The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.473 ผสานวิญญาณยุทธ์
EP.473 ผสานวิญญาณยุทธ์
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมายังโถงตำหนักเจ๋อเทียนสะท้อนเสาหินแกะสลักลวดลายมังกรสวยงาม ภายในโถงมีเพียงขุนนางคนสำคัญของจักรวรรดิเพียงสิบคนเท่านั้น
ดูเหมือนว่าฉินอินเพิ่งเสร็จสิ้นการฝึก นางเพียงสวมชุดเกราะอ่อนสีน้ำเงินเข้ม ทำให้ไม่สามารถปิดบังรูปร่างที่โตเต็มวัยของนางได้ ใบหน้าของนางงดงามไร้ที่ติ คิ้วบาง จมูกโค้งได้รูป ผิวขาวดั่งหยก ตราจื่อยินบนหน้าอกเปล่งประกายทุกครั้งที่นางเคลื่อนไหว ฉินอินนั่งลงบนบัลลังก์และกล่าวออก “ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงเผ่าปีศาจทั้งสองถูกจับมาเป็นเชลยหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงประสานหมัด “ทั้งสองเป็นดั่งอัญมณีของจักรพรรดิปีศาจ องค์หญิงใหญ่นามว่าเฟิงจิ้ง ส่วนองค์หญิงเล็กคือเฟิงหนิง ตามที่เหล่าปีศาจระดับสูงกล่าว…เชลยศึกทั้งสองเป็นธิดาองค์โปรดของจักรพรรดิปีศาจพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินอุทานออก “ประเสิร์ฐนัก!”
ซูมู่หยุนด้านข้างประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท จักรวรรดิเพิ่งผ่านพ้นสงครามและต้องการเวลาพักฟื้น อีกทั้งต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมกำแพงเหล็กที่ริมฝั่งแม่น้ำต้าวเจียง การมีองค์หญิงเผ่าปีศาจเช่นนี้…กระหม่อมแนะนำว่าควรใช้ทั้งสองเพื่อเจรจาสร้างสันติและทำให้จักรวรรดิได้หยุดพักหายใจพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม นั่นคือสิ่งที่ข้าตั้งใจ” ฉินอินพยักหน้ายิ้ม
เจิ้งอี้ฝานหรี่ตาพร้อมกล่าวอย่างเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมแนะนำว่าหากต้องการเจรจาเพื่อสันติภาพ เช่นนั้นควรคืนองค์หญิงเพียงคนเดียว และเก็บอีกคนไว้เป็นตัวประกันในมือเสมอ หากเผ่าปีศาจเข้าจู่โจมอีกครั้ง เราสามารถใช้ประโยชน์จากนางและกำแพงเหล็กเพื่อเอาชนะได้”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงประสานหมัดกล่าว “สองกองทัพหลักของเผ่าปีศาจมีอสูรเกราะราวสี่แสนตน ปีที่ผ่านมามีสงครามเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่แม่น้ำต้าวเจียง พวกมันโจมตีจักรวรรดิอี้เหอในมณฑลหลิงหนานและเผชิญหน้ากับกองทัพของหลงเซียนหลินจนได้รับความเสียหายรุนแรง อีกทั้งผู้บัญชาการหลินจัดการอสูรเกราะในทุ่งอัคนีราวหกหมื่นตน ทำให้อสูรเกราะลดลงจากสี่แสนเหลือเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นตน เผ่าปีศาจไม่ได้แข็งแกร่งเฉกเช่นก่อนหน้าอีกแล้ว”
“อืม”
ฉินอินยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเฟิงกล่าวได้ดี ท่านคิดว่าเราควรส่งผู้ใดไปเจรจากับปีศาจ?”
“ต้องเป็นคนที่พูดจาฉะฉานและเข้าใจ” ถังหลานกล่าว
เจิ้งอี้ฝานประสานหมัด “กระหม่อมยินดีใช้ทักษะที่มีเพื่อเป็นทูตไปเจรจาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินตกใจ “ท่านเสินโหวเพิ่งกลับเมืองหลันเยี่ยนและเป็นขุนนางคนสำคัญของจักรวรรดิ ท่านไม่ควรออกไปเสี่ยงเช่นนั้น”
“กระหม่อมแก่ชรามากแล้ว และไม่รู้ว่าจะสามารถทำเพื่อจักรวรรดิได้อีกมากเพียงใด” เจิ้งอี้ฝานถอนหายใจ “กระหม่อมเจิ้งอี้ฝานจงรักภักดีต่อจักรวรรดิมาตลอดชีวิตและต้องการประสบผลสำเร็จเพื่อไม่ให้เสียชื่อตนเองในหอหลิงหยุน เป็นเพราะจักรพรรดิองค์แรกเคลือบแคลงพระทัย ทำให้กระหม่อมไม่สามารถกลับมายังเมืองหลวงเพื่อต่อสู้ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์”
หลินมู่อวี่หันมอง เจิ้งอี้ฝานขณะนี้ไม่ใช่เสินโหวผู้เย่อหยิ่งอีกแล้ว แต่เป็นเพียงชายชราผู้เป็นบิดาของเจิ้งเซียง ซึ่งนางเป็นคนรักของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน
หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านเสินโหวสามารถเจรจากับเผ่าปีศาจได้ อีกทั้งเขาแข็งแกร่งมากอีกด้วย”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นคงต้องพึ่งพาท่านเสินโหวเพื่อเจรจาในเมืองตงซวง”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำภารกิจให้สำเร็จ!”
…
เพียงครู่เดียวพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ทุกคนหารือเรื่องจักรวรรดิมากมาย ซึ่งหลายสิ่งเป็นหน้าที่ของเหล่าขุนนางที่ต้องจัดการ หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง เว่ยโฉว ซือตู่เซิน และนายพลคนอื่นๆ เริ่มหาว แต่เมื่อมองผิงหนานโหวเซี่ยงอวี้ เขายืนนิ่งพร้อมคอที่พับลงและมีเสียงกรนเล็กน้อย
“เฮอะ! นั่นน่ะหรือทายาทเทพทหารเซี่ยงเหวินเทียน” ซือตู่เซินยิ้มเยาะ
หลินมู่อวี่เพียงยิ้มและไม่กล่าวสิ่งใด
จากนั้นเสนาธิการหญิงจิ้งเยว่เลื่อนการประชุมออกไป ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านหยุนหลิงโหว ฝ่าบาทประสงค์ให้ท่านอยู่ก่อนเจ้าค่ะ”
“อืม”
เฟิงจี้สิงและคนอื่นๆ ต่างรู้ดีว่าการเรียกหลินมู่อวี่เพียงคนเดียวนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของทั้งสอง ดังนั้นพวกเขาจึงชวนกันออกไปดื่ม
…
ในพริบตาภายในห้องโถงเหลือเพียงหลินมู่อวี่และฉินอิน นางเดินลงจากบัลลังก์เข้ามาจับมือเขาพร้อมกล่าวว่า “ไปกันเถิด ท่านบรรพบุรุษรออยู่”
“หืม? เราจะไปพบท่านบรรพบุรุษหรือ?”
“ใช่”
ฉินอินเผยยิ้ม “เมื่อเร็วๆ นี้ข้าฝึกฝนทักษะสยบมังกรที่ท่านชวีฉู่สอน ท่านบรรพบุรุษได้ช่วยชี้แนะจนเสี่ยวอินใกล้จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว!”
การเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์จะสามารถรักษาความเยาว์วัยได้ซึ่งเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์หญิงต่างใฝ่ฝัน รวมถึงฉินอินเช่นกัน แม้ว่านางจะเป็นถึงจักรพรรดินีก็ตาม
ตำหนักฝึกตนตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนักเจ๋อเทียน เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิทุกองค์ใช้นั่งสมาธิ มันมีขนาดไม่ใหญ่มาก และมีห้องขนาดเล็กใต้หลังคา ตำหนักฝึกตนถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อจักรวรรดิอี้เหอบุกเข้ามา ปัจจุบันจึงเป็นอาคารที่ถูกสร้างและทาสีใหม่
“แอ๊ด”
ฉินอินค่อยๆ เปิดประตู แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้าไปยังห้องใต้หลังคา ห่างออกไปฉินฮั่นกำลังนั่งบนเก้าอี้หวายพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มาแล้วหรือ?”
ฉินอินพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่วงบ่ายมีการหารือเพิ่มเติม จึงทำให้ท่านบรรพบุรุษต้องรอนาน”
“ไม่เป็นไร เข้ามาเถิด”
เมื่อหลินมู่อวี่และฉินอินเดินเข้าไป ฉินฮั่นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะที่ดวงตาเปล่งประกาย “ตั้งแต่โบราณกาลมีเพียงไม่กี่คนที่มีวิญญาณยุทธ์แบบคู่ แต่ของพวกเจ้ากลับเป็นถึงวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งชั้นเลิศ ช่างน่าทึ่งจริงๆ ข้าไม่มีสิ่งใดจะสอน เช่นนั้นข้าขอถาม…เจ้ารู้จักการผสานวิญญาณยุทธ์หรือไม่?”
“ผสานวิญญาณยุทธ์?” หลินมู่อวี่ผงะและส่ายหัว “ท่านบรรพบุรุษ ข้าไม่รู้จักมันเลย”
“อืม”
ฉินฮั่นก้าวไปด้านหน้าพร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะแสดงให้ดูก่อน”
สิ้นเสียง ฉินฮั่นพลันปลดปล่อยพลัง “ชิ้ง!” โซ่เทวะทั้งสิบสองเส้นระเบิดออกพร้อมเปล่งประกายแสงสีทอง เขายกมืออีกข้างขึ้นและกล่าวว่า “กระบี่วิญญาณแปดทิศ!”
ทันใดนั้น! พายุพลังศักดิ์สิทธิ์หมุนวนรอบดาบสีทอง ฉินฮั่นผายฝ่ามืออย่างเชื่องช้าพร้อมกล่าวว่า “นี่คือวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งอีกชนิดที่ข้ามี กระบี่วิญญาณแปดทิศตื่นขึ้นมาในร่างกายเมื่อข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวะ เจ้าต้องระมัดระวังให้ดีขณะที่ผสานวิญญาณยุทธ์ทั้งสองเข้าด้วยกัน”
“ขอรับท่านบรรพบุรุษ!”
ฉินฮั่นส่งเสียงร้องเล็กน้อย โซ่เทวะค่อยๆ หมุนวนรอบกระบี่วิญญาณแปดทิศ ก่อนที่มันจะแตกสลายและซึมเข้าสู่กระบี่จนเปล่งประกายยิ่งขึ้น จากนั้นโซ่เทวะทั้งสิบสองกลายเป็นอักขระโบราณสีทองลอยวนรอบกระบี่ แสงสีทองพลันเปล่งประกายและเกือบทะยานขึ้นสู่ห้องใต้หลังคา
หลินมู่อวี่ตกตะลึง เขาใช้ทักษะชีพจรวิญญาณและสัมผัสได้อย่างชัดเจน เมื่อโซ่เทวะผสานกับกระบี่วิญญาณแปดทิศ มันไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองเหมือนเรขาคณิต แต่การผสานพลังโซ่เทวะเข้าไปได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กระบี่ถึงห้าเท่า!
“เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม?” ฉินฮั่นเอยยิ้มเล็กน้อย เขาขยับมือเบาๆ กระบี่วิญญาณแปดทิศก็พุ่งหายเข้าไปในร่างกายทันที
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ขอรับ มันวิเศษมากที่วิญญาณยุทธ์สามารถผสานกันเช่นนี้ ท่านบรรพบุรุษ ด้วยความสามารถที่มี ท่านสามารถสังหารลั่วหลานได้หรือไม่?”
“ลั่วหลาน?”
ฉินฮั่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ด้วยการผสานวิญญาณยุทธ์ของข้า ลั่วหลานไม่แม้แต่จะต้านทานข้าได้ถึงสิบกระบวนท่า”
ฉินอินคุกเข่าลงทันทีพร้อมกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ท่านบรรพบุรุษโปรดไปยังมณฑลหลิงหนานและสังหารลั่วหลานด้วยเถิด!”
“ไม่ได้”
ฉินฮั่นสูดลมหายใจก่อนพึมพำ “แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงเทพระดับล่าง แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎแห่งสวรรค์ สำหรับการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพ…ทุกการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจะถือเป็นการละเมิดกฎ แล้วข้าจะต้องทนทุกข์และถูกไล่ล่าจนตาย”
“การต่อสู้ของเหล่าทวยเทพ?”
“ใช่ มันเคยเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อสองร้อยปีก่อน จักรพรรดิฉินอี้นำเหล่าทวยเทพระดับล่างไล่ล่าราชาปีศาจเจ็ดประทีป แต่น่าเสียดาย…” ฉินฮั่นส่ายหัวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ล้มเหลว”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า
ฉินฮั่นยิ้มและมองไปที่เขา “เจ้าหนุ่มอย่ากังวลไปเลย แม้ว่าข้าจะสัมผัสได้ถึงพลังเจ็ดประทีปในร่างกายเจ้า กระนั้นเจ้าเป็นคนซื่อตรงและไม่เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ซึ่งแตกต่างจากราชาปีศาจเจ็ดประทีป วิญญาณยุทธ์นี้…ข้าต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะรู้วิธีผสานมัน ตราบใดที่เจ้าเต็มใจเรียนรู้ ข้าจะสอนให้ ท้ายที่สุดจักรวรรดิยังคงต้องการความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่”
“ขอบคุณขอรับท่านบรรพบุรุษ!” หลินมู่อวี่กล่าวขอบคุณ
“ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดอีก นั่งลงเสีย แล้วข้าจะสอนการผสานวิญญาณยุทธ์ให้ ในขณะเดียวกันจะสอนการใช้โซ่เทวะให้เสี่ยวอินด้วย”
“ขอรับ!”
…
หลินมู่อวี่และฉินอินนั่งเคียงข้างกัน ขณะที่โคจรวิญญาณยุทธ์และปราณไปรอบๆ ตามดังฉินฮั่นกล่าว…เขาสามารถทำสองสิ่งในเวลาเดียวกัน เขาสอนการผสานวิญญาณยุทธ์ให้หลินมู่อวี่ ขณะเดียวกันก็สอนการเพิ่มพลังโซ่เทวะให้ฉินอิน
การผสานวิญญาณยุทธ์แบ่งออกเป็นสี่ขั้น หยุดการขัดแย้ง…ฝึกฝนภายในทะเลจิตเพื่อควบคุมวิญญาณยุทธ์สองดวงไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน ต้นกำเนิด…ทำให้วิญญาณยุทธ์ที่แตกต่างคุ้นเคยกันมากขึ้น สมบูรณ์แบบ...เพิ่มความแข็งแกร่งจนถึงขั้นสูงสุด การผสาน…สลายวิญญาณยุทธ์ทั้งสองเพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียว
แน่นอนว่าการฝึกวิทยายุทธ์ของหลินมู่อวี่ยังคงห่างไกลจากความสำเร็จ ฉินฮั่นกล่าวไว้ว่า ในการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพครั้งสุดท้าย มีเทพขอบเขตเทวะชั้นที่สองตกลงมายังโลกมนุษย์ ทำให้เขาต้องสู้กันบนดินแดนหิมะนานกว่าสองวันสองคืน กระทั่งเขาจัดการอีกฝ่ายสำเร็จ ตราบใดที่สามารถผสานวิญญาณยุทธ์และแข็งแกร่งขึ้น ทุกคนสามารถก้าวข้ามความท้าทายและต่อสู้กับเทพเจ้าได้อย่างแน่นอน
การผสานวิญญาณยุทธ์ขั้นแรก หยุดการขัดแย้ง เป็นคำพูดที่กระชับและรัดกุมความหมาย เขาต้องควบคุมวิญญาณยุทธ์ทั้งสองดวงในทะเลจิตไม่ให้ขัดแย้งกันเอง มิเช่นนั้นจะถือว่าไม่สำเร็จการฝึกฝน
หลินมู่อวี่และฉินอินนั่งหลับตาฝึกฝนอย่างเงียบงัน
ขณะเดียวกันฉินฮั่นนั่งบนเก้าอี้เฝ้ามองทั้งสองฝึกฝนยุทธ์ เขาไม่อาจปกปิดความมีเมตตาและเอาใจใส่ภายในดวงตาทั้งสองได้ เขาเป็นที่รู้จักกันในนามผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของจักรวรรดิในรอบหลายพันปี แต่แท้จริงแล้วกลับต้องรู้สึกโดดเดี่ยวหลังจากฝึกฝนคนเดียวมาเนิ่นนาน ไร้ความรู้สึก และไร้ความรัก แต่ขณะนี้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นภายในครอบครัวจากผู้เป็นลูกหลานสองคนนี้ เขาจึงตั้งใจว่าจะฝึกฝนทั้งสองให้บรรลุถึงขั้นสูงสุด
……….……….……….……….