The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.475 กองกำลังแผ่นดิน
EP.475 กองกำลังแผ่นดิน
ครึ่งเดือนผันผ่านในพริบตา การฝึกฝนของหลินมู่อวี่ก้าวหน้าขึ้นทีละขั้น ขณะนี้วิญญาณยุทธ์ทั้งสองไม่ขัดแย้งกันรุนแรงเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป และด้วยการสอนของฉินฮั่นทำให้พลังยุทธ์ฉินอินเพิ่มขึ้นทุกวันจนใกล้ถึงช่วงเวลาที่จะทะลวงขั้น
ในช่วงบ่าย แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลงมายังโถงด้านข้างตำหนักเจ๋อเทียน
ขณะนี้เป็นช่วงฤดูร้อน ฉินอินสวมกระโปรงยาวและรวบผมยาวไว้ด้านข้างซึ่งดูงดงามราวกับน้ำตกสีดำ นางคลี่ม้วนหนังสือออกอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเงยหน้ามองหลินมู่อวี่และคนอื่นๆ ด้วยสายตาอ่อนโยนที่สามารถละลายธารน้ำแข็งในฤดูใบไม้ร่วง นางเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “นี่คือสองข้อเสนอที่ข้าวางแผนจะนำไปใช้ทั่วแผ่นดิน ระบบเทศมณฑล เขต และกองกำลังแผ่นดิน ผู้บัญชาการเฟิง ผู้บัญชาการหลิน และท่านเสินโหวโปรดลองดูเถิด”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่นางไม่ได้เรียกหลินมู่อวี่ว่าพี่อาอวี่ในการหารืออีกต่อไป แต่กลับเรียกผู้บัญชาการหลินแทน ดูเหมือนว่าการตักเตือนของเสนาธิการจิ้งเยว่จะค่อนข้างได้ผล
“ระบบเทศมณฑลและเขต?” เจิ้งอี้ฝานเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
“ใช่” ฉินอินพยักหน้าเล็กน้อยขณะที่คลี่ม้วนหนังสือส่งให้เจิ้งอี้ฝาน “ก่อนหน้าจักรวรรดิใช้ระบบมณฑล กิจการทางทหารและการเมืองจึงถูกผู้ว่าการมณฑลควบคุมทั้งหมด ซึ่งทำให้จักรวรรดิสามารถควบคุมเมืองหลวงและมณฑลใหญ่ทางตอนเหนือเท่านั้น ข้าจึงวางแผนใช้ระบบเทศมณฑลและเขต ให้ทุกๆ สิบถึงยี่สิบเขตรวมกันเป็นเทศมณฑล จากนั้นจัดตั้งผู้ว่าการเทศมณฑลเพื่อดูแลกิจการทางการเมือง ทั้งเทศมณฑลและเขตไม่ต้องส่งส่วยประจำปีให้แก่มณฑลอีกต่อไปเพราะต้องส่งให้ทางเมืองหลวงของจักรวรรดิโดยตรง”
เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ด้วยการนี้มณฑลชีไห่ มณฑลอวิ้นจง และมณฑลเทียนชู่จะต้องส่งส่วยและบรรณาการเพิ่มขึ้นปีละอย่างน้อยสามถึงห้าเท่า!”
หลินมู่อวี่กล่าว “กระหม่อมเกรงว่าผู้ว่าการมณฑลจะต้องไม่พอใจเมื่อระบบนี้ถูกใช้งาน โดยเฉพาะองค์ชายอย่างท่านหยุนกงและหลานกง”
“ฉะนั้นข้าจึงวางแผนจะแต่งตั้งสองกงขึ้นเป็นราชา” ฉินอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในด้านหนึ่งเพื่อปลอบโยนพวกเขา แต่ในทางกลับกันเราสามารถกระจายอำนาจได้อย่างราบรื่น หากจักรวรรดิดำเนินการระบบเทศมณฑลและเขตก่อนแต่งตั้งพวกเขา ข้าเกรงว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้ ช่างน่าขันนักเมื่อครั้งที่เมืองหลันเยี่ยนถูกปิดล้อม กลับไม่มีผู้ใดมาเสริมกำลัง ท่านเสินโหวรอบรู้ในระบอบการปกครองของจักรวรรดิ ท่านคิดว่าระบบจังหวัดและเขตสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่?”
เจิ้งอี้ฝานลูบเคราขาวพร้อมยิ้มเล็กน้อย “ในประวัติศาสตร์ตลอดเจ็ดพันปีของจักรวรรดิ ไม่มีผู้ใดเคยเสนอระบบเทศมณฑลและเขต พระองค์ทรงทำให้กระหม่อมประหลาดใจยิ่ง แม้การนำระบบนี้มาใช้อาจเป็นไปได้ยาก แต่หากทำสำเร็จ ทั้งจักรวรรดิ ทั้งเมืองหลวงและฝ่าบาทจะได้รับผลประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระนั้น…ปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันของจักรวรรดิจะสามารถแก้ไขผ่านระบบเทศมณฑลและเขตได้อย่างไร? ฝ่าบาททรงต้องตระหนักว่ากองกำลังหลักยังคงอยู่ในมือของผู้ว่าการมณฑล”
ฉินอินคลี่ม้วนหนังสืออีกฉบับพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าวางแผนจัดตั้งกองกำลังแผ่นดินเพื่อนำไปใช้ร่วมกับระบบเทศมณฑลและเขต เจ้าหน้าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในจักรวรรดิจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเพิ่มขึ้นสองเท่า และวิหารจะได้รับการสนับสนุนให้คัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่งเพื่อจัดตั้งกองทัพของตนเอง โดยใต้เท้าทุกสาขาสามารถกำหนดจำนวนทหารได้ตามขนาดของวิหาร จำนวนกำลังพลสูงสุดประจำจังหวัดคือสองหมื่นนาย จำนวนกำลังพลสูงสุดประจำเขตคือห้าพันนาย และจำนวนกำลังพลสูงสุดประจำหมู่บ้านคือห้าสิบนาย ศาสตราวุธ เสบียงอาหาร และเงินทุนสำหรับวิหารจะถูกจัดสรรโดยเทศมณฑลและเขตของแต่ละพื้นที่ อีกทั้งเหล่าใต้เท้าทุกสาขาจะต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อพบปะผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ปีละครั้ง”
“พระเจ้า…” เฟิงจี้สิงอุทานด้วยความตกใจขณะที่มองฉินอิน ก่อนจะหันมองหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงกำลังมอบอำนาจให้อาอวี่เป็นผู้บัญชาการของจักรวรรดิในภายภาคหน้าใช่หรือไม่? เจ้าเด็กนี่…เมื่อเร็ววันนี้เพิ่งจะไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงทั้งสองของเผ่าปีศาจแท้ๆ”
“หือ?”
ฉินอินหันมองหลินมู่อวี่ด้วยท่าทางไม่พอใจ “จริงหรือผู้บัญชาการหลิน?”
หลินมู่อวี่ถูจมูก “ทรงอย่าฟังความจากผู้บัญชาการเฟิง กระหม่อมเพียงทำงานเท่านั้น”
“อืม” ฉินอินจ้องมองด้วยความโกรธ
เสนาธิการจิ้งเยว่ด้านข้างยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวเตือน “ฝ่าบาท ทรงหารือต่อเถิดเพคะ ท่านเสินโหวและเหล่าขุนนางกำลังรอพระองค์อยู่”
ฉินอินเงยหน้ามองเหล่าขุนนางคนสำคัญราวยี่สิบคนที่นั่งรอบโต๊ะแล้วอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงและก้มหน้าลงสงบจิตใจ จากนั้นนางเงยหน้ากล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม “ระบบเทศมณฑลและเขตจะต้องดำเนินการในทุกพื้นที่พร้อมกัน เช่นนั้นจึงต้องพึ่งพาอำนาจของทุกคน การคัดเลือกทหารของวิหารศักดิ์สิทธิ์แต่ละสาขาจะเป็นงานหนักสำหรับผู้นำวิหาร จงจำไว้ว่าเราต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดและจริงจัง นี่เป็นวาระแห่งชาติ เป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองแรกที่ข้าดำเนินการเองตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ห้ามผู้ใดเข้าแทรกแซงเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะถือเป็นการดูหมิ่นจักรพรรดินี แต่…อาอวี่ไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงเผ่าปีศาจจริงหรือไม่?”
ท้ายที่สุดนางก็เป็นเพียงหญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีที่ได้เปลี่ยนสถานะจากเด็กสาวเป็นจักรพรรดินี ทันใดนั้นฉินเหยียน เว่ยโฉว และคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะ จางเหว่ยพลันกล่าวขึ้น “ผู้บัญชาการหลิน ท่านคงต้องตอบคำถามนี้เสียแล้ว มิเช่นนั้นการหารือคงไม่สามารถดำเนินต่อได้”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นพร้อมประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงทั้งสองเพื่อเค้นข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจ จำนวนประชากร กำลังทหาร เสบียง และเรื่องอื่นๆ เนื่องจากเราแทบไม่ทราบสิ่งใดเลยเกี่ยวกับพวกมัน อสูรเกราะไร้ปัญญา ส่วนปีศาจระดับสูงที่จับได้ก็ปิดปากเงียบ ดังนั้นข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดจำเป็นต้องมาจากองค์หญิงปีศาจทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงยิ้มและกล่าวเสริม “ฝ่าบาท องค์หญิงน้อยเฟิงหนิงของเผ่าปีศาจดูเหมือนจะชอบอาอวี่มากทีเดียว!”
“หือ?”
ฉินอินตะลึงงัน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก “ผู้บัญชาการเฟิง ข้าไม่เคยเห็นเฟิงหนิงผู้นั้น นางเป็นเด็กสาวที่งดงามมากหรือ?”
เฟิงจี้สิงตอบ “สง่างามมากพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอินรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ ในฐานะจักรพรรดินี…การหารือนี้ต้องดำเนินการต่อ แต่ด้วยหัวใจที่กำลังยุ่งเหยิงเช่นนี้ นางจะจัดการกับตัวเองได้อย่างไร…
หลินมู่อวี่มองไปยังฉินอินที่กำลังสับสนแล้วอดไม่ได้ที่จะเป็นทุกข์ เขาลุกขึ้นประสานหมัดกล่าวอีกครั้ง “ฝ่าบาท แม้ว่าเฟิงหนิงจะเป็นเด็กสาวที่สง่างาม กระนั้นก็อ่อนเยาว์เกินไป และกระหม่อมไม่ได้รู้สึกกับนางเช่นนั้น พระองค์ทรงวางพระทัย ขณะนี้ทุกคนยังคงรอการหารืออยู่ วันพรุ่งนี้…กระหม่อมจะพาพระองค์ไปเสวยอาหารเลิศรสที่ถนนทงเทียนพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอินรู้สึกโล่งใจและมองดูทุกคน “เช่นนั้นเรามาหารือเรื่องต่างๆ กันต่อเถิด เราจำเป็นต้องลงรายละเอียดเกี่ยวกับระบบเทศมณฑล เขต และกองกำลังแผ่นดิน จากนั้นข้าจะให้สำนักทหารและพลเรือนกับกระทรวงกลาโหมร่วมกันออกพระราชกฤษฎีกา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
…
หลังจากการอภิปรายรายละเอียดทั้งหมด สิ่งต่อไปที่ต้องรอคือการกอบกู้แผ่นดิน กล่าวตามสัตย์จริงหลักการทั้งสองของฉินอินมาได้ถูกจังหวะเวลาและเด็ดขาดมากพอ ไม่เช่นนั้นทั้งแผ่นดินจะต้องตกอยู่ในมือของแม่ทัพผู้กุมอำนาจทางทหารเสมอ และจักรพรรดินีฉินอินไม่มีอำนาจในการตัดสินใจมากนัก การแต่งตั้งถังหลานและซูมู่หยุนขึ้นเป็นราชา ถือเป็นการทำให้ทั้งสองถอยหลังเพื่อความก้าวหน้าของแผ่นดิน
ที่สำคัญกว่านั้น ฉินอินได้รับการสนับสนุนจากขุนนางคนสำคัญถึงสามคน นั่นคือหลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และเจิ้งอี้ฝาน ประกอบกับการปรากฏตัวของขอบเขตเทวะฉินฮั่นผู้เคยเป็นจักรพรรดิ เขาเป็นดั่งภูเขาสูงหนุนหลังตำหนักเจ๋อเทียน ดังนั้นถังหลานและซูมู่หยุนจึงไม่สามารถเผชิญหน้าและควบคุมทุกก้าวย่างของฉินอินได้โดยตรง
เวลาผันผ่านไป ฉินอินไม่ใช่คนเดิมกับเมื่อสามปีก่อน อีกทั้งการที่หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงมีอำนาจทางทหารในมือเพิ่มมากขึ้นทำให้สามารถลดทอนอำนาจการควบคุมจักรวรรดิของทั้งสองกง ขณะนี้ถังหลานและซูมู่หยุนไม่เหลืออำนาจเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดอีก…
…
หลังทานอาหารเย็น หลินมู่อวี่ขี่ท่าเฉว่ออกจากตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อไปซื้อขนมเปี๊ยะจากร้านค้าเก่าแก่บนถนนทงเทียน ขนมอบชนิดนี้มีรสหวานในปาก และมีกลิ่นหอมของดอกหมื่นลี้ มันเป็นอาหารชั้นดีที่เผ่าปีศาจไม่มี และองค์หญิงปีศาจทั้งสองก็ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน
เมื่อหลินมู่อวี่เดินเข้าไปในลานกว้างพร้อมตะกร้าในมือ เหล่าทหารกองทัพองครักษ์คุกเข่าลงและกล่าวว่า “คารวะผู้บัญชาการหลิน!”
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”
หลินมู่อวี่ผลักประตูเข้าไป ภายใต้แสงเทียน องค์หญิงปีศาจทั้งสองทำหน้างุนงง เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา เฟิงหนิงดูตื่นเต้นเล็กน้อย นางกระโดดออกจากเก้าอี้เข้ามาทักทายทันที “ท่านหลิน!”
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
หลินมู่อวี่โค้งคำนับพร้อมยื่นตะกร้าขนมให้ จากนั้นเขานั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกล่าวอย่างเป็นกันเอง “อีกไม่นานองค์หญิงจิ้งจะได้กลับไปยังเมืองหลวงของเผ่าเทพแล้ว ท่านดีใจหรือไม่?”
เฟิงจิ้งมองด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกล่าวว่า “เจ้ามันน่ารังเกียจที่ปล่อยให้หนิงเอ๋อร์อยู่ในดินแดนมนุษย์ตามลำพัง!”
หลินมู่อวี่ลำบากใจเล็กน้อย “ข้าช่วยอะไรไม่ได้ นี่เป็นเรื่องสงครามและการเมือง เมื่อใดที่องค์หญิงหนิงออกจากจักรวรรดิ จอมพลทั้งสองจะต้องร่วมมือกันโจมตีเราอีกครั้ง”
“เจ้าต้องดูแลหนิงเอ๋อร์ให้ดี” เฟิงจิ้งกล่าวคำเบา
“ไม่ต้องกังวล พี่เฟิงและข้าจะดูแลองค์หญิงหนิงเป็นอย่างดี จะไม่มีผู้ใดเข้ามาทำร้ายนางได้ เมื่อถึงเวลาข้าจะพานางออกไปสูดอากาศด้านนอก”
“อืม นั่นคงดีสำหรับนาง”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “เอาล่ะ เรามาคุยกันเรื่องเผ่าปีศาจเถิด”
“เผ่าเทพ ไม่ใช่เผ่าปีศาจ!”
“อืม คุยเรื่องเผ่าเทพ” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างสุภาพ “ข้าทราบมาว่าเผ่าเทพฝึกฝนวิทยายุทธ์เช่นเดียวกับพวกเรา ดังนั้นอันดับของปีศาจระดับสูงจึงถูกแบ่งตามความแข็งแกร่ง กระนั้นข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดอสูรระดับห้าจึงแข็งแกร่งมาก ขณะที่ระดับอื่นมีเพียงพลังธรรมดา”
“อืม…”
เฟิงจิ้งหัวเราะอย่างเย็นชา “ทุกคนที่มีพลังปราชญ์แห่งปีศาจล้วนเป็นอสูรระดับห้า เสด็จพ่อ นักปราชญ์ และเฉียนเฟิงต่างก็เป็นอสูรระดับห้าดาว แต่พวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสทั้งสิบห้ามาก เลี่ยนไห่ที่เจ้าเอาชนะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดท่ามกลางเหล่าผู้อาวุโส เช่นนั้นอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะมันช่างน่าขัน!”
“งั้นรึ?”
หลินมู่อวี่ไม่โกรธและเอ่ยถามต่อ “แล้วความแข็งแกร่งของจักรพรรดิปีศาจและนักปราชญ์เมื่อเทียบกับเฉียนเฟิงเป็นอย่างไร?”
เฟิงจิ้งมองเขาพร้อมกล่าวคำเบา “ข้าไม่มีทางบอกเจ้า”
……….……….……….……….