กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 999.2 จอกเหล้าเปลี่ยนเป็นชาม
ม้าชิงชงนอกต้นหลิว ชายเสื้อสีแดงริมลาน ้า ภูษาอาภรณ์สะบัด
ไหว ชายกระโปรงพลิ้วจากไป ทุกหนทุกแห่งมีแต่เสียงสกุณา
ก็เหมือนอย่างขุนนางหญิงในกองงานทั้งหลายของบ้านตน ไม่ว่า
จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน ้าเก่าหรือเป็นภูตผีตามป่าเขา พวก
นางแทบทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของอิ่นกวานหนุ่มที่เหมือน
มีเมฆหมอกล้อมวนผู้นี้
เว่ยป้อยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าล่ะประหลาดใจนัก หนิงเหยาเป็นคน
ใจกว้างขนาดนั้น แต่เจ้ากลับคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องแบบนี้ นี่จะไม่ตก
เป็นที่ต้องสงสัยว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยต าลึง หวังเอ้อข้างบ้าน
ไม่ได้ขโมย (เปรียบเปรยว่ายิ่งปกปิดยิ่งมีพิรุธ) หรอกหรือ?”
เฉินผิงอันแค่นเสียงเย็นชา “นี่เจ้ากาลังเป็นเทพภูเขาน้อยที่โอ้
อวดวิชาหดย่อภูเขากับซานจวินมหาบรรพตอย่างนั้นหรือ?”
หากจะพูดถึงเหตุผลบนหน้ากระดาษและความรู้นอกต าราใน
เรื่องความรักชายหญิงแล้วล่ะก็ ข้าเอาชนะพวกคนลามกอย่างจูเห
ลี่ยน โจวอันดับหนึ่งและเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ไม่ได้ แต่เอาชนะเจ้าเว่
ยป้อ เสี่ยวโม่และเซียนเว่ยได้สบายๆ ต่อให้พวกเจ้ารวมกัน ข้าผู้
อาวุโสใช้มือเดียวก็ยังพอเหลือแหล่
เว่ยป้อซื้อใบ้ไร้คาพูดทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนใจ หาก
รู้แต่แรกก็คงไม่ช่วยกองพิธีกรรมจัดงานเลี้ยงสุรานี้ขึ้นมาแล้ว
ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า
อาศัยจอกสุรามาเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
เฉินผิงอันดื่มเหล้าในจอกหมดแล้วก็โบกมือเป็นวงกว้าง “ดื่ม
เหล้าแบบนี้น่าเบื่อ ไม่เข้ากับปากเลย เร็วเข้า รีบเปลี่ยนจอกเหล้าเป็น
ชามขาวใบใหญ่!”
…….
ด้านนอกศาลาริมน ้าของตาหนักฉางชุน บนเส้นทางที่ดอกไม้
และนกอิงแอบเคียงคู่ มีสตรีวัยกลางคนที่รูปโฉมด้อยกว่าจะเทียบโจว
ไห่จิ้งและก่ายเยี่ยนได้ติดเดินมา ข้างกายพาผู้ฝึกตนหญิงที่มีรูปโฉม
เป็นเด็กสาวมาด้วยคนหนึ่ง ฝ่ายหลังถือถาดผลไม้มาหนึ่งถาด
สตรีมีนามว่าซ่งอวี๋ คือผู้อาวุโสไท่ซ่างของตาหนักฉางชุน เด็ก
สาวคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนาง มีนามว่าจงหนัน
ทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปล้วนไม่เข้าใจเรื่องการที่ราชวงศ์สกุล
ซ่งต้าหลีให้ความสาคัญกับผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างหร่วนฉง และ
ปฏิบัติต่อตาหนักฉางชุนที่ทุกวันนี้ยังเป็นแค่หนึ่งในตัวสารองสานัก
อย่างดีมาโดยตลอด ต่างก็รู้สึกว่าพวกเขาจัดการปัญหาใหญ่ด้วยวิธี
ที่ควรใช้กับเรื่องเล็ก ยกตัวอย่างเช่นต่อให้สกุลซ่งจะเห็นแก่
ความส าคัญเก่าก่อนมากแค่ไหนอีกทั้งด้วยกองก าลังแคว้นและ
รากฐานของราชวงศ์ต้าหลีในทุกวันนี้ก็ควรจะเปลี่ยนผู้ถวายงาน
อันดับหนึ่งที่อย่างน้อยควรเป็นเซียนเหริน หรือแม้กระทั่งเป็นขอบเขต
บินทะยานคนหนึ่งได้แล้ว เพื่อให้เป็นหน้าเป็นตาของแคว้น
ซ่งอวี๋มีฉายาว่าหลินโหยว คือผู้ฝึกตนที่มีขอบเขตและล าดับ
อาวุโสสูงที่สุดในตาหนักฉางชุน และนางก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ปิดสานัก
ของบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของต าหนักฉางชุน
เจ้าตาหนักคนปัจจุบันก็ยังเป็นแค่ศิษย์หลานของผู้ฝึกตนหญิง
คนนี้
ซ่งอวี๋คือขอบเขตก่อกาเนิดที่มีอายุในการฝึกตนยาวนานมาก มี
ศาสตร์คงความเยาว์รูปโฉมเป็นสตรีวัยกลางคน
เนื่องจากสกุลซ่งต้าหลีปฏิบัติต่อต าหนักฉางชุนอย่างดีและมี
มารยาทอย่างมาก เป็นเหตุให้โลกภายนอกมีการคาดเดากันมาโดย
ตลอดว่าการที่สกุลซ่งต้าหลีสามารถเปลี่ยนจากแคว้นเล็กๆ ใต้
อาณัติของสกุลหลูในช่วงแรกสุด ค่อยๆ ลุกผงาดขึ้นมาท่ามกลางภัย
ภายในและภัยภายนอก สุดท้ายแว้งกลับมาฮุบกลืนแคว้นเหนือหัว
ก้าวกระโดดขึ้นเป็นผู้พิชิตของทิศเหนือในแจกันสมบัติทวีป ใน
ขั้นตอนที่ลมมรสุมพัดกระโชกแรงนี้ ซ่งอวี๋ที่มีแซ่เดียวกับแคว้นและ
ตาหนักฉางชุนที่นางดูแลจัดการมาเองกับมือก็คือคนที่ช่วยผลักดัน
อยู่เบื้องหลังซึ่งช่วยให้สกุลซ่งต้าหลีสามารถรอดตายจากการถูก
หนีบอยู่ตรงกลางมาได้ แล้วก็เพราะมีนางคอยช่วยไกล่เกลี่ย คอย
พูดจาดีๆ ต่อฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยของราชวงศ์สกุลหลูสกุลซ่งต้าหลีถึง
ได้รอคอยจนมีขุนนางผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์อย่างหยวน เฉาสองคน
ปรากฏตัว และอดทนมาอีกร้อยปี ในที่สุดก็ได้เจอกับซิ่วหูที่มารับ
หน้าที่เป็นราชครู หลังจากนั้นถึงได้เชื้อเชิญให้หร่วนฉงอริยะสานัก
การทหารมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง….
ซ่งอวี๋มาเยือนด้วยตัวเอง หยวนฮว่าจิ้งจึงขยับเท้าเดินไปถึงเชิง
บันไดทางทิศเหนือของศาลา กุมหมัดคารวะ
เกินครึ่งคงเป็นเพราะผู้ฝึกตนของต าหนักฉางชุนสัมผัสได้ถึง
ความเคลื่อนไหวของที่นี่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันก็เลยได้แต่
รบกวนผู้อาวุโสไท่ซ่างท่านนี้ให้มาตรวจสอบด้วยตัวเอง
อันที่จริงซ่งอวี๋สังเกตเห็นความผิดปกติของกระเบื้องแก้วใสบน
หลังคาศาลานานแล้วหลังจากที่เมื่อวานได้รับรายงาน นางก็แค่จงใจ
ถ่วงเวลาไว้ไม่มาเท่านั้น แค่เด็กๆ ทะเลาะกันความเสียหายเล็กน้อย
แค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ พอมีความเคลื่อนไหวก็รีบเร่งรุดมากลับจะ
แสดงให้เห็นว่าตาหนักฉางชุนจิตใจคับแคบ นางจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“ล าบากทุกท่านแล้ว”
ก่ายเยี่ยนรับถาดผลไม้มา คลี่ยิ้มหวานเอ่ย “ไม่ลาบากเลยสักนิด
เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว อีกอย่างที่นี่ก็ทิวทัศน์ดี ทั้งสบายตาทั้ง
สบายใจ”
ในฐานะเถ้าแก่โรงเตี้ยมตระกูลเขียนในเมืองหลวง นางตัดสิน
แล้วว่าจะต้องแก้ไขความผิดพลาดก่อนหน้า ต้องทาให้กิจการของ
โรงเตี้ยมดีขึ้นให้จงได้ ก็เหมือนอย่างศาลาแห่งนี้ที่มีชื่อว่า “เรือนจั๋ว
เฟย (ความผิดพลาดในวันวาน) พอดี ราวกับสร้างขึ้นมาเพื่อนาง
โดยเฉพาะ แม้ว่าสตรีอย่างโจวไห่จิ้งพูดจาไม่ค่อยน่าฟัง แต่บางครั้งก็
พูดภาษาคนอยู่บ้าง
เด็กสาวหยิบเหล้าหมักตาหนักฉางชุนหกกาจากในวัตถุฟางขุ่น
ที่อาจารย์มอบให้ออกมาตามกฎเดิม
ก่ายเยี่ยนลอบยินดีอยู่ในใจ ได้มาอยู่ในมืออีกห้ากาแล้ว ส่วนที่
เป็นของโจวไห่จิ้งนั้นก็อย่าได้หวังเลย สตรีผู้นี้คือคนโลภที่ในดวงตา
มีแต่เงินทอง หน้าไม่อาย ใจคิดแต่จะอยากหลอกเอาเหล้าที่อยู่ในมือ
ของพวกหยวนฮว่าจิ้งไปด้วย
โจวไห่จิ้งแค่เอนกายพิงเสา สองแขนกอดอก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“ถึงอย่างไรพวกเราก็มีหน้าที่ติดตัว ดื่มเหล้าย่อมท าให้เกิดเรื่อง
ผิดพลาดได้ง่าย อีกอย่างในศาลาแห่งนี้ก็มีภาพอักษรที่งดงาม ต่างก็
พูดกันว่ายามที่คนเราผิดหวัง แค่ต้องเอาบทความที่ทาให้เกิดความ
สบายใจของคนโบราณมาอ่านก็พอ แค่นี้ก็ทาให้จิตใจผ่อนคลายได้
แล้ว ไม่จาเป็นต้องใช้สุรามาราดรดความทุกข์ ดังนั้นน ้าใจนี้พวกเรา
รับไว้แล้ว คราวหน้าซึ่งเขียนชื่อไม่ต้องเอาเหล้ามามอบให้อีกแล้ว
จริงๆ”
ก่ายเยี่ยนใช้เสียงในใจค ารามอย่างเดือดดาล “โจวไห่จิ้ง! ไร้
คุณธรรมยิ่งนัก เจ้าเองก็เป็นคนโลภในทรัพย์สินเหมือนกันไม่ใช่
หรือ? ท าไมถึงต้องใช้วิธีการชั่วร้ายที่สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเอง
เสียหายแปดร้อยเช่นนี้ด้วย?!”
โจวไห่จิ้งหัวเราะคิกคัก “หนึ่งกากับห้ากา เจ้าได้เงินก้อนใหญ่
ข้าได้เงินก้อนเล็ก ข้าอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นหากเจ้าไม่ได้เงินเลยสัก
เหรียญก็เท่ากับว่าข้าได้กาไรก้อนใหญ่แล้ว”
ซ่งอวี๋ได้ยินโจวไห่จิ้งที่กระท าการโดยยึดหลักความเป็นธรรม
เช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรนางก็
เป็นก่อกาเนิดเฒ่าที่ชาของโลกแล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “ปรมาจารย์โจวพูด
มีเหตุผล แต่วิถีแห่งการรับรองแขกถึงอย่างไรก็ยังต้องมี วันหน้าพวก
เราจะยังเอาเหล้ามาส่งให้เหมือนเดิม หากทุกท่านกังวลว่าจะส่งผล
ก ร ะ ท บต่อ ก าร คุ้ม กัน ก็ เ ก็ บ ไ ว้ ก่ อ น จ ะ ดื่ ม ห รื อ ไ ม่ ดื่ ม ก็ ดู ตาม
สถานการณ์ได้เลย ต่อให้จะเก็บเอาไว้ก่อน หลังทางานเสร็จค่อยเอา
กลับไปก็ถือว่าเป็นน ้าใจจากตาหนักฉางชุนของพวกเรา”
ก่ายเยี่ยนเพิ่งจะโล่งใจได้ ผลคือได้ยินโจวไห่จิ้งรวมเสียงให้เป็น
เส้นพูดขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินหรือยัง เรียนรู้หรือยัง เถ้าแก่ใหญ่ก่ายที่มี
เงินหมื่นก้วนร้อยเอว หากเจ้ามีความสามารถในการวางตัวเฉกเช่นซ่
งอวี๋ได้สักหนึ่งส่วน ไม่ต้องมาก แค่ส่วนเดียว กิจการโรงเตี้ยมตระกูล
เซียนของเจ้าก็ไม่ต้องถึงขั้นกางตาข่ายจับนกหน้าประตูได้แล้ว”
ซ่งอวี๋เดินเล่นเลียบทะเลสาบพลางคุยกับหยวนฮว่าจิ้งไปด้วย
นางมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับสกุลหยวนเสาค ้ายันแคว้น มีความ
เกี่ยวข้องกันแนบแน่น มิตรภาพสามารถย้อนไปถึงหยวนเซี่ยบรรพ
บุรุษต้นตระกูลหยวนได้เลย
ดังนั้นหยวนฮว่าจิ้งจึงเคารพซ่งอวี๋อย่างมาก
รอกระทั่งถ ้าสวรรค์หลีจูเปิดประตูแล้ว ลูกหลานสกุลหยวนเสาค ้า
ยันแคว้นถึงได้รู้ว่าตรอกเอ้อหลางของเมืองเล็กมีบ้านบรรพบุรุษสกุล
หยวนที่แท้จริงอยู่หลังหนึ่ง นี่เป็นเหตุให้สกุลหยวนมีท าเนียบวงศ์
ตระกูลที่มีหลักฐานให้สืบเสาะเพิ่มมาอีกฉบับหนึ่ง นี่ก็คือความยุ่งยาก
ที่มีอยู่ในตระกูลเก่าแก่หลายตระกูลแล้ว คิดอยากจะยืนยันถึงกษัตริย์
องค์แรกที่แต่งตั้งตระกูลและบรรพบุรุษคนแรกของตระกูลล้วนไม่ใช่
เรื่องง่าย ตระกูลชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นในหนึ่งทวีป ส่วนใหญ่แล้ว
จะเอาผู้ที่ “ได้รับพระกรุณา” จากกษัตริย์มาเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูล
เพราะถึงอย่างไรตระกูลที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบอย่าง
สกุลเจียงอวิ๋นหลิน ตลอดทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้
ซ่งอวี๋ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที “ปีนั้นอาจารย์มิอาจฝ่าทะลุคอขวด
เลื่อนเป็นหยกดิบได้ต้องสละร่างจากโลกนี้ไป ได้ทิ้งคาสั่งเสียไว้ข้อ
หนึ่ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือให้พวกเราทาตามกฎ ห้ามมีความคิด
ฟุ้งซ่าน ฝึกบ าเพ็ญตบะอย่างเรียบง่าย รู้จัก “ถ่อมตัว”
อันที่จริงซ่งอวี๋จงใจละทิ้งสองคาไป ด้านหลังคาว่าถ่อมตัวยังมีคา
ว่า “เสมอต้นเสมอปลาย
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “ตาหนักฉางชุนประสบความสาเร็จอย่างใน
ทุกวันนี้ได้ล้วนอาศัยผู้ฝึกตนรุ่นหลังที่ยินดีปฏิบัติตามคาสั่งสอนของ
บรรพจารย์บุกเบิกภูเขาอย่างเข้มงวด”
อันที่จริงสกุลหยวนเองก็มีคาสั่งสอนประจาตระกูลที่คล้ายคลึงกัน
นี้ ในเรื่องนี้แซ่สกุลของเสาค ้ายันแคว้นอย่างพวกสกุลจ้าวเทียนสุ่ยก็
เป็นเช่นเดียวกัน
ตระกูลแห่งหนึ่งสร้างคุณูปการสร้างกิจการครอบครัวเป็นเรื่อง
ยาก คิดจะสืบทอดโชคดีให้ยาวนานก็ยากยิ่งกว่า อยากจะหนีให้พ้น
คาว่า “วิญญูชนผู้มีความสามารถ สามรุ่นเสื่อมถอย ห้ารุ่นล่มสลาย”
เปลี่ยนจากตระกูลปัญญาชนเป็นตระกูลขุนนางแล้วรักษาพลังชีวิต
เอาไว้ให้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าจะอ่านตาราประวัติศาสตร์มาจนถ้วน
ทั่ว หรือกวาดตามองไปรอบวงการขุนนาง ดูเหมือนว่าก็ยังต้องมี
กฎระเบียบและระบบระเบียบคอยส่งอิทธิพลต่อลูกหลานรุ่นหลัง คล้าย
กับว่ามองไม่เห็น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เคยขาด นานวันเข้าก็กลาย
มาเป็นขนบธรรมเนียมประจาตระกูลอย่างหนึ่ง
ผู้ฝึกตนหญิงที่มีชื่อว่า “จงหนัน” ผู้นั้น เนื่องจากพูดไม่เก่ง ถูก
อาจารย์ทิ้งไว้ให้อยู่ที่ศาลาคนเดียวนางจึงมีท่าทางอึดอัดอย่างเห็นได้
ชัด ทั้งอยากจะแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าควร
จะเปิดปากอย่างไร บรรยากาศจึงเงียบสงัดอยู่บ้าง
รูปโฉมของสตรีพูดได้แค่ว่าหมดจด ไม่ถือว่าเป็นสาวงามอะไร
ชื่อเดิมของนางคืออีซาน มักจะถูกเรียกชื่อเล่นว่า “อีซาน (ออก
เสียงเหมือนกันแต่เขียนกันคนละแบบ ชื่อเดิมหมายถึงอิงแอบภูเขา
ชื่อเล่นหมายถึงเสื้อ) เพราะมีสัญชาติทาสของชาวเรือเมืองหงจู๋มาแต่
กาเนิด จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้รับอภัยโทษจากทางราชสานักต้าหลี
ดังนั้นหลังจากขึ้นเขามาฝึกตนแล้ว นางจึงถูกบีบให้ต้องสละแซ่ทิ้ง
สุดท้ายจึงเปลี่ยนชื่อบนทาเนียบของตาหนักฉางชุนเป็น “จงหนัน”
เล่าลือกันว่าตอนที่ไทเฮาต้าหลียังเป็นฮองเฮาอยู่นั้น นางได้มาฝึกตน
ที่ต าหนักฉางชุนแล้วรักใคร่เอ็นดูเด็กสาวผู้นี้อย่างมาก คิดว่าใน
อนาคตเมื่อแม่นางน้อยเลื่อนเป็นโอสถทองก็จะเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ ตัด
คาว่าจงทิ้ง สุดท้ายตั้งชื่อเป็น “ซ่งหนัน” ใช้แซ่ซ่งซึ่งเป็นแซ่แคว้น ใช้
คาว่าหนันเหมือนอย่างชื่อ “หนันจาน” ของไทเฮา
แต่ก็มีคนเล่าลือกันอีกว่าอาจจะมอบแซ่ให้ว่าหนัน ชื่อซ่ง เมื่อ
เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไทเฮาหนันจานที่มีชาติกาเนิดมาจากเขตอวี้
จางหงโจวได้รับเด็กสาวเข้าไปในท าเนียบตระกูลเดียวกันแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกแบบไหน สาหรับเด็กสาวที่มีชาติกาเนิดต ่า
ต้อยแล้วก็ล้วนถือเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง
โชคดีที่มีก่ายเยี่ยนช่วยทาใหบรรยากาศดีขึ้น ถามนางเรื่องโน้น
เรื่องนี้ แล้วยังเชิญนางบอกว่าวันหน้าหากผ่านเมืองหลวงจะต้องเข้า
ไปพักที่โรงเตี๊ยมบ้านตนให้ได้ นางจะลดราคาให้ มีราคาพิเศษให้
เยอะด้วย
โจวไห่จิ้งอดไม่ไหวพูดขัดคอขึ้นว่า “ลดราคา ลดอย่างไร ลดสิบ
เอ็ดส่วนหรือ?”
โก่วเฉี่ยเด็กหนุ่มที่วางไม้เท้าพาดไว้บนหัวเข่ายิ้มกว้าง
โจวไห่จิ้งผู้นี้แม้จะน่าราคาญ แต่บางประโยคที่หลุดออกจากปาก
ก็ทาให้เด็กหนุ่มรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมได้จริงๆ เพราะค่อนข้างคล้าย
การพูดการจาของอาจารย์เฉิน
สุยหลินคือคนของส านักห้าธาตุที่เชี่ยวชาญเรื่องชะตาชีวิตห
ยินหยางและปรากฏการณ์ฟ้าสภาพพื้นดิน ดังนั้นมุมมองที่เขามีต่อ
ตาหนักฉางชุนจึงเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากที่สุด
เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษเปิดภูเขาของตาหนักฉางชุน บรรพบุรุษ
ในตระกูลของนางล้วนเป็นชาวประมงของอวี๋โจว นางไม่มีอาจารย์
ถ่ายทอดวิชาให้ เป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง แล้วยังตั้งตัวด้วยมือเปล่า
สร้างตาหนักฉางชุนแห่งนี้ขึ้นมา
ดังนั้นความสามารถที่แท้จริงของตาหนักฉางชุน ภายนอกมองดู
เหมือนเป็นคาถาน ้าหลายสาย แต่ภายในกลับเป็นวิชาอสนีห้าสายฟ้า
ที่สูงส่ง อีกทั้งว่ากันว่ายังไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวิชาอสนีของสาย
ภูเขามังกรพยัคฆ์ด้วย