กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 996.2 เวลามีจํากัด จงเสพสุขกับช่วงเวลาอันงดงาม
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 996.2 เวลามีจํากัด จงเสพสุขกับช่วงเวลาอันงดงาม
นี่จึงเป็ นเหตุให้บนภูเขาทางทิศใต้ของลํานํ้าใหญ่แจกันสมบัติ ทวีปในทุกวันนี้ก็มีข่าวลือที่ได้แต่ซุบซิบกันเป็ นการส่วนตัวไม่กี่ ประโยคว่า การที่สํานักกระบี่หลงเฉวียนย้ายออกมาจากฉู่โจว ก็ เพราะเฉินอิ่นกวานมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ปีนั้นต้องขายหน้าอยู่ที่ร ้าน ตีเหล็ก ทุกวันนี้จึงจะกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ฮ่องเต้ต้าหลีก็ร ้อนใจ จนหัวหูแทบไหม้เพราะเรื่องนี้ มิอาจคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างสอง ฝ่ ายได้ จึงได้แต่ให้สํานักกระบี่หลงเฉวียนยอมถอยหนึ่งก้าว จากนั้น ให้หร่วนฉงออกจากตําแหน่งเจ้าสํานัก ให้สหายรักตอนเป็ นเด็กหนุ่ม ของเฉินอิ่นกวานอย่างหลิวเสี้ยนหยางมารับตําแหน่งแทน ถึงได้ขจัด ความแค้นเคืองที่อัดแน่นเต็มอกมานานหลายปีของเฉินผิงอันไปได้ ไม่ถึงขั้นฉีกหน้าแตกหักกับหร่วนฉงจนพินาศวอดวายกันทั้งสองฝ่าย
ดังนั้นใครบางคนที่เพิ่งโดยสารเรือข้ามฟากเฟิงยวนเมื่อไม่นาน มานี้ได้ลงเรือพร ้อมกับผู้อาวุโสซ่งอวี๋เซาที่นครมังกรเฒ่า ระหว่างที่ เดินทางกลับเหนือไปด้วยกันก็ได้ตั้งใจปลีกตัวออกไปตามหาพรรค จวนเซียนที่แพร่คํากล่าวทํานองนี้ หรือไม่ก็จงใจเอ่ยกระทบกระเทียบ อยู่ในรายงานขุนเขาสายนํ้า ไปที่ศาลบรรพจารย์ของพวกเขา หรือไม่ก็ไปยังสถานที่ฝึกตนของเจ้าขุนเขา เจ้าประมุขทั้งหลาย ดื่ม ชา พูดคุยความในใจ อธิบายเหตุผล ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็เบิก บานใจ บรรยากาศปรองดองกลมเกลียว
หลิวเสี้ยนหยางประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าเด็กดื้อผู้นี้ ไฉนถึงได้ สละใกล้แสวงหาไกลมาขอข้าวจากพวกเรากิน ภูเขาลั่วพั่วของเฉิน ผิงอันไม่ใกล้กว่าหรอกหรือ?”
ต่งกู่เอ่ย “คงจะเป็ นเพราะภูเขาลั่วพั่วป่ าวประกาศต่อภายนอกว่า ปิดภูเขากระมัง”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “เด็กนั่นมีโอกาสขึ้นเขาฝึกตนไหม?”
ความแตกต่างของมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขากับเซียนบนภูเขา ทั้ง สองฝ่ ายมีเส้นแบ่งที่ชัดเจน ไม่ด้อยไปกว่าโลกมืดและโลกสว่าง ผีกับ คนเลยแม้แต่น้อย
สวีเสี่ยวเฉียวกล่าว “พอจะฝึกตนได้ เพียงแต่คุณสมบัติธรรมดา อย่างมาก ต่อให้พาขึ้นเขา จะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลางได้หรือไม่ก็ ต้องดูที่วาสนาหลังจากนี้แล้ว”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ ต่อให้เด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ในสํานัก กระบี่หลงเฉวียน บนเส้นทางการฝึ กตนในอนาคต หากไม่มีโชค วาสนาใหญ่ บางทีชีวิตนี้อาจไปไม่ถึงขอบเขตถํ้าสถิตด้วยซํ้า
ต่งกู่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก สวีเสี่ยวเฉียวพูดอย่าง นี้นั่นเป็ นเพราะในอดีตนางเคยเรียนวิชาลับที่สามารถแยกแยะฐาน กระดูกได้มาก่อน นี่หมายความว่าเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าหลี่เซินหยวนผู้ นั้นคุณสมบัติไม่ใช่ “ธรรมดา” ธรรมดาเท่านั้น หากไปยังจวนเซียน แห่งอื่น อย่าว่าแต่เป็ นซี่โครงไก่ที่สูงไม่ได้ตํ่าก็ไม่สําเร็จเลย เกรงว่า
อยู่ในสายตาของเซียนซือทั้งหลายที่ตรวจสอบฐานกระดูกเป็ นแล้ว แม้แต่ซี่โครงไก่ก็ยังเป็ นไม่ได้ด้วยซํ้า ต้องถูกปฏิเสธไว้นอกประตู แน่นอน
และวิชาลับบทนี้ของสวีเสี่ยวเฉียว สําหรับพรรคบนภูเขาไม่ว่า แห่งใดก็ตามก็ล้วนถือเป็ นวิธีการที่พวกเขาปรารถนาแม้ในยามหลับ ฝัน เมื่อมองในระยะยาวก็ไม่ด้อยไปกว่าสมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นหนึ่ง เลย
หลิวเสี้ยนหยางถาม “นิสัยใจคอของเขาเป็ นอย่างไร?”
จะเข้ามาอยู่ในสํานักกระบี่หลงเฉวียนได้หรือไม่ ช่างหร่วนมีกฎที่ ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง อันดับแรกต้องดูที่นิสัยใจคอ เสียก่อน แล้วค่อยดูคุณสมบัติว่าดีหรือร้ายหากข้อแรกไม่ผ่าน ต่อให้ คุณสมบัติจะดีแค่ไหน สํานักกระบี่หลงเฉวียนก็ไม่รับ
ต่งกู่เอ่ย “ดื้อ ดึงดัน ทนกับความลําบากได้ดี ความสามารถใน การทําความเข้าใจแย่ไปสักหน่อย หากขึ้นเขาฝึกตนจริงๆ ก็ต้องฝืน กันอย่างมาก”
หลิวเสี้ยนหยางอารมณ์ดีทันใด “นี่ไม่เหมือนใครบางคนตอนเป็ น เด็กหนุ่มหรอกหรือ”
สวีเสี่ยวเฉียวทําท่าจะพูดแต่ไม่พูด อดทนข่มกลั้นเอาไว้ พอมา คิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าช่างเถอะ
ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่กล้าวิจารณ์เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่ว พั่วเช่นนี้
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “ศิษย์พี่สวี ท่านรับไว้เถอะ ให้หลี่เชินหยวน เป็ นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อก่อนก็แล้วกัน”
สวีเสี่ยวเฉียวพยักหน้า
ต่งกู่ถาม “หินดีงูก้อนนั้น พวกเราจะรับไว้หรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้ม “รับสิ ทําไมจะไม่รับล่ะ”
วิชาคาถาไม่ถ่ายทอดให้กันง่ายๆ อยู่บนภูเขา นี่ก็ไม่เคยเป็ น คําพูดล่องลอยที่บางเบา
เพราะถึงอย่างไรกฎเกณฑ์บนโลกก็ไม่เคยตั้งไว้เพื่อข้อยกเว้น ส่วนน้อยอยู่แล้ว
“คนในครอบครัวใช้ชีวิตแบบประหยัดรัดเข็มขัด ส่งลูกให้ไป เรียนหนังสือที่โรงเรียนเมื่อเทียบกับเด็กที่คนในบ้านแคะเงินเล็กๆ น้อยๆ ออกมาจากซอกเล็บก็สามารถส่งเข้าเรียนได้แล้ว คาดว่าฝ่ าย แรกน่าจะตั้งใจเรียนมากกว่า”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะ “พวกเราจ่ายเงินทองซื้อลูกศิษย์ฝ่ายนอก มาคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่คนนอกเอามาส่งให้ที่ยอด เขาจูไห่เปล่าๆ แล้ว นานวันเข้า พวกท่านคิดว่าใครจะมีนํ้าหนักในใจ
ของเด็กหนุ่มมากกว่ากัน? เอาเป็ นว่าข้ารู ้สึกว่าเป็ นอย่างแรกก็แล้ว กัน”
“ส่วนหินดีงูก้อนนั้นเก็บไว้ในคลังสมบัติก็แล้วกัน ในอนาคต หากหลี่หยวนเซินสามารถเลื่อนเป็ นขอบเขตถํ้าสถิตได้ ค่อยมอบให้ เขาในนามของขวัญแสดงความยินดี ถือเสียว่าวกวนไปมา สุดท้าย ของก็กลับคืนสู่เจ้าของ”
ต่งกู่พยักหน้า “ทําแบบนี้มีคุณธรรมมากแล้ว”
สวีเสี่ยวเฉียวก็เอ่ยคล้อยตามอย่างเห็นด้วย “ในที่สุดก็พอจะมี มาดของเจ้าสํานักบ้างแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางตบโต๊ะ “ตัดคําว่า “ในที่สุด” แล้วก็คําว่า “พอจะ” รวมไปถึงคําว่า “แล้ว” ทิ้งไปให้หมด!”
สวี่เสี่ยวเฉียวหัวเราะร่า ศิษย์พี่หญิงท่านนี้เอ่ยสี่คําว่า “มาดของ เจ้าสํานัก” ด้วยนํ้าเสียงกังขา
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าสํานักอย่างข้าช่างลําบากยิ่ง นัก! หากได้เจอกับช่างหร่วนอีกครั้ง และรอให้เซี่ยหลิงออกจากด่าน ข้าผู้อาวุโสจะออกจากตําแหน่งนี้แล้วให้เจ้าคิ้วยาวมาเป็ นสักสองสาม วันค่อยลาออก มอบเก้าอี้อันดับหนึ่งนี้ให้ศิษย์พี่ต่งหรือไม่ก็สวีเสี่ยว เฉียวมาลองนั่งดู แพร่ออกไปก็จะกลายเป็ นเรื่องเล่างดงามขับขาน พันปี สํานักแห่งหนึ่งไม่ถึงสามสิบปี ก็เปลี่ยนเจ้าสํานักไปสี่รุ่นแล้ว
ใครเล่าเราจะมาเทียบเคียงกับสํานักกระบี่หลงเฉวียนของพวกเราใน เรื่องนี้ได้?”
ด้านนอกมีชายฉกรรจ์ใบหน้าไร ้อารมณ์คนหนึ่งเดินมา
ต่งกู่กับสวีเสี่ยวเฉียวรีบลุกขึ้นยืนทันใด เอ่ยเรียกว่าอาจารย์
หลิวเสี้ยนหยางคลี่ยิ้มกว้างสดใส รีบบอกให้เซอเยว่เอาชามและ ตะเกียบมาเพิ่มตนเองลุกขึ้นยืนขยับที่นั่งให้อาจารย์ รู ้สึกว่ายังแสดง ความเคารพอาจารย์ได้ไม่มากพอจึงเดินก้าวยาวๆ ออกไปนอกประตู ถูมือเอ่ย “อาจารย์ ทําไมถึงไม่ตีเหล็กแล้วล่ะ ไม่บอกกับศิษย์สักคํา ท่านดูสิ รสชาติอาหารบนโต๊ะนี่ค่อนข้างเผ็ด ล้วนทําตามความชอบ ของศิษย์พี่ต่งกับศิษย์พี่สวี อีกทั้งยังเป็ นอาหารทะเลทั้งหมด อาจารย์ กินได้ไหม? หากกินไม่ได้ ข้าจะเข้าครัวไปทํากับแกล้มที่ถนัดมาให้ ท่านอีกสองจาน…”
หร่วนฉงไม่เอ่ยอะไรสักคํา นั่งลงบนตําแหน่งประธาน เซอเยว่ หยิบถ้วยและตะเกียบมาวางข้างมือของเขาเบาๆ หร่วนฉงพยักหน้า รับ ในที่สุดสีหน้าก็พอจะดีขึ้นได้บ้าง
สวีเสี่ยวเฉียวไปเอาเหล้าหนึ่งไหและถ้วยขาวมาหลายใบ รินเหล้า ให้ทุกคนคนละชามอาจารย์ไม่ชอบเหล้าหมักตระกูลเซียน ชอบดื่ม แค่เหล้าต้มของในตลาดเท่านั้น
หร่วนฉงยกชามเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคํา หยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะโต๊ะ เบาๆ หนึ่งที่ตามความเคยชิน ก่อนจะเริ่มคีบอาหาร
ต่งกู่กับสวีเสี่ยวเฉียวถึงได้กล้ายกชามเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอีก ก่อน จะหยิบตะเกียบขึ้นมา
หันมามองหลิวเสี้ยนหยาง เขาเริ่มคีบอาหารให้อาจารย์แล้ว เพียงไม่นานบนถ้วยข้าวของหร่วนฉงก็มีอาหารกองเต็มชาม
หร่วนฉงกล่าว “ทางราชสํานักต้องการให้ข้าไปเมืองหลวงรอบ หนึ่ง จากนั้นติดตามฮ่องเต้ไปเยือนเขตอวี้จางหงโจว ถือเป็ นการออก ตรวจราชการอย่างลับๆ”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “ในเมื่อฮ่องเต้ต้องการออกตรวจราชการ อย่างลับๆ ไม่ใช่การเสด็จประพาสที่ต้องยกขบวนกันไป จะต้องเปลือง แรงเช่นนี้ทําไม อาจารย์ไม่อยากไปเมืองหลวงก็ไม่ต้องไปหรอก แต่ หากอยากออกไปผ่อนคลายอารมณ์ก็ตรงไปที่เขตอวี้จางเลยหาก รู ้สึกว่าทําแบบนี้ค่อนข้างจะไม่ไว้หน้าฮ่องเต้กับราชสํานักก็ให้ข้าไป แทนก็ได้”
หร่วนฉงส่ายหน้า “ในจดหมายพูดไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการ ให้ข้าไป”
หลิวเสี้ยนหยางขมวดคิ้ว “เขตอวี้จางมีท่อนไม้ใหญ่เป็ นผลผลิต เรื่องการแอบตัดไม้ไปใช ้ส่วนตัว ราชสํานักสั่งห้ามไปก็ไม่เคยเป็ นผล นี่เพิ่งจะก่อตั้งศูนย์ตัดต้นไม้ใหม่ขึ้นมานอกจากนี้สิ่งเดียวที่พอจะเอา มาออกหน้าออกตาได้ก็คือที่นั่นเป็ นภูมิลําเนาของไทเฮาในทุกวันนี้ ทําไมถึงต้องการให้อาจารย์ไปเยือนด้วยตัวเองล่ะ?”
หร่วนฉงกล่าว “ขุนนางหลักคนแรกของศูนย์ตัดต้นไม้คือหลิน เจิ้งเฉิงที่เพิ่งย้ายไปจากสํานักรายงานข่าวของเมืองหลวง”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “พ่อของหลินโส่วอีน่ะหรือ?”
หร่วนฉงพยักหน้า
หลิวเสี้ยนหยางดื่มเหล้าหนึ่งอีก “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ”
หร่วนฉงกล่าว “ข้าแค่บอกพวกเจ้าว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่ ไม่ได้ ปรึกษากับพวกเจ้า”
หลิวเสี้ยนหยางอับอายจนพานเป็ นความโกรธ “ช่างหร่วน ท่าน ถามใจตัวเองดูเถอะว่าเจ้าสํานักอย่างข้าเป็ นได้น่ าอึดอัดมาก หรือไม่?”
หร่วนฉงไม่สนใจหลิวเสี้ยนหยางแม้แต่น้อย แค่หันหน้าไปถาม เซอเยว่ว่า “แม่นางอวี๋จะผูกสมัครเป็ นคู่บําเพ็ญเพียรกับหลิวเสี้ยนห ยางเมื่อไหร่?”
เวลาอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เซอเยว่ไม่เคยต้องให้ตัวเองอดอยากอยู่ แล้ว เวลานี้ข้าวจึงเต็มปาก สองแก้มพองโป่ง พลันเงยหน้าขึ้น สีหน้า เหลอหรา
หร่วนฉงดื่มเหล้าหมดชามแล้ววางลงเบาๆ เอ่ยว่า “เวลาปกติ หลิวเสี้ยนหยางพูดจาไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็เป็ นคนซื่อสัตย์ ทั้งยังเป็ น บุรุษที่รู ้จักใช ้ชีวิต เคยออกเดินทางไกลพบเจอโลกกว้างมาก่อน แล้ว
ก็สามารถสํารวมใจได้ดี แต่งงานกันแล้ว เขาก็ยิ่งไม่มีทางทําตัว เหลวไหลในเรื่องชายหญิง คําพูดพวกนี้ ข้าไม่ได้พูดเพราะเป็ น อาจารย์ของเขา แม่นางอวี๋ หากเจ้ารู ้สึกว่าหลิวเสี้ยนหยางมีค่าพอให้ ฝากชีวิตไว้ได้ งานแต่งของพวกเจ้าสองคนก็อย่ามัวถ่วงเวลาอีกเลย”
เซอเยว่พลันหน้าแดงกํ่า
หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร แม้แต่หูและคอก็ แดงไปด้วย
ต่งกู่กับสวีเสี่ยวเฉียวคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า
หร่วนฉงเพิ่มระดับนํ้าเสียงอีกเล็กน้อย แต่กลับยังคงมี ความหมายเหมือนประโยคสุดท้าย “อย่าถ่วงเวลาให้ล่าช ้า”
เขาที่เป็ นอาจารย์ของหลิวเสี้ยนหยางเห็นด้วยกับการแต่งงาน ครั้งนี้ ไม่คิดขัดขวางอย่างแน่นอน
จากนั้นหร่วนฉงก็ไม่ได้รินเหล้าต่อ แค่กินข้าวชามนั้นให้ หมดแล้วลุกขึ้นจากไป
ครั้งนี้ที่ออกมาจากห้องหลอมกระบี่ บุรุษที่ถูกหลิวเสี้ยนหยาง เรียกว่าช่างหร่วนผู้นี้ก็น่าจะตั้งใจมาพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะ
สวีเสี่ยวเฉียวช่วยเซอเยว่เก็บชามและตะเกียบ ต่งกู่กลับบอกว่า จะดื่มกับหลิวเสี้ยนหยางต่ออีกหน่อย
ก้อนเมฆลอยคล้อยเต็มหุบเขา แสงจันทร ์สาดส่องทั่วนภากาศ กลางภูเขาเขียวสายนํ้าไหลยาว กลับเป็ นปลาแหวกว่ายที่หยุดนิ่ง
หลิวเสี้ยนหยางดื่มจนเมากรึ่มๆ แต่ศิษย์พี่ต่งกลับดื่มจนเมามาก แล้วจริงๆ จากตอนแรกที่ยังวางมาดของศิษย์พี่ใหญ่ โน้มน้าวศิษย์ น้องอย่างหลิวเสี้ยนหยางว่าให้อยู่ร่วมกับแม่นางอวี๋ให้ดี อย่าได้ทําผิด ต่อนาง ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่อาจารย์เลย เขาจะเป็ นคนแรกที่ไม่ละ เว้นหลิวเสี้ยนหยาง เป็ นเจ้าสํานักแล้วอย่างไร จะไม่เห็นหัวศิษย์พี่ ใหญ่แล้วหรือ…ดื่มไปจนถึงตอนหลัง ต่งกู่ก็เริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้ว บอกว่าตัวเองผิดต่ออาจารย์ พันไม่ควรหมื่นไม่ควร ไม่ควรเป็ นลูก ศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ที่สุด เดือดร ้อนให้อาจารย์กับสํานัก ถูกคนอื่นนินทาลับหลัง…ถึงท้ายที่สุดต่งกูก็นํ้าตานองใบหน้า นํ้าตา นั้นมากกว่าเหล้าที่ดื่มลงท้องไปเสียอีก หลิวเสี้ยนหยางต้องมานั่งข้าง กายศิษย์พี่ใหญ่ อดทนรับฟังต่งกู่พูดประโยคเดิมพวกนี้ซํ้าไปซํ้ามา จากนั้นขัดขวางศิษย์พี่ที่จะดื่มเหล้าไม่เลิก…
สวีเสี่ยวเฉียวกับเซอเยวไม่ได้กลับไปที่ห้องพักของตัวเอง นั่งเล่น อยู่ในลานบ้านกันอยู่ตลอด ฟังคําพูดเหลวไหลจากคนเมาทั้งสองที่ นั่งอยู่ที่โต๊ะ พวกนางก็หันมามองหน้ากันอย่างอับจนคําพูด
สุดท้ายหลิวเสี้ยนหยางก็ต้องแบกต่งกู่กลับไปที่ยอดเขาเหิงซั่ว ถึงได้ทะยานลมโงนเงนกลับมาที่ยอดเขาโหยวอี๋ของตัวเอง หลิว เสี้ยนหยางนั่งยองอยู่ริมหน้าผาเพียงลําพัง ใช ้การดื่มเหล้ามาถอน อาการเมา
เซอเยว่มาอยู่ข้างกายเขา นั่งลงด้านข้าง ส่วนเรื่องงานแต่งนั้น อันที่จริงเชอเยว่ก็ไม่ได้รู ้สึกลําบากใจอะไร ตอนแรกนางก็แค่ตั้งตัวไม่ ทันอยู่บ้างถึงได้มีท่าทางกระอักกระอ่วน ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบหลิว เสี้ยนหยางเสียหน่อย มีอะไรให้ต้องเล่นตัวกันเล่า
ยอดเขาโหยวอี้แห่งนี้ แม้ว่าจะเป็ นภูเขาของขุนเขาเหนือเก่า แต่ กลับอยู่ติดกับภูเขาบรรพบุรุษที่ย้ายมาจากฉู่โจว เป็ นเหตุให้พอจะ มองเห็นภูเขาเสินซิ่วได้อย่างเลือนราง เสียงหลอมกระบี่ตีเหล็กของห ร่วนฉง ค้อนทุบลงหนึ่งที สะเก็ดไฟสาดกระจายไปทั่วทิศ ทั่วทั้งห้อง สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน มองจากยอดเขาโหยวอี๋ไปยังภูเขา บรรพบุรุษจะเห็นว่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง คล้ายกับว่าภูเขาเสินซิ่วได้ แขวนตะเกียงที่ห้อยไว้กลางสายลมดวงหนึ่งช่วยชี้ทางให้กับนัก เดินทางที่กลับคืนสู่บ้านเกิด
บนยอดเขาเหิงซั่ว เพียงไม่นานต่งกูก็คืนสติ เขานวดคลึงจุดไท่ หยาง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยนอกห้อง ก่อกําเนิดที่มีรูปโฉมเป็ น คนหนุ่มสวมชุดสีดําตลอดทั้งปีผู้นี้ก็รีบลุกจากเตียง ผลักประตูเปิด เอ่ยเรียกคําหนึ่งว่าเสี่ยวเฉียว ยอดเขาเหิงซั่วคือที่ตั้งของคลังลับซึ่ง เก็บสะสมสมบัติของสํานัก หลังจากต่งกู่เลื่อนเป็ นขอบเขตก่อกําเนิด แล้ว เนื่องจากเขามีชาติกําเนิดจากภูต เรื่องการฝึกตนจึงมีสมบัติให้ ใช ้เหลือเฟือ บวกกับที่สวีเสี่ยวเฉียวไม่เชี่ยวชาญแล้วก็ไม่ชอบจัดการ ธุระต่างๆ ต่งกู่จึงพยายามสุดความสามารถแม้ความสามารถจะไม่ มากพอรับหน้าที่เป็ นนักบัญชี อันที่จริงค่าใช ้จ่ายของสํานักกระบี่หลง
เฉวียนมีน้อยมาก แต่รายรับกลับเยอะมาก ต่งกู่แค่ต้องจดบันทึก สมบัติและเงินเทพเซียนทั้งหลายไว้เท่านั้น ไม่ได้ ซับซ ้อนอะไร
สวีเสี่ยวเฉียวพยักหน้ายิ้มรับ โบกกุญแจพวงหนึ่งที่อยู่ในมือ อธิบายว่า “นอนไม่หลับก็เลยแวะมาดูคลังสมบัติที่ยอดเขาของท่าน ให้สบายตาเสียหน่อย”
ต่งกู่นั่งลงบนขั้นบันได ในหัวยังมึนงงอยู่บ้าง สําหรับความเคย ชินนี้ของศิษย์น้องหญิงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสําหรับเขา
คลังสมบัติของสํานักกระบี่หลงเฉวียนมีของลํ้าค่าหายากอยู่เยอะ มาก คู่ควรกับคํากล่าวว่า “ละลานตา” เดินเข้าไปด้านในเหมือนเดิน เข้าสู่ภูเขาสมบัติ สวีเสี่ยวเฉียวจึงมักจะมา “เที่ยวชม” อยู่บ่อยๆ
อย่างการหลอมกระบี่ของหลิวเสี้ยนหยาง การฝ่ าทะลุขอบเขต ตลอดทางของเซี่ยหลิงต่างก็ไม่ได้ใช ้สมบัติในคลัง บวกกับที่ เนื่องจากอาจารย์คือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชสํานัก ทุก ระยะเวลาที่กําหนดราชสํานักต้าหลีจะต้องมอบเงินเดือนก้อนใหญ่มา ให้ และยังมีของวิเศษ อาวุธอาคมอีกหลายชนิดที่สกุลซ่งมอบให้โดย กล่าวว่าเป็ นการให้รางวัล รวมไปถึงทรัพย์สินส่วนที่เป็ นความลับอีก รายหลายการที่ต่งกู่ถูกปิดหูปิดตา ทุกปีจะต้องมีเงินเทพเซียนจํานวน ไม่น้อยห้าหกก้อนเข้ามา ทุกครั้งที่ต่งกู่ถามความเป็ นมา ราชสํานัก และกรมคลังจะบอกแค่ว่าทําตามกฎระเบียบเท่านั้น ไม่ยอมอธิบายไป มากกว่านี้ ต่งคู่หาหนังสือสัญญาที่มีตัวอักษรดําบนกระดาษขาวที่ เกี่ยวข้องจากห้องเก็บเอกสารไม่เจอ เคยถามอาจารย์อยู่หลายครั้ง
อยากรู ้ว่าอาจารย์ตกลงปากเปล่ากับสกุลซ่งต้าหลีหรือไม่ อาจารย์ กลับบอกว่าจําไม่ได้แล้ว เจ้าแค่เก็บไว้ก็พอ ภายหลังต่งกู่ก็ชินเสีย แล้ว รู ้สึกว่าแค่นอนรับเงินไปก็พอ
ดังนั้นสํานักบ้านตนจึงเป็ นดั่งคําว่าเงินมากคนน้อย ไม่มีสถานที่ ให้ใช ้เงินตามแบบฉบับอย่างจริงแท้