กระบี่จงมา! Sword of Coming - "สมาคมการค้าเฉินซีร่ำรวยเหนือเมฆถึงเพียงนี้ ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีกอย่างนั้นหรือ?" มู่เฉียนซีเลิกคิ้วถาม “เจ้าลองดูสิ่งนี้…” ว่านซือเยี่ยนได้หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมา หรือจะพูดให้ถูกเลย มันก็คือกระดาษที่มีสีออกเหลืองแผ่นหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นกระดาษขาดที่ไม่สมบูรณ์อีกด้วย "ส่วนที่ขาดหายไปส่วนหนึ่งนี้ คือสมุนไพรวิญญาณอะไร เจ้ารู้หรือไม่? ข้าเคยถามนักปรุงยามามากมายแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะยืนยันอยู่ดี" "แม้ว่าคำแนะนำสมุนไพรวิญญาณนี้จะไม่สมบูรณ์ แต่ฤทธิ์ของยาที่แนะนำเอาไว้กลับไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลย นี่คือยาขั้นเทวะระดับสูงสุดที่อันตรายถึงชีวิต แม้ว่ามันจะมีเพียงคำเดียว แต่ข้าก็รู้จักดีว่าสมุนไพรวิญญาณนั้นคืออะไร และมันก็คือบัวหิมะเก้าเซียน" มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย ดวงตาของว่านซือเยี่ยนเปล่งประกายแวววาวขึ้นมาทันที พลางกล่าวว่า "ในที่สุดก็หามันเจอแล้ว ส่วนเรื่องการพัฒนาหอหมอปีศาจที่ดินแดนทางทิศเหนือของราชวงศ์ตงหวงที่ต้องจัดการ ข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าแก้ไขปัญหาทั้งหมดเอง" “แค่ดินแดนทางทิศเหนือหรือ?” "ข้ารู้ว่าเจ้ามีความทะเยอทะยานมากกว่านี้ แต่ทว่าเงื่อนไขนี้เพียงอย่างเดียวมันยังไม่พอหรอก! ฉะนั้นพวกเราค่อย ๆ คุยกันไปทีละเรื่องเถอะ" "เอาล่ะ! ถึงอย่างไรก็คงขุนให้อ้วนภายในรวดเดียวไม่ได้อยู่ดี เช่นนั้นก็จัดการเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน" มู่เฉียนซีกล่าวตอบ มู่เฉียนซีได้หยิบเอาปากกาและกระดาษออกมา จากนั้นก็ร่างลักษณะของบัวหิมะเก้าเซียนออกมาอย่างรวดเร็ว มันมีความเหมือนจริง อีกทั้งยังราวกับมีชีวิตอีกด้วย มู่เฉียนซีกล่าวกับว่านซือเยี่ยนว่า "บัวหิมะเก้าเซียนมักจะชอบเติบโตอยู่ในสถานที่ที่เย็นจัด ให้คนลองไปหาดูเถอะ!" "หากมีข่าวคราวแล้ว ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไปด้วยกันกับข้า! เนื่องจากการทำเช่นนี้มันจะสามารถหายาขั้นเทวะนี้ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น และเพราะข้าไม่อยากให้คนอื่นยื่นมือเข้ามายุ่ง ฉะนั้นข้าจึงจะมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยตนเองเช่นกัน" “ไม่มีปัญหา!” เมื่อได้รับคำตอบจากมู่เฉียนซี ว่านซือเยี่ยนก็จากไปทันที! ใช่แล้ว! เขาได้นั่งรถม้าแสนล้ำค่าของเขานั้นไปอย่างรวดเร็ว และได้ทิ้งมู่เฉียนซีเอาไว้ที่เดิม มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย และก็ได้แต่สบถอยู่ในใจ เหตุใดต้องรีบไปถึงขนาดนี้ด้วย? หรือกลัวว่านางจะนั่งรถม้าเขากลับไปฟรี ๆ อย่างนั้นหรือ? นางหันไปมองเจ้าของร้านแล้วกล่าวว่า "เจ้าของร้าน ข้าไม่ต้องจ่ายค่าอาหารใช่หรือไม่!" "แม่นาง แน่นอนว่าไม่ต้องขอรับ! ทุกครั้งที่คุณชายว่านซื่อมามักจะลงบัญชีเอาไว้เสมอ และพอถึงตอนสิ้นปีเขาก็จะส่งคนมาจ่ายทีเดียวขอรับ" เจ้าของร้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ท่านตาก็ลำบากเช่นกันสินะ!" เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเป็นถึงนายน้อยของสมาคมการค้าเฉินซี แต่แค่อาหารพื้นบ้านธรรมดายังต้องลงบัญชีไว้เลยหรือ? คาดว่าเงินที่ส่งมาจัดการบัญชีทุกสิ้นปีก็คงไม่ใช่เงินของเขาเองเช่นกัน แต่เป็นการจับผู้โชคร้ายสักคนมาจัดการบัญชีแทนเสียมากกว่า! หลังจากที่มู่เฉียนซีพูดชื่อยาขั้นเทวะออกมาได้อย่างแม่นยำ และแม้ว่าจะยังตามหาบัวหิมะเก้าเซียนไม่เจอ แต่ว่านซือเยี่ยนก็ได้ดำเนินการให้อย่างรวดเร็วฉับไวแล้ว ด้วยอำนาจของเงินจึงสามารถทำอะไรก็ได้ บวกกับการดำเนินการภายใต้ฝีมือของว่านซือเยี่ยน จึงทำให้สามารถหาข่าวคราวของยาขั้นเทวะระดับสูงสุดตัวนี้มาได้แล้วจริง ๆ มีคนพบเห็นมันอยู่ที่ธารน้ำแข็งเหนือ และธารน้ำแข็งเหนือแห่งนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่อีกด้วย จากนั้นว่านซือเยี่ยนก็ได้มาหามู่เฉียนซีอย่างรีบร้อน "รีบขึ้นรถมาเร็ว!" "อย่าเลยดีกว่า! ข้าจะเดินออกไปจากเมืองเอง เจ้ารอข้าอยู่นอกเมืองก็พอแล้ว! ข้าไม่อยากถูกเจ้าหลอกเอาค่ารถอีกแล้วล่ะ" เมื่อเห็นว่าว่านซือเยี่ยนร้อนรนมากเช่นนี้ มู่เฉียนซีจึงคิดว่าเขาจะให้นางได้นั่งรถไปฟรี ๆ แต่ที่ไหนได้ เจ้าหมอนี่ดันเดินลงมาจากรถม้า และให้คนเอารถม้าของเขากลับไปทันที “เช่นนั้นก็เดินไปด้วยกันเถอะ!” ร่างเงาแวววาวสีทองอร่ามวาดผ่านออกไปกลางอากาศเป็นแนวโค้ง จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉียนซีจึงไล่ตามออกไปเช่นกัน สัตว์พาหนะของคุณชายว่านซื่อคือนกอินทรีสีทองตัวหนึ่ง ซึ่งบนคอของมันล้วนถูกประดับประดาไปด้วยเพรชพลอย และบนร่างกายของมันก็มีสิ่งของต่าง ๆ ห้อยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน “ไปกันเถอะ!” ว่านซือเยี่ยนกล่าว "รถม้ายังแพงขนาดนั้น สัตว์พาหนะบินได้อย่างนกอินทรีสีทองที่เป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะแพงกว่ามาก เช่นนั้นข้าขอผ่านแล้วกัน!" จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้เรียกเสี่ยวโม่โม่ออกมา และเมื่อเสี่ยวโม่โม่ได้เห็นการประดับประดาที่งดงามของนกอินทรีสีทอง มันก็ลอบมองด้วยแววตาที่สงสาร นกอินทรีสีทองตัวนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน นี่มันถูกเจ้าเด็กน้อยนี่สงสารอย่างนั้นหรือ? นกอินทรีสีทองเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรเหมือนกัน เพราะเจ้านายของมันผู้นี้ทั้งชอบอวดความร่ำรวยและยังขี้งกสุด ๆ อีกด้วย “ออกเดินทางได้!” การไปยังธารน้ำแข็งเหนือในครั้งนี้ ว่านซือเยี่ยนได้รีบเร่งมาพร้อมกับกลุ่มหัวกะทิชั้นยอดกลุ่มหนึ่ง และยิ่งเข้าใกล้ธารน้ำแข็งเหนือมากเท่าไร อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงมากเท่านั้น หลังจากที่มาถึงพื้นที่ต้องห้ามวายุหิมะแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจบินอยู่กลางอากาศได้อีกต่อไป พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ร่อนลงเท่านั้น มู่เฉียนซีกล่าวว่า "พลังวิญญาณที่ธารน้ำแข็งเหนือแห่งนี้ถือว่าไม่เลวเลย ในเมื่อยาขั้นเทวะสามารถเติบโตได้ก็แสดงว่าสมุนไพรวิญญาณอื่นก็น่าจะมีเช่นกัน ฉะนั้นบัวหิมะเก้าเซียนเป็นของเจ้า ส่วนสมุนไพรวิญญาณอื่น ๆ เป็นของข้า" "ใครเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าก็เป็นของคนนั้น" เห็นได้ชัดว่าว่านซือเยี่ยนไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของมู่เฉียนซีเลย "ข้านำทางพวกเจ้ามาเก็บสมุนไพรวิญญาณท่ามกลางพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิมะเช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดที่จะมาแย่งชิงสมุนไพรวิญญาณกับข้าอีกอย่างนั้นหรือ?" มู่เฉียนซีกล่าวอย่างโกรธเคือง "แล้วมันจะทำไมล่ะ? หากเจ้าแย่งไม่ทันก็เพราะว่าเจ้าช้าเกินไปเท่านั้นเอง" สำหรับสิ่งของก่อนหน้านี้ ว่านซือเยี่ยนไม่คิดที่จะปล่อยให้คนอื่นเอาไปได้แม้แต่ใบเดียวแน่นอน ที่ธารน้ำแข็งเหนือนั้นง่ายต่อการหลงทางเป็นอย่างมาก และถึงแม้จะมีคนให้ข้อมูลที่ถูกต้องมาแล้ว แต่หากพวกเขาต้องการจะหาตำแหน่งที่ถูกต้องนั้นให้เจอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตอนนี้พายุหิมะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะเดินกันจนฟ้ามืด แต่พวกเขาก็ยังหาไม่เจออยู่ดี เมื่อค่ำคืนอันมืดมิดได้ปกคลุมอยู่เหนือธารน้ำแข็งเหนือ นั่นก็หมายความว่ากำลังจะมีอันตรายใกล้เข้ามาด้วย ซึ่งเหล่ากลุ่มองครักษ์ของคุณชายว่านซื่อต่างก็เริ่มให้ความระมัดระวังมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายของราชาแห่งธารน้ำแข็งเหนือได้ และก็กลายเป็นเหยื่อในสายตาของพวกมันอยู่ดี "บรู๊วว!" ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นมา “เตรียมป้องกัน!” ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถมองเห็นด้วยด้วยตาเปล่าได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาได้ถูกศัตรูที่แข็งแกร่งล้อมเอาไว้หมดแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นเพราะสีของศัตรูของพวกเขานั้นได้กลมกลืนไปกับหิมะสีขาวเหล่านี้อีกด้วย ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “มันคือหมาป่าหิมะ!” การจะพบเจอหมาป่าหิมะในธารน้ำแข็งเหนือได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด หลังจากนั้นว่านซือเยี่ยนก็กล่าวว่า "หลบให้ดี ๆ อย่ามาเกะกะ! และก็อย่าได้รับบาดเจ็บ เพราะมันจะเปลืองยา!" ผลสุดท้ายทันทีที่ว่านซือเยี่ยนกล่าวจบ ร่างสีม่วงก็สว่างวาบขึ้น และคิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะพุ่งทะยานออกไปอย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ "ว่านซือเยี่ยน การจัดการหมาป่าเราจำเป็นที่จะต้องดุร้ายกว่าพวกมัน ถึงจะสามารถทำให้พวกมันเลิกเข้ามาพัวพันได้! แต่หากข้าหลบซ่อนอยู่หลังพวกเจ้าจริง ๆ คงจะต้องกลายเป็นขนมหวานในสายตาของพวกมันเป็นแน่" ทันใดนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็กางออก จากนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับหมาป่าหิมะมู่เฉียนซีจึงได้ระเบิดพลังวิญญาณธาตุวายุที่ทรงพลังออกมา “พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!” ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า "มัวตะลึงอะไรกันอยู่? ลงมือสิ" มู่เฉียนซีกล่าวว่า "ว่านซือเยี่ยน พวกเรายังไม่ได้เข้าไปยังส่วนลึกของธารน้ำแข็งเหนือเลย ความสามารถของหมาป่าหิมะเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไร อีกทั้งราชาหมาป่ายังเป็นเพียงสัตว์เทพระดับหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องให้คนของเจ้าลงมือหรอก พวกเจ้าไปใจเย็นอยู่ทางนั้นก่อนเถอะ!" นางเตรียมที่จะจัดการเพียงลำพัง เพราะการโจมตีของหมาป่าหิมะนั้นทั้งดุร้ายและรวดเร็ว ซึ่งการเผชิญหน้ากับพวกมันนั้นถือเป็นโอกาสที่ดีในการฝึกต่อสู้จริง "นายน้อย!" องครักษ์เหล่านั้นไม่อาจตัดสินใจได้ ฉะนั้นจึงกล่าวพลางมองไปทางว่านซือเยี่ยน "ในเมื่อนางบอกว่าไม่ต้องให้พวกเจ้าลงมือก็ไม่ต้องลงมือ จะได้ไม่ต้องเปลืองพลังงานของพวกเจ้าด้วย เพียงแต่จับตาดูนางเอาไว้ อย่าปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นถูกหมาป่าฉีกเป็นชิ้น ๆ ก็พอ! ข้ายังคงต้องพึ่งนางในการหายาขั้นเทวะให้เจออยู่" ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอรับ!” ท่ามกลางความมืดมิด ร่างเงาของมู่เฉียนซีนั้นรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่หมาป่าบางส่วนที่ยังคงทำตามคำสั่งของราชาหมาป่า ก็ได้ร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อมาโจมตีมู่เฉียนซีครั้งแล้วครั้งเล่า “พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!” กรงเล็กที่แหลมคมอย่างที่สุดของหมาป่า ก็ได้เกือบทิ้งบาดแผลไว้บนร่างกายของมู่เฉียนซีหลายครั้งแล้วเช่นกัน ปัง ปัง ปัง! หลังจากที่รับมือกันอยู่หลายรอบ ก็มีหมาป่าหลายตัวถูกการโจมตีของมู่เฉียนซีทำให้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้มันยังทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้บนพื้นหิมะอีกด้วย "พรสวรรค์ของแม่นางมู่สมกับที่อยู่ในอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศตะวันออกและดินแดนทางทิศใต้ของราชวงศ์ตงหวงจริง ๆ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าอย่างนางจะมาถึงจุดนี้ได้!" เมื่อองครักษ์ของว่านซือเยี่ยนได้เห็นถึงทักษะอันงดงามเช่นนนี้ของมู่เฉียนซีแล้ว ก็อดที่จะชื่นชมอย่างจริงใจออกมาไม่ได้จริง ๆ "แต่ทว่าฝูงหมาป่านี้มันเยอะเกินไป ในบรรดาสัตว์วิญญาณความสามารของหมาป่าหิมะนั้นมีชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ สิ่งนี้จะทำให้แม่นางมู่เสียเปรียบเป็นอย่างมาก" มีใครบางคนกล่าวขึ้นมาอย่างกังวล
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- "สมาคมการค้าเฉินซีร่ำรวยเหนือเมฆถึงเพียงนี้ ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีกอย่างนั้นหรือ?" มู่เฉียนซีเลิกคิ้วถาม “เจ้าลองดูสิ่งนี้…” ว่านซือเยี่ยนได้หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมา หรือจะพูดให้ถูกเลย มันก็คือกระดาษที่มีสีออกเหลืองแผ่นหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นกระดาษขาดที่ไม่สมบูรณ์อีกด้วย "ส่วนที่ขาดหายไปส่วนหนึ่งนี้ คือสมุนไพรวิญญาณอะไร เจ้ารู้หรือไม่? ข้าเคยถามนักปรุงยามามากมายแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะยืนยันอยู่ดี" "แม้ว่าคำแนะนำสมุนไพรวิญญาณนี้จะไม่สมบูรณ์ แต่ฤทธิ์ของยาที่แนะนำเอาไว้กลับไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลย นี่คือยาขั้นเทวะระดับสูงสุดที่อันตรายถึงชีวิต แม้ว่ามันจะมีเพียงคำเดียว แต่ข้าก็รู้จักดีว่าสมุนไพรวิญญาณนั้นคืออะไร และมันก็คือบัวหิมะเก้าเซียน" มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย ดวงตาของว่านซือเยี่ยนเปล่งประกายแวววาวขึ้นมาทันที พลางกล่าวว่า "ในที่สุดก็หามันเจอแล้ว ส่วนเรื่องการพัฒนาหอหมอปีศาจที่ดินแดนทางทิศเหนือของราชวงศ์ตงหวงที่ต้องจัดการ ข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าแก้ไขปัญหาทั้งหมดเอง" “แค่ดินแดนทางทิศเหนือหรือ?” "ข้ารู้ว่าเจ้ามีความทะเยอทะยานมากกว่านี้ แต่ทว่าเงื่อนไขนี้เพียงอย่างเดียวมันยังไม่พอหรอก! ฉะนั้นพวกเราค่อย ๆ คุยกันไปทีละเรื่องเถอะ" "เอาล่ะ! ถึงอย่างไรก็คงขุนให้อ้วนภายในรวดเดียวไม่ได้อยู่ดี เช่นนั้นก็จัดการเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน" มู่เฉียนซีกล่าวตอบ มู่เฉียนซีได้หยิบเอาปากกาและกระดาษออกมา จากนั้นก็ร่างลักษณะของบัวหิมะเก้าเซียนออกมาอย่างรวดเร็ว มันมีความเหมือนจริง อีกทั้งยังราวกับมีชีวิตอีกด้วย มู่เฉียนซีกล่าวกับว่านซือเยี่ยนว่า "บัวหิมะเก้าเซียนมักจะชอบเติบโตอยู่ในสถานที่ที่เย็นจัด ให้คนลองไปหาดูเถอะ!" "หากมีข่าวคราวแล้ว ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไปด้วยกันกับข้า! เนื่องจากการทำเช่นนี้มันจะสามารถหายาขั้นเทวะนี้ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น และเพราะข้าไม่อยากให้คนอื่นยื่นมือเข้ามายุ่ง ฉะนั้นข้าจึงจะมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยตนเองเช่นกัน" “ไม่มีปัญหา!” เมื่อได้รับคำตอบจากมู่เฉียนซี ว่านซือเยี่ยนก็จากไปทันที! ใช่แล้ว! เขาได้นั่งรถม้าแสนล้ำค่าของเขานั้นไปอย่างรวดเร็ว และได้ทิ้งมู่เฉียนซีเอาไว้ที่เดิม มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย และก็ได้แต่สบถอยู่ในใจ เหตุใดต้องรีบไปถึงขนาดนี้ด้วย? หรือกลัวว่านางจะนั่งรถม้าเขากลับไปฟรี ๆ อย่างนั้นหรือ? นางหันไปมองเจ้าของร้านแล้วกล่าวว่า "เจ้าของร้าน ข้าไม่ต้องจ่ายค่าอาหารใช่หรือไม่!" "แม่นาง แน่นอนว่าไม่ต้องขอรับ! ทุกครั้งที่คุณชายว่านซื่อมามักจะลงบัญชีเอาไว้เสมอ และพอถึงตอนสิ้นปีเขาก็จะส่งคนมาจ่ายทีเดียวขอรับ" เจ้าของร้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ท่านตาก็ลำบากเช่นกันสินะ!" เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเป็นถึงนายน้อยของสมาคมการค้าเฉินซี แต่แค่อาหารพื้นบ้านธรรมดายังต้องลงบัญชีไว้เลยหรือ? คาดว่าเงินที่ส่งมาจัดการบัญชีทุกสิ้นปีก็คงไม่ใช่เงินของเขาเองเช่นกัน แต่เป็นการจับผู้โชคร้ายสักคนมาจัดการบัญชีแทนเสียมากกว่า! หลังจากที่มู่เฉียนซีพูดชื่อยาขั้นเทวะออกมาได้อย่างแม่นยำ และแม้ว่าจะยังตามหาบัวหิมะเก้าเซียนไม่เจอ แต่ว่านซือเยี่ยนก็ได้ดำเนินการให้อย่างรวดเร็วฉับไวแล้ว ด้วยอำนาจของเงินจึงสามารถทำอะไรก็ได้ บวกกับการดำเนินการภายใต้ฝีมือของว่านซือเยี่ยน จึงทำให้สามารถหาข่าวคราวของยาขั้นเทวะระดับสูงสุดตัวนี้มาได้แล้วจริง ๆ มีคนพบเห็นมันอยู่ที่ธารน้ำแข็งเหนือ และธารน้ำแข็งเหนือแห่งนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่อีกด้วย จากนั้นว่านซือเยี่ยนก็ได้มาหามู่เฉียนซีอย่างรีบร้อน "รีบขึ้นรถมาเร็ว!" "อย่าเลยดีกว่า! ข้าจะเดินออกไปจากเมืองเอง เจ้ารอข้าอยู่นอกเมืองก็พอแล้ว! ข้าไม่อยากถูกเจ้าหลอกเอาค่ารถอีกแล้วล่ะ" เมื่อเห็นว่าว่านซือเยี่ยนร้อนรนมากเช่นนี้ มู่เฉียนซีจึงคิดว่าเขาจะให้นางได้นั่งรถไปฟรี ๆ แต่ที่ไหนได้ เจ้าหมอนี่ดันเดินลงมาจากรถม้า และให้คนเอารถม้าของเขากลับไปทันที “เช่นนั้นก็เดินไปด้วยกันเถอะ!” ร่างเงาแวววาวสีทองอร่ามวาดผ่านออกไปกลางอากาศเป็นแนวโค้ง จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉียนซีจึงไล่ตามออกไปเช่นกัน สัตว์พาหนะของคุณชายว่านซื่อคือนกอินทรีสีทองตัวหนึ่ง ซึ่งบนคอของมันล้วนถูกประดับประดาไปด้วยเพรชพลอย และบนร่างกายของมันก็มีสิ่งของต่าง ๆ ห้อยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน “ไปกันเถอะ!” ว่านซือเยี่ยนกล่าว "รถม้ายังแพงขนาดนั้น สัตว์พาหนะบินได้อย่างนกอินทรีสีทองที่เป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะแพงกว่ามาก เช่นนั้นข้าขอผ่านแล้วกัน!" จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้เรียกเสี่ยวโม่โม่ออกมา และเมื่อเสี่ยวโม่โม่ได้เห็นการประดับประดาที่งดงามของนกอินทรีสีทอง มันก็ลอบมองด้วยแววตาที่สงสาร นกอินทรีสีทองตัวนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน นี่มันถูกเจ้าเด็กน้อยนี่สงสารอย่างนั้นหรือ? นกอินทรีสีทองเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรเหมือนกัน เพราะเจ้านายของมันผู้นี้ทั้งชอบอวดความร่ำรวยและยังขี้งกสุด ๆ อีกด้วย “ออกเดินทางได้!” การไปยังธารน้ำแข็งเหนือในครั้งนี้ ว่านซือเยี่ยนได้รีบเร่งมาพร้อมกับกลุ่มหัวกะทิชั้นยอดกลุ่มหนึ่ง และยิ่งเข้าใกล้ธารน้ำแข็งเหนือมากเท่าไร อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงมากเท่านั้น หลังจากที่มาถึงพื้นที่ต้องห้ามวายุหิมะแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจบินอยู่กลางอากาศได้อีกต่อไป พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ร่อนลงเท่านั้น มู่เฉียนซีกล่าวว่า "พลังวิญญาณที่ธารน้ำแข็งเหนือแห่งนี้ถือว่าไม่เลวเลย ในเมื่อยาขั้นเทวะสามารถเติบโตได้ก็แสดงว่าสมุนไพรวิญญาณอื่นก็น่าจะมีเช่นกัน ฉะนั้นบัวหิมะเก้าเซียนเป็นของเจ้า ส่วนสมุนไพรวิญญาณอื่น ๆ เป็นของข้า" "ใครเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าก็เป็นของคนนั้น" เห็นได้ชัดว่าว่านซือเยี่ยนไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของมู่เฉียนซีเลย "ข้านำทางพวกเจ้ามาเก็บสมุนไพรวิญญาณท่ามกลางพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิมะเช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดที่จะมาแย่งชิงสมุนไพรวิญญาณกับข้าอีกอย่างนั้นหรือ?" มู่เฉียนซีกล่าวอย่างโกรธเคือง "แล้วมันจะทำไมล่ะ? หากเจ้าแย่งไม่ทันก็เพราะว่าเจ้าช้าเกินไปเท่านั้นเอง" สำหรับสิ่งของก่อนหน้านี้ ว่านซือเยี่ยนไม่คิดที่จะปล่อยให้คนอื่นเอาไปได้แม้แต่ใบเดียวแน่นอน ที่ธารน้ำแข็งเหนือนั้นง่ายต่อการหลงทางเป็นอย่างมาก และถึงแม้จะมีคนให้ข้อมูลที่ถูกต้องมาแล้ว แต่หากพวกเขาต้องการจะหาตำแหน่งที่ถูกต้องนั้นให้เจอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตอนนี้พายุหิมะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะเดินกันจนฟ้ามืด แต่พวกเขาก็ยังหาไม่เจออยู่ดี เมื่อค่ำคืนอันมืดมิดได้ปกคลุมอยู่เหนือธารน้ำแข็งเหนือ นั่นก็หมายความว่ากำลังจะมีอันตรายใกล้เข้ามาด้วย ซึ่งเหล่ากลุ่มองครักษ์ของคุณชายว่านซื่อต่างก็เริ่มให้ความระมัดระวังมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายของราชาแห่งธารน้ำแข็งเหนือได้ และก็กลายเป็นเหยื่อในสายตาของพวกมันอยู่ดี "บรู๊วว!" ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นมา “เตรียมป้องกัน!” ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถมองเห็นด้วยด้วยตาเปล่าได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาได้ถูกศัตรูที่แข็งแกร่งล้อมเอาไว้หมดแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นเพราะสีของศัตรูของพวกเขานั้นได้กลมกลืนไปกับหิมะสีขาวเหล่านี้อีกด้วย ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “มันคือหมาป่าหิมะ!” การจะพบเจอหมาป่าหิมะในธารน้ำแข็งเหนือได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด หลังจากนั้นว่านซือเยี่ยนก็กล่าวว่า "หลบให้ดี ๆ อย่ามาเกะกะ! และก็อย่าได้รับบาดเจ็บ เพราะมันจะเปลืองยา!" ผลสุดท้ายทันทีที่ว่านซือเยี่ยนกล่าวจบ ร่างสีม่วงก็สว่างวาบขึ้น และคิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะพุ่งทะยานออกไปอย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ "ว่านซือเยี่ยน การจัดการหมาป่าเราจำเป็นที่จะต้องดุร้ายกว่าพวกมัน ถึงจะสามารถทำให้พวกมันเลิกเข้ามาพัวพันได้! แต่หากข้าหลบซ่อนอยู่หลังพวกเจ้าจริง ๆ คงจะต้องกลายเป็นขนมหวานในสายตาของพวกมันเป็นแน่" ทันใดนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็กางออก จากนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับหมาป่าหิมะมู่เฉียนซีจึงได้ระเบิดพลังวิญญาณธาตุวายุที่ทรงพลังออกมา “พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!” ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า "มัวตะลึงอะไรกันอยู่? ลงมือสิ" มู่เฉียนซีกล่าวว่า "ว่านซือเยี่ยน พวกเรายังไม่ได้เข้าไปยังส่วนลึกของธารน้ำแข็งเหนือเลย ความสามารถของหมาป่าหิมะเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไร อีกทั้งราชาหมาป่ายังเป็นเพียงสัตว์เทพระดับหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องให้คนของเจ้าลงมือหรอก พวกเจ้าไปใจเย็นอยู่ทางนั้นก่อนเถอะ!" นางเตรียมที่จะจัดการเพียงลำพัง เพราะการโจมตีของหมาป่าหิมะนั้นทั้งดุร้ายและรวดเร็ว ซึ่งการเผชิญหน้ากับพวกมันนั้นถือเป็นโอกาสที่ดีในการฝึกต่อสู้จริง "นายน้อย!" องครักษ์เหล่านั้นไม่อาจตัดสินใจได้ ฉะนั้นจึงกล่าวพลางมองไปทางว่านซือเยี่ยน "ในเมื่อนางบอกว่าไม่ต้องให้พวกเจ้าลงมือก็ไม่ต้องลงมือ จะได้ไม่ต้องเปลืองพลังงานของพวกเจ้าด้วย เพียงแต่จับตาดูนางเอาไว้ อย่าปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นถูกหมาป่าฉีกเป็นชิ้น ๆ ก็พอ! ข้ายังคงต้องพึ่งนางในการหายาขั้นเทวะให้เจออยู่" ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอรับ!” ท่ามกลางความมืดมิด ร่างเงาของมู่เฉียนซีนั้นรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่หมาป่าบางส่วนที่ยังคงทำตามคำสั่งของราชาหมาป่า ก็ได้ร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อมาโจมตีมู่เฉียนซีครั้งแล้วครั้งเล่า “พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!” กรงเล็กที่แหลมคมอย่างที่สุดของหมาป่า ก็ได้เกือบทิ้งบาดแผลไว้บนร่างกายของมู่เฉียนซีหลายครั้งแล้วเช่นกัน ปัง ปัง ปัง! หลังจากที่รับมือกันอยู่หลายรอบ ก็มีหมาป่าหลายตัวถูกการโจมตีของมู่เฉียนซีทำให้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้มันยังทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้บนพื้นหิมะอีกด้วย "พรสวรรค์ของแม่นางมู่สมกับที่อยู่ในอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศตะวันออกและดินแดนทางทิศใต้ของราชวงศ์ตงหวงจริง ๆ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าอย่างนางจะมาถึงจุดนี้ได้!" เมื่อองครักษ์ของว่านซือเยี่ยนได้เห็นถึงทักษะอันงดงามเช่นนนี้ของมู่เฉียนซีแล้ว ก็อดที่จะชื่นชมอย่างจริงใจออกมาไม่ได้จริง ๆ "แต่ทว่าฝูงหมาป่านี้มันเยอะเกินไป ในบรรดาสัตว์วิญญาณความสามารของหมาป่าหิมะนั้นมีชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ สิ่งนี้จะทำให้แม่นางมู่เสียเปรียบเป็นอย่างมาก" มีใครบางคนกล่าวขึ้นมาอย่างกังวล
ในอดีตผู้ถวายงานโจวผู้ร่ารวยเงินทองมือเติบใจกว้าง ควัก กระเป๋ าเงินของตัวเองเอาสมบัติอาคมบนภูเขาระดับขั้นไม่ธรรมดา ออกมารวดเดียวถึงสี่ชิ้น เพื่อให้เป็ นสมบัติพิทักษ์ภูเขาฮุยเหมิง ภูเขา จูชา ยอดเขาเว่ยเสียและภูเขาหลังอ๋าว เมื่อสมบัติหนักเหล่านี้สัมผัส พื้นแล้วหยั่งรากลงสู่พื้นดินก็เกิดการผสานเชื่อมโยงกับรากภูเขา โชคชะตาสายน้าอย่างแนบแน่น รอกระทั่งหลิวจ้งรุ่นงมตาหนักวารีที่ เป็ นของตกทอดของแคว้นมาตุภูมิขึ้นมาได้ ก็ยิ่งช่วยผลักดันขับเน้น กับฝ่ายแรก เป็ นเหตุให้โชคชะตาน้าของภูเขาหลังอ๋าวยิ่งเข้มข้นมาก กว่าเดิม
หลิวจ้งรุ่นคิดว่าจะต่อสัญญาที่ดินฉบับใหม่กับภูเขาลั่วพั่วเสริม ไว้แต่เนิ่นๆ บนพื้นฐานระยะเวลาเช่าสามร ้อยปี เกาะจูไชยังอยากจะ ต่อเวลาไปอีก…หกร ้อยปี!
เพราะจากข้อตกลงเดิมในสัญญาฉบับแรก เมื่อเวลาสามร ้อยปี ผ่านไป ผู้ฝึกตนเกาะจูไชต้องย้ายออกโดยที่มิอาจนาพาสิ่งปลูกสร ้าง มิอาจรื้อถอนวัตถุดิบตระกูลเซียนที่นามาสร ้างเป็ นเสาคาน แล้วก็มิ อาจย้ายพืชพรรณบุปผาตระกูลเซียนที่ปลูกไว้ในภูเขาไปด้วยได้ ถึง เวลานั้นของทุกอย่างจะตกไปเป็ นทรัพย์สินในนามของภูเขาลั่วพั่ว ทั้งหมด
ช่วยไม่ได้ สัญญาฉบับนี้ จูเหลี่ยนเป็ นคนลงนามหลัก กระดาษ ขาวตัวอักษรด า แต่ละข้อล้วนเขียนไว้อย่างชัดเจน
ปีนั้นผู้ฝึกตนหญิงเกาะจูไชก็รู ้สึกไม่พอใจอยู่เหมือนกัน หากเป็ น นักบัญชีของเกาะชิงเสียที่เข้ามาคุยเรื่องการค้ากับเจ้าของเกาะด้วย ตัวเอง จะมีเงื่อนไขเข้มงวด คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ได้อย่างไร ไม่มีทาง แน่
ภูเขาหลังอ๋าวของจังหวัดจู่โจว หากยังรวมเกาะจูไชของ ทะเลสาบซูเจี่ยนเข้าไปด้วย ก็จะพอๆ กับพรรคหวงเหลียง ซึ่งต่างก็ ถือว่ามีทั้งบนภูเขาและล่างภูเขา
เพื่อเป็ นค่าตอบแทนในการช่วยงมซากปรักมาภายใต้เปลือกตา ของราชวงศ์ต้าหลีหลิวจ้งรุ่นจึงได้มอบเรือมังกรลาหนึ่งให้กับภูเขาลั่ว พั่ว นอกจากนี้ก็ยังรับปากว่าทั้งสองฝ่ ายจะแบ่งส่วนแบ่งกันคนละห้า ส่วน
ในฐานะพื้นที่เก็บสมบัติของแคว้นเก่า นอกจากสมบัติหนัก ตระกูลเซียนสองชิ้นอย่างตาหนักวารีและเรือมังกรแล้ว อันที่จริงก็ยังมี สมบัติที่สะสมไว้อีกไม่น้อย รายรับครั้งนี้ของหลิวจ้งรุ่น หากอิงตาม การคานวณของจูเหลี่ยนในเวลานั้น ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะได้ห้าหก ร ้อยเงินฝนธัญพืช เพียงแต่ว่าปีนั้นจูเหลี่ยนจงใจแสร ้งทาเป็ นมองไม่ เห็น ส่วนหลิวจ้งรุ่นเองก็ยินดีที่จะผลักเรือตามกระแสน้า แสร ้งทาเป็ น ว่าไม่มีเรื่องนี้ ภายหลังหลิวจ้งรุ่นยินดีมารับหน้าที่เป็ นผู้ดูแลเรือมังกร
ฟานโม่ ในระดับใหญ่แล้วสาเหตุก็เพราะเรื่องนี้ ถือว่าเป็ นการมอบผล หลีตอบแทนผลท้อ ช่วยชดเชยน้าใจครั้งหนึ่งให้แทนเกาะจูไช
ตาหนักวารีสมบัติหนักที่ถูกเซียนเหรินหลอมกลางเอาไว้ ทุก วันนี้ได้ถูกหลิวจ้งรุ่นน าไปไว้อยู่ใกล้กับหอเป่าจูของศาลบรรพจารย์
วันนี้เจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วเป็ นฝ่ ายมาเป็ นแขกที่ภูเขา หลังอ๋าว นี่เหมือนว่าจะเป็ นเรื่องหายากที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็ นครั้งแรก หลักๆ แล้วเป็ นเพราะเฉินผิงอันมักจะออกเดินทางไปข้างนอกอยู่ เสมอ
คนที่ดีใจที่สุดต้องไม่ใช่หลิวจ้งรุ่นที่ลาบากใจมาโดยตลอดด้วย ไม่รู ้ว่าจะเปิดปากเรื่องต่อสัญญาอย่างไรดีแน่นอน แต่ต้องเป็ นพวกผู้ ฝึกตนหญิงที่คุ้นชินกับนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียมานานแล้ว
เมื่อหลายปีก่อนภูเขาลั่วพั่วได้แสดงความเป็ นมิตรด้วยการให้ หลิวจ้งรุ่นแห่งภูเขาหลังอ๋าวเลือกลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่นิสัยใจคอหนัก แน่น คุณสมบัติโดดเด่นสองสามคนไปฝึกตนอยู่ในพื้นที่มงคลราก บัว
มีเวลาจากัดอยู่ที่สิบปี ในสถานที่สองแห่งที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยม โชคชะตาน้าเข้มข้นจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเกินจริง เหมาะสาหรับผู้ฝึก ลมปราณที่ฝึ กวิชาน้าอย่างมาก ถือเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมที่ดี เยี่ยมที่สุดดั่งวัดตัวมาจากผู้ฝึ กตนของเกาะจูไขอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าพวกมันต้องมีประวัติความเป็ นมายิ่งใหญ่ ต่างก็มาจากอุตร
กุรุทวีป สถานที่แห่งหนึ่งคือส่วนหนึ่งของตาหนักวารีหนันซวินที่เสิ่น หลิน หลิงหยวนกงแห่งลาน้าจี้ตู๋มอบให้ และยังมีลาธารอีกเส้นหนึ่ง ที่หลี่หยวน หงถิงโถวมอบให้
หลายปีมานี้เนื่องจากหลิวจ้งรุ่นได้เลื่อนเป็ นโอสถทองแล้ว คิด อยากจะขยับก้าวหน้าไปอีกขั้นเป็ นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นจึงมีสองครั้ง ที่นางออกเดินทางไปรับลูกศิษย์กลุ่มใหม่มา
พรรคเล็กๆ มักจะมีข้อเรียกร ้องต่อคุณสมบัติของตัวอ่อนผู้ฝึ ก ตนไม่สูง ในกลุ่มลูกศิษย์ที่รับมามีคนที่มีคุณสมบัติจะเลื่อนเป็ นห้า ขอบเขตกลางก็ถือว่าเก็บตกได้ของดีที่ไม่เล็กแล้ว
นอกจากนี้ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจ้งรุ่นก็ยังได้รับ เด็กสาวที่เป็ นกาพร ้ามีชีวิตยากล าบากล่างภูเขาอีกหลายคนมาเป็ น สาวใช ้ ในนามบอกว่าเป็ นสาวใช ้ แต่อันที่จริงเมื่อมาอยู่บนภูเขา หลังอ๋าว คนที่ฝึ กตนได้ก็ฝึ กตน มีโอกาสรับเข้าไปอยู่ในทาเนียบ ส่วนสตรีที่มิอาจฝึ กตนก็จะได้รับเงินเดือนก้อนหนึ่งทุกเดือน นอกจากนี้หากยังมีคนในครอบครัวและญาติมิตร ถัวเฉลี่ยดูแล้ว ทุกๆ เดือนก็ได้รับเงินไปหลายสิบตาลึง เป็ นเรื่องดีที่แม้แต่คิดก็ยังไม่ กล้าคิด
ผู้ฝึกตนหญิงบวกกับสาวใช ้ในเรือนแต่ละหลังมีจ านวนเกือบร ้อย คน เมื่อเป็ นเช่นนี้จึงเหมือนฝูงนกจับกลุ่ม ภูเขาหลังอ๋าวจึงยิ่งคึกคัก ขึ้นมากกว่าเดิม
คนที่มีชาติกาเนิดยากลาบาก เมื่อมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วก็ไม่แน่เสมอ ไปว่าจะปฏิบัติต่อคนที่ต่ากว่าดีนัก ถึงขั้นที่ว่ายังทาตัวร ้ายกาจยิ่ง กว่าเดิมด้วยซ้า
เพียงแต่ว่าหลิวจ้งรุ่นมีการอบรมสั่งสอนที่ดี ข้อเรียกร ้องต่อ คุณสมบัติในการฝึ กตนของลูกศิษย์ในส านักไม่สูง แต่กลับให้ ความสาคัญเรื่องนิสัยใจคอของพวกนางอย่างมาก ดังนั้นทางฝั่งของ ภูเขาหลังอ๋าวแห่งนี้จึงไม่มีใครที่กล้ารังแกคนต่ากว่าหรือโกหก หลอกลวงเบื้องสูง ขนบธรรมเนียมดีอย่างมาก
เฉินผิงอันเดินอยู่บนเส้นทางภูเขา ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนหญิงที่เฝ้ า หน้าประตูได้รายงานให้ทางศาลบรรพจารย์ทราบแล้ว
เห็นเงาร่างของคนชุดเขียว แต่ละคนก็ตะโกนเรียก ผู้ฝึกตนหญิง สามคนที่มาถึงไล่เลี่ยกันเปิดปากเรียกอย่างพร ้อมเพรียงด้วยน้าเสียง ที่แตกต่างกัน “อาจารย์เฉิน!”
พวกนางยังคงเคยชินที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์เฉิน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จดจาชื่อของพวกนางได้ อย่างชัดเจน “หลิวเสีย ก่วนชิง ป๋ ายแชว่ สวัสดีทุกคน”
แน่นอนว่าสาเหตุเพราะเฉินผิงอันความจ าดี
นักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียขึ้นชื่อว่าไม่เข้าใจเรื่องความรักชาย หญิง ค าพูดการกระท าอยู่ในกรอบ มีแต่จะท าลายบรรยากาศดีๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ปี นั้นอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เนื่องจาก ความสัมพันธ ์กับผู้ฝึกตนผีที่มีชาติกาเนิดมาจากคนแบกข้าวผู้นั้น เฉินผิงอันที่ทาหน้าที่เป็ นคนกลางไกล่เกลี่ยจึงต้องกินน้าแกงประตูปิด ที่เกาะจูไชอยู่หลายครั้ง อย่าว่าแต่ได้พบหน้าเจ้าเกาะหลิวเลย จะขึ้น ไปบนภูเขาก็ยังไม่ได้ด้วยซ้า
อันที่จริงเรื่องนี้ระหว่างสตรีของเกาะจูไชกันเองมีการพูดคุยกัน อย่างออกรส เฮอะ เกาะจูไชของพวกเราเป็ นพรรคเล็กก็จริง แต่มาด ของพวกเราใหญ่มากนะ! ลองถามใต้หล้าดูเถอะว่ามีภูเขาลูกใดที่ สามารถขัดขวางไม่ให้อาจารย์เฉินขึ้นเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าบ้าง? ภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนั้น? หรือว่าส านักโองการเทพ? ต้องท าไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าท าแน่นอน
แต่หลิวจ้งรุ่นควบคุมเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ใครก็ไม่กล้าเอาไป แพร่งพรายภายนอกเพราะหากถูกจับได้ก็จะถูกเจ้าเกาะตัดชื่อออก จากท าเนียบ ขับไล่ลงจากภูเขาโดยตรง ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษาหารือ กันอีก
เฉินผิงอันคุยเล่นกับผู้ฝึกตนหญิงสามคนสองสามประโยคแล้ว ขอตัวลาจากไป
ปี นั้นทุกครั้งที่ต้องกินน้าแกงประตูปิ ดบนเกาะจูไช จากนั้นไป เยือนจวนจูเสวียนเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันยังถูกหม่าหย่วนจื้อพูดจาทิ่ม แทงใจบ่อยๆ บอกว่าพวกเราสองคนคือพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากที่เห็น ใจกันและกัน พอเป็ นเรื่องของสตรี ต่างก็ต้องเสียเปรียบอย่างไม่สง่า
งาม เฉินผิงอันวันหน้าเจ้าก็มาที่จวนข้าบ่อยๆ เถอะ เห็นเจ้าที่หน้าตา อัปลักษณ์กว่าข้า ในใจข้าก็รู ้สึกดีขึ้นหลายส่วนเลย…หรือไม่ก็จะบีบ ให้เฉินผิงอันเอ่ยค าสาบานรุนแรง บอกว่าเจ้าต้องสาบานกับข้า ภรรยาของสหายมิอาจล่วงเกิน เจ้าหนูเจ้าหน้าตาขี้เหร่ก็พอทนแล้ว อย่าได้ทาตัวทุเรศ มีความคิดไม่ชื่อเก็บไว้ในใจเด็ดขาด อย่าใช ้ เหตุผลบิดเบี้ยวที่บอกว่าไม่ต้องเกรงใจอะไรนั่นกับข้า ต่อให้ทุกวันนี้ ข้าจะยังไม่อาจแต่งองค์หญิงเข้าบ้านได้ แต่นางก็คือว่าที่พี่สะใภ้เจ้า ในอนาคต เจ้าพบเจอนาง จาไว้ว่าดวงตาทั้งคู่ก็ให้อยู่ในกฏใน ระเบียบหน่อยอย่ามองส่งเดช ทุกคนต่างก็เป็ นบุรุษที่พกไอ้จ้อนไว้ใน กางเกงเหมือนกัน ข้าจะไม่เข้าใจเจ้าได้หรือ…เฉินผิงอัน เจ้าบอกกับ ข้ามาตามตรงว่าเจ้าเจอองค์หญิงใหญ่แล้วมีความคิดอะไรหรือไม่? ไม่มี? ไม่มีจริงหรือ? ก็ได้ จะเชื่อเจ้าสักครั้ง เห็นองค์หญิงใหญ่ที่เป็ น สุดยอดของดีในหมู่ของดีแล้วยังไม่เกิดจินตนาการบรรเจิดงดงาม ใดๆ เพ้ย ไม่ใช่บุรุษ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ…
รอกระทั่งอาจารย์เฉินเดินห่างไปไกลแล้ว ป๋ ายแชว่ถึงได้หัวเราะ ฮ่าๆ ยื่นมือออกมา“กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ารับความพ่ายแพ้ เร็วๆ เข้า ควักเงินมา ควักเงินมา!”
หลิวเสียคือลูกศิษย์คนที่สองของหลิวจ้งรุ่น ป่ ายแชว่คือลูกศิษย์ คนเล็ก ปีนั้นพวกนางก็เคยเอาเฉินผิงอันมาเดิมพันกัน ผลคือหลิว เสียพ่ายแพ้ต้องเสียเงินเกล็ดหิมะไปสิบเหรียญป๋ ายแชว่ที่ปีนั้นมีรูป โฉมเป็ นเด็กสาวหน้าตาธรรมดาก็คือคนคนเดียวที่ได้เงินไป เพราะ
ครั้งนั้นมีเพียงนางที่ลงเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะขึ้นเขามาได้ ผลคือทุก คนถูกนางฆ่าเรียบ!
เฉินผิงอันหยุดเดินแล้วหันหน้ามา
เสียงหัวเราะทางฝั่งนั้นเงียบลงทันที
ถึงอย่างไรวันนี้ก็ไม่เหมือนวันวานแล้ว สถานะของอาจารย์เฉินมี เพิ่มมากขึ้นแล้วแต่ละสถานะที่เพิ่มมาน่าตกใจมากขึ้นทุกที เจ้า ขุนเขาภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่ง ศิษย์น้องเล็กของ ซิ่วหู่ซุยฉาน คนรักของหนิงเหยาบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าห้าสีผู้ ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ถามหมัดกับเฉาสือ เซียนกระบี่ขอบเขต หยกดิบที่อายุสี่สิบกว่าปี…เรื่องที่เมื่อก่อนพวกนางทาได้ ทุกวันนี้หาก ทาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าต่อตา ก็จะไม่เหมาะสมอีกแล้ว ผลคือยังถูกจับได้คาหนังคาเขาอยู่ดี
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “ก่วนชิง ฟังข้าแนะน า สักค า ข้อแรก อย่าได้ลงเดิมพันกับศิษย์น้องป๋ ายแชว่ของเจ้า นางมี โชคในการเดิมพันที่ดีมากจริงๆ ข้อที่สอง หากว่าจะต้องเดิมพันจริงๆ ก็อย่าลงเดิมพันพร ้อมกับศิษย์พี่หลิวเสีย ศิษย์พี่ลงเดิมพันอะไรเจ้าก็ เลือกลงเดิมพันตรงข้ามนางซะ”
พวกนางหลุดหัวเราะทันใด
รอกระทั่งคนชุดเขียวเดินจากไปไกลแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิง ร่วมสานักที่ความสัมพันธ ์กลมเกลียวสามคนถึงได้แผดเสียงหัวเราะ ดังลั่น
อาจารย์เฉินที่นิสัยคร่าครึ บางครั้งที่พูดจาตลกขบขันขึ้นมาก็ ตลกมากจริงๆ
ก็เหมือนอย่างปีนั้นที่หลิวเสียบ่นเฉินผิงอันว่าทาให้นางต้องแพ้ เสียเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญ อาจารย์เฉินก็ถามมาประโยคหนึ่งว่า หากเขาพูดว่าสมน้าหน้า ยังจะได้ไปพบเจ้าเกาะไหม? รอกระทั่งหลิว เสียพูดว่าได้อย่างไม่ยินยอมพร ้อมใจ นักบัญชีก็ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ จริงๆ ว่า สมน้าหน้า
ป๋ ายแชว่ยกมือขึ้นทาท่าโบก พูดพึมพากับตัวเอง “เท่ห์มาก!”
ปีนั้นเด็กสาวคนหนึ่งที่ได้เงินมาจนสองมือแทบจะถือประคองเงิน ไว้ไม่หมด พูดกลั้วหัวเราะขอบคุณแผ่นหลังของนักบัญชีหนุ่มเสียง ดัง บุรุษที่สวมชุดผ้าฝ้ ายสีเขียวไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่ยกมือขึ้น โบก คงจะบอกเป็ นนัยว่าไม่ต้องเกรงใจ
ป๋ ายแชว่ก าสองมือเป็ นหมัดโบกอย่างแรง เงินเกล็ดหิมะเต็มก า มือเลยนะ นางพูดอย่างมีความสุข “ฮ่า เรื่องนี้จะให้อาจารย์รู ้ไม่ได้ เชียวนะ”
ได้เงินมามีความสุข แน่นอนว่าได้เจอกับอาจารย์เฉินอีกครั้ง อาจารย์เฉินยังคง ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม” เช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะ เป็ นเรื่องที่ทาให้มีความสุขได้มากยิ่งกว่า
“ท าไมพวกเราถึงได้กลัวอาจารย์ แต่ไม่กลัวอาจารย์เฉินนะ?” “ข้ารู ้สึกว่าต่อให้วันหน้าอาจารย์เฉินขอบเขตสูงกว่านี้ แล้วได้ เจอกันอีกครั้งก็ยังไม่กลัวเขาอยู่ดี”
“หรือจะเป็ นเพราะอาจารย์เฉินมีชาติกาเนิดที่ยากจนเหมือนพวก เรา ดังนั้นจึงไม่เคยวางมาดอะไรกับพวกเรา แล้วยังเข้ากับคนอื่นได้ ง่ายโดยที่ไม่ได้เสแสร ้งด้วย?”
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครที่ร่ารวยมีเงินมีทองแล้วจะเป็ นแบบเขาทุกคนนี่ นา พูดถึงแค่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน พอขอบเขตสูงก็เปลี่ยนสีหน้าไม่จา คนแล้ว คนแบบนี้มีน้อยนักหรือ? ตอนที่พวกเขาเหยียบย่าคนอื่นก็ ไม่ใช่ว่ายิ่งดุร ้ายยิ่งโหดเหี้ยมหรอกหรือ? วิธีการมีสารพัดอย่าง มีแต่ พวกเราที่คิดไม่ถึง ไม่มีอะไรที่พวกเขาคิดไม่ออก ทุกวันนี้อยู่ห่างจาก ทะเลสาบซูเจี่ยนมาไกลขนาดนี้แล้ว คิดถึงเมื่อไหร่ก็ยังกลัวไม่หายทุก ที”
“แล้วนั่นเป็ นเพราะอะไรล่ะ”
“เพราะอาจารย์เฉินเกิดมาก็เป็ นคนดีน่ะสิ”
“เหตุผลแบบนี้เจ้าก็อุตส่าห์คิดออกมาได้นะ…แต่ลองคิดอย่าง ละเอียดแล้วก็ดูเหมือนว่าจะถูกต้องแล้ว”
ศาลบรรพจารย์ของเกาะจูไชมีชื่อว่าหอเป่าจู
หลิวจ้งรุ่นยืนอยู่หน้าประตูเพียงล าพัง รอคอยให้เฉินผิงอัน ปรากฏตัว
นางรวบผมเป็ นมวยสูง เรือนกายอวบอิ่ม หน้าผากนูนกว้าง
หลิวจ้งรุ่นหรี่ดวงตาหงส์ที่เรียวยาวคู่นั้นลงด้วยความเคยชิน มอง คนชุดเขียวที่ยิ่งเดินก็ยิ่งขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
องค์หญิงใหญ่ที่ในอดีตเคยว่าราชการหลังม่านปกครองแคว้นมา นานหลายปีผู้นี้ ตอนนั้นหากไม่เป็ นเพราะถูกผู้ฝึกกระบี่ของเชื้อพระ วงศ์ราชวงศ์จูอิ๋งเก่าตามตอแยไม่เลิกราเดิมทีนางก็มีหวังที่จะได้เป็ น จักรพรรดิหญิงคนแรกของแจกันสมบัติทวีป
พูดกันในความหมายที่เข้มงวดแล้ว พรรคที่เป็ นพันธมิตรบน ภูเขากับภูเขาลั่วพั่วอย่างเป็ นทางการฝ่ ายแรกที่แท้จริงก็คือเกาะจูไช ของหลิวจ้งรุ่น
ทุกเรื่องยากที่การเริ่มต้น ความสัมพันธ ์ควันธูปส่วนนี้ไม่ถือว่า เล็กเลย
ปีนั้นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ทุกคนของเกาะจูไชต่างก็ ติดตามหลิวจ้งรุ่นที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวย้ายมาอยู่ที่หลงโจว ลง หลักปักฐานที่ภูเขาหลังอ๋าว เปิ ดจวนก่อตั้งพรรค เท่ากับว่าละทิ้ง กิจการบ้านเรือนเก่าแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
หลายปีมานี้หลิวจ้งรุ่นไม่เคยละเลยการฝึกตนแม้แต่ครู่เดียว บวก กับที่ใช ้ตาหนักวารีมาเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม เป็ นเหตุให้ทุกวันนี้ เป็ นคอขวดขอบเขตโอสถทอง ฝึกวิชาหลักคือวิชาน้าควบกับวิชา ยันต์
หาไม่แล้วตอนนั้นนางก็ไม่มีทางถูกใจภูเขาหลังอ๋าวที่เป็ นภูเขา ใต้อาณัติตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งเหตุผลก็เพราะสถานที่แห่งนี้มีโชคชะตา น้าเข้มข้นที่สุด
เนื่องจากตอนนั้นภูเขาลั่วพั่วยังไม่ได้ซื้อภูเขาหวงหู หาไม่แล้ว ศาลบรรพจารย์ของเกาะจูไชในทุกวันนี้ก็คงไม่ได้อยู่ที่ภูเขาหลังอ๋าว แล้ว
อากาศฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น หลิวจ้งรุ่นจึงตั้งโต๊ะไว้ที่ลานกว้างหยก ขาวโดยตรง จัดวางผลไม้หนึ่งถาดและของกินเล่นอีกสองสามชนิด ต้มชากาหนึ่งรับรองแขกด้วยตัวเอง
หลิวจ้งรุ่นยื่นน้าชาตระกูลเซียนที่มีไอร ้อนลอยกรุ่นถ้วยหนึ่งไป ให้เฉินผิงอัน แสงแดดสาดส่อง บนแก้วน้ามีสายรุ ้งเล็กจิ๋วปรากฏ ขึ้นมา
คนที่มีความรักยาวนานมักจะชอบคิดถึงวันวาน
เฉินผิงอันรับถ้วยชามา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคาแล้วยิ้มกล่าว “ทุก วันนี้ใบชารุ ้งกินน้าได้ถูกสานักเจินจิ้งผูกขาดไปแล้ว ราคาคิดตาม น้าหนักเป็ นตาลึง จวนเซียนทั่วไปมีเงินก็หาซื้อไม่ได้”
ขณะที่ทั้งสองฝ่ ายเริ่มดื่มชากันก็มีเด็กสาวร่าเริงที่ไม่ขลาดกลัว แม้แต่น้อยคนหนึ่งวิ่งมารวดเร็วราวกับสายลม ไม่ส ารวมระมัดระวังตน แม้แต่น้อย
หลิวจ้งรุ่นยิ้มเอ่ยแนะนา “ลูกศิษย์ที่ข้าเพิ่งรับมาใหม่ ชื่อว่าอวิ๋ นเซียง”
มิน่าเล่าเด็กสาวถึงได้ใจกล้าขนาดนี้ กล้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับคา อนุญาต ก็ได้แต่ใช ้ค าอธิบายว่าขนาดฮ่องเต้ก็ยังรักลูกคนเล็กแล้ว ขนาดพวกหลิวเสียยังดูเหมือนจะไม่กล้ามาร่วมวงความครึกครื้นที่นี่ เลย
รอกระทั่งอวิ๋นเซียงคารวะเฉินผิงอันแล้ว หลิวจ้งรุ่นก็ให้นางไปยก ม้านั่งทรงกลมมา
หลิวจ้งรุ่นถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าขุนเขาเฉินให้เกียรติมา เยือน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรจะสั่งความหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้มีเรื่องจะขอร ้อง เจ้าเกาะหลิวไม่ต้อง ตื่นเต้น ก็แค่มาเดินเล่นเฉยๆ แค่เพื่อนบ้านที่แวะเวียนมาหากัน เท่านั้น เกาะจูไชช่วยมามากพอแล้ว ไหนเลยจะกล้า”
หลิวจ้งรุ่นหลุดหัวเราะพรืดทันใด
อวิ๋นเซียงที่นั่งตัวตรงอย่างสารวมอยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบๆ จุ๊ๆ ฟังสิฟัง อาจารย์เฉินช่างเข้าใจพูดจริงๆ
คาพูดของอาจารย์คือสาลีที่ซ่อนเข็ม ก็ไม่แปลกที่อาจารย์เฉินจะ พูดจาแฝงความนัยเพราะอาจารย์เกือบจะกลายเป็ นผู้ดูแลรองของ ภูเขาลั่วพั่วไปทุกทีแล้ว