กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 998.3 สุรา กระบี่ ดวงจันทร
แน่นอนว่าเสี่ยวโม่ต้องเป็ นคนที่ “ดูของออก” “บุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้า” ที่น่าเหลือเชื่อประเภทนี้ได้อยู่นอกเหนือขอบเขต ของศาสตร ์การคัดลอกแบบจ าลองแล้ว ฝ่ ายหลังนี้แค่คล้ายคลึงกับ “ผู้ฝึกตนหญิงหันเจี้ยงซู่ ก่อนหน้านี้แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นของปลอม ไม่ใช่ ตัวจริง ทว่าภาพวาดที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้กลับเป็ น “ผลงานจริงระดับ รอง” ได้อย่างสมชื่อ พูดง่ายๆ ก็คือปณิธานแท้จริงและมรรคกถาของ เทพหญิงผู้นั้นต่างถูกแสดงออกมาอย่างแท้จริงนอกจากเทพหญิงที่ เป็ นตัวปลอมแล้ว อย่างอื่นที่เหลือล้วนเป็ นของจริงทั้งหมด
ก็เหมือนความต่างจากต้นฉบับในการจัดพิมพ์ต าราฉบับแรกใน วงการหนังสือ อย่างหลังถึงขั้นที่ว่าพิมพ์ออกมาได้ประณีตงดงามยิ่ง กว่า
อยู่ดีๆ เสี่ยวโม่ก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา กายและใจหลุดพ้น จากพันธนาการ เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อ แต่ตาเห็นกลับเป็ นของจริง โลกเรียกว่าโลก
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าอนุ มานเอาว่าเศษชิ้นส่วนร่างทองที่ หลงเหลืออยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ ศักยภาพที่แท้จริงเท่าเทียมกับ ขอบเขตบินทะยานครึ่งหนึ่ง น่าจะเป็ นโอกาสในการพิสูจน์มรรคาบิน ทะยานที่หันอวี้ซู่เตรียมไว้ ดังนั้นตอนที่เข่นฆ่ากับข้า ผู้ฝึ กตน
ขอบเขตเซียนเหรินที่เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดคนนี้ถึงได้มีเพียงตอนที่คิด ว่าจะต้องใช ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้อย่างไร จิตแห่งมรรคาถึง ได้เกิดความลังเลอยู่เสี้ยวหนึ่ง ตัดใจจะเอานางมาใช ้กับข้าให้พินาศ วอดวายกันไปทั้งสองฝ่ายไม่ลง”
“คุณชาย ข้ายังคงไม่แน่ใจในตัวตนที่แท้จริงของนาง สิ่งเดียวที่ พอจะมั่นใจได้ก็คือพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้”
เสี่ยวโม่เก็บความคิดจิตใจกลับคืนมา มองบ่อสายฟ้ าทะเลเมฆ นั้นแล้วเอ่ยว่า “คือสระจาแลงมังกรหนึ่งในแท่นลงทัณฑ์ยุคบรรพกาล อยู่ใต้สังกัดของกองพิฆาตกรมสายฟ้ า ส่วนเรื่องที่ว่าทาไมนาง กับอวิ๋นอ๋าวถึงได้ตกมาอยู่ในมือของส านักว่านเหยาได้ ขณะเดียวกัน ยังสามารถข้ามเขตแดนบังคับสระจ าแลงมังกรได้อีกด้วย กลับเป็ น ปริศนาข้อหนึ่งแล้ว การแบ่งงานของเทพในสรวงสวรรค์ชัดเจนอย่าง ยิ่ง ไม่อนุญาตให้เกิดความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อยแล้วท าไมถึงได้ เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้ คาดว่าคงต้องหาโอกาสลอบแฝงตัว เข้าไปในพื้นที่มงคลสามภูเขาถึงจะตามหาเบาะแสได้”
สระจ าแลงมังกร
ในอดีตเผ่าพันธุ์น้าในใต้หล้าต้องผ่านประตูมังกรเพื่อจาแลงเป็ น มังกรอยู่ที่นี่ ส่วนมังกรแท้จริงที่ถูกลงทัณฑ์อย่างทารุณด้วยการถลก หนังดึงเส้นเอ็นจะหล่นร่วงลงสู่พื้นดินจิตวิญญาณจะสลายหายไปสิ้น สูญเสียร่างของมังกรที่แท้จริงไป
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ ขมวดคิ้วน้อยๆ นิ้วโป้ งของสองมือเคาะกัน เบาๆ
จาได้ว่าครั้งแรกที่ไปเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีปเคยจ่ายเงินเกล็ดหิมะ ยี่สิบเหรียญซื้อภาพเทพหญิงห้าภาพที่บรรจุอยู่ในกล่องใบหนึ่งจาก นครปี้ฮว่าของสานักพี่หมา
และเทพหญิงทั้งห้าที่ตอนนั้นได้เปลี่ยนจากภาพวาดฝาผนังสีสัน กลายเป็ นภาพขาวดาก็แบ่งออกเป็ นชื่อ “จ่างฉิง” “เป๋ าไก้” “หลิงจือ” “ซุนกวน” และ “จ่านคาน” เทพหญิงจ่านคานมีอีกชื่อหนึ่งว่าเซียนจั้ง หรือเซียนไม้เท้า พวกนางแบ่งกันครอบครองตะเกียงดอกบัวสีทองที่มี ด้ามจับยาว ถือฉัตร ในอ้อมอกกอดหลิงจือหยกขาวสมปรารถนา นก ขมิ้นบินรอบร ้อยบุปผาสวมเสื้อเกราะถือขวาน มีสายฟ้ าเปล่งวูบวาบ รอบกาย องอาจห้าวหาญมากเป็ นพิเศษ
ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่เคยสงสัยมาก่อนว่าเทพหญิงที่ มีความเกี่ยวพันกับมหามรรคาของหันอวี้ซู่แห่งส านักว่านเหยาอย่าง แนบแน่นผู้นี้เดินออกมาจากนครปี้ฮว่า
เพียงแต่ว่าดูเหมือนเวลาจะไม่ตรงกัน สานักพี่หมาคือสานักเบื้อง ล่างของกองก าลังฝ่ ายนอกซึ่งต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมากกว่าจะลง หลักปักฐานอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้ และเป้ าหมายก็คือนครบี้ฮว่า
บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของส านักว่านเหยาจับผลัดจับผลูหลง เข้าไปในพื้นที่มงคลสามภูเขา นั่นกลับเป็ นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนาน มากมาแล้ว
เว้นเสียจากว่ามีความเป็ นไปได้อย่างหนึ่ง เทพหญิงบางท่านร่าย เวทอาพรางตา อันที่จริงนางได้ออกไปจากนครปี้ฮว่านานแล้ว แต่ ภาพวาดลงสีได้ถูกร่ายเวทลับเอาไว้จึงท าให้สีสันไม่จืดจางไป
ในเวลาพันปีที่ผ่านมานี้ เทพหญิงทั้งเก้าท่านได้เริ่มทยอยเลือก เจ้านายของตัวเองแล้วจากการ “สะกดรอยตาม” และการสืบสาวราว เรื่องของผู้ฝึกตนบนภูเขาของอุตรกุรุทวีป เทพหญิงทั้งห้าที่ออกไป จากนครปี้ฮว่า “ซุนกวน” หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว นอกจากนี้ก็มีคน หนึ่งที่รบตายไป ถูกเขียนกระบี่ป๋ ายฉางสังหารกับมือตัวเอง เทพหญิง สองคนสละร่างหลุดพ้นไปพร ้อมกับเจ้านาย ส่วนขุนนางสวรรค์จาก กองเมฆาที่เฉินผิงอันสงสัยว่ามีความเป็ นไปได้ที่จะเป็ นเทพหญิงจ่าน คานผู้นี้ กลับไม่สอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย เพราะนางอยู่ในสายตา ของอุตรกุรุทวีปมาโดยตลอด เนื่องจากเทพหญิงผู้นี้คือข้ารับใช ้ของ ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง ผู้บรรลุมรรคาคนนี้ไม่ใช่ผู้ฝึก กระบี่ จากบันทึกของคฤหาสน์หลบร ้อน นางยังเคยติดตามเจ้านาย ไปเยือนกาแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนด้วย
ในตาหนักใต้ดินของนครปี้ฮว่า เทพหญิงจ่านคาน
เฉินผิงอันยกมือขึ้นมา ในมือก็มีดาบแคบพิฆาต (จ่านคาน) โผล่ มา
ไม่ผิดไปจากที่คาด เทพหญิงจ่านคานแห่งหน่วยสายฟ้ าซึ่งมีชื่อ เรียกบ้านๆ ว่า “เซียนไม้เท้า” ผู้นี้ต้องมีเป้ าหมายเป็ นวัตถุเทพแห่ง แท่นลงทัณฑ์ในมือเฉินผิงอันชิ้นนี้
และดาบแคบพิฆาตก็เป็ นเด็กชายผมขาวที่เอาออกมาจาก ต าหนักสุ่ยฉูของใต้หล้ามืดสลัวมาอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันพยักหน้า เก็บม้วนภาพทั้งสองลงไป แต่กลับเหลือ ทะเลเมฆผืนนั้นไว้ เป่ าลมออกมาเบาๆ ก็มีภาพผิดปกติปรากฏขึ้น ราวกับว่าเมฆขาวได้ให้กาเนิดเซียนเหริน ระหว่างที่ก าลังพูดคุยไอ หมอกลอยกรุ่นประหนึ่งพาดบันไดเมฆ จากนั้นในจวนน้าแห่งชะตา ชีวิตที่เฉินผิงอันเก็บตราประทับอักษรน้าชิ้นนั้นไว้ก็มียันต์สีเขียว มรกตแผ่นหนึ่งพุ่งออกมาช ้าๆ โชคชะตาน้าทั้งเข้มข้นทั้งบริสุทธิ์ เมื่อ ยันต์นี้พุ่งออกมา แสงน้าซัดสาด สี่ทิศเป็ นประกายเจิดจ้า
เฉินผิงอันเรียกยันต์นี้ออกมาแล้วก็อธิบายว่า “ว่ากันว่าสานัก ว่านเหยาใช ้ยันต์ที่เป็ นของแทนตัวหกแผ่นเป็ นสัญลักษณ์แทน สถานะของผู้ฝึกตน เจ้าสานักได้ไปสามแผ่น ส่วนที่เหลือก็ถูกสาม สายซึ่งมีสายของผู้คุมกฏเป็ นหนึ่งในนั้นแบ่งกันไป ยันต์แผ่นนี้ก็คือ ยันต์ถ่มน้าลายเป็ นนทีหนึ่งในยันต์ลับหกชนิดของสานักว่านเหยา”
จากบันทึกใน “มหัศจรรย์ที่แท้จริงตาราสีชาด” ความมหัศจรรย์ ของยันต์ไม่ได้อยู่ที่กระดาษ แต่อยู่ที่การผสานรวมกับโอสถทองและ ก่อก าเนิดของผู้ฝึกตน ยกตัวอย่างเช่นในผนังห้องหลอมโอสถก็จะ เป็ นเหมือนการแกะสลักตัวอักษรลงไปบนหินผา หากขอบเขตสูงขึ้น
ไปอีกขั้นก็จะอาศัยทารกก่อกาเนิดก่อตั้งป้ ายศิลาในถ้าสถิตที่สาคัญ ใช ้ดวงจิตไปควบคุม “เปลวเพลิงในเตาไฟ” ที่เป็ นมายาล่องลอย เขียน “คากล่าวในพิธีบวงสรวง” ซึ่งมีความโบราณเก่าแก่ยิ่งกว่าคา เขียวของลัทธิเต๋า
ผู้ฝึ กตนแกะสลักก้อนหิน ตั้งป้ ายศิลาในฟ้ าดินเล็กร่างกาย มนุษย์จึงจะถือว่าเป็ นความหมายที่แท้จริงของยันต์บรรพกาล
ยันต์ที่วาดขึ้นด้วยการกระทาเช่นนี้จึงจะถือว่าเป็ นของของผู้ฝึก ตนเอง ได้รับวาสนาจากฟ้ าดิน อยู่ห่างจากมหามรรคาที่สอดคล้อง ตรงใจอีกไม่ไกล
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยรู ้สึกว่าตัวเองได้เดินเข้าห้องของสาย ยันต์อย่างแท้จริงแล้วยังอยู่ห่างชั้นอีกไกลนัก
ป๋ ายอวี้จิงบูชาคัมภีร ์ใหญ่ที่ถูกขนานนามให้เป็ นรากฐานมหา มรรคาอยู่หลายเล่ม เล่มหนึ่งในนั้นมีชื่อว่า “ซัวฝู” เพียงแต่ว่าไม่ได้มี ชื่อเสียงและแพร่หลายอย่าง “หวงถิง” ของลู่เฉิน
“มหัศจรรย์ที่แท้จริงตาราสีชาด” ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้เฉินผิงอันก็ คล้ายกับ “ซัวฝู” ฉบับย่อ ส่วนที่ตัดเอามาเฉพาะแก่นสาคัญ
“รู ้ว่าเป็ นของดี แต่ไม่เคยกล้าเอายันต์นี้มาหลอมใหญ่เป็ นวัตถุ แห่งชะตาชีวิต กลัวว่าหันอวี้ซู่จะท านายได้ล่วงหน้าจึงเล่นตุกติกกับ มันมาก่อนแล้ว หรือไม่ก็มีเจตนาร้าย คิดไว้ว่าหากเจอกับศัตรูที่
แข็งแกร่งก็จะจงใจแสร ้งท าเป็ นพ่ายแพ้ถอยร่น แล้วทิ้งยันต์ภูเขา บรรพบุรุษแผ่นนี้ไว้ให้อีกฝ่ายเอาไปหลอม”
เฉินผิงอันกล่าว “อาศัยการเปลี่ยนแปลงและวิเคราะห์ถอดส่วน อนุมานย้อนกลับไปตลอดทาง ข้าก็พอจะเข้าใจขั้นตอนการหลอม ยันต์ลับชิ้นนี้แล้ว”
ผู้ฝึ กตนจะต้องสร ้างบ่อลึกบ่อหนึ่งขึ้นมาในจวนน้าของตัวเอง เสียก่อน รอบปากบ่อแกะสลักสี่คาว่า “เทพพิรุณจงฟังคาสั่ง” ปากบ่อ ต้องเอนเข้าไปด้านในเล็กน้อย มองแล้วนอกสูงในต่า ค่อนข้าง คล้ายคลึงกับเพดานเปิดอ้ากลางบ้านที่ทุกครัวเรือนในเมืองเล็กมี มี ข้อพิถีพิถันที่ว่าน้าจากสี่ทิศเข้ามารวมในโถงเดียวกัน คิดว่าทุกๆ หก สิบปี ช่วงเข้าหน้าหนาวจะต้องตามหาแม่น้าหรือทะเลสาบใหญ่ยักษ์ที่ มีโชคชะตาน้าเปี่ยมล้น ดึงเอาน้ามาหนึ่งโต่วแบ่งออกเป็ นสี่ส่วนแล้ว แยกกันรดลงไปบนสี่คาว่า “เทพพิรุณจงฟังคาสั่ง” ราดลงบนคาว่า พิรุณก่อนเป็ นแนวตั้ง คาว่าเทพเป็ นแนวนอน ราดลงบนเส้นตวัดซ ้าย สุดท้ายของค าว่าจงฟังและเส้นตวัดขวาสุดท้ายของคาว่าคาสั่ง ให้น้า ไหลเข้าไปในบ่อ
เนื่องจากในฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ทุกเรื่องล้วนเป็ นได้ตามใจ ปรารถนาไม่ละเมิดกฎ
ระหว่างเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่มีบ่อน้าบ่อหนึ่งโผล่มา ตรงปากบ่อ น้าแกะสลักสี่คาว่าเทพพิรุณจงฟังคาสั่ง น้าหนึ่งโต่วลอยอยู่กลาง อากาศราดรดบนตัวอักษรทั้งสี่แล้วค่อยๆไหลเข้าไปในปากบ่อ
คาพังเพยบอกว่าน้าบ่อไม่ยุ่งกับน้าคลอง ทว่านับแต่โบราณมา เรื่องของการฝึ กตน ฝึ กวิชาเซียน แสวงหาความเป็ นอมตะ พลิก กลับหยินหยาง มองข้ามมืดและสว่างที่มีความต่าง…เดิมทีก็เป็ นการ กระทาที่ละเมิดกฎสวรรค์อยู่แล้ว
“และเมื่อเป็ นวันที่เข้าสู่หน้าร ้อนของปี หน้า ผู้ฝึ กตนคีบยันต์ ขึ้นมา อาศัยปราณหยางจากดวงอาทิตย์ร ้อนแรงเผาไหม้ มือหนึ่ง สร ้างบ่อสายฟ้ าขึ้นมา ทามุทราห้ามังกรเปิดภูเขาเผายันต์น้า “ใต้ อาณัติ” ที่คล้ายคลึงกับยันต์มหานทีไหลเชี่ยว หรือยันต์น้าขึ้นกรอก เทอย่างน้อยสิบสองชนิด เพื่อให้เป็ นของเซ่นไหว้บรรณาการแก่ยันต์ นี้ ผู้ฝึ กตนทาท่าเหมือนปลาวาฬสูบน้าดื่มน้าหนึ่งโต่วจนหมดสิ้น สร ้างทัศนียภาพที่น้าตกเทจากฟากฟ้ าลงมาสู่พื้นดินในฟ้ าดิน ร่างกายมนุษย์ พุ่งโจมตีไปยังก้นบ่อ เพื่อขุดบ่อให้ลึกกว่าเดิม ผ่าน “น้าหยดลงหิน หลายสิบรอบเจี่ยจื่อ (หนึ่งรอบเจี่ยจื่อหมายถึงหกสิบ ปี) หนึ่งร ้อยรอบเจี่ยจื่อ บ่อน้านี้ก็จะสามารถเกิดการเชื่อมโยงกันกับ น้าจากห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร เก้านที่แปดลาคลองของโลก ภายนอกได้แล้ว เมื่อผู้ฝึกตนถือยันต์นี้แล้วท่องคาถา ก็ประหนึ่งถือ คาสั่งจากสวรรค์หลักธรรมชาติของฟ้ าและดิน ปากอมกฎสวรรค์ แน่นอนว่าสามารถยืมน้าได้อย่างไร ้อุปสรรค น้าของมหานทีไหล เชี่ยวท่วมฟ้ าทับดิน มากพอจะกลบทับภูเขา เปลี่ยนให้พื้นดิน กลายเป็ นมหาสมุทรได้”
เห็นเพียงว่าน้าหนึ่งโต่วที่ลอยอยู่กลางอากาศไหลลงมาเป็ นเส้น มีพลังอ านาจของน้าตกใหญ่ที่เทกระหน่าลงมา ตรงดิ่งเข้าสู่บ่อน้า ใน บ่อน้าก็มีเสียงฟ้ าร ้องครืนครั่น
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “อาศัยวิชานี้ให้ดารงอยู่อย่างยาวนาน อ้าปากพ่น เรียกยันต์ออกมา ก็สามารถทาให้น้าไหลพุ่งเป็ นแม่น้า สมกับค าว่า น้าลายหนึ่งฟองท่วมทับคนให้ตายได้จริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตอนนั้นโจวอันดับหนึ่งก็ใช ้คาเปรียบเทียบ เช่นนี้”
มิน่าเล่าพวกเจ้าสองคนยังไม่เคยเจอหน้ากันก็มีลางของการช่วง ชิงบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นแล้ว
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเคยทอดถอนใจบนโต๊ะสุราบอกว่า ไม่ใช่ผิน เต้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ ์เก่าก่อนกับโจวอันดับหนึ่ง แต่เป็ นเพราะ อาจารย์เสี่ยวโม่ใจกว้างมีน้าใจมากเกินไปจริงๆ
ชุยตงซานก็ยิ่งร ้ายกาจ บอกว่าโจวอันดับหนึ่งหากเจ้ายังไม่ กลับมาอีกก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์ แบบก็คือ จุดที่ล้าค่าที่สุดของยันต์นี้อยู่ที่ตัวของวัสดุซึ่งสามารถ รองรับความหมายแห่งมรรคาที่ทับซ ้อนกันเป็ นชั้นๆ ได้ ดังนั้นจึงได้ แต่สืบทอดต่อกันไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า พลานุภาพของยันต์จึงจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ไต่สูงถึงระดับสูงสุด แทบจะแตะไปถึงต้นกาเนิดแห่งมหา
มรรคาของวิชาน้าได้เลยแต่กลับมิอาจทาซ้าได้อีก และก็ไม่ต้องคิดที่ จะผลิตในปริมาณมากเลย”
เสี่ยวโม่กล่าว “ในเมื่อปมของปัญหาอยู่แค่ที่วัสดุของยันต์ก็ไม่ใช่ เรื่องยาก คุณชายแค่บอกมาให้ชัดเจน วันหน้าข้าเจอกับสหายปี้ เซียวอีกครั้งก็สามารถขอจากสหายผู้นี้ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ติดค้างน้าใจของใครก็ได้ แต่ อย่าได้ติดค้างน้าใจของเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้”
เสี่ยวโม่กล่าว “คุณชายวางใจเถอะ ข้าคือข้อยกเว้น”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้งไปทันใด
เสี่ยวโม่ไม่เคยคุยโวมาก่อน
การเดินทางไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้นทาให้เฉินผิงอัน คิดถึงตงไห่ นักพรตผู้เฒ่าที่มี “มรรคกถาเชื่อมโยงฟ้ า” แห่งอาราม กวานเต๋าผู้นี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็หวาดผวาเมื่อนั้นจริงๆ “จิตแห่งมรรคามี ฝุ่นเกาะ” อย่างมากแล้ว
พูดให้ฟังง่ายหน่อยก็คือเฉินผิงอันมีเงามืดในใจกับเจ้าอารามผู้ เฒ่าคนนี้แล้ว นี่เป็ นสภาพจิตใจที่ไม่ต่างจากผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดิน ของต้าหลีในทุกครั้งที่คิดถึงอื่นกวานหนุ่มสักเท่าไร
เฉินผิงอันเรียกยันต์เก่าแก่ที่มาจากภูเขาบรรพบุรุษของสานัก ว่านเหยาออกมาอีกหนึ่งแผ่น จ าแลงออกมาเป็ นขุนเขาใหญ่โบราณ ลูกหนึ่ง มีชื่อว่า “ไท่ซาน
ยันต์ภูเขาบนโลกนี้มีมากมายดุจขนวัว เส้นสายซับซ ้อน สะสม ดินกลายเป็ นภูเขา วิชาอภินิหารของยันต์แต่ละประเภทแตกต่างกัน ไป ยันต์ภูเขาคนและแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน
ขยุ้มดินในช่องโพรงลมปราณมาเล็กน้อย ท่องคาถาเงียบๆ มอบ ความหมายที่แท้จริงให้แก่มัน แล้วโปรยดินลงไปบนพื้น ก็จะกลายมา เป็ นภูเขาใหญ่ที่โผล่มาจากความว่างเปล่าตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้ า ดิน
สายหนึ่งที่เป็ นที่ยอมรับว่าพลานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือสาย “ย้าย ขุนเขา” มหาบรรพตแห่งใต้หล้า อาศัย “รูปแบบที่แท้จริง” มาทุ่มทับ คน บารมีอานาจยิ่งใหญ่อย่างมาก
ยันต์ภูเขาบรรพบุรุษสองแผ่นสร ้างสถานการณ์ที่น้าล้อมวนรอบ ภูเขาสูง
เสี่ยวโม่รู ้รากฐานของภูเขานี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มอง เอ่ยว่า “เคย เป็ นสถานที่ในการถ่ายทอดวิชาของอาจารย์ซานซานจิ๋วโหว เพื่อให้ ถ่ายทอดวิชายันต์ให้กับนักพรตจากแต่ละฝ่ ายที่ขึ้นเขามา แต่ อาจารย์ท่านนี้ไม่เหมือนกับนักพรตเซียนเว่ย ธรณีประตูสูงมาก แต่ ไหนแต่ไรมาก็ไม่ถ่ายทอดวิชาให้คนนอกง่ายๆ ภูเขาไท่ซานมีภาพ
ลวงตาสิ่งกีดขวางมากมายนักพรตส่วนใหญ่ล้วนขึ้นไปไม่ได้ ดู เหมือนว่ายันต์ทาลายสิ่งกีดขวางภูเขาสายน้าในโลกยุคหลังก็เป็ น พวกนักพรตเหล่านั้นที่ศึกษาค้นคว้ากันขึ้นมา”
“ข้าเคยเดินทางผ่านภูเขาลูกนี้ แน่นอนว่าใช ้ปราณกระบี่ฝืนเปิด ทางเดินขึ้นสู่ยอดสูงแต่ตอนนั้นอาจารย์ท่านนี้ได้จากไปแล้ว ว่ากันว่า ไปต่อสู้กับผู้ฝึกกระบี่หนึ่งในสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้า ปราณกระบี่เข้มข้น เกินไป ยังคงวนเวียนไม่จางหาย เจ้าของรู้สึกว่าไม่เหมาะจะฝึกตนอีก แล้วจึงลงจากภูเขาออกเดินทางไกล ส่วนผลแพ้ชนะในการต่อสู้ครั้ง นั้นเป็ นอย่างไรโลกภายนอกต่างก็ไม่มีใครรู้”
นักพรต บัณฑิต ปัญญาชน อาจารย์ ในยุคบรรพกาลล้วนถือ เป็ นคาเรียกขานที่มีน้าหนักอย่างมาก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “มิน่าเล่าคนรุ่นหลังที่หากอยากเป็ นผู้ฝึกตน สายยันต์ถึงได้มีธรณีประตูสูงขนาดนี้ ระดับความยากเป็ นรองแค่ผู้ ฝึกกระบี่เท่านั้นเอง”
หันอวี้ซู่เคยทาตามคาถาตาราทองบทหนึ่งที่ถ่ายทอดมาจาก บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาใช ้ภูเขาไท่ซานแห่งนี้มาเป็ นยันต์ วาดเส้นสี ทองหลายเส้นไว้บนภูเขาเพื่อเอามาเพิ่มความหมายแห่งมรรคาของ ภูเขาโบราณ
ในภูเขาเต็มไปด้วยแม่น้าลาคลองลาธารสีทองนับร ้อยสายที่ไหล จากยอดเขาแผ่ไปทั่วสี่ทิศกระทั่งไปถึงตีนเขา
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่เพิ่งได้เรียนรู ้มาก็เอามาใช ้งานต่อหน้าต่อตา หันอวี้ซู่ที่อยู่ด้านข้างเป็ นเหตุให้หันอวี้ซู่มั่นใจว่าเฉินผิงอันจะต้องเคย สัมผัสกับสายรองของยันต์สามภูเขามาก่อนแน่นอน
ยันต์ภูเขาบรรพบุรุษสองแผ่น บวกกับทะเลเมฆผืนนั้น
ทะเลเมฆอยู่ด้านใต้สุด ภูเขาห้อยกลับหัว น้าล้อมวนอยู่ตรงกลาง เฉินผิงอันและเสี่ยวโม่ยังคงนั่งอยู่บนเบาะ เป็ นเหตุให้ภาพที่พวกเขา เห็นในสายตาเหมือนการพลิกฟ้ ากลับดิน
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจว่า “ข้ามองออกว่ามันเป็ นยันต์ทับซ ้อน ประเภทหนึ่งมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีร่องรอยให้ตาม หา หาเบาะแสไม่เจอ ก็เหมือนกับอวิ๋นอ๋าวที่หากไม่มีวิชาลับเฉพาะมา เป็ นตัวช่วย ไม่ว่าจะเรียนรู ้อย่างไรก็ท าไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายนิ้ว ปลายนิ้วก็มีเส้นแสงสีทองเป็ นเส้นๆ กลุ่มๆ โผล่มา สุดท้ายคัดลอกยันต์บรรพกาลที่เป็ นวิชาลับสืบทอดกัน เฉพาะในสานักว่านเหยาออกมาหนึ่งแผ่น เป็ นทั้งยันต์ภูเขา แล้วก็ เป็ นทั้งยันต์กระบี่
เพียงแต่เมื่อเทียบกับยันต์ภูเขาบรรพบุรุษสองแผ่นก่อนหน้านี้ที่ ต่างก็เป็ นของจริงยันต์แผ่นนี้กลับเป็ นเฉินผิงอันที่วาดขึ้นมาจาก ความว่างเปล่า
นี่คือกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่วาดเป็ นรูปมหาบรรพตเก่าแก่ ห้าลูก ใช ้ดินห้าสีหายากที่ทุกครั้งที่วาดยันต์ใช ้หมดไปหนึ่งตาลึง บน
โลกมนุษย์ก็มีดินนี้ลดน้อยลงไปหนึ่งตาลึงนามาหลอมเป็ นชาดที่ใช ้ ในการวาดยันต์ สุดท้ายใช ้คาถากระบี่เขียนอักษรคาว่า “ห้าขุนเขา” เป็ นแก่นของยันต์
ผู้ฝึกตนเรียกยันต์นี้ออกมาก็เหมือนห้าขุนเขาที่ลอยห้อยกลับหัว อยู่กลางอากาศ ยอดเขาเหมือนปลายกระบี่ที่ชี้ตรงสู่พื้นดิน