กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 997.4 กลิ่นหอมของดอกซิ่งเหนือเมฆพร่างพราว
นอกจากนี้เซียวหลวนเทพวารีแห่งแม่น้าป๋ ายคู่ที่เดิมทีระดับเทพ อยู่แค่ขั้นที่หกในทาเนียบภูเขาสายน้าของราชสานักต้าหลี ก่อนหน้า นี้ไม่นานหลังจากได้ควบรวมลาคลองเถี่ยเชวี่ยนที่เป็ นแม่น้าตอนบน เอาไว้ ระดับขั้นของเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ก็ได้เลื่อนเป็ นขั้นห้า ชั้นโท ส่วนเกาเนี่ยงเทพวารีแห่งลาคลองเถี่ยเชวี่ยนเก่าก็ได้ย้ายศาล ไปอยู่ที่อวิ้นโจวหันไปรับหน้าที่เป็ นเทพวารีลาคลองซี่เหมย ถือเป็ น การโยกย้ายในตาแหน่งที่เท่าเทียมกันความสูงของต าแหน่งเทพไม่ เปลี่ยน ใต้หล้าไม่มีกาแพงที่ลมพัดผ่านไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน วงการขุนนางภูเขาสายน้าที่ข่าวสารว่องไว ทุกคนต่างก็รู ้สึกว่าเรื่องนี้ มีนัยให้ขบคิด ก็เหมือนอย่างขุนนางในเมืองหลวงที่มีมากมายดุจขน วัว ขุนนางเมืองหลวงที่ถูกโยกย้ายให้ไปรับหน้าที่ข้างนอก ฝ่ายที่เป็ น ขุนนางปกครอง ต่อให้ระดับขั้นไม่เปลี่ยน แต่แน่นอนว่าก็ยังถูกใช ้ งานในหน้าที่ที่สาคัญ ลาธารอู๋ซีที่เป็ นหนึ่งในกระแสร่องของลาคลอง ซี่เหมยมีวังมังกรสู่โบราณแห่งหนึ่งซุกซ่อนอยู่ ระดับไม่สูง เพราะถึง อย่างไรก็ถือว่าเป็ นวังมังกรของมังกรบนบกในยุคบรรพกาล แต่อูฐ ตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็ นวังมังกรของแท้แน่นอน แห่งหนึ่ง แคว้นหวงถิงหรือจะมีความสามารถเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องถูก ผู้ฝึกตนของราชส านักต้าหลีที่เป็ นแคว้นเหนือหัวหาพบ ถ้าอย่างนั้น รอกระทั่งวังมังกรถูกเปิดอย่างแท้จริง ลาคลองซี่เหมยที่เดิมทีชื่อเสียง
ไม่โด่งดัง โชคชะตาน้าก็จะเพิ่มขึ้นพรวดพราดตามไปด้วย และ ตาแหน่งเทพลาคลองของเกาเนี่ยงก็จะเป็ นเหมือนเรือที่ลอยขึ้นตาม น้าสูง
อู๋ยวนเข้าประตูมาแล้ว เกาผิงจึงเดินออกมาจากเทวรูป เด็กชาย ชุดสีชาดได้บอกให้คนเฝ้ าศาลรีบไปเตรียมกับแกล้มมาตั้งแต่แรก แล้ว
เดินพลางคุยกันไป นั่งลงในห้องโถง อู๋ยวนก็ยิ้มเอ่ย “ระดับขั้น บนท าเนียบขุนเขาสายน้าของแม่น้าหันสือยังห่างจากเทพวารีแม่น้า เถี่ยฝูอีกสองชั้น หากเขาคิดจะเข้าไปแทนที่ตาแหน่งที่ว่างก็ยากราว กับเดินขึ้นสวรรค์”
เกาผิงพยักหน้า ดังนั้นการแนะนาอย่างสุดกาลังของฮ่องเต้แคว้น หวงถิงจึงไม่ได้มีความหมายมากนัก ราชส านักต้าหลีไม่มีทางตอบ ตกลงอยู่แล้ว
อู๋ยวนยิ้มเอ่ย “เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้าอวี้เย่ท่านนี้คิดอย่างไร กันแน่ ท าไมนางถึงบอกกับข้าอย่างเป็ นนัยว่าขอแค่ช่วยโยกย้ายนาง ไปที่อื่น จะให้โยกย้ายในระดับเท่าเทียมกันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็ นแม่น้าที่ โชคชะตาแร ้นแค้นแห่งใดในอาณาเขตของต้าหลีก็ยังไม่มีปัญหาถึง ขั้นที่ว่านางยินดีให้ตาแหน่งเทพลดลงครึ่งระดับด้วย?”
เกาผิงโยนเมล็ดถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งเข้าปาก เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ เพราะจัดการเรื่องที่จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็กได้ไม่เหมาะสม จึง
กลายเป็ นเรื่องใหญ่ ผูกปมแค้นกับภูเขาลั่วพั่วไปแล้ว นางรู ้สึกว่าอยู่ ที่แม่น้าอวี่เจียงนอนหลับไม่เป็ นสุข แทนที่จะกังวลว่าต้องถูกคิดบัญชี เก่าทุกวันก็ไม่สู้ไปหลบให้ไกลๆ ดีกว่า”
อู๋ยวนเอ่ยสัพยอก “เกาเนี่ยงกลับเก็บได้เนื้อชิ้นงามไป วันหน้า การประเมินภูเขาสายน้าของกรมพิธีการ ลาคลองซี่เหมยของอวิ้น โจว ต่อให้จะไม่อยากได้ค าประเมินว่ายอดเยี่ยมก็ยังยากกระมัง?”
เกาผิงเอ่ย “คาดว่าคงจะได้รับคาสั่งมาจากทางภูเขาลั่วพั่ว ภายนอกเป็ นฝีมือของเว่ยป้ อ เพราะถึงอย่างไรราชส านักก็ยังต้องไว้ หน้าซานจวินแห่งมหาบรรพตอุดรบ้าง สกุลหยวนเสาค้ายันแคว้นและ ตระกูลชั้นสูงสองตระกูลของเมืองหลวงลองไปสืบข่าวดูเล็กน้อย รู ้ว่า เป็ นความหมายของเว่ยป้ อก็ได้แต่ฝืนใจยอมรับเท่านั้น เว่ยป้ อเจ้าคน ผู้นี้จิตใจคับแคบ มาเจอกับซานจวินที่ชอบจัดงานเลี้ยงท่องราตรี เช่นนี้ ใครบ้างจะไม่กลัวว่าคราวหน้าที่มีงานเลี้ยงท่องราตรีจะถูกเว่ ยป้ อจงใจเล่นงาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าที่ตระกูลของพวกเขา ประคับประคองขึ้นมา ทั้งเวลาปกติยังสนิทสนมกันดี จะไม่ต้องทุบ หม้อขายเหล็กเลยหรอกหรือ?”
อู๋ยวนยิ้มกล่าว “ภูเขาพีอวิ๋นคิดจะจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกครั้งก็ คงยากมากกระมัง?”
ซานจวินของหนึ่งแคว้นที่เท่ากับเป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว คิด อยากจะยกระดับตาแหน่งเทพให้สูงขึ้น ต้องกินเงินเหรียญทองแดง แก่นทองไปอีกกี่มากน้อยถึงจะได้?
ต่อให้ราชส านักต้าหลีจะล าเอียงเข้าข้างภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือ แค่ไหน อีกทั้งคลังสมบัติของแคว้นก็มีมากเหลือเฟือก็ยังไม่มีทางท า อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นจิ้นชิงซานจวินขุนเขากลางจะต้องเป็ นคนแรกที่ เต้นผางด่าคน วิ่งตรงไปทะเลาะในห้องทรงพระอักษรแน่นอนส่วน ซานจวินคนอื่นๆ ของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟ่ านจวิ้น เม่าแห่งขุนเขาใต้นางเองก็ไม่มีทางเลอะเลือนในเรื่องนี้เช่นกัน
……
สถานที่ปิดด่านของหลินโส่วอีแทบไม่มีใครเดาได้ ทั้งไม่ใช่เมือง หลวงต้าหลี แล้วก็ไม่ใช่พื้นที่ประกอบพิธีกรรมถ้าสวรรค์แห่งใดใน ขุนเขาเหนือหรือขุนเขากลางของแจกันสมบัติทวีป แต่เป็ นต าหนัก ฉางชุนที่มีกลิ่นอายของสตรีเข้มข้น แต่กลับมีฐานะโดดเด่นในต้าหลี
ตาหนักฉางชุน ชื่อนี้ตั้งได้สมกับความจริงอย่างยิ่ง คล้ายกับว่ามี เซียนจวินนัดหมายวสันต์อันยาวนานปักหลักอยู่ระหว่างภูเขาสายน้า อยู่ว่างย่อมดีกว่ามีภาระหน้าที่ อยู่ในป่ าย่อมดีกว่าอยู่ในท้องพระโรง ภูเขาสายน้าแห่งนี้สุขสบายและน่าสนใจที่สุด
ในพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งที่แม้แต่ลูกศิษย์ของศาลบรรพจารย์ก็ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เยื้องกรายเข้าไป
รอบด้านคือภูเขาโอบล้อมที่เหมือนอ้อมแขนโอบกอดรอบ ทะเลสาบแห่งหนึ่ง ภูเขาสายน้าเคียงคู่ ความงดงามเต็มดวงตา
ทัศนียภาพนิ่งสงบจนน่าประหลาดใจ กลางวันยาวนานเหมือน ตรุษจีนเล็ก
ศาลาริมน้าหลังคาตวัดงอนหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงเขื่อนป้ องกันตลิ่ง ด้านบนหลังคาปูด้วยกระเบื้องแก้วใสสีเขียวมรกต เสาตั้งอยู่ในน้า มี ฝูงนกสีขาวเหมือนดอกหิมะพากันบินโฉบเหนือผิวน้า
ต้นไม้สีเขียวบนฝั่งส่งเสียง เสียงนกดังก้องจากที่สูงลงสู่ที่ต่า พืช น้าในน้ามากมายเกินกว่าจะนับไหว สายลมเย็นฉ่าพัดโชย ยามที่เดิน ผ่านศาลาริมน้าได้ยินเสียงนกจิกม่านใบไผ่คนที่ง่วงเหงาในช่วงว สันตฤดู อาจตื่นอาจไม่ตื่น
ในศาลาวางเตียงนอนไว้หลังหนึ่ง ติดหน้าต่างมีโต๊ะน้าชาวางไว้ หนึ่งตัว ด้านบนวางกระถางธูปไว้ชิ้นเดียว เทียบลายเส้นพู่กันโบราณ ที่ไม่ต่างจากผลงานจริงหลายฉบับ พัดหางกวางที่เอาไว้ใช ้ปัดฝุ่ นไล่ แมลง ตาราภาพนกและดอกไม้หนึ่งปี ก ข้าวของเครื่องใช ้ในห้อง หนังสือมีครบครัน
มีสตรีคนหนึ่งนอนกลางวันอยู่ในศาลาริมน้า นางเพิ่งจะตื่นจึงลุก ขึ้นนั่ง นวดคลึงดวงตา แล้วจึงยึดแขนบิดขี้เกียจอ้าปากหาว นอน กลางวันมาเต็มอิ่มแล้วก็ก้มหน้ามองรองเท้าปักลาย เขย่งปลายเท้า เกี่ยวรองเท้าปักข้างหนึ่งมา คิดแล้วรู ้สึกงุ่นง่านอยู่บ้างจึงเตะรองเท้า อีกข้างทิ้งไป เดินเท้าเปล่าไปบนพื้น เดินออกมาจากศาลา ด้านที่ ศาลาติดกับทะเลสาบมีเก้าอี้คนงาม สาวงามที่ท่วงท่าเกียจคร ้านผู้นี้
จึงยื่นแขนวางพาดไปบนราวระเบียง เอาคางวางไว้บนแขน นางมอง ทะเลสาบที่นิ่งสนิทดุจกระจก ดวงตาเลื่อนลอย
ต่อให้เป็ นทัศนียภาพที่งดงามแค่ไหน เห็นอยู่ทุกวันก็เหมือนกิน เนื้อชิ้นใหญ่ทุกวันทุกมื้อ หนึ่งวันสามมื้อจะไม่กินก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ ต้องรู ้สึกเอียน
ตรงเอวของนางห้อยป้ ายแผ่นหนึ่ง มีอักษรตัวเดียวคือคาว่า “ไฮ้” ยามไฮ้ (สามทุ่มถึงห้าทุ่ม) นับแต่โบราณมาก็ถูกผู้ฝึกตนขนานนาม ว่า “คนนิ่ง”
ในระเบียงของศาลาปูเสื่อไผ่หยกตระกูลเซียนบนภูเขา หน้า หนาวอบอุ่นหน้าร ้อนเย็นสบาย
มีคนห้อยป้ ายอักษรคาว่า “อิ๋น” เวลานี้กาลังนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ใช ้เหรียญทองแดงท านายชะตา ด้านข้างวางต าราท านายดวงจ าพวก “ทองหยกทะเลลึก” “อิ้นโส่วเก๋อหลักและรอง
เด็กหนุ่มเงียบขรึมเรือนกายผอมบางคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ ตรงหัว เข่าวางไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้าได้
และยังมีชายหนุ่มใบหน้าอมทุกข์ที่เอนหลังพิงเสาระเบียง หลับตา ท าสมาธิ
นอกจากนี้บนหลังคาของศาลายังมีสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ สองเท้า ห้อยอยู่กลางอากาศแกว่งขาเบาๆ
คนหนุ่มสะพายกระบี่ชุดดาคนหนึ่งยืนอยู่นอกศาลาเพียงลาพัง สวมกวานไม้ไผ่พกหยก รูปร่างสะโอดสะองดุจต้นไม้หยกรับลม ทั่ว ร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายนิ่งเย็นมีความโบราณ เขาก าลังมองไปยัง ภูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
คนทั้งกลุ่มต่างก็รออยู่ตรงนี้ค่อนข้างนานแล้ว
ความเหมือนเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือตรงเอวต่างก็ห้อย ป้ ายไว้หนึ่งชิ้น สลักตัวอักษรแค่ตัวเดียว ล้วนดึงเอามาจากสิบสอง หน่วยในแผนภูมิดิน
คนหกคนกลุ่มนี้ก็คือสมาชิกสายแผนภูมิดินของต้าหลี หยวนฮว่าจิ้ง จื่อ ก่ายเยี่ยน ไฮ้ โก่วฉุน เซิน สุยหลิน อิ้น ขู่โส่ว ซื่อ โจวไห่จิ้ง โฉ่ว
ก่อนหน้านี้ราชสานักต้าหลือบรมบ่มเพาะผู้ฝึกตนแผนภูมิดินสิบ เอ็ดคนอย่างไม่สนใจราคาที่ต้องจ่าย ในกลุ่มของพวกเขาเองมีการ แบ่งภูเขาเป็ นสองลูก โดยมีองค์ชายซ่งซวี่และหยวนฮว่าจิ้งผู้ฝึกกระบี่ สกุลเสาค้ายันแคว้นเป็ นผู้นา
หยวนฮว่าจิ้งกับซ่งซวี่ต่างก็เป็ นผู้ฝึกกระบี่ คนหนึ่งมาจากตระกูล ชนชั้นสูงอันดับสูงสุดของต้าหลี มีแช่สกุลของเสาค้ายันแคว้น อีกคน หนึ่งคือเชื้อพระวงศ์ อายุของสองฝ่ ายห่างกันถึงสองรุ่นส าหรับคนล่าง ภูเขา ขอบเขตกลับห่างกันแค่ขั้นเดียว
ข้างกายซ่งซวี่มีหันโจ้วจิ่น เก๋อหลิ่ง อวี๋อวี๋ ลู่ฮุย โฮ่วแจว๋
ทางฝั่งของหยวนฮว่าจิ้งก็มีสุยหลินผู้ฝึ กตนสานักหยินหยางที่ เชี่ยวชาญห้าธาตุ ผีสาวก่ายเยี่ยนที่ทั้งวันแต่งตัวงามเฉิดฉัน นางคือ ‘จิตรกรนักวาดขนคิ้ว’ ที่กล่าวถึงในตานานของบนภูเขา โก่วฉุนเด็ก หนุ่มที่เงียบขรึมพูดน้อย และยังมีขู่โส่วที่อายุน้อยๆ ก็ใบหน้าอมทุกข์ เขาคือ “คนขายคันฉ่อง” ที่มีจานวนน้อยหาได้ยากยิ่งกว่าสายตาของ ก่ายเยี่ยน วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สาคัญที่สุดคือคันฉ่องหยุดน้าที่ สามารถสลับภาพลวงตากับของจริงได้
หยวนฮว่าจิ้งที่เป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกาเนิดทั้งที่อายุไม่ถึง ร ้อยปี หากไม่เป็ นเพราะติดขัดที่สถานะจาต้องหลบอยู่หลังม่าน เป็ น เหตุให้ชื่อเสียงของหยวนฮว่าจิ้งไม่โด่งดัง หาไม่แล้วเขาต้องเลื่อนติด อันดับสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีปแน่นอน อีกทั้งลาดับ รายชื่อก็จะต้องสูงมากด้วย
ก่อนหน้านี้ไม่นาน กลุ่มของแผนภูมิดินมีสมาชิกคนใหม่ล่าสุด มาเพิ่มคนหนึ่ง หากไม่พูดถึงพลังพิฆาต พูดถึงแค่ชื่อเสียง ต่อให้คน ทั้งสิบเอ็ดคนรวมกันก็ยังสู้คนผู้นี้ไม่ได้
ก็คือปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่ก่อนหน้านี้ประลองกับอวี๋หงบนเวที การต่อสู้ของเมืองหลวงต้าหลี โจวไห่จิ้งที่เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอด เขา
โจวไห่จิ้งเข้าร่วมสายแผนภูมิดินของต้าหลีแล้ว ในฐานะผู้ฝึ ก ยุทธขอบเขตยอดเขาขอบเขตเก้า การปรากฏตัวของนางสามารถ เสริมสิบสองแผนภูมิดินของราชวงศ์ต้าหลีให้ครบถ้วนได้ส าเร็จ
แม้ว่าจะมาถึงอย่างเชื่องช ้า แต่เรื่องดีก็ไม่กลัวว่าจะมาช ้า แต่เนื่องจากประสบการณ์ของนางยังตื้นเขิน ไม่ได้เข้าร่วม สงครามที่เมืองหลวงสารองดังนั้นจึงไม่สนิทกับฝ่ ายใดทั้งสิ้น อีกทั้ง นางเองก็ไม่ต้องการที่จะสนิทสนมกับพวกเขามากเกินไป แล้วก็เพราะทางฝั่งของหยวนฮว่าจิ้งมีคนอยู่แค่ห้าคน โจวไห่ จิ้งจึงมารวมกลุ่มอยู่กับพวกเขา
พอโจวไห่จิ้งมาถึง ก่ายเยี่ยนก็ถือว่าได้เจอคู่ต่อสู้แล้ว
ผู้ฝึ กยุทธหญิงเพียงหนึ่งเดียวของสายแผนภูมิดิน ทุกครั้งที่ แต่งตัวนั้นเรียกได้ว่าหยกและทองกองเป็ นพะเนิน ประกายแสง ของอัญมณีวูบวาบ ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีเครื่องประดับมากมายเกินกว่า เหตุจนกลายเป็ นตัวถ่วง ดังนั้นเมื่ออวี๋อวี๋เจอกับโจวไห่จิ้ง ความ ประทับใจแรกก็คือพี่สาวท่านนี้คือร ้านค้าที่เดินได้อย่างนั้นหรือ? เดิน อยู่บนถนน ขอแค่มีคนยินดีเปิดราคา หมายตาเครื่องประดับชิ้นไหน โจวไห่จิ้งก็สามารถปลดออกมาทาการค้ากับคนอื่นได้เลย?
นอกจากองค์ชายซ่งซวี่ นักพรตเก๋อหลิ่งที่แรกเริ่มสุดพยายาม ดึงนางมาเป็ นพวกซึ่งพอจะคุยกันได้แล้ว โจวไห่จิ้งก็ไม่มีเรื่องจะคุย กับคนอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับก่ายเยี่ยนที่เรียกได้ว่าเกิดมาก็ ไม่ถูกกัน ขิงก็ราข่าก็แรง พวกนางรู ้สึกว่าหากในแต่ละวันไม่พูดจา กระทบกระเทียบกันสักสองสามประโยค สตรีสองคนนี้จะต้องรู ้สึกครั่น เนื้อครั่นตัวอย่างยิ่ง
โจวไห่จิ้งที่นั่งอยู่บนกระเบื้องแก้วใสสีเขียวมรกตก้มหน้าลงมอง สุยหลินที่โยนเหรียญทองแดงครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าหมอนี่คือผู้ฝึ ก ลมปราณสายห้าธาตุของส านักหยินหยาง พอจะมีความรู ้อยู่บ้าง ไม่ ไปเป็ นหมอดูหาเงินมาเพิ่มเติมก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
โจวไห่จิ้งหัวเราะร่า “สุยหลิน เจ้าไม่เคยได้ยินคาสั่งสอนอย่าง หนึ่งของอริยะหรือ? ประพฤติตนถูกศีลธรรม ไม่จ าเป็ นต้องท านาย ดวงหวังโชคดีให้ตัวเอง ประพฤติผิดศีลธรรมจะท านายอย่างไรก็ได้ แต่ผลร ้าย เป็ นเหตุให้ทุกคนควรใช ้ความประพฤติมาเป็ นตัวตัดสิน ผลดีผลร ้าย มิใช่อาศัยค าท านาย”
สุยหลินแสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการ ท านายชะตา กับคนนอกสาขาวิชาอย่างโจวไห่จิ้งผู้นี้ย่อมไม่มีอะไร ให้พูดคุยกันอยู่แล้ว
โจวไห่จิ้งก็ไม่คิดจะพูดคุยเรื่องความรู ้ด้านการคานวณที่สูงและ ลึกซึ้งกับสุยหลิน เดิมก็แค่คุยเล่นไม่กี่ประโยคเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร นางก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องเป็ นการเป็ นงานเรื่องแรกที่นางได้ทาหลังจาก เข้ามาอยู่ในสายแผนภูมิดินก็คือช่วยคนอื่นปกป้ องด่าน
แต่ทางฝั่งของซ่งซวี่ที่มีคนหกคนเช่นเดียวกัน ตอนนี้กลับมี ภาระหน้าที่สาคัญติดตัวได้รับการชี้นาจากกองโหราศาสตร ์ให้ไป ตามหาสมบัติล้าค่ายุคบรรพกาลชิ้นหนึ่งที่มีประวัติความเป็ นมาและมี ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด
เนื่องจากคนสองกลุ่มแยกกันทางาน โจวไห่จิ้งจึงไม่รู ้รายละเอียด ที่มากกว่านั้นแล้วว่ากันว่าอิงตามการสืบทอดอย่างหนึ่งของสาย แผนภูมิดิน หลังจบเรื่องพวกเขาจึงจะมารวมตัวกันแล้วทบทวนเรื่องที่ ผ่านมาอย่างละเอียด
เพียงแต่ว่าทบทวนกระดานจะมีความหมายกะผายลมอะไร เรื่อง ของการตามหาสมบัติ แน่นอนว่าต้องลงมือท าเองถึงจะมีรสชาติ ต่อ ให้ผลเก็บเกี่ยวทุกอย่างจะตกไปเป็ นของส่วนกลาง จ าเป็ นต้องส่ง มอบให้กับคลังลับบางแห่งของราชสานัก แต่พูดถึงแค่ขั้นตอนก็ น่าสนใจอย่างมากแล้ว หากรู ้แต่แรกว่าจะเป็ นเช่นนี้ นางก็คงทาหน้า หนาเข้าร่วมกับภูเขาของซ่งซวี่แล้ว
โจวไห่จิ้งเบื่อหน่ายมากจริงๆ อุดอู้ไม่รู ้จะทาอะไรจึงอดไม่ไหวบ่น ว่า “ก็แค่การปิดด่านของผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกาเนิดคนหนึ่งเท่านั้น จาต้องระดมกาลังใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ? ให้พวกเราหกคนมานั่ง กินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่นี่กันทุกวัน?”
เมื่อฤดูหนาวของปีก่อน ฮ่องเต้ได้ออกพระราชโองการลับกับ ตัวเอง ให้พวกเขาหกคนมาช่วยเฝ้ าด่านคุ้มครองบัณฑิตคนหนึ่งที่มี ชื่อว่าหลินโส่วอีอยู่ที่นี่
เวลาเกือบสองเดือนถูกผลาญทิ้งไปทั้งอย่างนี้ ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ฮ่องเต้ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะกลับเมืองหลวงกันได้ เมื่อไหร่ ดูจากท่าทางแล้วหากเจ้าหมอนั่นไม่ออกจากด่านมาวันหนึ่ง พวกเขาก็ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปทั้งอย่างนี้?
ก่ายเยี่ยนที่เอนกายพิงเก้าอี้คนงาม แม้ว่านางจะนินทาเรื่องนี้อยู่ ในใจเช่นกัน แต่ขอแค่เป็ นโจวไห่จิ้งที่บอกว่าไม่ใช่ นางก็ต้องดึงดัน จะพูดว่าใช่ จึงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “อันดับแรก อย่าไม่เห็นหยกดิบเป็ น เทพเซียน เมื่อหกสิบปีก่อน ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบในแจกันสมบัติ ทวีปของพวกเรามีน้อยจนนับนิ้วได้ ก็เพิ่งจะเป็ นทุกวันนี้นี่แหละที่ ไม่ได้หายากถึงเพียงนั้นแล้ว”
นอกจากเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแล้ว ก็ยังมีทางฝั่งของภูเขาตะวัน เที่ยง เจ้าขุนเขาจู๋หวงและบรรพจารย์ยอดเขาหม่านเยว่ ทั้งสองคนนี้ก็ เพิ่งเป็ นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบได้แค่ไม่กี่ปี
“นอกจากนี้หลินโส่วอีก็คือ “คนกันเอง ของต้าหลีตาม ความหมายที่เข้มงวด ขอแค่เขามีหวังจะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบน ราชส านักก็จ าเป็ นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ความหมายนั้น ยิ่งใหญ่ ก็เหมือนกับตอนนั้นที่ร่างทองของเว่ยซานจวินยกระดับขึ้น เป็ นห้าขอบเขตบน กลายเป็ นซานจวินห้าขอบเขตบนคนแรกใน ประวัติศาสตร ์ของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นอย่าว่าแต่พวกเราไม่กี่คนนี้ เลย หากเพิ่มเซียนเหรินอีกคนมาช่วยกันเฝ้ าด่านก็ยังไม่เกินกว่า เหตุ”