กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 997.5 กลิ่นหอมของดอกซิ่งเหนือเมฆพร่างพราว
บัณฑิตที่ไปขอศึกษาต่อที่สานักศึกษาซานหยาของต้าสุยผู้นี้ไม่ เพียงแต่มีชาติก าเนิดจากถ้าสวรรค์หลีจู ประเด็นสาคัญคือหลินโส่วอี ยังเคยรับหน้าที่เป็ นคนเฝ้ าศาลของลาน้าฉีตู้ให้กับราชส านักต้าหลี มาก่อนด้วย นี่ก็มีความต่างจากลูกรักแห่งสวรรค์บ้านเกิดเดียวกัน อย่างพวกหม่าขู่เสวียนแล้ว หันกลับไปมองเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว หลิวเสี้ยนหยางเจ้า สานักคนปัจจุบันของสานักกระบี่หลงเฉวียน และ ยังมีเซี่ยหลิงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกาเนิดที่มาจากตรอกเถาเย่ พวก เขาทั้งหลายต่างก็มีสานักเป็ นของตัวเอง อีกทั้งความสัมพันธ ์กับสกุล ซึ่งต้าหลีก็ไม่ถือว่าดีสักเท่าไร ไม่พูดถึงอิ่นกวานหนุ่มที่ปฏิเสธการ เป็ นราชครู ต่อให้เป็ นหลิวเสี้ยนหยางเองก็ปฏิบัติต่อราชสานักต้าหลี อย่างเกรงใจซึ่งแฝงไว้ด้วยความห่างเหิน
โจวไห่จิ้งไม่คิดจะคุยด้วย เพียงแค่เอ่ยหยอกล้อสุยหลินต่ออีก ครั้ง “ได้ยินอวี๋อวี๋เล่าว่า เจ้าให้เฉินผิงอันยืมยันต์กักกระบี่ที่ทามาจาก ยันต์สีทองหกแผ่น? ยังจะเอากลับคืนมาอีกไหม? จะเป็ นซาลาเปาไส้ เนื้อที่ขว้างหัวหมาหรือเปล่า?”
สีหน้าสุยหลินกระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุด สูดลมหายใจเข้าลึก หนึ่งที ได้แต่แสร ้งทาเป็ นหูหนวกเป็ นใบ้
นอกจากโจวไห่จิ้งที่เข้าร่วมสายแผนภูมิดินเป็ นคนสุดท้ายแล้ว พวกเขาสิบเอ็ดคนต่างก็เป็ นคนที่ราชครูชุยฉานคัดเลือกมาอย่าง ตั้งใจ สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานานมาก ร่วมมือกันได้อย่างไร ้ช่อง โหว่
ยกตัวอย่างเช่นซ่งซวี่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่าง “อี้ ลู่” และ “ถงเหยา’ เล่มหลังเป็ นราชครูชุยฉานที่ช่วยตั้งชื่อให้ เล่มแรก สามารถรับประกันว่าตอนที่สุยหลินย้อนทวนกระแสแม่น้าแห่ง กาลเวลา จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนแผนภูมิดินจะมั่นคง บวกกับวิชา อภินิหารของผู้ฝึ กตนคนอื่นๆ พวกเขาจึงไม่ต้องถูกแม่น้าแห่ง กาลเวลาห่อหุ้ม ตั้งแต่ต้นจนจบมั่นคงดุจท่าเรือแห่งแล้วแห่งเล่า
เพียงแต่ว่าท่าไม้ตายที่แท้จริงของสายแผนภูมิดินยังคงเป็ น “ต่าวหลิว” กระบี่บินเล่มที่สองที่อาพรางไว้อย่างลึกล้านอกเหนือจาก “ฮว่อพู่” ของหยวนฮว่าจิ้ง
ว่ากันว่าเป็ นของเลียนแบบเล่มหนึ่ง ส่วนจะเลียนแบบกระบี่บิน แห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่เล่มใดก็มิอาจรู ้ได้
หลังจากผู้ฝึ กตนแผนภูมิดินสร ้างค่ายกลขึ้นมา สุยหลินจะนั่ง บัญชาการณ์อยู่ด้านในควบคุมจุดศูนย์กลางของค่ายกล เขาถึงขั้น สามารถย้อนทวนแม่น้าแห่งกาลเวลาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นเขา จึงเป็ นบุคคลที่เป็ นกุญแจสาคัญซึ่งช่วยให้ทุกคนที่ “ตายไปฟื้นคืน ชีพกลับมาได้อีกครั้ง หากไม่นับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายซึ่งเป็ นการประ มือกับอิ่นกวานหนุ่มก่อนหน้านี้ก็ไม่ถือว่าเจอเรื่องลาบากกันเปล่าๆ
สุยหลินได้เศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลชิ้นหนึ่ง ที่เจ้าหมอนั่นมอบให้ ผลคือเมื่อเทียบกับที่เขาคาดการณ์ไว้กลับใช ้ เวลานานมากยิ่งกว่า ใช ้เวลาไปเกือบสองเดือนถึงจะหล่อหลอมมันได้ อย่างสมบูรณ์เป็ นประโยชน์ต่อมหามรรคาของตัวเขาเองอย่างมาก
แต่หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ไม่ต้องต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั่น อย่าว่าแต่ให้คืนเศษชิ้นส่วนร่างทองชิ้นนั้นไป ต่อให้บอกให้สุยหลิน มอบให้อิ่นกวานหนุ่มเพิ่มอีกชิ้น เขาก็ยินยอมพร ้อมใจอย่างยิ่ง
เป็ นเพราะถูกทรมาทรกรรมอย่างหนักจริงๆ ไม่เพียงแต่สุยหลิน เท่านั้น เกรงว่านอกจากอจี๋อวี๋ที่ใจใหญ่ที่สุดแล้ว สหายร่วมสาย แผนภูมิดินอีกสิบคนที่เหลือ แต่ละคนต่างก็ต้องมีเงามืดเหลือไว้ในใจ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไร
ก่อนหน้านี้ได้ยินโจวไห่จิ้งเรียกชื่ออิ่นกวานหนุ่มตรงๆ สุยหลินก็ กังวลอย่างยิ่งว่าจะเดือดร ้อนติดร่างแห ถูกใครบางคนแอบได้ยินเข้า หรือไม่
ก่ายเยี่ยนเองก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ไม่ได้โต้เถียง กับโจวไห่จิ้งอย่างที่หาได้ยาก คนหนุ่มที่มีชื่อว่า “ขู่โส่ว ผู้นั้นก็ยิ่งสี หน้าขมขื่นเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียน จะโทษว่าพวกเขาขี้ขลาดตา ขาวไม่ได้จริงๆ การ “ประมือ’ ครั้งสุดท้ายในเมืองหลวงต้าหลีที่ความ ทรงจาไม่ถูกลบทิ้งครั้งนั้น พวกเขาจาต้องแหกกฏที่เคยทา ไม่ไปย้อน ทบทวนกระดาน คนสิบเอ็ดคนรู ้ใจกันดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่พูดถึง เรื่องนี้ แสร ้งทาเป็ นว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นไปเสียเลย
อจี๋อวี๋ถูกเจ้าคนที่ไม่รักหยกถนอมบุปผาแม้แต่น้อยผู้นั้นกดหน้า แล้วกระชากจิตวิญญาณทั้งหมดของนางออกมาทั้งอย่างนั้น ประหนึ่ง อริยะลัทธิขงจื๊อที่ปากอมกฎสวรรค์แค่เอ่ยสองค าว่า “ดอกไม้บาน” ก็ ใช ้กระบี่ยาวที่เฉียบคมอย่างถึงที่สุดหลายสิบเล่มปักร่างลู่ฮุยจน กลายเป็ นเม่นตัวหนึ่ง ก่ายเยี่ยนก็ยิ่งถูก “เศษจันทร ์” ที่เขาบอกว่า เป็ นเวทกระบี่ที่คิดค้นขึ้นเองแยกร่างแหลกเละ ทั้งคนทั้งชุดคลุมอาคม และเสื้อเกราะจินอูล้วนถูกแสงกระบี่เฉียบคมหลายเส้นท าลายในเวลา เพียงเสี้ยวนาที แต่กับโก่วฉุนซึ่งน่าจะเพราะเคยเป็ นคนรู ้จักเก่ากับคน ผู้นั้น เขาจึงออมมือไว้ไมตรี จุดจบของโก่วฉุนจึง ‘ดี’ กว่าทุกคน เล็กน้อย แค่ถูกตัดแทนตัดขาสองข้าง ส่วนเขาสุยหลิน ถูกเจ้าคนที่ ปรากฏตัวอย่างลึกลับผู้นั้นมาหยุดอยู่ด้านหลัง ต่อยทะลุเข้าที่หัวใจ ด้านหลังของสุยหลินอย่างอ ามหิต สุยหลินก้มหน้าลงก็เห็นหมัดของ คนผู้นั้น ลู่ฮุยที่เป็ น “อาจารย์คาเดียว” ก็ยิ่งน่าสงสาร ก่อนหน้านี้ถูก กระบี่ยาวพวกนั้นกักขัง แล้วยังถูกอีกฝ่ ายใช ้พายุลมกรดของผู้ฝึ ก ยุทธสร ้างทวนยาวแทงทะลุล าคอ แล้วคนผู้นั้นยังยกทวนเหล็กเอียง ขึ้น ยกตัวลู่ฮุยค้างไว้กลางอากาศ…
โจวไห่จิ้งยิ้มถาม “พวกเจ้ากลัวเฉินผิงอันขนาดนี้เลยหรือ? ท าไมข้าถึงได้รู ้สึกว่าเขาเป็ นคนพูดง่ายมากเลยล่ะ ทุกครั้งที่เจอกับ ข้าล้วนพูดคุยกันอย่างปรองดอง”
นางคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าลูกรักแห่งสวรรค์ที่ มีหวังจะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนพวกนี้ ขอแค่ตนพูดถึงชื่อนั้น แต่ละ
คนเหมือนกับคนที่เวลาปกติไม่แตะเหล้า แต่กลับถูกคนบังคับกรอก เหล้าฤทธิ์แรงเข้าปาก ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ามูกน้าตา กระเซอะ กระเซิงสุดขีด
ได้ยินชื่อนั้น ก่ายเยี่ยนก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยอีกครั้ง เรือนกาย ขมึงเกร็ง หลังมือมีเส้นเอ็นเขียวปูดนูนขึ้นมา
โจวไห่จิ้งสัมผัสได้อย่างเฉียบไวถึงความผิดปกติของ “คู่กัด” ตัวเอง ขณะที่กาลังจะราดน้ามันลงบนกองเพลิงพูดถึงมิตรภาพ ระหว่างตนกับเฉินผิงอันอีกครั้ง เล่าว่าอีกฝ่ ายมาเยือนถึงบ้านเชื้อ เชิญให้ตนออกจากภูเขามาอย่างไร…
หยวนฮว่าจิ้งกลับเปิดปากเอ่ยว่า “โจวไห่จิ้ง พูดให้น้อยๆ หน่อย เจ้าคิดให้มากๆ เถอะว่าจะพยายามเลื่อนเป็ นขอบเขตปลายทาง โดยเร็วได้อย่างไร”
โจวไห่จิ้งไม่ค่อยเห็นหยวนฮว่าจิ้งอยู่ในสายตามากนัก จึงเอ่ยต่อ อีกว่า “คงไม่ใช่ว่าพวกเจ้าสิบเอ็ดคนเคยร่วมมือกัน แต่ถูกเฉินผิงอัน คนเดียวเล่นงานจนสะบักสะบอมหรอกนะ?”
พริบตานั้นก็เหมือนมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งมาล้อมวนอยู่รอบกาย โจวไห่จิ้งและบนยอดของหลังคา เปลวเพลิงหนาเท่าปากบ่อ ส่อง ประกายแสงพร่าตา เป็ นเหตุให้ลายเส้นในกระเบื้องแก้วใสสีเขียว มรกตมีลางว่าจะถูกหล่อหลอม
โจวไห่จิ้งกระตุกมุมปาก พายุลมกรดของผู้ฝึ กยุทธที่ยิ่งใหญ่ เปี่ยมล้นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้ อง ขัดขวางไอร ้อนระอุจาก มังกรเพลิงตัวนั้นให้อยู่ห่างไปหนึ่งจัง
นางตบหน้าอกตัวเอง “โอ้ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ เลยนะนี่ ทาเอาข้าตกใจหน้าซีดหมดแล้ว หัวใจเต้นรัวเหมือนถูก กวางน้อยวิ่งชน…”
ตรงระเบียงของศาลา ขู่โส่วที่เอนกายพิงเสาหลับตาพักผ่อนอยู่ ตลอดพลันลืมตาขึ้น
โจวไห่จิ้งตระหนักได้ว่าหากยังเป็ นแบบนี้ต่อไปก็ยากที่จะเก็บ กวาดแล้ว จึงได้แต่ชูมือสองข้างขึ้น แล้วยื่นมือมาตบข้างแก้มเบาๆ “กลัวพวกเจ้าแล้ว ดีแต่จะรังแกคนใหม่อย่างข้าถือว่าข้าพูดผิดก็ได้ ข้าจะตบปากตัวเอง”
หยวนฮว่าจิ้งเก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต “ฮว่อพู่” มา เอ่ยเสียง ทุ้มหนักว่า “อย่าให้มีคราวหน้าอีก”
โจวไห่จิ้งใช ้นิ้วมือสัมผัสแผ่นกระเบื้องแก้วใสร ้อนลวกข้างกาย ตัวเอง ลายเส้นสีเขียวมรกตแต่เดิมถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนบิดเบี้ยว นางยกแขนสะบัดนิ้วมือที่ชาดิก ดูท่าพลังพิฆาตที่แท้จริงของกระบี่ บินเล่มนี้ของหยวนฮว่าจิ้งยังคงอยู่ที่สามารถชักนาปราณวิญญาณ ในโลกมนุษย์อย่างลับๆ และต้มให้จิตวิญญาณของคนเดือดพล่าน? รับมือกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ผลลัพธ ์จะแย่สักหน่อย แต่จัดการกับผู้ฝึก
ลมปราณกลับเหนื่อยเพียงครึ่งได้ผลลัพธ ์เป็ นเท่าตัว เรียกกระบี่บิน เหมือนตั้งกองไฟขึ้นมา ไม่จาเป็ นต้องลอดทะลุร่างกายและจิต วิญญาณของผู้ฝึกตนก็สามารถต้มปราณวิญญาณในร่างมนุษย์ให้ เป็ นเหมือนน้าเดือดได้ไกลๆ?
หยวนฮว่าจิ้งเดินมาถึงข้างศาลา สายตายังคงหยุดอยู่ที่ภูเขาลูก ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบ
ไม่รู ้ว่าการแฝงตัวเข้าไปในซากปรักสนามรบโบราณของกลุ่ม ซ่งซวี่จะราบรื่นหรือไม่บอกว่ากองโหราศาสตร ์อาศัยการสังเกต ปรากฏการณ์ดวงดาวท าให้หาเบาะแสเจอ แต่ในความเป็ นจริงแล้ว กลับเป็ นผลลัพธ ์ที่หยวนเทียนเฟิงอนุมานออกมา
ซากปรักที่เวลาผ่านมานานนับหมื่นปีก็ยังไม่เคยตกอยู่ในกระเป๋ า ของผู้ฝึกตนคนใดแห่งนี้ จากการคาดเดาที่กองโหราศาสตร ์ว่าไว้ จุด ที่แตกต่างจากสถานที่ปกติทั่วไปมากที่สุดนั้นอยู่ที่ “ดวงอาทิตย์” ดวง หนึ่งในยุคบรรพกาลที่ปริแตกแล้วหล่นร่วงลงพื้น ได้กลายมาเป็ นนก จินอูที่มีสติปัญญาซุกซ่อนอยู่ เข้าสู่สภาวะจาศีลเป็ นเวลานาน ไม่รู ้ว่า ได้รับการชักน าหรือการขานรับอะไร สรุปก็คือมันเพิ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อ ไม่นานมานี้ แล้วก็ถูกหยวนเทียนเฟิ งคว้าเบาะแสไว้ได้ทันที พวก ซ่งซวี่หกคนรีบเดินทางไป ขณะเดียวกันก็พกพาเอาสมบัติหนักใน คลังลับของต้าหลีที่เป็ นวัตถุสาหรับคว้าชัยไปด้วยชิ้นหนึ่ง
หลายปี มานี้หยวนเทียนเฟิ งอยู่ในกองโหราศาสตร ์ได้ใช ้ ทรัพย์สินของราชส านักต้าหลีไปเป็ นจ านวนมาก สุดท้ายเขาก็
ค้นคว้าเครื่องมือที่มีความแม่นยาซึ่งสามารถตรวจสอบการ สั่นสะเทือนของเส้นชีพจรพื้นดินได้
หยวนฮว่าจิ้งกับซ่งซวี่ อันที่จริงคือคนสองคนที่เกลียดขี้หน้ากัน ที่สุด เทียบกับโจวไห่จิ้งกับก่ายเยี่ยนที่ภายนอกเป็ นเหมือนน้ากับไฟ แล้ว มีแต่จะหนักยิ่งกว่า
แต่คราวก่อนที่เจอกับเหตุไม่คาดฝันครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ ายเคย พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา กลับกลายเป็ นว่าช่วยคลายปมในใจกัน ไปได้
สิ่งที่ทั้งสองฝ่ ายพูดล้วนไม่มีข้อห้าม เพียงแต่ว่าขณะเดียวกันกับ ที่คลายปมในใจไปได้ทั้งสองฝ่ายก็ผูกปมใหม่ขึ้นมาอีก
ก่อนที่ซ่งซวี่จะจากไปได้ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ห้ามให้มีคราว หน้าอีก” อันที่จริงนี่ก็เท่ากับว่าองค์ชายที่ขอบเขตต่ากว่าหยวนฮ ว่าจิ้งหนึ่งขั้นผู้นี้เห็นตัวเองเป็ นผู้นาของสายแผนภูมิดินไปแล้ว
แต่เดิมทีหยวนฮว่าจิ้งคิดว่าตัวเองจะต้องโมโห แต่เขากลับไม่ โกรธ คงเป็ นอย่างที่ซ่งซวี่พูดไว้ กาลังใจได้หล่นร่วงลงไปแล้ว
ดังนั้นซ่งซวี่จึงมั่นใจว่าคนที่จะเกิดจิตมารได้มากที่สุดไม่ใช่สุย หลินและลู่ฮุย แต่เป็ นหยวนฮว่าจิ้งผู้ฝึกกระบี่ที่พ่ายแพ้หมดรูป
ส าหรับผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินแล้ว เฉินผิงอันเคยมีค าเตือนและ ข้อเสนอแนะที่แตกต่างกันไป
ยกตัวอย่างเช่นบอกให้สุยหลินไปเยือนหน่วยฉงซวีและหน่วย แปลคัมภีร ์ในเมืองหลวง บ่อยๆผสานรวมวิชาเฝ้ าหนึ่งที่ทั้งลัทธิพุทธ และลัทธิเต๋าต่างก็ส่งเสริม เมื่อมียันต์นี้ป้ องกันกาย วันหน้าเผชิญกับ จิตมารก็จะมีโอกาสชนะเยอะมาก
ทางฝั่งของลู่ฮุย เฉินผิงอันได้ให้คาสัญญาที่มีน้าหนักอย่างมาก หากมิอาจฝ่าทะลุขอบเขตได้จริงๆ เขาสามารถช่วยถ่ายทอดโฟจื่อสิ่ง ที่เป็ นการหลอมลมปราณของลัทธิขงจื๊อให้บทหนึ่ง
หยวนฮว่าจิ้งเดาว่าการปรากฏตัวของจินอูตัวนี้ มีความเป็ นไปได้ อย่างยิ่งว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการปิดด่านของหลินโส่วอี
เขาถึงขั้นสงสัยว่าการปรากฏตัวของหยวนเทียนเฟิ งที่เมือง หลวงต้าหลีก็มีเป้ าหมายเป็ นหลินโส่วอีผู้นี้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็ นหนึ่ง ในเป้ าหมายหลักของหยวนเทียนเฟิง
หยวนฮว่าจิ้งสงสัยใคร่รู ้ในเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด ว่ากันว่า รากฐานในการฝึกตนของหลินโส่วอีมาจากแค่ตาราเต๋าวิชาอสนีที่มี ชื่อว่า “ตาราเหนือเมฆพร่างพราว” เท่านั้น แทบจะเรียกได้ว่าเส้นทาง การฝึกตนของหลินโส่วอีคล้ายคลึงกับการเรียนรู ้ด้วยตัวเองของผู้ฝึก ตนอิสระในป่าเขา
น่าเสียดายที่ราชสานักต้าหลีไม่มีสาเนาของตาราเล่มนี้ ……
เว่ยป้ อปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาพีอวิ๋น แน่นอนว่า ยังคงใช ้เวทอ าพรางตา
เพราะเจิ้งต้าเฟิงมาที่นี่โดยไม่บอกกล่าว ทาให้เว่ยป้ อรู ้สึกว่าเจ้า หมอนี่หากไม่มีปัญหาก็ไม่เข้าวัด วันนี้ตนต้องระวังไว้หน่อย
ใบหน้าเจิ้งต้าเฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปกระชากแขนของ เว่ยซานจวิน “พี่เว่ยอ่าพี่เว่ย มีเรื่องอยากจะปรึกษากับเจ้าดีๆ สัก หน่อย…”
เว่ยป้ อรู ้ว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “ขุนนางหญิงในทุก กองงานของจวนซานจวินพวกเรา เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะแนะน าให้เจ้า ได้รู ้จักแม้แต่คนเดียว!”
เจิ้งต้าเฟิ งทาสีหน้าไม่พอใจ “แห้งแล้งและน้าท่วมเฉลี่ยกันให้ พอดีจะไม่ยิ่งงดงามด้วยกันทุกทางหรอกหรือ”
เว่ยป้ อเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “อย่าหวังเลย!”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “เจ้าเป็ นเพื่อนรักของข้า ใช่ไหม?”
เว่ยป้ อตีหน้าเคร่ง ไม่รับค า
เจิ้งต้าเฟิ งกล่าว “ข้าเองก็เป็ นผู้อาวุโสครึ่งตัวของเฉินผิงอัน เพราะถึงย่างไรก็เห็นเขาโตมา หากไม่เป็ นเพราะตกอับจนต้องไปขอ ข้าวจากภูเขาลั่วพั่วกินอย่างทุกวันนี้ เฉินผิงอันก็ต้องเรียกข้าว่าท่าน อาเจิ้ง เขามีมารยาท ข้าก็ไม่รู ้สึกผิด ถูกไหม?”
เว่ยป้ อเอ่ยอย่างจนใจ “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าเลิกวกวนอ้อมค้อมเสียที ข้าแม่งฟังจนใจไม่ดีแล้ว!”
เจิ้งต้าเฟิงบ่น “จะรีบร ้อนไปไย ใจร ้อนก็กินเต้าหู้ร ้อนไม่ได้นะ ไป พวกเราสองพี่น้องเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน แล้วค่อยไปที่กองงานสังคีต หรือจะเป็ นกองพิธีกรรมก็ได้ ถึงอย่างไรก็คือต้องหาพื้นที่เงียบสงบมา ดื่มเหล้ากันดีๆ สักมื้อ ไม่เมาไม่เลิกรา”
เว่ยป้ อยืนนิ่งไม่ขยับ “เจ้าพูดมาให้ชัดเจนก่อนเลย ไม่อย่างนั้นก็ อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพพี่น้อง”
เจิ้งต้าเฟิงบ่น “นอกจากสตรี เจ้าเว่ยป้ อก็คือบุรุษคนแรกที่ทาให้ ข้าเสียใจได้ ดูว่าวันหน้าคงอยู่ร่วมกับเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ”
เว่ยป้ อยื่นนิ้วมาดันหว่างคิ้ว เจิ้งต้าเฟิงนั่งลงบนขั้นบันได เว่ยป้ อก็ได้แต่นั่งตามมาด้วย “เฉินผิงอันกับหนิงเหยาคือคนรักกัน ถูกไหม?”
“หนิงเหยายังเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสีด้วย ใช่ หรือไม่?”
“ตอนที่ข้าอยู่นครบินทะยานก็มีฐานะมีบารมีอานาจมากเลยล่ะ แล้วยังเป็ นผู้อาวุโสของเฉินผิงอันครึ่งตัว เจ้ากับข้าก็ยังเป็ นพี่น้องที่ รักที่สนิทสนมรู ้ใจกันดี”
เว่ยป้ อฟังด้วยความสับสนมึนงง เจ้าไม่ได้วนกลับมาอีกแล้ว หรอกหรือ?
“หนิงเหยาไหว้วานให้ข้าน าของมามอบให้เจ้า ถือเป็ นของขวัญ ขอบคุณที่ตลอดหลายปีมานี้เว่ยซานจวินดูแลคนบางคนและภูเขาลั่ว พั่วเป็ นอย่างดี วางใจเถอะ ของสิ่งนี้ไม่ถือเป็ นของนครบินทะยานและ ของคฤหาสน์หลบร ้อน เป็ นหนึ่งในของเชลยศึกที่นางพกกระบี่ เดินทางไปเก็บกวาดใต้หล้าเพียงล าพัง”
ในที่สุดเจิ้งต้าเฟิงก็ไม่อมพะนาต่อ หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา จากชายแขนเสื้อ ตบลงบนมือเว่ยป้ อหนักๆ ยิ้มเอ่ย “ยินดีกับเว่ย ซานจวินด้วย ต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีที่ทุกคนใฝ่ ฝันหาอีกครั้งหนึ่ง แล้ว!”
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว เสี่ยวโม่ปรากฏตัวที่เรือนไม้ไผ่ ถามว่า “คุณชาย นางแอบออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว ไม่ใช่เรื่องเล็ก จะไม่ให้ข้า ตามนางไปจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อนางจงใจให้เจ้ารู ้เรื่องนี้ ถ้า อย่างนั้นเจ้าไม่ตามไปก็น่าจะได้ผลดียิ่งกว่า”