กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 998.1 สุรา กระบี่ ดวงจันทร ์
ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่บนยอดเขาจี๋หลิงแห่งนี้ ทัศนียภาพงดงาม จับตาอย่างแท้จริง ปี นั้นเลือกสร ้างเรือนไม้ไผ่ขึ้นที่นี่ แขกที่เคยมา เที่ยวชมทัศนียภาพต่างก็พูดกันว่าเจ้าขุนเขาเฉินมีความคิดที่ฉลาด เฉียบแหลมไม่เหมือนใคร
นกขมิ้นในภูเขาจับกลุ่มกันส่งเสียงร ้อง ก้อนเมฆที่บินอยู่นอก หน้าผาเหมือนเดินทางไปเที่ยวยามวสันต์ กลายร่างเป็ นเจียวหลงต่อ หน้าต่อตาคน
เสี่ยวโม่กล่าว “อาจารย์เจิ้งกลับมาบ้านเกิด บรรยากาศก็ ครึกครื้นขึ้นเยอะเลย”
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยขึ้นมาว่า “เจิ้งต้าเฟิ งบอกว่าบัณฑิต อย่างพวกเราพลิกเปิดตาราเก่า ประหนึ่งจากลากันในระยะสั้นๆ ที่ทา ให้ความรักหอมหวานยิ่งกว่าเพิ่งแต่งงานใหม่”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “อาจารย์เจิ้งเป็ นผู้รอบรู ้ที่มากด้วย ความสามารถอย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับพวกคนที่แสร ้งพูดจามี ความรู ้มีสติปัญญา กับวิญญูชนจอมปลอมที่แสร ้งทาเป็ นศึกษาวิชา ความรู ้แล้ว ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
เฉินผิงอันกล่าว “คราวก่อนไปที่ร ้านเหล้าของนครบินทะยานได้ เจอกับลูกค้าเก่าคนหนึ่ง แต่ละคนต่างก็พูดว่าคาพูดสัปดนของเถ้า
แก่เจิ้งเหมือนกับแกล้มแกล้มสุรา ข้าที่เป็ นเถ้าแก่รองอยู่ไกลเกินกว่า จะเทียบได้ติด”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “อาจารย์เจิ้งนิสัยเบิกบานใจกว้าง มีน้าใจมี คุณธรรม แต่กลับไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ล้วนเป็ นที่ ต้อนรับเสมอ”
“ไปเดินเล่นกับข้าหน่อย”
เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งให้กับเสี่ยวโม่ คนทั้งสองนิ้วเหล้ากัน คนละกา เดินไปทาง ยอดเขาเดินไปดื่มไป สีสันของภูเขาเขียวปลั่ง ราวกับจะคั้นน้าได้ พกสุราขึ้นเขาเขียว
ค่ายกลปกป้ องภูเขาของสานักชั้นสูงแห่งหนึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็ น ค่ายกลที่ทับซ ้อนกันช่วยส่งเสริมกัน ผ่านการปลุกเสกชั้นแล้วชั้นเล่า มีครบทั้งป้ องกันและโจมตี
ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วได้ครอบครองค่ายกลใหญ่ปกป้ องภูเขาสอง ชั้น หนึ่งในนั้นคือค่ายกลกระบี่ที่ถือว่าทยอยเอามาประกบประกอบ กัน เป็ นเจ้าขุนเขาผู้ประหยัดมัธยัสถ์อย่างเฉินผิงอันที่ทาเหมือนนก นางแอ่นคาบดินโคลนท ารัง ค่อยๆ สะสมจนกลายเป็ นฐานก าลัง ทรัพย์อีกชั้นหนึ่งนั้นเป็ นเพราะ ได้รับโชคหลังเคราะห์ร ้าย” ตอนนั้น เจ้าอารามผู้เฒ่ามาเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว ได้ดื่มน้าชาที่หน้าประตู ภูเขา คาดว่าเดิมทีต้องการมาซักไซ้เอาผิดภูเขาลั่วพั่วเนื่องจากเฉิน หลิงจวินเคยพูดจาไร ้ยาเกรงล่วงเกินเขาในเมืองเล็ก เจ้าแห่งถ้าปี้
เซียวชายหาดลั่วเป่ าที่ ไม่เคยละเว้นใคร” ผู้นี้ดูแคลนที่จะคิดเล็กคิด น้อยกับเจียวน้าขอบเขตก่อกาเนิดตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ ต้องหันมาเล่นงานเจ้าขุนเขาอย่างเฉินผิงอันแทน
ไม่ต้องสงสัยในฝี มือของเจ้าอารามผู้เฒ่า ยิ่งไม่ต้องสงสัยใน ความกล้าและพละก าลังของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนนี้เลย
“ออกจากถ้าไร ้ศัตรูเทียมทาน จุดที่ละเว้นคนได้ไม่เคยละเว้น ใคร” นี่ไม่ใช่คาชมเชยอะไรเลย
ตอนนั้นเสี่ยวโม่หนีเข้าไปอยู่ในชายหาดลั่วเป่ า ผู้ฝึ กกระบี่ที่ ก าเริบเสิบสานอย่างป๋ ายจิ่งก็ยังต้องเป็ นฝ่ ายหยุดเท้าแต่โดยดี
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ เจ้าอารามผู้เฒ่ากลับมอบภาพที่ แท้จริงของห้ามหาบรรพตมาให้ภาพหนึ่ง
เป็ นเหตุใหทุกวันนี้ซานจวินเว่ยป้ ออยากจะมาเที่ยวหาที่ภูเขาลั่ว พั่ว ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว แต่กลับต้องมี “เอกสารผ่านด่าน” ฉบับหนึ่งถึงจะไม่ถ่วงรั้งให้อึดอาดล่าช ้า
มิน่าเล่านอกจากเว่ยซานจวินจะอัดอั้นตันใจแล้วยังอดไม่ไหวเอ่ย หยอกเย้าหมี่ลี่น้อยไปด้วยว่า นั่นคือน้าชาที่มีมูลค่าที่สุดในใต้หล้า แล้ว
คาพูดนี้ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ ไม่ได้เล่นงานเฉินผิงอันยังมอบภาพที่แท้จริงซึ่งมีระดับขั้นเป็ นภาพ
บรรพบุรุษมาให้ภาพหนึ่ง ไม่เท่ากับว่าเป็ นอาวุธเซียนสองชิ้นเลย หรือ?
ในศาลภูเขาเก่าที่ตั้งอยู่บนยอดเขาตั้งวางม้วนภาพเซียนกระบี่ที่ เฉินผิงอันน ากลับมาจากกาแพงเมืองปราณกระบี่ แรกเริ่มสุดมันอยู่ ในหอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัว เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะคืนกลับไป ให้นครบินทะยาน เพียงแต่หนิงเหยาไม่ยอมรับเอาไว้ เฉินผิงอันรู ้นิสัย ของนางดียิ่งกว่าใคร เขาไม่มีทางชนะนางได้แน่
เดินไปถึงยอดเขา เสี่ยวโม่ก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “คุณชาย ภู เขาลั่วพั่วมีภาพบรรยากาศอย่างทุกวันนี้ได้ก็ได้มาไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันคุยโวชมตัวเองว่า “เงินทองเต็มกระบุง ย่อมต้องดูแล ครอบครัวได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรและประหยัดมัธยัสถ์”
ในอดีตภูเขาไท่ผิงได้มอบภาพค่ายกลภาพหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ภูเขาลั่วพั่วกลัดกลุ้มมาโดยตลอดว่าไม่มีกระบี่บินที่เหมาะสม เป็ น เหตุให้เมื่อหลายปีก่อนความคิดของเฉินผิงอันจึงวนเวียนป้ วนเปี้ยน อยู่แถบภูเขาซังกระบี่ของอุตรกุรุทวีปมาโดยตลอด โชคดีที่คราวก่อน ไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร ้าง ระหว่างทางได้ผ่านนครอวี้ป่ าน ของราชวงศ์อวิ๋นเหวิน ในฐานะบุคคลผู้ยอดเยี่ยมรุ่นหลังและผู้ประสบ ความส าเร็จในการเป็ นร ้านผ้าห่อบุญ อิ่นกวานหนุ่มจึงได้ส าแดง เป้ าหมายของคนในยุทธภพอย่างเราๆ ที่ “โจรไม่เคยกลับมามือเปล่า หยุดแต่พอสมควร” อีกครั้ง ได้กระบี่บินสิบสองเล่มและที่วางพู่กัน ปะการังที่เอาไว้สาหรับวางกระบี่บินมาจากมือของฮ่องเต้เย่ฟูผู้มีฉายา
ว่า “ตู้ปู้ ” ซึ่งเป็ นขอบเขตบินทะยานใหม่เอี่ยมของเปลี่ยวร ้าง เฉินผิง อันเก็บอย่างแรกเข้ากระเป๋ า ส่วนอย่างหลังเอาไปท าการค้าระยะยาว กับลู่เฉิน
เมื่อเป็ นเช่นนี้ค่ายกลของภูเขาลั่วพั่วก็มีกระบี่บินสิบสองเล่ม มาร่วมด้วยพอดี จึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร ้ช่องโว่
และครั้งก่อนที่จัดงานเฉลิมฉลองสานักเบื้องล่างอยู่ที่ใบถงทวีป ในฐานะ “สหายสุราที่ดีที่สุดของเฉินผิงอัน แน่นอนว่าหลิวจิ่งหลงต้อง มาร่วมพิธีก่อตั้งสานักกระบี่ชิงผิง เขาพาป๋ ายโส่วผู้เป็ นลูกศิษย์ ออกมาจากสานักกระบี่ไท่ฮุย ระหว่างที่เดินทางลงใต้หลิวจิ่งหลงก็ได้ เป็ นเยือนเมืองหลวงต้าหลีมาก่อนรอบหนึ่งตามคาเรียกร ้องของเฉิน ผิงอัน ช่วยชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับหันโจ้วจิ่นอาจารย์ค่ายกลของ สายแผนภูมิดิน อันที่จริงหลิวจิ่งหลงดื่มสุราอย่างเต็มอิ่มอยู่ที่นั่นแล้ว ก็ยังได้เข้ามาภูเขาลั่วพั่วอย่างลับๆ ช่วยเจ้าคนที่ทาตัวเป็ นเถ้าแก่ สะบัดมือทิ้งร ้านจนชินแล้วผู้นั้นทาเรื่องที่เป็ นดั่งการปักบุปผาลงบน ผ้าแพรให้กับ “ภาพสะท้อน” ของวิญญาณวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ “หลงเหลือแค่ปณิธานกระบี่มิอาจมีสติปัญญากลับคืนมาได้อีกแล้ว” ในภาพวาดพวกนั้น หลิวจิ่งหลงศึกษาภาพค่ายกลของภูเขาไท่ผิง อย่างละเอียดมาก่อนแล้ว จึงใช ้ภาพค่ายกลนี้เป็ นรากฐานของพื้นที่ ประกอบพิธีกรรม เลือกวิญญาณวีรบุรุษเขียนกระบี่สิบสองท่าน และ เลือกกระบี่บินที่ใกล้เคียงกับมรรคากระบี่ของเซียนกระบี่แต่ละท่าน ให้ในมือพวกเขาถือกระบี่บินสิบสองเล่ม จึงเป็ นเหตุให้ค่ายกลที่ใช ้ใน
การโจมตีนี้มีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบตามความหมายที่แท้จริงใน ที่สุด
จากที่เมื่อก่อนเฉินผิงอันประเมินไว้ว่า “สามารถสังหารก่อกาเนิด สยบเซียนเหริน” ก็ได้เลื่อนขั้นเป็ น “สามารถทาให้เซียนเหรินที่ไม่รู ้ เรื่องมาก่อนบาดเจ็บสาหัส
ส่วนผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานก็อย่าได้มาโอ้อวดบารมีแถวนี้ ส่งเดช หนึ่งเพราะทุกวันนี้เข้ามาในแจกันสมบัติทวีปจาเป็ นต้องแจ้ง การเดินทางต่อป๋ ายอวี้จิงจ าลองของต้าหลีเสียก่อน นอกจากนี้คิดว่า ภูเขาลั่วพั่วไม่มีขอบเขตบินทะยานจริงๆ หรือไร? หากท าให้เจ้า ขุนเขาเฉินโมโหขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่มีคุณธรรมน้าใจในยุทธภพอีก แล้ว ต้องได้เปิดประตูปิดประตูปล่อยสุนัขแน่
นอกจากนี้เว่ยป้ อก็แอบอ้อมผ่านราชส านักต้าหลี ไม่ได้รายงาน ไปที่กรมพิธีการของต้าหลี แต่เปิ ดประตูใหญ่อ านวยความสะดวก ให้กับค่ายกลกระบี่นี้โดยตรง นี่ก็ยิ่งทาให้วีรบุรุษที่ถือกระบี่พวกนั้น สามารถไปมาในอาณาเขตของมหาบรรพตอุดรได้เกินครึ่งของพื้นที่
เห็นว่าตรงประตูภูเขาพีอวิ๋น เจิ้งต้าเฟิงกับเว่ยป้ อก าลังตอบโต้ กลับกันอย่างมีมารยาท
เสี่ยวโม่ก็เอ่ยสัพยอกว่า “เว่ยซานจวินของพวกเราสมกับคาว่า คนท าดีได้ดีตอบแทนจริงๆ”
มอบกล่องไม้ใบนั้นไปให้แล้ว เจิ้งต้าเฟิ งก็ทาเหมือนกอดไหล่ คล้องคอเว่ยป้ อ แต่แท้จริงแล้วกลับบังคับลากเว่ยซานจวินให้ขึ้นเขา ไปด้วยกัน ไปดื่มเหล้าในกองงานสังคีตที่มีขุนนางหญิงเยอะที่สุด
ส่วนเรื่องที่ว่าเว่ยซานจวินจะบอกเตือนกับเหล่าขุนนางในกอง งานสังคีต ให้พวกนางระมัดระวังเจิ้งต้าเฟิงไว้ก่อนหรือไม่ ก็มิอาจรู ้ได้ แล้ว
เสี่ยวโม่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ไม่รู ้ว่าเซี่ยโก่วไปได้ยินข่าวมา จากไหน บอกว่าซานจวินห้ามหาบรรพตของแจกันสมบัติทวีปพวก เรามีโอกาสที่จะได้รับการแต่งตั้งจากทางศาลบุ๋นคุณชาย นี่เป็ นเรื่อง จริงหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู ้จริงๆ ศิษย์พี่เหมาไม่ได้บอก เรื่องนี้ไว้ในจดหมายคราวหน้าข้าจะลองถามศาลบุ๋นดู”
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้มีข่าวลือที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ว่าจริง หรือเท็จอยู่เรื่องหนึ่งบอกว่าซานจวินห้ามหาบรรพตของแต่ละแคว้น ของต้าหลีในอดีต เจ้าแห่งห้ามหาบรรพตของแจกันสมบัติทวีปในทุก วันนี้ มีโอกาสที่จะได้ครอบครอง “ฉายาเทพ” กันแล้ว
ส่วนใครจะเป็ นคนมาทาพิธีแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการ ตามหลัก แล้วต่าสุดก็น่าจะต้องเป็ นรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋น แต่ก็มีโอกาสสูง มากที่เหวินเซิ่งจะมาเยือนแจกันสมบัติทวีปด้วยตัวเอง
หากเป็ นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นสาหรับซานจวินอย่างพวกเว่ยป้ อ จิ้นชิงและฟ่ านจวิ้นเม่าแล้ว การได้รับแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากศาลบุ๋น ก็ทั้งเป็ นเกียรติอย่างหนึ่ง และก็ยิ่งเป็ นผลประโยชน์บนมหามรรคาที่ จริงแท้อย่างหนึ่ง
ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นเหมือนจะไม่มีคาพูดเหน็บแนมอะไรต่อเรื่อง นี้ เพราะถึงอย่างไรแจกันสมบัติทวีปก็คู่ควรกับการได้รับปฏิบัติเช่นนี้
อย่างมากสุดก็คงเอ่ยสัพยอกด้วยประโยคที่เหมือนกันโดยไม่ได้ นัดหมายว่า ฉายาเทพของเว่ยป้ อแห่งขุนเขาเหนือต้องเป็ นค าว่า ‘เย่ โหยว (ท่องราตรี) นะ
เว่ยป้ อแห่งขุนเขาเหนือ ร่างทองบริสุทธิ์คือซานจวินห้าขอบเขต บนคนแรกในประวัติศาสตร ์ของแจกันสมบัติทวีป ภายหลังระดับ ความสูงของร่างทองก็ยังมีการยกระดับขึ้นอีก ตบะขอบเขตเท่าเทียม กับขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง
ปี นั้นศิษย์พี่จวินเชี่ยนเคยมาเฝ้ าพิทักษ์ภูเขาลั่วพั่ว ออกหมัด ต้านรับศัตรู ก็เคยท าให้มีฝนใหญ่สีทองตกลงมาในอาณาเขตของ ขุนเขาเหนือ เว่ยป้ อได้รับผลประโยชน์อย่างมาก
หากเว่ยป้ ออาศัยของขวัญขอบคุณที่หนิงเหยามอบให้สามารถ ยกระดับความสูงของร่างทองได้อีกขั้น เทพภูเขาห้าขอบเขตบนคน แรก ขอบเขตเซียนเหรินคนแรก แล้วยังเป็ นเทพภูเขาที่เท่ากับมี ขอบเขตเป็ นบินทะยานคนแรกของแจกันสมบัติทวีปได้อีก นี่ก็จะ
เท่ากับ “สอบติดอันดับหนึ่งสามรอบติดต่อกัน ในประวัติศาสตร ์ วงการขุนนางของภูเขาสายน้าในหนึ่งทวีปแล้ว เนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แทบจะไม่เสื่อมสลาย ถ้าอย่างนั้นซานจวินเว่ยป้ อก็จะกลายมาเป็ นคน ที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร ์และอาจจะไม่มีปรากฏอีก ในอนาคตอย่างสมชื่อแล้ว
ก่อนที่อิ่นกวานหนุ่มอย่างเฉินผิงอันจะเผยกายขึ้นมาบนโลก ก่อนหน้านี้จวนเซียนบนภูเขาและราชส านักแคว้นต่างๆ ของแจกัน สมบัติทวีปก็มีความเห็นพ้องต้องกันในข้อหนึ่งคอขวดของขอบเขต และตบะก็ต้องดูที่ “ขอบเขตเซียนเหริน” ของสามคนในเวลานี้ว่า ระดับความสูงสุดท้ายของพวกเขาจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ หรือจะพัฒนา ไปได้อีกขั้น
ผู้ฝึกกระบี่ ต้องดูที่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่เป็ นเซียนกระบี่ใหญ่ แล้วว่าจะเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานได้หรือไม่
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า ต้องดูเว่ยป้ อแห่งภูเขาพีอวิ๋น ผู้ฝึก ตนอิสระต้องดูที่หลิวเหล่าเฉิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน
สามคนนี้ก็คือผู้นาที่เดินไปด้านหน้าสุดบนเส้นทางของใครของ มัน
เส้นทางสามสายนี้ก็เหมือนกับว่ามีคนเดินนาอยู่ด้านหน้าแล้ว คนด้านหลังก็แค่ต้องเดินตามไป ไม่เพ้อฝันว่าจะไล่ตามไปทัน สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเดินน าหน้าไปเลย
เฉินผิงอันยืนอยู่ริมหน้าผา เอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเราต่างก็ชอบ บอกว่าอยู่ที่สูงมองไปยังที่ต่า หรือคาสุภาษิตทานองว่าอิฐกระเบื้องเท ลาดเป็ นบ้านที่สูง (อุปมาถึงอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ) เก้าทวีปของใต้ หล้าไพศาล หากใช ้ระดับน้าทะเลมาเป็ นไม้บรรทัด ระดับความสูงของ พื้นดินก็จะเป็ นตะวันตกเฉียงเหนือที่สูง ตะวันออกเฉียงใต้ต่า นอกจากนี้ระดับผิวน้าทะเล อันที่จริงก็มีความลาดเอียงอย่างลุ่มลึกอยู่ ก็แค่ว่าขอบเขตไม่มากก็เท่านั้น แต่เรื่องนี้ไม่เคยมีบันทึกไว้ในต ารา ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่เคยรู ้มาก่อน ยิ่งยากที่จะวัดได้อย่างแม่นยา”
“ในแจกันสมบัติทวีป สภาพภูมิศาสตร ์ของพื้นแผ่นดินก็ยิ่งเป็ น เหนือสูงใต้ต่าอย่างเห็นได้ชัด นี่กลับเป็ นความรู ้ทั่วไปที่คนบนภูเขารู ้ ร่วมกัน ดังนั้นเป็ นซานจวินของหนึ่งทวีปเหมือนกัน ฟ่ านจวิ้นเม่าจึง ค่อนข้างเสียเปรียบ การที่ผู้ฝึกลมปราณในหนึ่งทวีปต่างก็คิดว่าเว่ย ป้ อคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าที่มีหวังเลื่อนระดับความสูงของ ร่างทองให้เท่าเทียมกับขอบเขตบินทะยานได้มากที่สุด ไม่เพียงแต่ เพราะรู ้สึกว่าเว่ยป้ อกับสกุลซ่งต้าหลีสนิทสนมกันอย่างมาก ได้ยึด ครอง “คนสามัคคี” ไปก่อน ยังเป็ นเพราะภูเขาพีอวิ๋นแห่งนี้ได้ยึด ครองฟ้ าอานวยและดินอวยพรไปมากที่สุด คือภูเขาที่มีระดับน้าทะเล สูงที่สุดบนบกของทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันพูดมาถึงตรงนี้ก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงย หน้าขึ้น “นี่จึงเป็ นเหตุให้ภูเขาลูกนี้อยู่ใกล้ฟ้ ามากที่สุด”
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเข้าใจในมูลค่าของเหรียญทองแดงแก่นทอง ก็ต้องยกคุณความชอบให้กับการ โอ้อวด ของฝูหนันหัวแห่งนคร มังกรเฒ่า เขาใช ้บทกลอนโบราณที่ไม่รู ้ว่ามาจากที่ใดมาพรรณนา ถึงเงินเทพเซียนประเภทนี้
“มรกตอาจขุดหาได้พบ แต่แก่นแห่งทองนั้นลี้ลับเกินจะกล่าว
ของขวัญขอบคุณที่หนิงเหยามอบให้ชิ้นนั้น ก่อนที่เจิ้งต้าเฟิงจะ ไปหาเว่ยป้ อที่ภูเขาพีอวิ๋นได้บอกกับเฉินผิงอันก่อนแล้ว หนิงเหยา ฝากเจิ้งต้าเฟิงมาบอกเฉินผิงอันสามประโยค
“นี่ก็คือของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ให้ภูเขาพีอวิ๋นนานแล้ว เจ้าและ ภูเขาลั่วพั่วจะเอาแต่ติดค้างน้าใจของเว่ยป้ อไม่ได้ คนเขาไม่ถือสา แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าขุนเขาอย่างเจ้าจะไม่เก็บไปใส่ใจ
“ของชิ้นนี้มีมูลค่ามากกว่าเหรียญทองแดงแก่นทองมากนัก แต่ กลับมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ไม่เหมาะจะหล่อหลอมของชิ้นนี้ มอบให้เว่ ยป้ อกลับเป็ นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะได้อย่างพอดิบพอดี หากเขา อาศัยของสิ่งนี้ยกตาแหน่งเทพขึ้นไปได้อีกระดับใหญ่ ด้วยนิสัยของเว่ ยป้ อก็มีแต่จะยิ่งให้การดูแลภูเขาลั่วพั่ว
“มอบให้ไปแล้วก็คือมอบให้ไปแล้ว ไม่จ าเป็ นต้องเสียดาย ถึง อย่างไรข้าก็จะค้นหาเหรียญทองแดงแก่นทองให้ได้มากกว่าเดิมอยู่ ในใต้หล้าห้าสีแห่งนี้
นี่ก็คือนิสัยการกระทาในการวางตัวอยู่ร่วมสังคมของหนิงเหยา แล้ว
และก็เป็ นนิสัยที่เฉินผิงอันยืนหยัดให้มีเหมือนกันมาโดยตลอด หลังจากได้รู ้จักกับนาง
มีอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ หนิง เหยาทะเลาะกับเจ้าตอนนั้น ทาให้อีกฝ่ ายไม่สบอารมณ์ แต่ก็จะไม่มี ทางเหลือพื้นที่สาหรับ “ความเข้าใจผิด’ ไว้แม้แต่น้อย
ดังนั้นทางฝั่งของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร เฉินผิงอันก็ไม่เคยปิดบังเรื่องใดๆ ต่อหนิงเหยา ความจริงก็ได้พิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่านี่ก็คือวิถีในการอยู่ร่วมกันที่ดีที่สุดระหว่างเขากับหนิง เหยา
ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความล าพองใจ พูดประโยค ของหนิงเหยาให้เสี่ยวโม่ฟังซ้าอีกรอบ
เสี่ยวโม่เอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ฮูหยินเจ้าขุนเขาช่างเป็ นภรรยาผู้ เพียบพร ้อมที่ต่อให้จุดโคมหาก็ยังหาได้ยากจริงๆ”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากแขนเสื้อ นวดคลึงปลายคาง พลัน หันมามองเสี่ยวโม่ พูดด้วยสีหน้าจริงใจว่า “เสี่ยวโม่อ่า งานเลี้ยงท่อง ราตรีคราวหน้า เจ้าไม่ต้องไปเข้าร่วมแล้วนะเรื่องครึกครื้นแบบนี้อย่า ไปร่วมวงด้วยเลย ก็แค่สรวญเสเฮฮาดื่มเหล้าเท่านั้น ไม่มีความหมาย อะไรหรอก”
เสี่ยวโม่อืมรับหนึ่งที เฉินผิงอันเพิ่งจะโล่งใจ ผลคือเสี่ยวโม่กลับ เอ่ยมาอีกประโยคว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณชายเอาของขวัญไป มอบแทนข้าด้วย”
เฉินผิงอันอ่อนใจยิ่งนัก ขนบธรรมเนียมของขุนเขาข้าคือการ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจจริงๆ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าให้เจ้าเสี่ยวโม่ จริงใจมากขนาดนี้นี่นา
เสี่ยวโม่รีบเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรู ้กาลเทศะ ถามว่า “คุณชาย ซู่เซี่ยฝึกตนเป็ นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินผิงอันกล่าว “ช่วงนี้ระดับความยากในการฝ่ าทะลุขอบเขตมี ไม่มาก ก็แค่ว่าจุดที่ต้องขัดเกลารากฐาน ชดเชยช่องโหว่ในร่างกาย และจิตวิญญาณมีไม่น้อย หลังจากเลื่อนเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า แล้วก็ยังต้องขัดเกลากันต่ออีก”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “ซูเซี่ยมีจิตใจบริสุทธิ์เที่ยงตรง แรงฮึดภายหลังมี มากเหลือเฟือ แล้วยังได้คุณชายช่วยชี้แนะวิชาหมัดให้ด้วยตัวเอง จะต้องเดินไปได้ไกลบนวิถีวรยุทธแน่นอน”
ในเมื่อพูดถึงการเรียนวรยุทธแล้ว เฉินผิงอันจึงถามอย่างใคร่รู ้ว่า “เสี่ยวโม่ ในยุคบรรพกาลที่ผู้คนโดดเด่นไม่ธรรมดา มีใครที่อาศัยแค่ วิชาหมัดก็สามารถต่อยให้ผลกรรมและชะตาชีวิตของเซียนดินคน หนึ่งแหลกสลายได้บ้างหรือไม่? หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือต่อยให้
กลายเป็ นความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่จิตวิญญาณสลาย หายไปเท่านั้น”
เสี่ยวโม่เป็ นคนคิดอ่านรอบคอบมาโดยตลอดจึงไม่ได้รีบร ้อนให้ ค าตอบ แต่ย้อนถามว่า “ความหมายของคุณชายก็คือขับเคลื่อนเส้น เอ็นกระดูกและพละก าลังในเรือนกาย ไม่ต้องใช ้ปราณวิญญาณฟ้ า ดินสักเสี้ยว อาศัยแค่กาลังอย่างเดียว หรือก็คือวิถีวรยุทธอย่างที่โลก ยุคหลังเรียกขานกันมาสังหารเซียนดินคนหนึ่ง ทาให้อีกฝ่ ายมิอาจ กลับมาเกิดได้อีกเป็ นการ “สละร่างหลุดพ้น” อย่างสิ้นเชิงอย่างนั้น หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ประมาณนี้”
ที่แท้ความหมายเดิมแรกเริ่มสุดของคาว่า “สละร่างหลุดพ้น ก็คือ ความหมายนี้เองหรือ?
เสี่ยวโม่ครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเนิบช ้าว่า “ไม่พูดถึงสิบผู้กล้าแห่งใต้ หล้ายุคบรรพกาลซึ่งมีบรรพจารย์สามลัทธิเป็ นหนึ่งในนั้น สหายปี้ เซียวสามารถทาได้สบายๆ พวกบัณฑิตทั้งหลายที่ติดตามอยู่ข้าง กายปรมาจารย์มหาปราชญ์ในช่วงแรกเริ่มสุดก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน บวกกับอู๋หมิงซื่อที่ตื่นมาพร ้อมกับข้าและป๋ ายจิ่งครั้งนี้ ในอดีตข้าง กายเขาก็มีผู้ติดตามที่มีแนวทางคล้ายๆ กันนี้อยู่หลายคน หมัดเท้า ล้วนไม่เบา นับรวมกันแล้วจานวนครึ่งร ้อยคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้”
เฉินผิงอันตกตะลึง “เยอะขนาดนี้เชียวหรือ?”