลุ่มเทือกเขาทิศตะวันตกของถ้าสวรรค์หลีจู เป็ นยอดเขาเดิมที่ มีอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือเก่าต้าหลีอยู่แล้ว ชื่อเดิมคือภูเขา จูซาน เพียงแต่ว่าถูกยกให้เป็ นของสานักกระบี่หลงเฉวียนจึงเปลี่ยน ชื่อใหม่
ได้ยินว่าบรรพบุรุษของเด็กหนุ่มคนนั้นเป็ นคนของเมืองเล็กมา ทุกรุ่น บ้านบรรพบุรุษอยู่ที่ตรอกเอ้อหลาง เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่ใน ตระกูลได้ขายบ้านบรรพบุรุษไป ได้เงินมาก้อนใหญ่ก็เอาไป แลกเปลี่ยนเป็ นโฉนดที่ดินกับทางการซื้อบ้านหลังใหญ่ใหม่เอี่ยมที่ อยู่ติดกันมาหลายหลังบนถนนเส้นหนึ่ง ตอนแรกที่บ้านก็มีวิสัยทัศน์ ยาวไกล ยังซื้อที่นาดีนอกเมืองไว้ไม่น้อย ตามหลักแล้วสภาพ ครอบครัวที่ดีถึงขนาดนี้ ขอแค่ประพฤติตัวเรียบร ้อยไม่ออกนอกลู่ นอกทาง ผ่านการดูแลจัดการดีๆ ของคนรุ่นสองรุ่น ไม่ว่าจะกลายเป็ น ตระกูลปัญญาชนหรือจ่ายเงินซื้อเส้นสายขอให้ได้รวยก่อนแล้วค่อย สูงศักดิ์ ก็ล้วนไม่ยากเลย
เพียงแต่กิจการครอบครัวใหญ่แค่ไหนก็ต้านทานค าว่าพนัน ไม่ได้ อีกทั้งในบ้านยังมีผีพนันถึงสองคน และคิดจะชนะได้เงินมาจาก โต๊ะเดิมพัน นับแต่โบราณมาก็ไม่ได้อาศัยวิธีเล่นพนัน อาศัยแค่ เจ้ามือกับกลโกงเท่านั้น อันที่จริงตระกูลหลายแห่งย้ายจากเมืองเล็ก ไปอยู่ตัวจังหวัด อย่างน้อยก็มีถึงสามส่วนที่เอาทรัพย์สมบัติมากมาย ไปพ่ายแพ้อยู่บนโต๊ะเดิมพัน เด็กหนุ่มของเมืองเล็กในอดีต ทุกวันนี้
ล้วนเชี่ยวชาญการดื่มเหล้าเคล้านารีเล่นพนัน ไม่อย่างนั้นก็เป็ นชาย ฉกรรจ์ที่เคยเป็ นผีขี้เหล้าเป็ นชายโสดซึ่งเปลี่ยนจากชายหนุ่มมาเป็ น ชายแก่ขึ้นคานแทน
หลี่เซินหยวนผู้นี้ไม่ได้บุกเข้ามาในประตูภูเขา ยิ่งไม่พูดจาไร ้ สาระแม้แต่ครึ่งคา แต่ไปสร ้างเพิงพักในป่าที่อยู่ใกล้เคียง ใช ้ชีวิตแทบ ไม่ต่างจากคนป่า
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มปรากฏตัวก็คือจะมานั่งยองอยู่ข้างทางหน้า ประตูภูเขา รอฟังข่าวหวังว่าสานักกระบี่หลงเฉวียนจะอนุญาตให้เขา ขึ้นเขา
พวกคนร่วมสานักทั้งหลายมาเจอกัน ในเมื่อช่างหร่วนยังก้มหน้า ก้มตาตีเหล็กแน่นอนว่าต้องเป็ นหลิวเสี้ยนหยางเจ้าสานักคนใหม่ที่รับ หน้าที่เป็ นเจ้าบ้านแทน ในวัตถุจื่อชื่อของเขาพกเอาของทะเลสดใหม่ กลับมาด้วยไม่น้อย
ต่งกู่กับสวีเสี่ยวเฉียวมาถึงภูเขาบรรพบุรุษตามเวลานัดหมาย เห็นหลิวเสี้ยนหยางนั่งอยู่ตรงตาแหน่งประธานที่เป็ นที่นั่งของอาจารย์ พวกเขาก็ไม่เอ่ยอะไร คิดว่าต่อให้ตอนนี้อาจารย์โผล่มา หลิวเสี้ยนห ยางก็ยังมีหน้านั่งกินข้าวบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับอาจารย์อยู่ดี
ร่วมโต๊ะกินอาหารพื้นบ้านง่ายๆ นี่ก็คือประเพณีสืบทอดของ สานักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว เรื่องใหญ่เทียมฟ้ าก็พูดคุยบนโต๊ะอาหาร ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
เป็ นดั่งคาโบราณว่าไว้จริงๆ ฟ้ าดินกว้างใหญ่ กินข้าวใหญ่ที่สุด
ต่อให้เป็ นเรื่องที่หลิวเสี้ยนหยางจะมารับตาแหน่งเจ้าสานักต่อ ก็ ยังพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร หร่วนฉงพูด หลิวเสี้ยนหยางไม่ปฏิเสธ พวกต่งกู่เซี่ยหลิงเห็นด้วยก็ถือว่าได้ข้อสรุปแล้ว
วันนี้บนโต๊ะอาหารมีเซอเยว่เพิ่มมาคนหนึ่ง อีกทั้งนางเองก็ไม่ถือ ว่าเป็ นคนนอก
หลิวเสี้ยนหยางยกจอกชนกับศิษย์พี่ต่งหนึ่งที ถามว่า “หากว่า เซี่ยหลิงหลอมสมบัติชิ้นนั้นได้สาเร็จ ออกจากด่านมาอีกครั้งจะเป็ น ขอบเขตหยกดิบแล้วหรือไม่?”
ต่งกู่จิบเหล้าหนึ่งอีก คีบอาหารมาหนึ่งคา เอ่ยว่า “ไม่รู ้ เหมือนกัน”
สวีเสี่ยวเฉียวกลับพยักหน้า “ก่อนจะปิดด่าน ศิษย์น้องเซี่ยบอก กับข้าอย่างนี้ ศิษย์น้องเซี่ยเป็ นคนพูดจาเชื่อถือได้มาโดยตลอด ใน เมื่อเขาพูดแบบนี้ แปดเก้าในสิบส่วนก็น่าจะเป็ นจริงแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางหันไปมองต่งกู่ “ศิษย์พี่ต่ง เซี่ยหลิงไม่ได้พูดกับ ท่านหรือ?”
ต่งกู่ส่ายหน้า
หลิวเสี้ยนหยางจึงหัวเราะคิกคักพลางหันไปมองสวีเสี่ยวเฉียว สวี เสี่ยวเฉียวเดาได้ว่าเขาจะพูดเหลวไหลอะไรจึงชิงพูดก่อนว่า “เจ้าอย่า หาเรื่องโดนด่าเลย”
“ศิษย์พี่เข้าใจข้า”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ นวดคลึงปลายคาง “เจ้าคิ้วยาวผู้นี้ ของเรา ร้ายกาจ ร้ายกาจ ช่างหร่วนช่างโชคดีจริงๆ ถึงเก็บสมบัติมา ได้ ทุกวันนี้เจ้าคิ้วยาวก็ติดอันดับสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีป แล้ว รอให้เขากลายเป็ นหยกดิบ ไม่ใช่ว่าสามารถนั่งทัดเทียมกับเจ้า ประมุขอย่างข้าได้เลยหรือ? รอให้เจ้าเด็กนี่ออกจากด่าน ข้าต้องโน้ม น้าวช่างหร่วนให้ดีแล้ว ในเมื่อเขาไม่ได้เป็ นเจ้าสานักแล้วก็อย่า วางมาดอาจารย์อะไรอีกเลย คราวหน้ากินข้าวด้วยกัน ก่อนจะขยับ ตะเกียบ ช่างหร่วนต้องดื่มสุราคารวะเซี่ยหลิงก่อนหลายๆ จอก”
ต่งกูไม่คิดจะคุยด้วย สวีเสี่ยวเฉียวก็คิดแค่ว่าหลิวเสี้ยนหยางผาย ลม
แจกันสมบัติทวีปที่กว้างใหญ่ คนที่กล้าหยอกล้อหร่วนฉงเช่นนี้มี ไม่มากเลยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจมีแค่หลิวเสี้ยนหยางคนเดียวก็เป็ นได้
หนึ่งเพราะตอนที่อยู่ศาลลมหิมะ “บ้านเดิมของ” สานักกระบี่หลง เฉวียน หร่วนฉงก็มีนิสัยเฉยเมยไม่แก่งแย่งกับคนอื่นอยู่แล้ว ก้มหน้า ก้มตาหลอมกระบี่มานานหลายปี ครองตนซื่อสัตย์เป็ นที่เลื่องลือ หลี่ถวนจิ่งผู้ฝึกกระบี่ของสวนลมฟ้ าที่พยศยากการาบถึงเพียงนั้น ไม่
เคยเห็นสานักโองการเทพผู้นาบนภูเขาของหนึ่งทวีปอยู่ในสายตา แต่ยามที่พูดถึงหร่วนฉงช่างหลอมกระบี่กลับมีถ้อยค าดีๆ หลายค า เพราะอีกฝ่ ายเข้าตาเขา นอกจากนี้หร่วนฉงก็เป็ นอริยะคนสุดท้ายที่ เฝ้ าพิทักษ์ถ้าสวรรค์หลีจู ได้รับการเชื้อเชิญจากต้าหลีให้เป็ นผู้ถวาย งานอันดับหนึ่ง บางครั้งเข้าร่วมการประชุมในห้องทรงพระอักษรของ เมืองหลวง ไม่พูดถึงฮ่องเต้แม้แต่ซานจวินของมหาบรรพตใหญ่ซึ่งมี เว่ยป้ อ จิ้นชิงเป็ นหนึ่งในนั้น ต่างก็เคารพหร่วนฉงกันอย่างมาก เทียนจวินลัทธิเต๋าที่ใช ้นามแฝงว่าเฉาหรงผู้นั้น ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดของลู่เฉิน ศิษย์พี่ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งอุตรกุรุทวีป เขาเคย ปรากฏตัวที่เมืองหลวงต้าหลีเล่าลือกันว่าก็ยังพูดคุยกับน้าเต้าตัน อย่างหร่วนฉงสองสามประโยคเหมือนกัน
แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าจะเป็ นลูกศิษย์ของตัวเองที่มี ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปอย่างหลิวเสี้ยนหยางก็ดี หรือจะเป็ นอิ่นก วานหนุ่มที่เป็ น “ดอกไม้บานในกาแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปนอก กาแพง” ก็ช่าง ดูเหมือนว่าตอนที่ทั้งสองฝ่ ายเป็ นเด็กหนุ่มต่างก็เคย ท างานระยะยาวและทางานระยะสั้นในร ้านตีเหล็กริมลาคลองหลงซวี มาก่อน ยิ่งมีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าเฉินอิ่นกวานแห่งภูเขาลั่วพั่วผู้นี้ ตอนที่ยังไม่ร่ารวย เนื่องจากต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นขอแค่ เจอกับหร่วนฉงที่เงียบขรึมพูดน้อยก็มักจะทาท่าเหมือนหนูเจอแมว อย่างไรอย่างนั้น