กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 999.3 จอกเหล้าเปลี่ยนเป็นชาม
เป็นขอบเขตประตูมังกรก่อนแล้วค่อยไปศึกษาคาถาวิชาเปลวเพลิงที่
ไร้รากฐานบทนี้
กลางอากาศเหนือภูเขาฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบ ท้องฟ้าสีคราม
สดใสพลันมีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น
นี่คือลางที่หลินโส่วอีจะออกจากด่านส าเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้ว
ทั้งไม่มีทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายลงมา แล้วก็ เห็นได้ชัดว่า…..น่า
เบื่อมาก
ครู่หนึ่งต่อมาก็มีบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินออกมาจาก
ในถ ้า ทุกๆ ลมหายใจของเขา ทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าของหลินโส่
วอีจะต้องมีสายฟ้าสีทองเส้นเล็กๆ ผุดออกมาเหมือนเจียวหลงที่เกาะ
อยู่บนผนังภูเขา
ซ่งอวี๋และจงหนันผู้เป็นลูกศิษย์ พวกหยวนฮว่าจิ้งห้าคนต่างก็
ทะยานลมไปยังฝั่งตรงข้ามทันที
ซ่งอวี๋ทามุทราคารวะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายหลิน ขอแสดงความ
ยินดีด้วย”
หลินโส่วอีและซ่งอวี๋พบหน้ากันเป็นครั้งแรกคือที่เมืองหงจู๋เมื่อ
หลายปีก่อน คนหนึ่งอยู่บนเรือ อีกคนหนึ่งอยู่บนฝั่ง แม้ว่าซ่งอวี๋จะมี
อายุมาก อีกทั้งยังมีฐานะสูงอยู่บนภูเขา แต่นางพูดจาตลกขบขัน ทั้ง
ยังไม่ใช่คนคร ่าครึ ปีนั้นแค่มองปราดเดียวนางก็รู้แล้วว่าหลินโส่วอีคือ
ตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ยังเคยเอ่ยหยอกล้อกับเด็ก
หนุ่ม จงใจบอกว่าตัวเองเป็นเทพเซียนบนภูเขาตัวจริงเสียงจริง และ
ยังพูดคาว่า “สัจธรรมห้าอสนี” ออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นคาพูดที่ ไม่
ถือว่าเรียบง่ายมากพอ” โอ้อวดมาดของเซียนชื่ออย่างมากแล้ว
ตอนนั้นหลินโส่วอีอยู่ที่ภูเขาฉีตุนได้ตาราเหนือเมฆพร่างพราว
ไปเล่มหนึ่ง ถือว่าเพิ่งเริ่มเกี่ยวพันกับวิชาอสนี อีกทั้งเนื้อหาใน
ต าราเต๋เล่มนี้ก็เข้าใจยากอ่านไม่รื่นหู เด็กหนุ่มที่ตอนนั้นเพิ่งออก
จากบ้านเกิดไปได้ไม่ไกลจึงยังไม่เข้าใจน ้าหนักที่แท้จริงของค าว่า
“สัจธรรมแห่งห้าอสนี” อยู่ดี
ทางฝั่งของศาลาถูกคนนอกสองคนที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับมา
เป็นนกพิราบยึดรังนกกางเขน
เฉินผิงอันเอนหลังพิงเสา สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ใช้
ปลายเท้าแตะพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หากจะพูดจริงๆ
ยังต้องยกคุณความชอบให้กับตาราลับที่เจ้า มอบไปให้เล่มนั้น?”
เว่ยป้อนั่งอยู่บนเก้าอี้คนงามด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน สองมือพาด
ไปบนราวระเบียง ยกขานั่งไขว่ห้าง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่กล้ารับคุณ
ความชอบนี้มาหรอก”
ปีนั้นอยู่บนภูเขาฉีตุน มือกระบี่คนหนึ่งที่บอกว่าเวทกระบี่ของตน
แม้แต่น ้าที่สาดมาก็ยังขยับเข้าใกล้ไม่ได้ พาเด็กหนุ่มเด็กสาวมา “นั่ง
ลงแบ่งทรัพย์สินกัน
ภาพเหตุการณ์ในเวลานั้น ใช้ค ากล่าวของแม่นางน้อยชุดผ้า
ฝ้ายบุนวมสีแดงมาพูดก็คือแม้แต่หลินโส่วอีก็ยังวิ่งอย่างรวดเร็ว ผล
คือหลินโส่วอีเป็นคนแรกที่ได้เลือกสมบัติ เด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย
หมดจดที่ตลอดทางพูดน้อยที่สุด ถูกใจ “ตาราเหนือเมฆพร่างพราว”
ที่ผูกด้วยเส้นด้ายสีทองเล่มนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และตอนที่หลิน
โส่วอีไปขอศึกษาต่อที่ส านักศึกษาก็เคยติดตามอาจารย์ในส านัก
ศึกษาของราชวงศ์ต้าสุยคนหนึ่ง ตั้งใจไปดูเมฆสายฟ้าในอาณาเขต
ของขุนเขาเหนือต้าสุยโดยเฉพาะ ฝึกตนอยู่ในถ ้าตระกูลเซียนแห่ง
หนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาเสินเซียวนานหลายเดือน อาจารย์คนนั้นยังเคย
มอบขวดฟ้าร้องที่เอาไว้รวบรวมสายฟ้าขวดหนึ่งให้กับเขาโดยเฉพาะ
ในอดีตมีครั้งหนึ่งที่เฉินผิงอันกลับบ้านเกิดได้เดินขึ้นเขาไป
พร้อมกับเด็กสาวผูกผมหางม้า เพราะนึกได้ว่าหลินโส่วอีคือคนแรกที่
ฝึกตนในบรรดากลุ่มของพวกเขา อีกทั้งยังฝึกวิชาอสนี ดังนั้นเฉินผิง
อันจึงขอความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องระวังในการฝึกวิชาอสนีกับหร่วน
ซิ่ว นางจึงพูดถึงสิ่งที่ตัวเอง “เคยได้ยินคนอื่นพูดมา” ภายหลังเฉินผิง
อันได้จดแต่ละอย่างลงสมุดแล้วถึงได้มอบให้กับหลินโส่วอี ความ
ตั้งใจเดิมของเฉินผิงอันไม่ได้คาดหวังว่าจะชดเชยช่องโหว่อะไรได้
ด้วยซ ้า แค่อยากเห็นว่าหลินโส่วอีจะมีแรงบันดาลใจเพิ่มมาได้บ้าง
หรือไม่
หลังจากนั้นมาอีกเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวก็มาเยือน
อ าเภอไหวหวงอย่างลับๆ ไปหาคนพิฆาตมังกรที่แอบแฝงอยู่ใน
วิญญาณของนักพรตตาบอดบางคน แล้วจึงรับกู้ช่านเป็นลูกศิษย์
ระหว่างนั้นจงจวีจงได้ใช้ “ตาราเหนือเมฆพร่างพราว” ที่ตัวเขา
เขียนเสริมให้เนื้อหาครบถ้วนเล่มหนึ่งมาแลกของสิ่งหนึ่งจากหลิน
โส่วอี ก็คือภาพค้นภูเขาที่ “สืบทอดจากบรรพบุรุษ” ซึ่งเฉินผิงอัน
ได้มาจากนักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงแล้วจึงมอบต่อให้กับหลินโส่วอีอีกที
ที่แท้ตาราเหนือเมฆเล่มนี้ก็มาจากนครจักรพรรดิขาว เจิ้งจวีจง
เคยถามมรรคากับภูเขามังกรพยัคฆ์ และขอแค่เจิ้งจวีจงประลองมรรค
กถากับผู้อื่น โดยทั่วไปแล้วอีกฝ่ายก็อย่าหวังว่าจะออมฝีมือได้อีกเลย
และเพียงไม่นานเจิ้งจวีจงก็เรียบเรียงตาราเหนือเมฆเล่มนี้ขึ้นมาด้วย
ตัวเองจริงๆ ประเด็นสาคัญคือหลังจากที่ภูเขามังกรพยัคฆ์ “ขอยืม
อ่าน” ตาราเล่มนี้จากนครจักรพรรดิขาวแล้ว เหล่าผู้สูงศักดิ์หวงจื่อห
ลายคนในจวนเทียซื่อต่างก็หันมามองหน้ากันเอง บื้อใบ้ไร้คาพูด ทั้ง
ที่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาวิชาห้าอสนีของบ้านตนมาเป็นกระจกเงาแอบขโมย
เรียนวิชาไป แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบตาราเหนือเมฆ
แค่ไหนก็มีแค่ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างเดียวเท่านั้น ตาราเต๋า
เล่มหนึ่ง ระหว่างตัวอักษรแต่ละบรรทัด ไม่ว่าตรงไหนก็รู้สึกผิดปกติ
ไปเสียหมด ทุกหนทุกแห่งล้วนมีความเกี่ยวพันแนบแน่นกับวิชาอสนี
ที่สืบทอดกันอย่างลับๆ ของจวนเทียนซือ แต่ก็ดูเหมือนว่าหาก
เปรียบเทียบกันขึ้นมาจริงๆ ก็เหมือนจะมีหลักการเหตุผลของเจิ้งจวีจง
เองอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าทางฝั่งของ จวนเทียนซือยังสามารถยืมเอา
มาเป็นบทเรียนได้ด้วย?
เพียงแต่ว่าส่วนที่หลินโส่วอีได้มาอยู่ในมือเป็นฉบับไม่สมบูรณ์
คล้ายกับฉบับต้นเหมาะให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างฝึกวิชาสายฟ้า
เท่านั้น ส่วนเจิ้งจวีจงนั้นช่วยเขียนฉบับกลางและฉบับล่างที่เหมาะกับ
ห้าขอบเขตกลางและห้าขอบเขตบนขึ้นมา สุดท้ายชุยตงซานก็
รวบรวมตาราลัทธิเต๋าวิชาอสนีครบทั้งสามเล่ม เขียนความเข้าใจและ
คาอธิบายของตัวเองเอาไว้จนเต็ม นี่เป็นเหตุให้การฝึกตนของหลิน
โส่วอีไม่เพียงแต่บุกรุดหน้าเหมือนผ่าล าไม้ไผ่พัฒนาไปได้อย่าง
ว่องไว อีกทั้งแทบจะไม่เคยเจอด่านหรือคอขวดใดๆ อีกด้วย
เฉินผิงอันถาม “รากฐานมหามรรคาของอาจารย์ผู้เฒ่าในสานัก
ศึกษาซานหยาผู้นั้น?”
เว่ยป้อพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ก็เหมือนที่เจ้าเดานั่นแหละ ก็คือร่างแยก
ของสารถีเฒ่าในเมืองหลวง ผู้อาวุโสแห่งวิถีเทพที่เกือบจะประมือกับ
เจ้าผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเขาถูกใจในคุณสมบัติด้านการฝึกตนของหลิน
โส่วอีมานานแล้ว”
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของถ ้าสวรรค์หลีจู พวกหลินโส่วอี หม่าขู่
เสวียนและเซี่ยหลิงพวกเขาไม่ค่อยเหมือนกับพวกเฉินผิงอัน หลิว
เสี้ยนหยางและกู้ช่านสักเท่าไร นับตั้งแต่ที่เหยียบไปบนเส้นทางการ
ฝึกตนกระทั่งเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนต่างก็ถือว่าราบรื่นผิดปกติแทบ
จะไม่เคยเจอกับด่านอะไรเลย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจอกับการประลอง
เวทคาถาการเข่นฆ่าที่อันตรายอะไรเลย ก็แค่สองคาเท่านั้น ชะตาดี
เฉินผิงอันถามอีกว่า “เคยได้ยินชื่อ “ตาราซ่างซ่างเสวียนเสวียน”
ไหม? เป็นต าราลับวิชาอสนีที่ระดับขั้นสูงมากอีกเล่มหนึ่งเหมือนกัน”
เว่ยป้อพลิกค้นความทรงจาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่
เคยได้ยินมาก่อน”
ประโยคท้ายของกลอนโหยวเซียนมีประโยคหนึ่งบอกว่า “หวัง
เพียงท่านอาจารย์จะหันกลับมามองบ่อยๆ ยิ่งมหัศจรรย์เหนือมหัศ
จรรย์” (ในประโยคมีค าว่าช่างช่างเสวียนเสวียน)
และ “ตาราเหนือเมฆพร่างพราว” ที่ตกหล่นอยู่ในแจกันสมบัติ
ทวีป เปลี่ยนมือตลอดทางจนมาอยู่ในมือของหลินโส่วอี
อันที่จริงที่อุตรกุรุทวีปก็มี “ตาราซ่างซ่างเสวียนเสวียน” อยู่เล่ม
หนึ่งซึ่งสุดท้ายไปตกอยู่ในมือของสุยจิ่งเฉิงแห่งทะเลสาบกระบี่ฟูผิง
คราวก่อนหลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจึงมาเข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันยังเล่าความลับเรื่องหนึ่งให้หลินโส่วอีฟัง เตือนหลินโส่วอี
ว่าหากมีโอกาสก็สามารถไปเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีปได้ ให้ไปเยือน
สองสถานที่อย่างยอดเขาพาตี้พรรคหลิงเซียวและทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
เนื่องจากสุยจิ่งเฉิงก็มีตาราเต๋สามเล่มเช่นกัน แล้วก็เป็นวิชาอสนี มี
ชื่อว่า “ตาราซ่างซ่างเสวียนเสวียน” หากเป็นบุพเพวาสนาบนภูเขา
อย่างที่พูดถึงกันจริงๆ หลินโส่วอีกับสุยจิ่งเฉิงทั้งสองฝ่ายก็สามารถ
แลกเปลี่ยนตารากันได้ บนภูเขานี่ไม่ใช่เรื่องที่หายาก ถึงขั้นที่ว่ามี
สานักบางแห่งที่สนิทสนมกันยังเคยมอบและแลกเปลี่ยนฉบับสาเนา
ตาราเต๋าล ้าค่าของตัวเองให้แก่กันและกัน เพื่อเพิ่มทรัพย์สมบัติให้
สมบูรณ์ ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ ใช้หนังสือแลกหนังสือ นี่เป็นเรื่องที่
พบเห็นได้บ่อย ยิ่งเป็นส านักและพรรคใหญ่ การกระท าเช่นนี้ยิ่งมี
บ่อย
ก็เหมือนอย่างสิ่งของที่ใช้ร่วมกับ “ตาราซ่างซ่างเสวียนเสวียน”
เล่มนั้น สุยจิ่งเฉิงก็ยังมีปิ่นสีทองที่มองดูคล้าย “สายฟ้าขานรับ” อยู่
อีกสามชิ้น
ทุกครั้งที่ปิ่นทองกระทบกันก็จะมีวงแสงเป็นชั้นๆ กระเพื่อม
ออกมา และด้านในก็ซุกซ่อนสัจธรรมแห่งวิชาอสนีที่เล็กละเอียด
เอาไว้
ปิ่นทองสามชิ้นแบ่งออกเป็นแกะสลักคาว่า หลิงซูชิงเวย เหวินชิง
เสินเซียว และไท่เสียอี้กุ่ย
ต าราลัทธิเต๋าวิชาอสนีเล่มนี้ก็แบ่งออกเป็นสามเล่มเช่นกัน มี
เพียงจุดเดียวที่ไม่เหมือนกับ “ตาราเหนือเมฆ” ก็คือเล่มแรกของฝ่าย
แรกแค่บรรยายถึงจุดประสงค์แห่งมหามรรคาเท่านั้น ล าพังผู้ฝึก
ลมปราณมีตาราลับเล่มนี้ก็แทบจะสามารถพูดได้ว่าไร้ประโยชน์ใดๆ
หากให้ยกตัวอย่างก็เหมือนกับถ้อยค าห้าพันค าที่ถ่ายทอดมาจาก
มรรคาจารย์เต๋า หลายใต้หล้าล้วนรับรู้ ทุกคนล้วนอ่านได้ แต่หมื่นปี
ที่ผ่านมามีชาวบ้านในเมืองล่างภูเขาสักกี่คนที่สามารถอาศัยการ
อ่านตาราเต๋าเล่มนี้จนกลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณ เดินไปบนเส้นทาง
การฝึกตนได้? แต่สุยจิ่งเฉิงกลับสามารถอาศัยการอ่านตาราเล่มแรก
ซ ้าไปซ ้ามา อาศัยการใคร่ครวญด้วยตัวเองไปอย่างส่งเดช อ่านจน
ตัวเองกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณคอขวดขอบเขตสอง ก็ไม่แปลกที่หรง
ช่างศิษย์พี่ใหญ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจะรู้สึกว่าสุยจิ่งเฉิงศิษย์น้อง
หญิงที่ได้กลับคืนส านักหลังจากเวลาผ่านไปนานหลายปีก็คือผู้มี
พรสวรรค์ที่ทิ้งเขาไปไกลจนเขามองไม่เห็นฝุ่นจริงๆ
วิชาห้าอสนีถูกขนานนามว่าเป็นผู้นาของหมื่นวิชาคาถาก็ใช่ว่า
จะไม่มีเหตุผล
ปีนั้นเฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าตาราเต๋าเล่มนี้ของสุยจิ่งเฉิงคล้าย
กับกาลังรอคอยหลินโส่วอีอยู่
ดังนั้นรอกระทั่งเจิ้งต้าเฟิงหวนกลับมายังภูเขาลั่วพั่วครั้งนี้และได้
เฉลยปริศนานั้นกับเฉินผิงอัน ปริศนานั้นก็ทั้งอยู่เหนือการคาดการณ์
แต่ก็สมเหตุสมผลดีด้วย
ผู้ฝึกตน จิตแห่งมรรคาหนักแน่น คงความเรียบง่ายรักษาความ
เป็นหนึ่ง (เป้าผู่โส่วอี)
ผู้ฝึกตนบรรลุมรรคา สร้างฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง ทัศนียภาพ
ภายในใสกระจ่าง (เน่ยจิ่งเฉิงเช่อ)
เฉินผิงอันกล่าว “ไปล่ะ”
เว่ยป้อถามอย่างสงสัย “ไม่ไปเจอหลินโส่วอีหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากว่าเว่ยซานจวินคิดอ่านรอบคอบ ได้
เตรียมของขวัญแสดงความยินดีสองชิ้นไว้ล่วงหน้า ข้าก็จะไปพบ
เขา”
เว่ยป้อลุกขึ้นยืน มองเงาร่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ พยัก
หน้ายิ้มรับ แล้วจึงไปจากต าหนักฉางชุนพร้อมกับเฉินผิงอันอย่าง
เงียบเชียบ
เป็นอย่างที่เว่ยป้อคาดการณ์ไว้จริงๆ หลินโส่วอีเพิ่งจะออกจาก
ด่าน เชี่ยหลิงแห่งสานักกระบี่หลงเฉวียนก็หลอมเจดีย์ขนาดเล็กชิ้น
นั้นได้สาเร็จ กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนใหม่ล่าสุดของ
แจกันสมบัติทวีป
และในจุดลึกของเส้นชีพจรดินในอาณาเขตของอวี๋โจว ในขณะ
ที่ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินซึ่งมีซ่งซวี่เป็นหนึ่งในนั้นกาลังจะได้สมบัติ
ลับชิ้นนั้นมาครองก็เห็นเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวที่สองข้าง
แก้มแดงเป็นปั้น พูดจาบ้าๆ บอๆ คนหนึ่งบอกว่าของชิ้นนี้ถือเป็นของ
เก่าที่นางเอามาซ่อนไว้ที่นี่ ใครกล้าแย่งกับนาง นางเป็นแค่สตรีบอบ
บางคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยอย่างมาก แต่นางก็สามารถยก
กาลังเสริมมา ให้สามีของนางมาช่วยทวงความยุติธรรมให้ เขาขึ้นชื่อ
ว่ารักภรรยากลัวภรรยาเป็นที่สุด ฆ่าพวกเจ้าให้ตายไม่จาเป็นต้องมี
อะไรให้คุยกันเลยด้วยซ ้า
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวเห็นว่าคนทั้งกลุ่มตกตะลึงไปแล้ว นาง
ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจกับตัวเอง ผงกปลายคางไปยังสมบัติหนักที่
ลอยอยู่กลางอากาศซึ่งมีตราผนึกเก่าแก่หลายชั้น “โชคดีที่ข้ามา
ทันเวลา ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าคลายตราผนึกกันอย่างโง่งม ผลลัพธ์ที่
ตามมาจะเลวร้ายเกินคาดคิด คาดว่าแจกันสมบัติทวีปเกือบครึ่งคง
ต้องถล่มลงมาเป็นแน่ไม่เชื่อหรือ? เหอะ ทางช้างเผือกลอยสูง เปลว
เพลิงบนพื้นดินร้อนระอุ เจียวหลงลุกผงาด ม้าควบตะบึงไปบนมหา
มรรคา ตะวันจันทราภูเขาสายน ้างดงามยิ่งใหญ่ เก็บรวมแจกันสมบัติ
จากฟ้าดิน ฟังแล้วร้ายกาจหรือไม่ล่ะ? มีความรู้หรือไม่? ข้าเพิ่งแต่ง
ขึ้นเมื่อครู่นี้เอง ถึงอย่างไรความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละ ศึก
น ้าและไฟที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินในอดีตครานั้น เด็กน้อยอย่างพวก
เจ้าที่ทุกวันนี้ยังไม่ใช่เซียนดินด้วยซ ้า จะมาเข้าร่วมได้หรือ? ไม่รู้ฟ้า
สูงแผ่นดินต ่าเสียเลย!”
นางพูดเหลวไหลพลางตะเบ็งเสียงดังไปด้วย “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่
เสี่ยวโม่อยู่ไหม?”
เซี่ยโก่วกวาดตามองไปรอบด้าน ดูท่าเสี่ยวโม่จะไม่ได้ตามมา จริงๆ ในใจนางพลันรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาทันที